อาหารไทย – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 09 Jun 2025 01:36:40 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Project “ไหล่ เจี๊ยะ” at The Market Bangkok https://positioningmag.com/1524520 Mon, 09 Jun 2025 23:15:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1524520

เดอะ มาร์เก็ต แบงคอก รุกปรับโฉมใหม่ ประเดิมชั้น G-M ปั้น “ไหล่ เจี๊ยะ”ชวนทุกคนมาอร่อยกันกับฮับความอร่อยนานาชาติ บรรยากาศเยาวราชใจกลางราชประสงค์ ก่อนปรับโฉมใหญ่ยกศูนย์ฯ

เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป เดินเครื่องเร่งปรับโฉม ศูนย์การค้า เดอะ มาร์เก็ต แบงคอก ครั้งใหญ่ ปั้นโปรเจกต์  “ไหล่ เจี๊ยะ” ศูนย์รวมความอร่อยนานาชาติแห่งใหม่ใจกลางราชประสงค์ บริเวณชั้น G และชั้น M ใช้งบประมาณลงทุน 180 ล้านบาทจับกลุ่มเป้าหมายชาวไทยและชาวต่างชาติที่พักอาศัยในไทย 60 % นักท่องเที่ยวต่างชาติ 40 % ไฮไลท์สำคัญคือการนำเอา Destination ยอดนิยมของคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติทั่วโลก ได้แก่ย่าน “เยาวราช” มาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ รวมพื้นที่ประมาณ 8,000 ตารางเมตร แบ่งออกเป็นพื้นที่ ชั้น G และ ชั้น M คัดสรรร้านค้าเมนูอาหารนานาชาติ ตั้งแต่อาหารจีนต้นตำรับ อาหารไทยและอาหารนานาชาติเลิศรส ไปจนถึงเมนูอาหารสตรีทฟู้ดเลื่องชื่อพร้อมเสิร์ฟความอร่อยในบรรยากาศแปลกใหม่ ปักหมุดตอกย้ำทำเลศูนย์รวมธุรกิจศักยภาพใจกลางกรุงเทพ

ชื่อโปรเจกต์ “ไหล่ เจี๊ยะ” มีที่มาจากภาษาจีนแต้จิ๋ว แปลว่า “ชวนมากินข้าวกัน” โดยนำมาขยายความให้มีหลากมุมหลายมิติมากขึ้น ซึ่งคำว่า “ไหล่ เจี๊ยะ” สำหรับโปรเจกต์นี้ ไม่ใช่แค่ความหมายชวนกันมากินเท่านั้น แต่เป็นการชวนกันมาใช้เวลาพบปะสังสรรค์ แบ่งปันความสุข กระชับมิตรความผูกพัน ให้ทุกคำอร่อยคือความทรงจำอันแสนประทับใจ ในแบบ “Join Us at the Table”

เปิดประเดิมโฉมใหม่ ต้อนรับด้วยแสงสีทองแห่งอรุณรุ่ง ด้วยการตกแต่งดีไซน์ Façade ใหม่ โดยเลือกใช้โทนสีทอง แทนสัญลักษณ์แสงแห่งพระอาทิตย์ยามเช้า ที่เปี่ยมไปด้วยพลังงานความสว่างสดใสพร้อมขับเคลื่อนไปข้างหน้า

ตื่นตาตื่นใจไปกับ Concept Idea การตกแต่งภายใน ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเสน่ห์ของเยาวราช จนเป็น Iconic ที่รู้จักกันดีของย่านนี้ อาทิ สิ่งปลูกสร้างอาคาร ถนนตรอกซอกซอย ป้ายไฟนีออน ตลอดจนวัฒนธรรมวิถีชีวิต รวมทั้งสตรีทฟู้ดอันเลื่องชื่อ โดยทั้งหมดได้ถูกนำมาออกแบบ ในมุมมองใหม่ในแบบฉบับของ “ไหล่ เจี๊ยะ” เพื่อมอบประสบการณ์ให้ได้สัมผัสเสน่ห์อันเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์สำคัญของกรุงเทพมหานคร ที่ยกมาไว้ใจกลางเมือง ย่านราชประสงค์สามารถเดินทางเข้าถึงได้ด้วยความสะดวกสบาย ชวนชาวไทยและนักท่องเที่ยวมาอร่อยกันที่บริเวณชั้น G และ ชั้น M ศูนย์การค้าเดอะ มาร์เก็ต แบงคอก ย่านราชประสงค์ เตรียมเปิดให้บริการ เร็วๆนี้

โปรเจกต์ “ไหล่ เจี๊ยะ” แบ่งออกเป็น 5 ประสบการณ์สุดพิเศษ ดังนี้

บริเวณชั้น G ประสบการณ์สุดประทับใจได้เริ่มต้นขึ้น ตั้งแต่ทางเข้าด้านหน้าศูนย์การค้า ที่อยู่ติดกับถนนราชดำริ ได้แก่

1. ART & CUISINE ที่มีการครีเอทดีไซน์ภายในโดยใช้องค์ประกอบที่เกี่ยวกับเครื่องใช้ในครัว อาทิกระทะทองเหลือง ตะเกียบ มาใช้เป็นแนวคิดหลักในการออกแบบ โดยเลือกใช้วัสดุและโทนสี ที่ให้มีความสอดคล้องกับธีมหลัก เมื่อผสมผสานกันออกมาแล้วทำให้ได้ภาพรวมที่สวยงามและทันสมัย เพื่อมอบประสบการณ์แรกพบสุดประทับใจชวนให้มานั่งรับประทานอาหารจานโปรด ท่ามกลางบรรยากาศอันอบอุ่นสบายใจ

2.PEOPLE & LIFESTYLE ไอเดียสำหรับการออกแบบ คือการสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตที่พบเห็นได้บ่อยของผู้คนในเยาวราชการดีไซน์โซนนี้ในรูปแบบร้าน “สภากาแฟ” จึงถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญในการถ่ายทอดมุมแห่งการนัดพบแบ่งปันเรื่องราวมิตรภาพ รอยยิ้ม ความสนุกสนานเป็นกันเอง ในบรรยากาศโรงเตี๊ยม

3. YAOWARAT’S CULTURE คัดสรรองค์ประกอบวัตถุสิ่งของที่พบเห็นได้บ่อยในพื้นที่ เช่น ลวดลายบานประตู โต๊ะ ม้านั่งที่ดูเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยงานศิลปะที่ถูกสืบทอดต่อกัน นำมาประยุกต์ตกแต่งเพื่อถ่ายทอดให้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ร่วมกันฉันญาติมิตรที่แสนอบอุ่น

M Floor

4.COLORS OF YAOWARAT อีกหนึ่งไฮไลท์ภาพจำของเยาวราชจะขาดไปไม่ได้คือบรรยากาศของป้ายไฟและแสงสี ที่สาดส่องออกมาจากเส้นทางถนนทำให้รู้สึกสะดุดตาทุกครั้งที่ได้ผ่านจุดเช็คอินที่สำคัญบริเวณนี้ได้แก่ตัวอักษรป้ายไฟนีออนและแสงสีที่น่าตื่นตาตื่นใจยามค่ำคืน

5.CHINESE ZODIAC SIGNS ได้นำสัญลักษณ์ 12 ปีนักษัตรจีน มาดีไซน์ให้เป็นงานศิลป์ร่วมสมัยเพื่อตกแต่งภายในสร้างบรรยากาศให้ดูสวยงามทรงพลัง พร้อมสะท้อนความเชื่อผูกพันเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตของชาวไทย-จีน ที่ฝั่งรากลึกมาอย่างยาวนาน ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวให้มาเช็คอิน เตรียมพบประสบการณ์ใหม่ กับ “ไหล่ เจี๊ยะ” บริเวณชั้น G – M ได้ในช่วงต้นปีพ.ศ. 2569

สำหรับผู้ที่สนใจจับจองพื้นที่สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทรศัพท์ 0-2121-9999 ต่อ 53

สำหรับระยะเวลาปิดปรับปรุงพื้นที่ศูนย์การค้าเดอะ มาร์เก็ต แบงคอก ใหม่นั้น จะเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน นี้ เป็นต้นไป
ซึ่งจะเป็นการปิดเฉพาะบางส่วน โดยมีรายชื่อร้านค้าภายในศูนย์การค้า ที่เปิดให้บริการตามปกติ ดังนี้

ชั้น G : KFC ชั้น G และ M : Starbucks ชั้น 1: HOUSE OF LITTLEBUNNY เริ่มเปิดให้บริการ 1 ก.ค.68 ชั้น 3 : Mo-Mo-Paradise ,พระราม 9 ไก่ย่าง ชั้น 4 : Let&Relax, Mos Dental Clinic, 786 Salon
สามารถสอบถามรายละเอียดการใช้บริการได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 0-2209-5555

ทั้งนี้ ศูนย์การค้า เดอะ มาร์เก็ต แบงคอก ยังได้เตรียมพัฒนาปรับพื้นที่โฉมใหม่ในโซนอื่นๆ ตามลำดับถัดไป
โดยจะมุ่งเน้นมอบประสบการณ์ความสุขความสนุกแปลกใหม่ในทุกมิติที่จับต้องได้ สำหรับนักช้อปนักชิมชาวไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

]]>
1524520
Sizzler ลดราคาเมนู Plant-based ดึงลูกค้ามาลองชิม ปรับรสชาติให้เป็น ‘สไตล์ไทย’ มากขึ้น https://positioningmag.com/1356091 Mon, 11 Oct 2021 09:38:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1356091 เผชิญกับความท้าทายไม่มีหยุดกับ ‘Sizzler’ ร้านอาหารที่มีจุดเด่นเรื่องบรรยากาศไดน์อิน ที่ต้องเจอมรสุมการล็อกดาวน์ซ้ำเเล้วซ้ำเล่า

การผ่อนคลายมาตรการครั้งนี้ เป็นโอกาสทองที่ต้องรีบคว้า ทั้งอัดเเคมเปญโปรโมชั่น พร้อมทั้งหา เเนวทางใหม่ๆ เมนูใหม่ๆ ดึงดูดให้ลูกค้ากลับมาเข้าร้านในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ชดเชยรายได้ที่หายไป

หนึ่งในนั้นก็คือ การลุยตลาด ‘Plant-based’ เนื้อสัตว์ที่ทำจากพืช อย่างเต็มที่ ตามเทรนด์กระเเสนิยมมาเเรงทั่วโลก ซึ่งหลังจากที่ Sizzler ชิมลางวางขายมาตั้งเเต่ปลายปี 2562 ก็มีเสียงตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคคนไทย เเละก็ถึงเวลาต่อยอด ขยายไปให้มากขึ้นกว่าเดิม

Sizzler ปล่อยเมนู Plant-based ออกมาใหม่ทุกๆ 6 เดือน เฉลี่ยซีซั่นละ 3 เมนู (รวมๆ ที่ผ่านมามีประมาณ 12 เมนู) เเละล่าสุดตอนนี้ก็มีการเปิดตัว 2 เมนู Plant-Based มาลงเมนูประจำรับไดน์อินและเดลิเวอรี่

เเต่จุดเด่นครั้งนี้เเตกต่างไปจากเดิม นั่นคือการได้เรียนรู้ถึงวิธีปรุงรสชาติ Plant-based ให้ถูกปากคนไทย จึงมีการปรับเมนูเป็นสไตล์ไทยมากขึ้น พร้อมปรับลดราคาลงมา ซึ่งยังไม่ค่อยมีเชนร้านเฮลท์ตี้เฮาส์ในไทยทำ
เเนวนี้กันมากนัก

เทรนด์อาหารเเห่งอนาคต ที่โตไม่หยุด

เทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพเป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภคทั่วไปมากขึ้น ยิ่งเกิดโควิด-19 ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเร่งทำให้พฤติกรรมการเลือกรับประทานอาหารของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ซึ่ง Plant-based Food ก็ได้รับอานิสงส์นี้ไปเต็มๆ

การเติบโตของตลาดอาหาร Plant-based ทั่วโลกเมื่อปี 2563 มีมูลค่าราว 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าในปี 2568 จะมีมูลค่าราว 8.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ 

ส่วนตลาดในประเทศไทย ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตของผู้บริโภคอาหาร Plant-based เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

จากข้อมูลของ Krungthai COMPASS พบว่า ในปี 2562 มีมูลค่า 2.8 หมื่นล้านบาท และยังคาดการณ์ว่าในปี 2567 จะมีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นถึง 4.5 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 10% เลยทีเดียว

กรีฑากร ศิริอัฐ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอสแอลอาร์ที จำกัด ในเครือ บมจ. เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป ผู้บริหาร ซิซซ์เล่อร์ เล่าว่า ตลาด Plant-based เติบโตขึ้นมาก ทั้งในส่วนฐานผู้บริโภคเเละบรรดาเหล่าผู้ผลิต โดยที่ผ่านมา มักมีผู้ผลิตมาเสนอเป็นพาร์ทเนอร์กับ Sizzler เพียง 2-3 ราย เเต่ตอนนี้มีมากกว่า 10 ราย

ปัจจุบันเเบรนด์ Sizzler เลือกจับมือกับ บียอนด์ มีทและกรีนมันเดย์ ซึ่งเป็นเจ้าใหญ่ในตลาดโลก เเต่ก็คอยมองหาซัพพลายเออร์รายอื่นๆ อยู่เสมอ โดยเฉพาะในไทย

สำหรับกลุ่มลูกค้าที่เเบรนด์ Sizzler ต้องการจะขยายเจาะตลาดเมนู Plant-based ได้เเก่

  • กลุ่มคนที่ทานวีแกน เเละ Plant-Based อยู่เเล้ว ถ้ามาทานที่ร้านก็สามารถสั่งเมนูสเต๊กได้ ไม่จำกัดว่าจะต้องไปทานเเต่สลัดบาร์อีกต่อไป
  • กลุ่มคนที่ทานเมนูปกติทั่วไป ที่อยากลองทานเมนู Plant-based หรือคนที่อยากดูเเลสุขภาพ ไปพร้อมๆ กับการรักษ์โลก ต้องการทานวีเเกนประมาณสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง

Sizzler ตั้งเป้าว่าในปี 2565 เมนู Sizzler จะสามารถสร้างรายได้เติบโตราว 30%” 

เมนูไทยๆ เเถมปรับราคาลง 

ตามที่เกริ่นไปข้างต้นว่า Sizzler ได้ปรับเมนู Plant-based ให้เป็นถูกปากคนไทยมากขึ้น เห็นได้ชัดผ่านเมนูใหม่ที่เปิดตัวใน 30 สาขา ได้เเก่

ออมนิมีท ลาบทอด เสิร์ฟพร้อมข้าวเหนียว เมนูลาบทอดจากโปรตีนพืชในสไตล์ไทย ๆ กับรสชาติเเซ่บๆ แบบฉบับอีสานแท้ ในราคา 299 บาท เเละยังเสิร์ฟเป็นเมนูทานเล่นที่ลูกค้าสามารถสั่งแยกมารับประทานระหว่างรออาหารจานหลักได้ในราคา 99 บาท รวมถึงสั่งเดลิเวอรี่ไปลิ้มลองได้ถึงที่อีกด้วย

สเต๊ก บียอร์น กัวคาโมเล่ และซัลซา เป็นสเต๊กเนื้อที่ไร้เนื้อสัตว์เป็นส่วนผสม สไตล์เม็กซิกัน ราดด้วยกัวคาโมเล่ที่ทำจากอะโวคาโดบด และซัลซา รวมถึงเผือกทอดด้านบนสุด ในราคา 399 บาท ซึ่งรสชาติที่เผ็ด เปรี้ยว หวาน ลงตัวน่าจะถูกใจคนไทยเช่นเดียวกัน

เเละเพื่อดึงดูดให้ลูกค้าหันมาลองเมนู Plant-based กันมากขึ้น Sizzler ใช้กลยุทธ์ “ปรับลดราคาของเมนู Plant-based” ลงมาเรื่อยๆ เช่น ในช่วงเริ่มต้นประเดิมราคาที่ 439-479 บาท ในปีที่เเล้วปรับลงมาเป็น 329-399 บาท เเละล่าสุดตอนนี้คือมีราคาเฉลี่ยเริ่มต้นตั้งแต่ 99 – 399 บาท นับเป็นการปูทางสร้างความคุ้นเคยในระยะยาว มีเมนูหลากหลายสไตล์ตลอดทั้งปี ขยายฐานลูกค้าเป็นร้อยเป็นพันคนให้ได้

นอกจาก ลดราคาเเล้ว ในบางโอกาสก็จะมีการนำเนื้อ Plant-based ไปลองใส่ในเมนูสลัดบาร์ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนได้ลองชิมอย่างกว้างขวางขึ้นด้วย

-สเต๊ก บียอร์น กัวคาโมเล่ และซัลซา

Sizzler สาขาใหม่…สายเล็ก

วิกฤตโควิด-19 ทำให้ร้านอาหารได้เรียนรู้ถึงการปรับตัวเร็วเเละการขายโดยเน้นหน้าร้านเพียงอย่างเดียวคือความเสี่ยง

ปัจจุบัน Sizzler มีฐานลูกค้าทั้งหมดอยู่ราว 8-9 ล้านคน มีร้านทั้งหมด 54 สาขาทั่วประเทศไทย กลับมาเปิดให้บริการเเล้วเกือบทั้งหมด (ยังปิดชั่วคราวอยู่ 1 สาขา) โดยภายในสิ้นปีนี้ หลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวมากขึ้น ทางเเบรนด์ยังมีเเผนจะขยายสาขาใหม่ตามเดิม อีก 5 สาขา เเบ่งเป็น 3 สาขาใหม่ เเละอีก 2 สาขาเป็นการย้ายสถานที่เเต่อยู่ในพื้นที่จังหวัดเดิม 

ประเด็นที่น่าจับตามอง คือ ต่อจากนี้ร้านใหม่ของ Sizzler จะมีขนาด ‘เล็กลง’ จากเดิมที่สาขาใหญ่ๆ เคยกว้างขวางถึง 600 ตร.ม. ลดลงเหลือราว 300-280 ตร.ม. ปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากเทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป สั่งเดลิเวอรี่กันมากขึ้น เเละอีกด้านหนึ่งก็คือการที่ห้างสรรพสินค้าต้องการจัดสรรพื้นที่ให้หลากหลาย เพื่อดึงดูดลูกค้า ที่ตั้งของร้านต่างๆ จึงมีขนาดเล็กลง เเต่ภายในห้างฯ จะมีเเบรนด์ให้เลือกมากขึ้น

สานต่อโมเดล to go พร้อมขยายเดลิเวอรี่ 

ด้านโมเดล Sizzler to go เจาะกลุ่มคนเดินทาง ที่ต้องสะดุดเพราะวิกฤตโควิดหลายรอบ หลังคลายล็อกดาวน์รอบนี้ก็ดูเหมือนจะมีความหวังอีกครั้ง เเต่ยังไม่มีเเผนจะขยายสาขาเพิ่มในปีนี้ ปีหน้าเมื่อการเดินทางกลับมา ก็มองว่าเป็นโอกาสที่ดี (ตอนนี้มีอยู่ 5 สาขาในกรุงเทพฯ) เพราะเป็นการขยายตลาดเข้าหาผู้บริโภคที่ต้องการความง่าย รวดเร็วเเละต้องการอาหารเพื่อสุขภาพ เเถมยังมีขนาดเล็กลง ตามเเนวทางของเเบรนด์

ร้าน Sizzler To Go สาขาล่าสุดที่เปิดในโรงพยาบาลกรุงเทพ ก็เป็นอีกหนึ่งทำเลที่แบรนด์ตั้งใจจะขยายไปในพื้นที่ใหม่ ซึ่งจะมีการมองหาโอกาสใหม่ๆ ในลักษณะนี้อีกต่อไป

ส่วนฝั่งของ ‘เดลิเวอรี่’ นั้น ผู้บริหาร Sizzler บอกว่า มีการเติบโตถึง 3 เท่าจากช่วงก่อนโควิด ซึ่งตอนนี้สัดส่วนการขายออนไลน์สูงถึง 15-20% เเล้ว ถือว่ามากเเละเร็วกว่าที่คิดไว้ถึง 2-3 ปี โดยมียอดสั่งซื้อเฉลี่ยราว 500 บาทต่อบิล

“ยอมรับว่าปีนี้หนักกว่าปีที่เเล้วมาก เพราะโดนล็อกดาวน์นานกว่า เเต่พอเปิดให้นั่งทานที่ร้านได้ ลูกค้ากลับมาเร็วกว่าเพราะหลายคนอัดอั้น อยากออกมาใช้ชีวิตปกติ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี โดยทิศทางธุรกิจปีหน้าคงจะดีขึ้นตามลำดับ หลังมีการกระจายวัคซีนเเละเริ่มเปิดเมืองอีกครั้ง”

โดย Sizzler จะมี ‘บิ๊กโปรเจ็กต์’ ที่สร้างเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่ ที่จะเข้าถึงกลุ่มลูกหน้าหน้าใหม่ในมุมที่เเตกต่าง โดยกำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการ ซึ่งคาดว่าจะเปิตตัวได้เร็วที่สุดในช่วงกลางปีหน้า เเต่จะเป็นอะไรนั้น ทางผู้บริหารบอกว่าขออุ๊บไว้ก่อน…ต้องติดตามกันต่อไป 

 

]]>
1356091
“ดุสิตธานี” แตกธุรกิจอาหารปั้นแบรนด์ “ของไทย” 3 ปี ดันรายได้พันล้าน ติดใจมิกซ์ยูสควง “อนันดา” เปิดอีก 2-3 โปรเจกต์ https://positioningmag.com/1230882 Tue, 21 May 2019 23:05:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1230882 ภายใต้กลยุทธ์เพิ่มความหลากหลายในการทำธุรกิจ (Diversify) ของกลุ่มดุสิตธานี เพื่อโอกาสเติบโต กระจายความเสี่ยง และสร้างความสมดุลรายได้ จากปัจจุบันสัดส่วน 80% มาจากธุรกิจโรงแรม หนึ่งในเรือธง ดุสิตธานีมองไปที่ “ธุรกิจอาหาร” ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิมและโอกาสการลงทุนใน “มิกซ์ยูส” เพิ่มเติม ปีนี้อาจเห็นอีก 2-3 โครงการ

การปิดโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ เมื่อวันที่ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา เพื่อพัฒนาโปรเจกต์มิกซ์ยูส “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ใจกลางกรุงเทพฯ บนที่ดิน 23 ไร่ หัวมุมถนนสีลมและพระราม 4  ร่วมกับเซ็นทรัลพัฒนา (CPN) มูลค่า 37,700 ล้านบาท ที่จะเสร็จสมบูรณ์ในต้นปี 2567 โดยส่วนของโรงแรม “ดุสิตธานี กรุงเทพ” โฉมใหม่ ขนาด 250 ห้อง ความสูง 39 ชั้น จะเปิดให้บริการเป็นลำดับแรกในต้นปี 2565

แต่การปิดโรงแรมดุสิต กรุงเทพ ที่ต้องใช้เวลาก่อสร้างใหม่ 3-4 ปี ซึ่งเป็นธุรกิจที่ทำรายได้ปีละ 700-800 ล้านบาท กลุ่มดุสิตธานีจึงต้องเดินหน้าสร้างแหล่งรายได้ใหม่ๆ ทดแทน พร้อมตอบกลยุทธ์ Diversify ที่ปัจจุบันกลุ่มดุสิตธานีได้ปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ให้มีความหลากหลาย โดยแบ่งเป็น ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจการศึกษา โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสม (มิกซ์ยูส) ธุรกิจอาหาร และธุรกิจอื่นๆ

รุกธุรกิจอาหารโรงงานผลิต-เคเทอริ่ง

ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การขยายการลงทุนธุรกิจอาหาร ที่ผ่านมา ดุสิตธานีได้จัดตั้งบริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด เป็นบริษัทย่อยถือหุ้นสัดส่วน 99.99% เพื่อเข้าไปลงทุนในธุรกิจอาหาร ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักของดุสิตธานี และเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตในอนาคต รวมทั้งสร้าง Synergy กับธุรกิจเดิม

“วิสัยทัศน์ของ ดุสิต ฟู้ดส์ คือ การนำอาหารไทยและอาหารในภูมิภาคเอเชียออกสู่โลก (Bring Asia to the World) การนำความเป็นไทยไปสู่โลกนั้น เป็นจุดยืนของกลุ่มบริษัทดุสิตธานีตั้งแต่เริ่มแรก ส่วนอาหารเอเชียนั้นก็เพราะเรามี Foot Print ของธุรกิจโรงแรมในทวีปเอเชียเป็นหลักที่สามารถต่อยอดกันได้”

ศุภจี สุธรรมพันธุ์

การขยายธุรกิจอาหาร “ดุสิต ฟู้ดส์” เริ่มตั้งแต่ มี.ค. 2561 ได้เข้าไปลงทุนมูลค่า 663 ล้านบาท ในบริษัท เอ็นอาร์อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด หรือ NRIP ถือหุ้น 26% ซึ่งเป็นโรงงานผลิตอาหารในจังหวัดสมุทรสาคร ดำเนินธุรกิจมากว่า 25 ปี ผลิตสินค้าส่งออก 25 ประเทศทั่วโลก ให้กับแบรนด์ต่างๆ กว่า 50 แบรนด์ ผลิตสินค้าได้หลากหลายกว่า 1,000 SKU รายได้เกือบทั้งหมดมาจากการส่งออกต่างประเทศ

ไม่เพียงเท่านั้น NRIP ยังได้วางยุทธศาสตร์เพิ่มรายได้ที่เกิดจากแบรนด์ของตนเอง ที่มีอยู่ 5 แบรนด์ เช่น Lee, ไทยดีไลท์ และสร้างใหม่อีก 1 แบรนด์ในปีนี้ เพื่อขยายตลาดรีเทลในประเทศไทย ซึ่ง NRIP วางแผนทำ IPO เพื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ และจะยื่นไฟลิ่งในปีนี้ นั่นเท่ากับว่า ดุสิตธานีจะมีแหล่งรายได้หลักจาก NRIP

ช่วงต้นปีนี้เดือน ม.ค. 2562 ดุสิตธานีได้เข้าไปลงทุนในบริษัท เอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่ง จำกัด หรือ ECC ซึ่งเป็นผู้นำให้บริการผลิตอาหาร (Catering) ให้กับโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยกว่า 30 แห่ง โดยเข้าไปถือหุ้น 50% และจะเพิ่มเป็น 70% ในต้นปี 2563 รวมมูลค่าการลงทุน 613 ล้านบาท การลงทุนดังกล่าวมองโอกาสเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งในกลุ่มตลาดธุรกิจการศึกษาและตลาดอื่นๆ ด้วยการเชื่อมต่อกับเครือข่ายโรงแรมดุสิตธานีที่มีอยู่ในหลายประเทศ

ปั้นแบรนด์อาหาร “ของไทย” เจาะฟู้ดเซอร์วิส

สเต็ปรุกธุรกิจอาหารของดุสิตฟู้ดส์ปีนี้ ได้สร้างแบรนด์อาหาร “ของไทย” (KHONG THAI) ที่สื่อถึง “ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีเอกลักษณ์จากประเทศไทย” เริ่มจากกลุ่มเครื่องแกง ready to cook 4 เมนู คือ แกงเขียวหวาน แกงกะหรี่ แกงมัสมั่น และก๋วยเตี๋ยวแขก และผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรส ซอสพริก ซอสหอยนางรม ซีอิ๊ว น้ำปลา ปี 2563 วางแผนเพิ่มสินค้าให้ได้ 20 SKU สินค้าแบรนด์ “ของไทย” ใช้โรงงานผลิตของ NRIP ที่ดุสิตธานีเข้าไปร่วมถือหุ้น เป็นการลงทุนตั้งแต่ต้นน้ำโรงงานผลิตถึงปลายน้ำออกมาเป็นผลิตภัณฑ์

เจตน์ โศภิษฐพ์งศธร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด กล่าวว่า การทำตลาดแบรนด์ “ของไทย” สร้างความแตกต่างจากตลาดเครื่องแกง โดยได้ร่วมมือกับ “เดวิด ทอมป์สัน” (David Thompson) เชฟชาวออสเตรเลีย ที่ศึกษาคุณค่าและเรื่องราวของอาหารไทยมายาวนาน และทำให้ร้านอาหารไทยที่เขาทำงานเป็นพ่อครัว ไม่ว่าจะที่ต่างประเทศหรือในประเทศไทยได้รับ มิชลินสตาร์ เช่น ร้านอาหาร Nahm (น้ำ) ของไทย โดยเชฟเดวิดทำหน้าที่เป็นผู้สร้างสรรค์เมนูอาหารแบรนด์ “ของไทย” ที่จะเน้นทำตลาดส่งออกเป็นหลัก 90% เริ่มจากตลาดสหรัฐ

เจตน์ โศภิษฐพ์งศธร

อเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่และรู้จักอาหารไทยดี โดยจะทำตลาดในกลุ่มเป้าหมายพ่อครัวและผู้ประกอบกิจการร้านอาหาร หรือการให้บริการทางการทำอาหาร (Food Service) เฉพาะตลาดสหรัฐฯ น่าจะเห็นรายได้ 40-50 ล้านบาทต่อปี ภายใน 5 ปีแตะ 100 ล้านบาท โดยจะขยายตลาดส่งออกในยุโรป อังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี ไปพร้อมกัน จะเปิดตัวแบรนด์ “ของไทย” ในงาน THAIFEX – World of Food Asia 2019 วันที่ 28 พ.ค. – 1 มิ.ย. เป็นครั้งแรก

นอกจากทำตลาดส่งออกแล้ว ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องปรุงรสแบรนด์ “ของไทย” จะถูกนำไปใช้ในโรงแรมปรุงอาหารในโรงแรมต่างประเทศที่ดุสิตธานีเข้าไปลงทุนและบริหาร เพื่อให้ได้อาหารที่มีรสชาติและมาตรฐานเดียวกัน

กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ธุรกิจอาหารของ ดุสิต ฟู้ดส์ ยังมองตลาดอาหารในเอเชียที่มีความโดดเด่นเช่นกัน มีแผนที่จะร่วมมือกับ “เชฟ” ที่มีชื่อเสียงด้านอาหารของแต่ละชาติ เพื่อพัฒนาแบรนด์และเมนูใหม่ๆ ออกมากทำตลาดอย่างต่อเนื่อง

ปี 64 ดุสิต ฟู้ดส์ รายได้ 1,000 ล้าน

ศุภจี กล่าวว่าธุรกิจอาหาร ปีนี้จะทำรายได้ราว 400 ล้านบาท และภายในปี 2564 จะมีรายได้แตะ 1,000 ล้านบาท เป็นแหล่งรายได้ใหม่ที่เข้ามาทดแทนรายได้จากการปิดโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ประกอบกับแผนการเปิดโรงแรมใหม่ทุกปี ปีละ 10-12 แห่ง ทั้งการร่วมลงทุนและเข้าไปรับจ้างบริหารโรงแรมในไทยและต่างประเทศ จะทำให้กลุ่มดุสิตธานียังเติบโตได้ที่ระดับ 8-10% พร้อมมองโอกาสการลงทุนใหม่ๆ

ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ ดุสิตธานีเตรียมเปิดให้บริการ “บ้านดุสิตธานี” โดยได้ทำสัญญาเช่า 5 ปี บ้านโบราณอายุกว่า 100 ปี บนที่ดินขนาดเกือบ 5 ไร่ในซอยศาลาแดง เพื่อพัฒนาและปรับปรุงเป็นจุดหมายใหม่ของนักชิมและนักท่องเที่ยวที่คิดถึงโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ในช่วงที่กำลังก่อสร้างใหม่ ด้วยการนำบริการต่างๆ ที่เคยเป็นซิกเนเจอร์ของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ เช่น ห้องอาหารไทยเบญจรงค์ ห้องอาหารเวียดนามเธียนดอง ร้านเบเกอรี่ ดุสิต กูร์เมต์ บริการซักรีด และพื้นที่จัดเลี้ยง มาเปิดให้บริการที่ “บ้านดุสิตธานี”

ลงขันอนันดาบุก“มิกซ์ยูส” อีก 2-3 โปรเจกต์

อีกหนึ่งธุรกิจที่กลุ่มดุสิตธานี Diversify ไปแล้ว คือ โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสม (มิกซ์ยูส) โปรเจกต์แรกร่วมกับ “ซีพีเอ็น” ลงทุนโครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” มูลค่า 37,700 ล้านบาท ซึ่งจะเสร็จสมบูรณ์ในต้นปี 2567 ประกอบไปด้วย 4 ธุรกิจ คือ โรงแรม ที่พักอาศัย ศูนย์การค้า และอาคารสำนักงาน

ปีนี้ดุสิตธานีมีแผนจะลงทุนโครงการมิกซ์ยูสอีก 2-3 โปรเจกต์ หนึ่งในนี้คือโครงการที่ร่วมทุนกับ “อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์” ซึ่งเป็นเข้ามาลงทุนถือหุ้นดุสิตธานี 5% มูลค่ารวม 510 ล้านบาท เมื่อเดือน ก.พ. 2562 โดยเป็นการเข้ามาลงทุนระยะยาว และใช้จุดแข็งของทั้ง 2 บริษัท สร้างโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ทั้งโรงแรมและที่พักอาศัย รวมทั้งจะมีการลงทุนมิกซ์ยูสร่วมกับพันธมิตรรายใหม่ๆ ด้วยเช่นกัน

รายได้จากธุรกิจมิกซ์ยูสที่ร่วมกับ ซีพีเอ็น จะเริ่มเห็นตั้งแต่ปี 2566 แต่โครงการมิกซ์ยูส 2-3 โครงการที่จะลงทุนในปีนี้ จะมีบางโปรเจกต์เริ่มมีรายได้เข้ามาก่อนปี 2566

การ Diversify ธุรกิจกลุ่มอาหารและมิกซ์ยูส จะทำให้สัดส่วนรายได้ของกลุ่มดุสิตธานีเปลี่ยนไป จาก ปี 2561 ที่มีรายได้ 5,565 ล้านบาท มาจากโรงแรม 83.2%, การศึกษา 7.6% และ อื่นๆ 9.2% ตั้งแต่ปีนี้จะเริ่มมีรายได้จากธุรกิจอาหารเข้ามาอีกกลุ่ม

โดยในปี 2564 สัดส่วนรายได้จะมาจากโรงแรม 70% อาหาร 15% การศึกษาและอื่นๆ 15%

]]>
1230882