เครื่องดื่มน้ำอัดลม – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 22 Sep 2020 10:41:23 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “สิงห์” วางหมากรบ ส่ง “เลมอนโซดา” บุกตลาดน้ำอัดลมเต็มตัว เสริมแกร่งนอนแอลฯ https://positioningmag.com/1298168 Tue, 22 Sep 2020 10:05:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1298168 ตลาดเครื่องดื่มไม่มีน้ำตาลกำลังหอมหวาน ทำให้ “สิงห์” หันมาลุยตลาดนี้เต็มที่ช่วยเสริมพอร์ตเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ให้แน่นขึ้น โดยเครื่องดื่มนำร่อง “สิงห์ เลมอนโซดา” แบบน้ำตาล 0% วางขาย 1 เดือนแรกทำยอดขายเกินเป้า 5 เท่า เตรียมออกรสชาติอื่นเพิ่มภายในปีนี้ และจะจับตลาดน้ำอัดลมอย่างต่อเนื่อง พิจารณาตั้งโรงงานผลิตใหม่ภายในปีหน้า งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท

“ธิติพร ธรรมาภิมุขกุล” Chief Marketing Officer-Brand บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยถึงยอดขาย 1 เดือนแรกของ “สิงห์ เลมอนโซดา” ว่าทะลุเกินเป้าที่วางไว้ถึง 5 เท่า ผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจ โดยหลังจากนี้จะมีวางขายเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะในเซเว่น อีเลฟเว่นไปจนครบ 3 เดือนแรก หลังจากนั้นจะเริ่มวางจำหน่ายในโมเดิร์นเทรดทุกแห่ง และส่งจำหน่ายผ่านเครือข่ายร้านค้าดั้งเดิม ผับบาร์ ร้านอาหารต่างๆ

สิงห์ เลมอนโซดา เป็นเครื่องดื่มกลุ่มนอนแอลกอฮอล์ ของสิงห์ตัวแรกที่เจาะไปในหมวดใหม่คือ “น้ำอัดลม” (carbonated soft drink) จากก่อนหน้านี้จะมีเฉพาะน้ำดื่ม น้ำแร่ และโซดา โดยเปิดผลิตภัณฑ์แรกก็มีเฉพาะแบบ “น้ำตาล 0%” เลย ไม่มีแบบใส่น้ำตาลปกติ

 

0 cal มาแรง ภายใน 3 ปีสัดส่วนจะพุ่งเป็น 30% ของตลาด

ที่เลือกประเดิมตลาดด้วยเลมอนโซดา 0 cal เป็นเพราะกระแสที่ดีมากของกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีน้ำตาล พลังงาน 0 cal
ธิติพรประเมินว่าตลาดกลุ่มนี้เติบโต 30-40% ต่อปีมาหลายปีแล้ว แต่ในตลาดยังมีตัวเลือกน้อยมาก นำเทรนด์โดยกลุ่มน้ำอัดลม “น้ำดำ” ที่มีตัวเลือก 0 cal มานานแล้ว ขณะที่ปีนี้เพิ่งจะมีกลุ่ม “น้ำใส” ที่ทำตลาด 0 cal บ้างแล้ว แต่ก็ยังขาดรสชาติอื่นๆ ที่ผู้บริโภคต้องการในกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีน้ำตาลเหล่านี้

“ผมคิดว่าคนเริ่มชินกับรสชาติหวานน้อยมากขึ้น ทำให้ผลตอบรับดี” ธิติพรกล่าว “ดังนั้นเทรนด์เครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์ อย่างไรก็จะเป็นสายสุขภาพ ตลาด 0 cal จะโตมาก เทียบกับตลาดส่วนอื่นจะทรงตัว

สิงห์ เลมอนโซดา

จากปัจจุบันกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีน้ำตาลคิดเป็นสัดส่วนเพียง 5% ของตลาดรวมน้ำอัดลม ธิติพรมองว่าน่าจะโตไปถึง 30% ของตลาดรวมได้ภายใน 3 ปี ดังนั้น สิงห์จะเน้นจับตลาดนี้ รวมไปถึงกลุ่มเครื่องดื่มที่ดีสุขภาพอื่นๆ เช่น น้ำเติมวิตามิน ก็กำลังศึกษาอยู่เช่นกัน

ปี 2563 พอร์ตเครื่องดื่มของสิงห์รวมทั้งกลุ่มมีแอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์ ตั้งแต่ต้นปีออกสินค้าใหม่มาแล้ว 2 รายการคือ สิงห์ เลมอนโซดา และ เบียร์สิงห์ รีเสิร์ฟ ภายในสิ้นปีนี้จะมีออกใหม่อีก 2-3 รายการ ส่วนหนึ่งในจำนวนนี้จะเป็นกลุ่มน้ำอัดลมอีก โดยแย้มว่าจะมี “รสชาติใหม่” ในกลุ่มน้ำ 0 cal

 

จัดสมดุลพอร์ต เพิ่มนอนแอลฯ ให้มากขึ้น

ด้านมุมมองพอร์ตสินค้าของสิงห์เอง การเพิ่มหมวดใหม่คือ “น้ำอัดลม” ก็มีความสำคัญ เพราะจะช่วยเติมพอร์ตกลุ่มเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์ให้หลากหลายมากขึ้น สัดส่วนสมดุลกับกลุ่มมีแอลกอฮอล์มากกว่าเดิม

“สัดส่วนในพอร์ตเครื่องดื่มของสิงห์”

ปี 2562 – alcoholic 85 : 15 non-alcoholic
ปี 2563F – alcoholic 80 : 20 non-alcoholic
ปี 2564F – alcoholic 70 : 30 non-alcoholic

สินค้าในกลุ่มนอนแอลกอฮอล์ของสิงห์

พอร์ตเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์ปัจจุบันมียอดขายประมาณ 17,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็น น้ำดื่ม 50% โซดา 40% และน้ำแร่ 10% เมื่อสิงห์มีแนวทางจะจัดสมดุลให้กลุ่มนอนแอลกอฮอล์สำคัญมากขึ้น หากมีไลน์สินค้าแค่ 3 กลุ่มนี้ การเพิ่มสินค้าให้หลากหลายจะทำได้ยาก ดังนั้น การแตกไลน์เครื่องดื่มใหม่อย่างน้ำอัดลมจึงเป็นกลยุทธ์ที่มุ่งไป

ธิติพรคาดว่าภายในสิ้นปี 2564 จะมีสัดส่วนกลุ่มน้ำอัดลม 5% ในพอร์ตนอนแอลกอฮอล์ จากรายการสินค้าที่จะออกมาเพิ่มทั้งปีนี้และปีหน้า ไม่ว่าจะเป็นรสชาติใหม่ ขนาดใหม่ ฯลฯ

และภายในสิ้นปี 2564 น่าจะสรุปแผนการตั้งไลน์ผลิตหรือโรงงานใหม่เพื่อผลิตสินค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะได้ มองว่าน่าจะต้องใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะเปิดไลน์ผลิตใหม่ในบริเวณโรงงานเดิมหรือหาพื้นที่ใหม่

การจัดสมดุลพอร์ตมีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเหตุการณ์ล่าสุดคือช่วงล็อกดาวน์ป้องกัน COVID-19 รัฐบาลมีคำสั่งห้ามจำหน่ายสุราทั่วประเทศไปเกือบ 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย. – 2 พ.ค. 63 ทำให้ตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้รับผลกระทบรุนแรง ฝั่งเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์แม้จะกระทบบ้างเหมือนกันเพราะประชาชนไม่ได้ออกจากบ้าน แต่ก็ยังดีกว่าเหล้าเบียร์ที่ห้ามจำหน่าย

 

น้ำแร่ “เพอร์รา” ยังโตดีแม้ตลาดรวมเจ็บหนัก

สำหรับภาพรวมพอร์ตเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์ของสิงห์ ธิติพรมองว่าปีนี้น่าจะโตได้ประมาณ 2% โตไม่มากเพราะมีช่วงล็อกดาวน์ที่ตลาดติดลบ แต่ขณะนี้สถานการณ์กลับมาเติบโตปกติ เฉลี่ยแล้วทั้งปีจึงน่าจะโตได้เล็กน้อยดังกล่าว

หากแบ่งการเติบโตตามกลุ่มสินค้า น้ำดื่มสิงห์คาดว่าจะโต 3% น้ำแร่เพอร์ราโต 10% ส่วนโซดาสิงห์น่าจะทรงตัวไม่เติบโต

ตลาดน้ำแร่นั้น ธิติพรกล่าวว่าตลาดรวมติดลบมาตั้งแต่ปีก่อน และปีนี้ยังติดลบต่อเนื่องน่าจะมากกว่า -10% ด้วยเหตุผลใหญ่ๆ คือน้ำแร่เป็นเครื่องดื่มที่ผู้บริโภคหลักคือวัยทำงานกับนักท่องเที่ยวต่างชาติและนิยม “ดื่มนอกบ้าน” มากกว่าซื้อเป็นแพ็กติดบ้าน เมื่อเกิดล็อกดาวน์และจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่เปิดประเทศ ทำให้ตลาดน้ำแร่ยิ่งเจ็บหนัก ส่วนเหตุผลรองที่อาจมากระทบบ้างคือ เทรนด์ผู้บริโภคที่รักสุขภาพบางส่วนหันไปดื่มน้ำเสริมวิตามินแทนน้ำแร่

ส่วนน้ำดื่ม “เพอร์รา” ที่ยังโตได้ 10% ดีกว่าตลาด แต่ก็ต่ำกว่าปีที่ผ่านมาซึ่งเคยโตถึง 30-40% การเติบโตที่ผ่านมาป็นผลจากการโหมตลาดด้วยแพ็กเกจจิ้งดีไซน์ร่วมกับดีไซเนอร์ซึ่งประสบความสำเร็จมาก ผู้บริโภคซื้อสะสม และเริ่ม “ติดยี่ห้อ” กลายเป็นลูกค้าประจำของเพอร์ราไป ส่งให้ปีนี้เพอร์ราขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ตลาดน้ำแร่เป็นครั้งแรก โดยมีส่วนแบ่งการตลาดที่ 26%

สรุปรวมเป้าหมายนอนแอลกอฮอล์ของสิงห์ ธิติพรกล่าวว่าบริษัท “จะเพิ่มช่องว่างทิ้งห่างเบอร์ 2” หลังจากขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ครบทั้งน้ำดื่ม น้ำแร่ และโซดา เสริมด้วยการดันดาวรุ่งอย่างกลุ่มน้ำอัดลม แต่กลุ่มนี้ไม่ขอเป็นเบอร์ 1 แค่ได้มาร์เก็ตแชร์ 5-10% ก็พอใจแล้ว เพราะถ้าจะแข่งขันหนักในตลาดนี้คงต้อง “เทกโอเวอร์” บริษัทอื่นเท่านั้นถึงจะบุกได้เต็มตัว

]]>
1298168
“ไดเอท” ไม่ใช่คำหลอกลวงผู้บริโภค : ศาลยกฟ้องคดีบริษัทน้ำอัดลม หลังหญิงอเมริกันยื่นอุทธรณ์ https://positioningmag.com/1259322 Fri, 03 Jan 2020 12:14:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1259322 การที่ผู้ผลิตน้ำอัดลมใช้คำว่า “ไดเอท” บนตราสินค้าไม่ใช่การหลอกลวงหรือไม่ซื่อสัตย์ เพราะเป็นคำที่ใช้เพื่ออธิบายการใช้สารเพิ่มความหวานแทนน้ำตาลซึ่งช่วยลดแคลอรีในเครื่องดื่ม – เป็นคำตัดสินจากศาลอุทธรณ์ในคดีนี้

ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ของสหรัฐอเมริกาโดยมีศาลขึ้นนั่งบัลลังก์ 3 ท่าน ตัดสินยืนตามคำพิพากษาจากศาลชั้นต้นแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียให้ “ยกฟ้อง” คดีความที่ผู้หญิงรายหนึ่งฟ้องร้องบริษัท Dr Pepper/Seven Up Inc. กล่าวหาว่าบริษัทมีการโฆษณาหลอกลวงผู้บริโภค

Shana Becerra จาก Santa Rosa รัฐแคลิฟอร์เนีย คือผู้ยื่นฟ้องคดีนี้ โดยอ้างว่าเครื่องดื่ม “ไดเอท ด็อกเตอร์ เป๊ปเปอร์” มีการสร้างแบรนด์และทำการตลาดชวนเชื่อว่าเครื่องดื่มนี้จะช่วยลดน้ำหนักได้ ทั้งนี้ เธอได้ยื่นฟ้องครั้งแรกมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2017 โดยยื่นดำเนินคดีแบบกลุ่ม (class-action) เป็นตัวแทนของชาวแคลิฟอร์เนียที่ยื่นร้องทุกข์ในลักษณะเดียวกันต่อผลิตภัณฑ์นี้

ในคำยื่นฟ้องศาลชั้นต้นของเธอ Becerra กล่าวว่าเธอต้องต่อสู้กับโรคอ้วนมาตั้งแต่เด็ก และเริ่มซื้อไดเอท ด็อกเตอร์ เป๊ปเปอร์รับประทานมานานกว่า 13 ปี โดยเชื่อว่าเครื่องดื่มนี้จะช่วยควบคุมน้ำหนักได้ แต่เธอไม่ได้รับผลลัพธ์ในสิ่งที่เธอจ่ายไป อย่างไรก็ตาม ศาลชั้นต้นตัดสินยกฟ้อง ทำให้ Becerra ยื่นอุทธรณ์

สำหรับคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ Becerra อ้างว่าไดเอท ด็อกเตอร์ เป๊ปเปอร์มีการโฆษณาชวนเชื่อว่าเครื่องดื่มนี้จะช่วยให้ผู้บริโภคลดน้ำหนักหรือคุมน้ำหนักได้ และเสริมด้วยว่า การที่เครื่องดื่มนี้ใช้สารแอสปาแตมเพื่อเป็นสารทดแทนความหวานที่ไม่มีแคลอรี ยังกระตุ้นให้คนที่เป็นโรคเดียวกับเธอมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากสารนี้ไปรบกวนความสามารถของร่างกายในการเผาผลาญแคลอรีได้อย่างเหมาะสม

แต่คำตัดสินของศาลอุทธรณ์ก็ยังยืนตามศาลชั้นต้น โดยพิพากษาว่า “ไม่มีผู้บริโภคที่มีเหตุผลคนใดจะเชื่อได้ว่าคำว่า ‘ไดเอท’ บนตราสินค้าของน้ำอัดลมเป็นคำมั่นสัญญาว่าจะนำไปสู่การลดน้ำหนัก หรือการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์สุขภาพดี” ศาลยังเสริมด้วยว่าคำฟ้องของ Becerra ไม่สามารถแสดงให้เห็นว่า “สาธารณชนมีแนวโน้มที่จะถูกหลอกลวง”

“น้ำอัดลมแบบไดเอทเป็นผลิตภัณฑ์ทั่วไปในตลาด และความเข้าใจที่แพร่หลายต่อคำนี้ในบริบทนี้ก็คือ ‘ไดเอท’ หมายถึงน้ำอัดลมแบบที่มีแคลอรีน้อยกว่าผลิตภัณฑ์ปกติของยี่ห้อนั้นๆ” Jay S. Bybee ศาลในคดีนี้ระบุในความเห็นของศาล “แค่เพียงผู้บริโภคที่อาจไม่มีเหตุผลนักบางคนตีความคำนี้แตกต่างออกไป ไม่สามารถเปลี่ยนคำว่า ‘ไดเอท’ บนตราสินค้าของน้ำอัดลมให้กลายเป็นเรื่องผิดหรือหลอกลวงไปได้”

ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ยังยกฟ้องคดีอีกคดีหนึ่งของ Becerra ที่ยื่นมาในลักษณะเดียวกันแต่เปลี่ยนไปฟ้องร้องบริษัท Coca-Cola Co. ทั้งนี้ ทีมทนายของ Becerra เคยนำคดี “ไดเอท โค้ก” ของ Coca-Cola ไปยื่นฟ้องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ใน New York มาแล้ว แต่ขณะนั้นโจทก์คือ Evan Geffner และ Ivan Babsin ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยกฟ้องไปเมื่อเดือนมิถุนายนปีก่อน ทีมทนายจึงใส่ชื่อ Becerra เข้าไปและมายื่นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 แทน

“เราขอบคุณที่ศาลฯ ภาค 9 ยอมให้สามัญสำนึกเป็นผู้ชนะ และปฏิเสธความพยายามสร้างเรื่องซับซ้อนในสิ่งที่แสนจะธรรมดานี้” Evan Young ทนายความของบริษัท Dr Pepper/Seven Up Inc. กล่าวด้วยความพึงพอใจหลังทราบผลคดีความ

สำหรับประเทศไทยคงไม่ต้องห่วงอะไรนัก เพราะไม่มีแบรนด์ไหนเลยที่ใช้คำว่า ‘ไดเอท’ ที่อาจตีความว่า ‘ช่วยลดน้ำหนัก’ บนฉลากสินค้า

Source

]]>
1259322
ย้ายค่ายแล้วจ้า! “เดอะ พิซซ่า คอมปะนี” เปลี่ยนมาจำหน่าย “โค้ก” ทั่วประเทศ https://positioningmag.com/1253194 Mon, 11 Nov 2019 09:56:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1253194 ภาพ : thepizzacompany

เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ทั้ง 423 สาขาเปลี่ยนมาจำหน่ายโค้กแทนเป๊ปซี่เจ้าเก่า ร่วมจับมือทำแคมเปญโฆษณาอร่อยซ่าไปด้วยกันฟากโคคาโคล่าขึ้นป้ายโฆษณาบนรถขนส่งน้ำอัดลม 300 คัน

จั่วหัวว่าเป็นความร่วมมือครั้งแรกในรอบ 19 ปีของสองค่ายเชนร้านอาหารและน้ำอัดลมเจ้าใหญ่ระหว่าง “เดอะ พิซซ่า คอมปะนี” และ “โคคา-โคล่า” โดยตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ร้านเดอะ พิซซ่า คอมปะนี ทั้ง 423 สาขาทั่วประเทศได้เปลี่ยนมาจำหน่ายเครื่องดื่มจากค่ายโคคา-โคล่า ได้แก่ โค้กออริจินอล โค้กไม่มีน้ำตาล แฟนต้า สไปรท์ และชาฟิวซ์ที แทนเครื่องดื่มเดิมอย่างเป๊ปซี่และชาเนสที เหลือเพียงน้ำเปล่าที่ยังใช้ยี่ห้อคริสตัลในเครือเสริมสุขอยู่ ยังไม่ได้เปลี่ยนมาใช้ยี่ห้อน้ำทิพย์

การจับมือครั้งนี้ไม่ใช่แค่เปลี่ยนซัพพลายเออร์เครื่องดื่มในร้านเท่านั้น แต่ทั้งสองเจ้ายังจับมือกันสร้างแบรนด์ ผ่านการลงทุนโฆษณาแคมเปญ “อร่อยซ่าไปด้วยกัน” ที่ปรากฏภาพทั้งเดอะ พิซซ่า คอมปะนี และโค้กบนหน้าจอ ทั้งยังเปลี่ยนภาพโฆษณารถส่งโค้ก 300 คันเป็นแคมเปญนี้

นอกจากนี้ ทั้งคู่ยังร่วมจัดโปรโมชัน 11/11 สำหรับทุกออร์เดอร์ที่สั่งเดอะ พิซซ่า คอมปะนีวันที่ 11 พ.ย. 62 ทั้งแบบทานที่ร้านและเดลิเวอรี่ จะได้รับเครื่องดื่มโค้ก ไม่มีน้ำตาล ฟรีทันที

ดีลนี้น่าจะวิน-วินกันทั้งคู่เพราะเดอะ พิซซ่า คอมปะนีเป็นเชนร้านพิซซ่าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย (ทิ้งห่างพิซซ่า ฮัท ซึ่งมีอยู่ 141 สาขา) และโคคา-โคล่ามีส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมเป็นอันดับ 1 ของไทย โดยมีมาร์เก็ตแชร์ 35% อ้างอิงข้อมูลจากนีลเส็น ณ ปี 2561 ทำให้โคคา-โคล่าจะได้ช่องทางขายใหม่ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และเดอะ พิซซ่า คอมปะนี ได้สินค้าที่ลูกค้าชื่นชอบเข้ามาจำหน่ายในร้าน

(ซ้าย) ภาณุศักดิ์ ซื่อสัตย์บุญ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ พิซซ่า คอมปะนี และ (ขวา) ธนพร โฆสิตาภัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ-ธุรกิจพาณิชย์ บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด

ภาณุศักดิ์ ซื่อสัตย์บุญ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ภายใต้เครือบริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ยืนยันว่าความร่วมมือครั้งนี้เป็นความร่วมมือระยะยาว ไม่ใช่เพียงกิจกรรมอีเวนท์ชั่วคราว ด้าน ธนพร โฆสิตาภัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ-ธุรกิจพาณิชย์ บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด กล่าวว่าดีลนี้จะช่วยให้ยอดขายของบริษัทเติบโต และการทำกิจกรรมร่วมกันจะมีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโคคา-โคล่าพร้อมที่จะมีกิจกรรม synergy ร่วมกับทุกแบรนด์เช่นนี้ ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้า

สำหรับเครือไมเนอร์นั้นเป็นเจ้าของเชนร้านอาหารหลากหลาย รวมกว่า 2,200 สาขาใน 27 ประเทศ ได้แก่ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เลอร์, แดรี่ ควีน, เบอร์เกอร์ คิง, ไทย เอ็กซ์เพรส, เดอะ คอฟฟี่ คลับ, ริเวอร์ไซด์ และเบนิฮานา ซึ่งเชนร้านอาหารที่มีจำหน่ายน้ำอัดลมอย่างซิซซ์เลอร์และเบอร์เกอร์คิงในประเทศไทยก็จำหน่ายโค้กเช่นกัน.

]]>
1253194
“เป๊ปซี่” เทงบ 300 ล้าน ดึงแคมเปญโลก ฟื้นตำนานแบรนด์ ผนึก “เกรย์ฮาวด์” ปั้นแฟชั่นไอเทม ลุยศึกน้ำดำซัมเมอร์ https://positioningmag.com/1157006 Wed, 14 Feb 2018 23:08:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1157006 ถือเป็นการชิงจังหวะเปิดศึกเขย่าตลาดน้ำดำระลอกใหม่ สำหรับแบรนด์เป๊ปซี่ที่เลือกส่งโกลบอลแคมเปญ “PEPSI GENERATIONS หรือ เป๊ปซี่ ซ่าทุกยุคไม่มีเปลี่ยนพร้อมกัน 55 ประเทศทั่วโลก เพื่อตอกย้ำความเก๋าของแบรนด์ที่อยู่ในตลาดมานานถึง 120 ปี

บิ๊กแคมเปญดังกล่าวเป๊ปซี่จะโฟกัสกลยุทธ์ 4C ดังนี้

• ยุคนี้จะให้สื่อสารช่องทางเดียวเอาไม่อยู่เป๊ปซี่ต้องจัดเต็มแบบครบวงจร (Comprehensive Communication) งานนี้เลยเทงบหนักมาก 300 ล้านบาท ปล่อยโฆษณา “This is the Pepsi” ขนศิลปินแถวหน้าของโลกที่เคยเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับเป๊ปซี่มาปรากฏตัว ทั้งไมเคิล แจ็คสันราชาเพลงป็อปบริตนีย์ สเปียร์สนักร้องเพลงป็อปชื่อดัง และเจฟ กอร์ดอนอดีตนักแข่งรถระดับโลก และยังมีสื่อโฆษณากลางแจ้ง สื่อโฆษณาเคลื่อนที่ สื่อในโรงภาพยนตร์ สื่อออนไลน์และสื่อดิจิทัลรวมไปถึงสื่อณจุดขายและในร้านค้าด้วย

• แพ็กเกจจิ้งรุ่นพิเศษ (Commemorative Packaging) เพื่อสร้างการรับรู้ไปยังลูกค้าโดยตรงแบบไม่ตกหล่นเป๊ปซี่จึงต้องถอยแพ็กเกจจิ้งดีไซน์ย้อนยุคหรือเรโทรและเป็นรุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่นทั้งขวด PET และกระป๋อง เพื่อให้ผู้บริโภคได้ย้อนกลับไปสัมผัสแบรนด์ในยุคต่างๆ โดยในไทยแพ็กเกจจิ้งที่ออกมามี 5 ลาย จาก 5 ยุค ได้แก่ ยุค 1940, ยุค 1950, ยุค 1980 ยุค 1990 และ ยุค 2000 แต่การจำหน่ายสินค้าได้ทำ เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะที่ร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น 1 ลาย นั่นคือ ยุค 1990 ส่วนที่เหลือ 4 ยุคจะขายตามช่องทางโมเดิร์นเทรดและร้านค้าทั่วไปในระยะเวลาจำกัดด้วย

แพ็กเกจจิ้งรุ่น “ลิมิเต็ด เอดิชั่น” ที่มาพร้อมดีไซน์เรโทรจาก 5 ยุค อันได้แก่ ยุค 1940 ยุค 1950 ยุค 1980 ยุค 1990 และ ยุค 2000

สำหรับการเลือกเอ็กซ์คลูซีฟกับเซเว่นฯ นีลเส็นให้ข้อมูลว่าเป็นช่องทางที่การรับรู้สินค้ารายการใหม่ๆ ได้เป็นอย่างดีขณะที่จำนวนร้านก็มีมากกว่าหมื่นสาขาทั่วประเทศสามารถเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายหลักล้านคน

• พาแบรนด์สู่ความเป็นไลฟสไตล์ ความน่าสนใจโกบอลแคมเปญของเป๊ปซี่รอบนี้ คือ เป๊ปซี่นำแบรนด์ก้าวข้ามจากน้ำดำ ไปสู่การเป็นไลฟ์สไตล์แบรนด์ ด้วยการจับมือกับแฟชั่นท้องถิ่นของแต่ละประเทศ

ในไทยเป๊ปซี่ใช้กลยุทธ์​ Collaboration with Local Brand ร่วมมือกับ เกรย์ฮาวด์แบรนด์แฟชั่นของไทย ออกสินค้าคอลเลกชั่นพิเศษ “PEPSI X GREYHOUND” หาแฟชั่นไอเทมต่างๆ ที่สะท้อนให้เห็นตำนานของแบรนด์เป๊ปซี่ แต่มีสไตล์สตรีทแฟชั่นของเกรย์ฮาวด์มาผสมผสานด้วย

การร่วมมือดังกล่าว ผู้บริโภคจะได้เห็นเสื้อยืดลายวินเทจ เสื้อคลุมแบบมีฮู้ด เสื้อแจ็กเก็ตสไตล์สปอร์ต กระเป๋าใส่อุปกรณ์ออกกำลังกาย และหมวกทรงบักเก็ต เริ่มจำหน่ายตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป ในร้านแฟลกชิพสโตร์ของเกรย์ฮาวด์ 4 สาขาได้แก่สาขาสยามเซ็นเตอร์ สาขาพารากอน สาขาเอ็มควอเทียร์ และสาขาเซ็นทรัลลาดพร้าว

ไม่ใช่ครั้งแรกที่เป๊ปซี่ ให้ความสำคัญกับ “แฟชั่น” ในเวทีระดับโลก เป๊ปซี่เคยจับมือกับแบรนด์ FILA ในการออกคอลเลกชั่นเสื้อผ้ากีฬา แนววินเทจมาแล้ว หรือแม้แต่การจับมือกับ Vogue ออกแฟชั่นเสื้อผ้าสำหรับกลุ่มคนเล่นสเก็ตบอร์ด หรือแม้แต่พาแบรนด์ ขึ้นสู่เวทีแฟชั่น “เซี่ยงไฮ้แฟชั่นวีค” มาแล้ว

• แบรนด์ต้องสร้างประสบการณ์ร่วมกับผู้บริโภคมากขึ้น​ (Connected Consumer Experience) เลยเห็นการงัด “PEPSI GENERATIONS CLUB” คลับสไตล์เรโทรในรูปแบบป็อปอัพ เพื่อให้ผู้บริโภคได้สัมผัสวัฒนธรรมป็อปในยุคต่างๆ พร้อมความเป็นมาของแบรนด์ที่เชื่อมโยงผู้บริโภคทุกยุคทุกสมัย ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวเป็นการสร้างการเข้าถึงและให้เกิดการ​ ​Engage ของผู้บริโภคกับแบรนด์นั่นเองซึ่งกิจกรรมนี้จะมีขึ้นพร้อมกับการเปิดตัวสินค้าคอลเลกชั่นพิเศษที่ร่วมกับเกรย์ฮาสด์ วันที่ 23 – 25 กุมภาพันธ์นี้ ที่ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

เป๊ปซี่เป็นโกลบอลแบรนด์มีประวัติศาสตร์นานกว่า 100 ปี แต่ในประเทศไทยอยู่มานานกว่า 65 ปี แบรนด์ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในทุกยุคทุกสมัย เพราะจากการสำรวจ Brand Health Tracker ของมิลวาร์ด บราวน์ สิงคโปร์ในปี 2560 ระบุว่า เป๊ปซี่ คือ เครื่องดื่มน้ำอัดลมแบรนด์แรกที่คนไทยนึกถึง หรือเป็น Top-of-Mind Brand และยังเป็นผู้นำด้านแบรนด์ที่ผู้บริโภครักและชื่นชอบมากที่สุด หรือ Brand Love ด้วยสมชัย เกตุชัยโกศล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัท เป๊ปซี่โคล่า (ไทยเทรดดิ้ง จำกัด กล่าว

สำหรับภาพวมตลาดน้ำอัดลม ข้อมูลจากเดอะ นีลเส็น คอมปะนี (ประเทศไทย) ระบุว่าปี 2560 ตลาดมีมูลค่าราว 54,900 ล้านบาท หดตัว 4.74% เพราะได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่วนผลการดำเนินงานของ เป๊ปซี่ ยังรักษาอัตราการเติบโตเป็นบวก และรักษาส่วนแบ่งตลาด 45% ในบรรจุภัณฑ์แบบไม่ต้องคืนขวด (Non-Returnable Packaging).

]]>
1157006