เซ็นทรัลเวิลด์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 05 Oct 2023 13:28:38 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 น่ารักไม่ไหว! พบ 10 ไฮไลต์จัดเต็ม “โปเกมอน” บุกเทศกาลคริสต์มาส-ปีใหม่ “เซ็นทรัล” ทั่วประเทศ https://positioningmag.com/1446844 Thu, 05 Oct 2023 07:12:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1446844 เซ็นทรัลพัฒนา x โปเกมอน (Pokémon) ทุ่มงบ 600 ล้านบาท เปิดอีเวนต์ใหญ่ส่งท้ายปี 2566 พาคาแรกเตอร์สุดน่ารักจากญี่ปุ่นจัดดิสเพลย์และทำกิจกรรมในศูนย์การค้า “เซ็นทรัล” ทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 – 7 มกราคม 2567 โดยจะเป็นอีเวนต์ช่วงปีใหม่ของโปเกมอนแห่งเดียวในภูมิภาคเอเชีย

ไปดูกันว่าไฮไลต์กิจกรรมที่น่าสนใจจะมีอะไรบ้าง!

  1. อีเวนต์ด้านหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ พบกับ “พิคาชู” เป่าลม (Inflatable Pikachu) สูง 15 เมตร เทียบเท่าตึก 3 ชั้น ใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา
  2. ต้นคริสต์มาสสายฟ้าพิคาชู “Pikachu Thunderbolt Christmas Tree” ทั้งหมด 38 ต้น ในศูนย์การค้าเครือเซ็นทรัลพัฒนาทั่วประเทศ
  3. พาเหรดและโชว์เต้นพิเศษจากพิคาชูส่งตรงจากญี่ปุ่น โดยจะมีอีเวนต์ใหญ่พาเหรดพิคาชู 30 ตัวที่ลานด้านหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ วันที่ 2 พฤศจิกายนนี้ ก่อนที่พิคาชูจะแบ่งกันเดินสายไปตามศูนย์การค้าเซ็นทรัลอื่นๆโปเกมอน เซ็นทรัล
  4. Pokémon Experience Space ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล 6 สาขา ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า, เซ็นทรัล พระราม 2, เซ็นทรัล เวสต์เกต, เซ็นทรัล อยุธยา และเซ็นทรัล โคราช ภายในมีกิจกรรมเทรดการ์ดเกม และเซอร์ไพรส์จาก Pokémon GO!
  5. กิจกรรมแจกการ์ดเกม “โปเกมอน” ลายพิเศษ จำนวนจำกัด 200,000 ใบ เมื่อซื้อสินค้าหรือรับประทานอาหาร/เครื่องดื่มที่ร้านที่ร่วมรายการในศูนย์การค้าเซ็นทรัล

    โปเกมอน เซ็นทรัล
    การ์ดเกมลายพิเศษที่จะมีแจกเฉพาะในอีเวนต์นี้
  6. คอลเล็กชันพิเศษ ‘Happy Holidays’ เฉพาะงานนี้ ซื้อสินค้าในศูนย์ฯ ครบ 1,500-3,500 บาท รับสิทธิแลกซื้อสินค้าลายโปเกมอน ได้แก่ พวงกุญแจ, กระบอกน้ำ, Travel Bag Set และ หมอนผ้าห่ม
  7. สินค้าคอลแลประหว่าง “โปเกมอน” กับแบรนด์ชั้นนำในศูนย์ฯ เช่น RAVIPA, goodgoods, GussDamnGood, Pacamara, Spaghetti Factory
  8. ลุ้นรางวัลพิเศษภายในงาน “ทริปเที่ยวญี่ปุ่นที่ Pokémon Center โตเกียว” จำนวน 10 รางวัล รางวัลละ 2 ที่นั่ง
  9. POKÉGENIC จุดถ่ายรูปร่วมกับโปเกมอนซึ่งจะจัดขึ้นในเซ็นทรัล 36 สาขา
  10. Music Marketing บทเพลงใหม่ต้อนรับเทศกาลเฉลิมฉลอง ผลิตเพลงโดย ปณต-Getsunova ร่วมกับ 5 สาวเกิร์ลกรุ๊ปวง VIIS (วิส) จากค่าย G’NEST ในเครือแกรมมี่

ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า เหตุที่เลือกร่วมมือกับ “โปเกมอน” ในการจัดงานเทศกาลครั้งใหญ่ประจำปีของเซ็นทรัล เพราะคาแรกเตอร์โปเกมอนนั้นอยู่มายาวนาน 27 ปี และมีแฟนๆ อยู่ทั่วโลก ไม่เฉพาะประเทศไทย

โปเกมอนจะช่วยสร้างความสดใสในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลอง และเชื่อว่าจะดึงนักท่องเที่ยวบินระยะสั้น เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ฮ่องกง เวียดนาม ที่ชื่นชอบโปเกมอน เข้ามาฉลองในไทยได้มากขึ้น

เซ็นทรัลพัฒนาคาดหวังว่า ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปลายปีกับแคมเปญ “The Great Celebration 2024” น่าจะมีทราฟฟิกลูกค้าเข้าห้างฯ เพิ่มขึ้น 25-30% เทียบกับปีก่อน

ซูซูมุ ฟุคุนากะ เจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ The Pokémon Company และ ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา

ด้านอีเวนต์นับถอยหลังส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ Countdown 2024 ปีนี้เซ็นทรัลพัฒนาจะจัดพร้อมกัน 8 แห่ง ต้องติดตามต่อว่าจะเปิดอีเวนต์ที่ไหนบ้าง แต่ที่ยืนพื้นแน่นอนคือ “เซ็นทรัลเวิลด์” จุดนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่ที่กำลังปั้นให้เป็นจุดเฉลิมฉลองระดับโลก

สำหรับเหตุการณ์กราดยิงในศูนย์การค้าสยามพารากอนที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา ดร.ณัฐกิตติ์เชื่อว่าประเทศไทยจะสามารถแก้ไขสถานการณ์วิกฤตได้อย่างรวดเร็วอีกครั้งหนึ่ง

หลังจากนี้ทุกภาคส่วนน่าจะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น และเรียกความมั่นใจกลับคืนมาได้ นโยบายฟรีวีซ่าที่รัฐบาลปลดล็อกให้กับชาวจีนน่าจะยังเป็นแรงจูงใจสำคัญในการมาเยือนประเทศไทย

เซ็นทรัลพัฒนาเองจะตรวจตราความปลอดภัยช่วงเทศกาลปีใหม่อย่างเข้มงวดเหมือนที่เคยเป็นมา รวมถึงปีนี้จะยังคงเป็นอีกปีที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์มาในธีม “Family Countdown” ไม่มีลานเบียร์ด้านหน้า ซึ่งการไม่จำหน่ายแอลกอฮอล์ก็จะช่วยลดความเสี่ยงลงได้ระดับหนึ่งด้วย

]]>
1446844
“เซ็นทรัลเวิลด์” เปิดตัว Tesla Supercharger ที่แรกในไทย ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ท๊อปฟอร์ม แลนด์มาร์กระดับโลกใจกลางกรุงฯ https://positioningmag.com/1421989 Wed, 08 Mar 2023 04:00:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1421989

สมกับตำแหน่งแลนด์มาร์กระดับโลกใจกลางกรุงของจริง เมื่อ Tesla แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าระดับโลก ได้เปิดตัว Supercharger หรือแท่นชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่แรกอย่างเป็นทางการที่ศูนย์การค้า “เซ็นทรัลเวิลด์” โดยเป็นที่แรกในประเทศไทย และใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย พร้อมโรดแมปขยาย EV Charging Station ที่ศูนย์การค้าในเครือทั่วประเทศ

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำเบอร์หนึ่งในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ผู้สร้างแลนด์มาร์กระดับโลกอย่าง “เซ็นทรัลเวิลด์”  ได้ต้อนรับการเปิดตัวของ Tesla Supercharger ที่แรกในประเทศไทย บริเวณลานจอดรถของเซ็นทรัลเวิลด์ พร้อมพบกับ Tesla Pop-Up Store ที่จะมอบประสบการณ์ EVLifestyle แห่งอนาคต บริเวณชั้น 1 โซน Beacon ภายในศูนย์การค้า

Tesla Supercharger แห่งนี้รองรับการใช้งานทั้งหมด 9 หัวจ่าย มีหัวชาร์จแบบ Supercharger สามารถเติมไฟฟ้าได้ระยะทางวิ่ง 308 กิโลเมตร ภายใน 15 นาที สำหรับผู้ใช้ Tesla สามารถเสียบปลั๊กชาร์จได้ทันที

ในช่วงช่วงหลายปีที่ผ่านมา คนไทยให้การตอบรับกับกระแสของรถยนต์ฟ้ามากขึ้น ประกอบกับทางาภครัฐ และเอกชนก็ช่วยกันผลักดันนโยบายต่างๆ เพื่อสร้างระบบนิเวศน์ของรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้น ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเองก็พร้อมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ด้วย EV Charging Infrastructure ที่มีมาตรฐาน และความปลอดภัยสูงทั่วประเทศ ทำให้เกิด Worry-Free Journey และการเดินทางแบบสะดวกสบายไร้กังวล เพื่อสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนไทย และร่วมกันดูแลโลกและสิ่งแวดล้อม

ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า

“นับเป็นอีกครั้งที่แบรนด์ดังระดับโลกได้เลือกมาปักหมุดเปิดตัวที่เซ็นทรัลเวิลด์ ตอกย้ำความเป็นแลนด์มาร์กระดับโลกอันดับหนึ่งใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งเรามีความพร้อมทั้งในด้าน Strategic Location ตั้งอยู่บนจุดยุทธศาสตร์ย่านเศรษฐกิจใจกลางเมือง ส่งเสริมความเป็น World-Class Destination ของกรุงเทพฯ และจุดแข็งของการดึงดูดทราฟฟิคของกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อ ซึ่งเป็นกลุ่มสำคัญที่แบรนด์ระดับโลกอยากเข้ามาสื่อสาร และขยายตลาดในประเทศไทย นอกจากนี้ เซ็นทรัลเวิลด์ยังโดดเด่นด้วย Curated Experiences สร้างสรรค์การใช้ชีวิต และไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้คน นำโดยเทรนด์ระดับโลก และประสบการณ์ใหม่ๆ ที่มักจะมาปักหมุดที่เราเป็นที่แรกในไทยอีกด้วย”

นอกจากนี้ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล 38 สาขาทั่วประเทศ มีความพร้อมในการร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อร่วมกันขยายจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV Charging Station โดยขณะนี้ได้เดินหน้าทำตามโรดแมปที่วางไว้ขยายให้ได้กว่า 400 ช่องจอด ปัจจุบันสาขาที่ให้บริการ EV Charging Station ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัล ลาดพร้าว, อีสต์วิลล์,วิลเลจ, แจ้งวัฒนะ, ปิ่นเกล้า, พระราม 2, บางนา, ศาลายา, โคราช, อุดรธานี และเชียงใหม่

เซ็นทรัลพัฒนา ตอกย้ำวิสัยทัศน์ของการเป็นผู้นำเบอร์หนึ่งอสังหาริมทรัพย์ไทย มุ่งมั่นในการเป็นองค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ภายในปี 2050 ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในศูนย์การค้ามาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงพัฒนาศูนย์การค้าในรูปแบบ Eco-Friendly Mall เติมเต็มมิติของการใช้ชีวิตให้กับกลุ่มลูกค้ารักษ์โลกด้วย Green Initiatives ต่างๆ ภายในศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) มุ่งมั่นสร้าง Sustainable Ecosystem ที่แข็งแกร่งเดินหน้าตามแผน “Retail-Led Mixed-Use Development” ตอกย้ำความแข็งแกร่งในการพัฒนาธุรกิจหลัก ได้แก่ ศูนย์การค้าทั้งในและต่างประเทศ, คอมมูนิตี้ มอลล์, โครงการที่อยู่อาศัย, อาคารสำนักงานและโรงแรมพร้อมทั้งขับเคลื่อนสู่อนาคตภายใต้เจตจำนงค์ของแบรนด์ Imagining better futures for all ด้วยการสร้างและพัฒนาพื้นที่ที่มีคุณภาพเพื่อดูแลคนและชุมชน รวมถึงสิ่งแวดล้อมให้เติบโตควบคู่ไปกับการเดินหน้าทางเศรษฐกิจและขับเคลื่อนประเทศไทย

]]>
1421989
“เซ็นทรัลเวิลด์” จัดโปรแรงส่งท้ายปี Happy Everyday Tap & Go with Mastercard เปย์ความสุข สนุกทุกไลฟ์สไตล์ https://positioningmag.com/1409796 Sat, 26 Nov 2022 10:00:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1409796

เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2565 เรียกว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่กันอย่างเต็มที่ แบรนด์ต่างๆ ได้จัดแคมเปญเพื่อส่งความสุขแก่ผู้บริโภคกันอย่างจัดเต็ม เพื่อเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อีกทั้งยังได้ฟินกับบรรยากาศของการเฉลิมฉลองอีกด้วย

และในปีนี้ “เซ็นทรัลพัฒนา” ไม่พลาดที่เปิดแคมเปญมอบความสุขส่งท้ายปี ได้ร่วมมือกับ “มาสเตอร์การ์ด” เปิดแคมเปญ Happy Everyday Tap & Go with Mastercard จัดโปรโมชั่นแรงสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ให้คนไทยทั้งประเทศได้เปย์ความสุข สนุกครบทุกไลฟ์สไตล์ทั้งกิน เที่ยว ช้อป ได้ทุกวันที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ตั้งแต่วันที่ 12 ต.ค. – 30 พ.ย. 65

งานนี้เป็นการมอบประสบการณ์พิเศษสำหรับลูกค้าบัตร Mastercard ที่เป็นสมาชิก The1 เพียงแค่ช้อปปิ้งด้วย Mastercard ภายในศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ มีสิทธิพิเศษมากมายจากกว่า 200 ร้านดังทั่วศูนย์การค้าที่เข้าร่วมในแคมเปญ แถมยังปลอดภัยในทุกการช้อปอีกระดับกับบริการ Tap & Go

สิทธิพิเศษสำหรับสายกิน สายหวาน เพียงแตะจ่ายผ่านบัตรมาสเตอร์การ์ด ครบ 800 บาทขึ้นไปรับฟรีเครื่องดื่ม 1 แก้ว จาก Xing Fu Tung มูลค่าแก้วละ 140 บาท

ส่วนสายแฟชั่น เพียงชำระผ่านเครื่องรูดบัตรมาสเตอร์การ์ด ครบ 6,000 บาทขึ้นไป เลือกรับฟรี Cash Voucher จาก Pandora หรือ Cath Kidston มูลค่า 1,000 บาท

ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า

“การร่วมมือกันในครั้งนี้ถือเป็นการผนึกกำลังกันระหว่างพันธมิตรชั้นนำระดับโลกอย่างมาสเตอร์การ์ด และเซ็นทรัลเวิลด์ ในฐานะการเป็นไลฟ์สไตล์เดสติเนระดับโลก และ The Biggest food destination ที่รวบรวมร้านอาหารชื่อดังทุกรูปแบบไว้มากที่สุด เพื่อมอบประสบการณ์ความสุขและสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าบัตรมาสเตอร์การ์ดที่เป็นสมาชิก The1 ด้วยการรวมร้านค้าชั้นนำมากมายกว่า 200 ร้านค้า ทุก Category ให้ลูกค้าได้กิน-เที่ยว-ช้อป ครบจบในที่เดียว

โดยเซ็นทรัลเวิลด์ คือเดสติเนชั่นที่รวมคาเฟ่ของหวานไว้เยอะที่สุด โดยเฉพาะชานมไข่มุกทุกรูปแบบทั้งฟิวส์ชั่น, ร้านในกระแส และร้านต้นตำหรับอย่างร้าน Xing Fu Tung หรือจะเป็นแบรนด์แฟชั่นชื่อดัง อย่าง Pandora และ Cath Kidston ที่ได้ร่วมแคมเปญพิเศษกับเรา ซึ่งแคมเปญนี้จะช่วยกระตุ้น Consumer spending ได้เป็นอย่างดีเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนในปัจจุบันที่ต้องการความคุ้มค่า สะดวกสบาย รวดเร็ว และปลอดภัย โดยเราพร้อมมอบข้อเสนอพิเศษมากมายสำหรับสมาชิก The 1 และบัตรเครดิตมาสเตอร์การ์ด”

ทางด้าน ไอลีน ชูว ผู้จัดการประจำประเทศไทยและเมียนมาร์ มาสเตอร์การ์ด กล่าวว่า

“ประเทศไทยได้รับการขนานนามในฐานะหนึ่งในเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางของนักชิมทั่วโลกมาอย่างยาวนาน และเซ็นทรัลเวิลด์เองก็เป็นหนึ่งในแหล่งรวมร้านอาหารอร่อยแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ด้วยความหลากหลายทั้งอาหารไทยและนานาชาติ นอกจากนี้ยังโดดเด่นในเรื่องของการเป็น Fashion destination ที่มีแบรนด์แฟชั่นดังระดับโลกมากมายหลอมรวมอยู่ในบ้านหลังนี้อย่างลงตัว  มาสเตอร์การ์ดรู้สึกภาคภูมิที่ได้จับมือกับเซ็นทรัลพัฒนา สรรค์สร้างข้อเสนอและสิทธิประโยชน์มากมายแก่ผู้บริโภค อีกทั้งส่งมอบประสบการณ์การใช้จ่ายแบบไร้รอยต่อที่พร้อมด้วยความปลอดภัย

มาสเตอร์การ์ดเชื่อมั่นว่ากิจกรรมส่งเสริมการตลาด “Happy Everyday Tap & Go® with Mastercard” ที่พัฒนาขึ้นบนวิสัยทัศน์ของทั้งสององค์กรในครั้งนี้ จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการใหม่ๆ ได้ทุกกลุ่ม ทุกไลฟ์สไตล์ และส่งเสริมให้เกิดการใช้จ่ายแบบไร้เงินสดในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม”

สำหรับเงื่อนไขในแคมเปญนี้ เป็นสิทธิพิเศษเฉพาะลูกค้าบัตรมาสเตอร์การ์ด ที่เป็นสมาชิก The 1 เท่านั้น (1 สิทธิ์/ท่าน/วัน หรือจนกว่าสินค้าจะหมด) สามารถรวมใบเสร็จได้ไม่เกิน 3 ใบ และสงวนสิทธิ์ในการเลือกคูปอง โดยที่ 1 ใบเสร็จสามารถเลือกรับสิทธิ์อย่างใดอย่างนึงเท่านั้น และจำนวนจำกัดรวม 2,000 สิทธิ์ตลอดแคมเปญ

]]>
1409796
“เซ็นทรัลเวิลด์” ควงคู่หู “Mastercard” ช้อปสบายผ่านบริการ Tap & Go พร้อมสิทธิพิเศษเพียบ! https://positioningmag.com/1367037 Thu, 16 Dec 2021 10:00:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1367037

“เซ็นทรัลเวิลด์” และ “Mastercard” เปิดแคมเปญใหญ่ส่งท้ายปี Happy Everyday Tap & Go with Mastercard จัดโปรโมชัน และสิทธิพิเศษเฉพาะลูกค้าเซ็นทรัลเวิลด์เท่านั้น เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรมาสเตอร์การ์ดกับบริการ Tap & Go กับกว่า 300 ร้านค้าชั้นนำที่ร่วมรายการ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เริ่ม 1 ธ.ค. 64 – 6 ม.ค. 65

เข้าถึงเดือนธันวาคมเดือนสุดท้ายของปี กลิ่นอายของเทศกาลปีใหม่ เทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองกลับมาอีกครั้ง จะมีความสุขไหนเท่ากับการได้ช้อปปิ้งเพื่อเป็นของขวัญให้ตัวเอง หรือคนที่เรารัก รวมไปถึงการทานอาหาร ขนมอร่อยๆ แน่นอนว่าการช้อปปิ้งในศูนย์การค้าเป็นการตอบโจทย์ทุกอย่าง

ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ไลฟ์สไตล์เดสติเนชั่นแลนด์มาร์กระดับโลก ผนึกกำลังบัตร Mastercard เอาใจนักช้อปในช่วงส่งท้ายปี จัดแคมเปญ Happy Everyday Tap & Go with Mastercard เดินหน้าส่งมอบความสุขส่งท้ายปี ที่ให้คนไทยทั้งประเทศได้เปย์ความสุข ด้วยสิทธิพิเศษ และโปรโมชั่นสุดเอ็กซ์คลูซีฟ สำหรับลูกค้าบัตรมาสเตอร์การ์ดที่ช้อปปิ้งในศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์โดยเฉพาะ แต่มีเงื่อนไขที่ว่าต้องเป็นสมาชิก The1 ด้วย

โปรโมชันนี้เพียงแค่ใช้จ่ายผ่านบัตรมาสเตอร์การ์ด กับกว่า 300 ร้านค้าชั้นนำที่ร่วมรายการ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ สนุกครบทุกไลฟ์สไตล์ ควบคู่กับบริการ Tap & Go ช้อปสบาย ปลอดภัย จ่ายสะดวก เริ่มตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2564 – 6 มกราคม 2565 ก็ได้รับสิทธิพิเศษเพียบ!

ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า

“เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การออกมาใช้ชีวิตของคนในปัจจุบันที่ต้องการความสะดวกสบาย รวดเร็ว และปลอดภัย เราจึงได้ผนึกกำลังพันธมิตรชั้นนำอย่างบัตรมาสเตอร์การ์ด ร่วมส่งมอบความสุขผ่านสิทธิพิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับลูกค้าเซ็นทรัลเวิลด์ที่เป็นสมาชิก The1 โดยเฉพาะ”

แคมเปญนี้ได้รวมกว่า 300 ร้านค้าชั้นนำในศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร หรือแฟชั่น เป็นการดีไซน์ขึ้นมาเพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าของเซ็นทรัลเวิลด์ทุกกลุ่ม ตั้งแต่กลุ่มครอบครัวยุคใหม่ Young Modern Family ไปจนถึงสายแฟชั่น, Sports, YOLD และ Young Gen เรียกได้ว่าโดนใจทั้งสายกิน สายช้อป สายชิลล์กันเลยทีเดียว

ร้านค้าที่รวมรายการได้แก่ ร้านอาหาร-คาเฟ่ชั้นนำระดับโลกอย่าง TP TEA ชานมไข่มุกเจ้าแรกของโลก, Xin Fu Tang ชานมไข่มุกทำสด อันดับ 1 จากไต้หวัน, Fire Tiger ร้านชานมไข่มุกชื่อดังของไทย และThe Coffee Academics เจ้าของมิชลินไกด์ โด่งดังจากฮ่องกง รวมถึงแบรนด์แฟชั่นชื่อดัง อาทิ Disaya, Jaspal, Kate Spade New York, Marimekko, Pandora, Pendulum, Polo Ralph Lauren, Pomelo, Swarovski, และ Zara เป็นต้น

บริการ Tap & Go นี้ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างลงตัว อีกทั้งยังเข้ากับการใช้ชีวิตแบบ New Normal ได้ดีอีกด้วย เพราะเป็นบริการที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย แคมเปญนี้คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลปลายปีได้เป็นอย่างดี

ทางด้าน ไอลีน ชูว ผู้จัดการประจำประเทศไทยและเมียนมาร์ มาสเตอร์การ์ด กล่าวว่า

“ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันที่ก้าวสู่ยุคของ Digital Paymentsเพราะความรวดเร็วในการชำระเงิน และมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี มาสเตอร์การ์ดทำงานอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรทั่วโลกเพื่อสร้างโซลูชั่นและนวัตกรรมที่สร้างสรรค์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเรารู้สึกตื่นเต้นและยินดีเป็นอย่างมากที่ได้ร่วมกับเซ็นทรัลเวิลด์ มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่คุ้มค่าให้แก่ลูกค้าที่ใช้จ่ายผ่านบัตรมาสเตอร์การ์ด ในศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ไม่ว่าจะเป็นการช้อปปิ้ง รับประทานอาหาร ก็สามารถรับสิทธิพิเศษแบบเอ็กซ์คลูซีฟได้”

โปรโมชั่น และสิทธิพิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ได้แก่

สาย Café Hopping รับฟรี! คูปองเครื่องดื่ม 1 แก้ว เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรมาสเตอร์การ์ดโดยไม่มีขั้นต่ำ

  • Fire Tiger (1-5 ธ.ค. 64)
  • The Coffee Academics (6-12 ธ.ค. 64)
  • Xing Fu Tang (13-19 ธ.ค. 64)
  • TP TEA (20 ธ.ค. 64 – 6 ม.ค. 65)

สาย Fashion Lovers รับฟรี! Cash Voucher มูลค่า 1,000 บาท เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรมาสเตอร์การ์ดครบ 5,000 บาทขึ้นไป/ใบเสร็จ

  • Pandora (1-5 ธ.ค. 64)
  • Marimekko (6-12 ธ.ค. 64)
  • Rev Edition : Champion, Hoka, Rev Runnr, Slammers, Teva (13-19 ธ.ค. 64)
  • Zara (20 ธ.ค. 64 – 6 ม.ค. 65)

เห็นโปรโมชั่น และสิทธิพิเศษสุดปังขนาดนี้จะไปที่ไหนได้ ลูกค้าเตรียมบัตรให้พร้อมแล้วพุ่งตรงไปช้อปที่เซ็นทรัลเวิลด์ เพราะแคมเปญ Happy Everyday Tap & Go with Mastercard จัดเต็มให้ลูกค้าแบบจุกๆ เลยทีเดียว

สามารถร่วมแคมเปญได้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2564 – 6 มกราคม 2565 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ สอบถามรายละเอียดและตรวจสอบเงื่อนไขที่ CPN Call Center โทร. 02-021-9999 หรือติดตามข้อมูลโปรโมชั่น และกิจกรรมพิเศษเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : CentralWorld

**เงื่อนไข สินค้าโปรโมชั่นมีจำนวนจำกัด อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้

]]>
1367037
The North Face ขอปรับลุคให้ไลฟ์สไตล์ขึ้น รับเทรนด์ Outdoor โตแรงสวนโควิด! https://positioningmag.com/1364277 Mon, 29 Nov 2021 14:03:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1364277 The North Face Thailand ปรับลุคครั้งใหญ่ในรอบ 17 ปี ปรับโฉมสาขาเซ็นทรัลเวิลด์เป็นคอนเซ็ปต์สโตร์แห่งแรกในอาเซียน มองเทรนด์เอาต์ดอร์เติบโตแรง หลัง COVID-19 ทำเปลี่ยนวิถี คนมองการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติมากขึ้น

เปิดคอนเซ็ปต์สโตร์แห่งแรกในอาเซียน

จากวิกฤต COVID-19 ที่ผ่านเกือบ 2 ปีเต็มนี้ ได้ส่งผลต่อธุรกิจมากมาย ธุรกิจค้าปลีก และแฟชั่นก็เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่เจ็บหนักพอสมควร เนื่องจากการล็อกดาวน์ทำให้ต้องปิดหน้าร้าน ปิดสาขาออฟไลน์ รวมไปถึงการอยู่บ้าน และกำลังซื้อน้อยลง ทำให้คนสนใจแฟชั่นน้อยลง

จึงได้เห็นแบรนด์แฟชั่นหลายแบรนด์ที่ต้องตัดใจลดสเกลธุรกิจ ลดค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นการลดคน ปิดสาขาที่ไม่ทำกำไร เรียกว่าสร้างแรงสั่นสะเทือนทั้งในแง่ของธุรกิจ และผู้บริโภค ที่หลายคนต้องสูญเสียแบรนด์ที่รักไป

แต่ต้องบอกว่าตลาดสินค้าเอาต์ดอร์เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เติบโตสวนกระแส อย่างแบรนด์ The North Face ก็เดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง ล่าสุดได้ปรับโฉมสาขาเซ็นทรัลเวิลด์ให้กลายเป็นคอนเซ็ปต์สโตร์แห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน เป็นอีกหนึ่งสเต็ปในการรีเฟรชแบรนด์ให้ดูทันสมัยขึ้น เพื่อต้องการจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ และกลุ่มไลฟ์สไตล์มากขึ้น

อรรถพล นิติวรคุณาพันธุ์ Brand Manager The North Face Thailand เริ่มเล่าว่า สาขานี้ได้ปรับขนาดให้ใหญ่ขึ้นจาก 120 ตารางเมตร เพิ่มเป็น 170 ตารางเมตร ทำให้เป็นคอนเซ็ปต์สโตร์ จริงๆ มีการวางแผนมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่พอมีการล็อกดาวน์ จึงถือโอกาสปิดร้านแล้วรีโนเวตไปเลย แล้วกลับมาเปิดพร้อมกับศูนย์การค้า

แบรนด์แฟชั่น หรือรีเทลหลายแห่งเริ่มชะลอการลงทุน เพราะยังไม่สามารถคาดเดาสถานการณ์ได้ แต่กับ The North Face ที่เดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง อรรถพลบอกว่า เพราะทางผู้บริหารมองเห็นสถานการณ์ในยุโรปมันดีขึ้น หลายคนมองว่าไม่น่าลงทุนแต่ที่นี่มองว่าน่าลงทุน เห็นว่าเทรนด์ “เอาต์ดอร์” มาแน่

“เราเห็นเทรนด์จากยอดขายเติบโตมาตลอด อีกทั้งประเทศไทยเป็นตลาดเบอร์หนึ่งในอาเซียน เลยมองว่ามีโอกาสในการปรับเปลี่ยนโฉมให้ เพราะอยากได้ลูกค้าเจนใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา ปรับให้ดูไลฟ์สไตล์ขึ้น ไม่จำเป็นจะต้องเป็นสายฮาร์ดคอร์ปีนเขาอย่างเดียว”

รูปแบบร้านคอนเซ็ปต์สโตร์ จะมีการดีไซน์ร้านให้มีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น เน้นประสบการณ์ใหม่ๆ โทนมินิมัล และมีสินค้าคอลเลกชั่นพิเศษ และมีไฮไลต์ที่การประดับไฟเพดานรูป Contour ที่ถูกถอดแบบมาจากยอดเขาของแต่ละประเทศ ที่เซ็นทรัลเวิลด์จะเป็นยอดดอยอินทนนท์

คอนเซ็ปต์สโตร์เริ่มมีที่ประเทศจีนแล้ว 40 สาขา มีที่ยุโรปบางแห่ง โดยจะเริ่มปรับสาขาในเอเชีย ที่ไทยจะเป็นที่แรกในอาเซียน จากที่มีการทำตลาดทั้งหมด 6 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย, สิงคโปร์, มาเลเซีย, ไทย, ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม

หลังล็อกดาวน์ คนเข้าหาธรรมชาติมากขึ้น

แม้ธุรกิจอื่นจะซบเซา แต่ธุรกิจเอาต์ดอร์มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทางแบรนด์มองเห็นแทรนด์นี้จากทางฝั่งสหรัฐอเมริกา และยุโรป ที่พอมีการล็อกดาวน์ เมื่อคลายล็อกดาวน์จะมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เนื่องจากคนโหยหาการท่องเที่ยว การใช้ชีวิตนอกบ้าน รวมถึงการเข้าหาธรรมชาติมากขึ้น

อีกแง่มุมหนึ่งก็คือ หลายคนมองว่าชีวิตเริ่มไม่แน่นอน ต้องรีบทำอะไรที่ยังไม่ได้ทำ หลายคนเลือกที่จะเข้าหาธรรมชาติ ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติไปเลย เป็นการชาเลนจ์ชีวิตตัวเองนั่นเอง

ในประเทศไทยก็สอดรับกับเทรนด์นี้เช่นเดียวกัน ในโซนเอเชียก็มีพฤติกรรมไม่แตกต่างกันเท่าไหร่นัก ยิ่งในช่วงที่ยังปิดประเทศ ไม่สามารถเดินทางต่างประเทศได้ ทำให้ต้องเที่ยวในประเทศไปก่อน หลายคนเลือกที่จะเที่ยวสายธรรมชาติ ยิ่งในประเทศไทยมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติเยอะ มาพร้อมกับเทรนด์ “แค้มปิ้ง” ด้วย ทำให้ตลาดสินค้าเอาต์ดอร์เติบโตสวนโควิด

“COVID-19 ทำให้ทุกคนต้องทำนู้นทำนี่เพื่อความอยู่รอด เชื่อว่าได้ผ่านจุดที่แย่ที่สุดมาแล้ว ตลาดเอาต์ดอร์ในไทยจะโตไม่แพ้ในยุโรป หรืออเมริกาเลย เชื่อว่าถ้ามีการท่องเที่ยวในประเทศใกล้เคียงได้ก็จะช่วยให้เติบโตเร็วยิ่งขึ้นด้วย ทางแบรนด์ก็มองหาลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ที่ผสมไลฟ์สไตล์เข้ามา”

คาดการณ์ว่าตลาดสินค้าเอาต์ดอร์มีมูลค่า 2,500 ล้านบาท ในปีนี้อาจจะเสมอตัวแต่ก็เห็นทิศทางที่ดีขึ้น จากที่ 3 ปีก่อนเติบโต 20-30%

ปรับลุคไลฟ์สไตล์มากขึ้น

ถ้าใครเป็นสายปีนเขา สายธรรมชาติต้องรู้จักแบรนด์ The North Face เป็นอย่างดีอยู่แล้ว เรียกว่าเป็นแบรนด์ที่มีจุดยืนที่แข็งแรงมากในการทำกิจกรรมเอาต์ดอร์ แอดเวนเจอร์ โดยเฉพาะปีนเขา เดินป่า เป็นแบรนด์สำหรับนักเดินทางตัวยง ใครที่มีแผนในการปีนเขาที่ต่างแดนในอากาศหนาวๆ เชื่อว่าต้องมีแบรนด์ The North Face อยู่ในใจเป็นอันดับต้นๆ

ด้วยจุดยืนของแบรนด์ สินค้าที่ทำออกมาตอบโจทย์นักเดินทางมากๆ เป็นสาย Performance แบบสุดๆ ทำให้ราคาก็ค่อนข้างสูงเช่นกัน กลุ่มลูกค้าหลักของ The North Face จึงอยู่ในกลุ่มวัยทำงาน มีอายุหน่อยๆ ราว 40 ปีขึ้นไป มีกำลังซื้อ มีหน้าที่การงานที่ดี ชอบเที่ยวต่างประเทศ

แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ The North Face ต้องการขยายฐานสู่กลุ่มใหม่ๆ เป็นวัยรุ่นที่เด็กลง เพราะมองเห็นเทรนด์คนไปทำงานต่างประเทศ ไปเที่ยว ปีนเขาที่ญี่ปุ่น ไต้หวันมากขึ้น

โจทย์ใหญ่คือ การปรับลุคให้ดูไลฟ์สไตล์ ไม่ใช่สายฮาร์ดคอร์ปีนเขาอย่างเดียว จึงมีการออกสินค้าใหม่ๆ ที่เป็นเชิงแฟชั่นไลฟ์สไตล์ สินค้าที่ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นหมวก กระเป๋า เสื้อยืด อีกทั้งทางบริษัทแม่ก็เห็นความสำคัญของตลาดเอเชีย มีการปรับไซส์สำหรับคนเอเชียโดยเฉพาะ ทำให้ได้ตลาดกลุ่มใหม่ๆ มากขึ้น

แค้มปิ้งทดแทนเสื้อกันหนาว

อีกหนึ่งเทรนด์ที่มาแรงในไทย และยังคงอยู่ก็คือ “แค้มปิ้ง” ไม่ว่าจะเป็นแค้มปิ้งสายลุย หรือสายแฟชั่น แต่เชื่อว่าทุกคนจะต้องคิดว่า “ของมันต้องมี” อุปกรณ์ที่ใช้ในการตั้งแคมป์จึงขายดี รวมไปถึงเสื้อผ้าด้วย

จากเดิมที่รายได้ส่วนใหญ่ของ The North Face คือ เสื้อกันหนาว มีสัดส่วนถึง 60% เนื่องจากแต่ละตัวมีมูลค่าสูง และใช้กันหนาวในอากาศติดลบได้ดี ยอดเริ่มตกลงหลังจากช่วงเมษายน 2563 เป็นช่วงล็อกดาวน์ครั้งแรก เพราะไม่สามารถเดินทางเที่ยวต่างประเทศได้

แม้ยอดขายเสื้อกันหนาวจะลดลง แต่ The North Face กลับได้สายเดินป่า สายแค้มปิ้งมาช่วยเติมเต็มส่วนที่หายไป หลายคนเริ่มซื้อเต็นท์ เสื้อผ้า บางคนซื้อเสื้อยืดไปใส่ทำงานอยู่บ้านก็มี โดยสินค้าที่เซอร์ไพรส์มีการซื้อเยอะมากก็คือ “หมวกปีกกว้าง”

หรืออย่าง “เต็นท์” อุปกรณ์ของสายแคมป์ ในช่วงที่ผ่านมาก็ขายดีมาก จากที่แต่ก่อนขายได้เดือนละ 2-3 หลัง กลายเป็นขายได้เดือนละ 10 หลัง

อรรถพลบอกว่า ในช่วงที่ล็อกดาวน์ แต่ The North Face ก็ยังเติบโตเกือบ 100% เพราะคนเที่ยวในประเทศเดินป่าเดินเขา แม้ยอดเสื้อกันหนาวจะหายไป แต่ขายสินค้าอื่นๆ มาถัวๆ กันได้ แต่ตอนนี้เริ่มมีการเปิดประเทศ ทำให้ยอดขายเสื้อกันหนาวเริ่มกลับมาแล้ว

สำหรับในประเทศไทยปัจจุบันมีทั้งหมด 12 สาขา และเป็นรูปแบบเคาน์เตอร์ในห้างฯ 60 สาขา แผนการขยายสาขายังไม่มีแน่ชัด เพราะตอนนี้มีสาขาเกือบครอบคลุมทุกพื้นที่ในประเทศ แต่จะเน้นเป็นการรีโนเวต ปรับลุคให้ดูไลฟ์สไตล์มากขึ้น

ลูกค้ามียอดการใช้จ่ายเฉลี่ย 4,000-5,000 บาท/บิล มีการซื้อเฉลี่ย 1-2 ชิ้น เป็นยอดที่ไม่ลดลงเท่าไหร่ เพราะคนเดินทางกล้าลงทุน และกล้าจ่าย

]]>
1364277
Yves Rocher นำร่อง Refill Station นำขวดเก่าเติมสบู่แชมพู ประเดิมสาขาเซ็นทรัลเวิลด์ https://positioningmag.com/1316356 Mon, 25 Jan 2021 14:27:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1316356 อีฟ โรเช่ (Yves Rocher) เปิดตัว Refill Station สำหรับนำขวดเดิมมาเติมสบู่ และแชมพู เป็นการลดขยะพลาสติกที่เกิดจากแพ็กเกจจิ้ง ในราคา 99 บาท ประเดิมสาขาแรกที่เซ็นทรัลเวิลด์

ในช่วงปีที่แล้วอีฟ โรเช่ได้ทำการรีแบรนด์ใหม่ เป็นการรีเฟรชแบรนด์ให้ทันสมัยขึ้น พร้อมกับการวางจุดยืนเป็นแบรนด์รักษ์โลกอย่างเต็มตัวด้วยการเปิดตัวแคมเปญใหญ่ “สวยโลกไม่เสีย” ซึ่งมีทั้งกลยุทธ์ในการใช้วัสดุรีไซเคิลเพื่อลดการใช้พลาสติก โดยสามารถลดพลาสติกได้ถึง 2,700 ตันต่อปี ทั้งยังลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ไปกว่า 30%

ล่าสุดอีฟ โรเช่ได้เปิดตัว Refill Station เป็นจุดที่ให้ลูกค้านำขวดแพ็กเกจจิ้งเดิมมาเติมผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ในราคาพิเศษ เป็นการลดขยะพลาสติก ได้ประเดิมสาขาแรกที่เซ็นทรัลเวิลด์

Refill Station ได้เปิดตัวที่ฝรั่งเศสประเทศแม่ของแบรนด์เมื่อปลายปีที่ผ่านมา หลังจากนั้นก็ได้เปิดตัวที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่ 2 ของโลก ซึ่งต้องบอกว่าจุด Refill Station นี้ เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่ได้เห็นในแวดวงสินค้า FMCG ในยุคนี้มากขึ้น เพราะหลายแบรนด์เริ่มให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม ต้องการลดขยะพลาสติกจากแพ็กเกจจิ้งมากขึ้น

ผลิตภัณฑ์ที่ให้บริการใน Refill Station จะมี 2 รายการด้วยกัน ได้แก่ แชมพู และเจลอาบน้ำ โดยเงื่อนไขก็คือ ต้องนำบรรจุภัณฑ์ของอีฟ โรเช่มาเติมเท่านั้น ไม่สามารถนำขวดอื่นๆ มาเติมได้

  • ขวดเปล่าเจลอาบน้ำ ขนาด 400 ml ทุกกลิ่น ของอีฟ โรเช่ สามารถนำมาเติมเป็น Shower Gel กลิ่นพีช ได้ในราคา 99 บาท
  • ขวดเปล่าแชมพู ขนาด 300 ml ทุกสูตรของอีฟ โรเช่ สามารถนำมาเติมเป็นแชมพูสูตร Anti-Hair Loss ได้ใน ราคา 99 บาท

บริการนี้จำกัดเฉพาะสมาชิกเท่านั้นที่จะได้รับสิทธิ์นี้ สามารถเติมได้จำนวนคนละ 2 ขวด (เจลอาบน้ำ 1 ขวด และ แชมพู 1 ขวด) ต่อวัน

แต่ Refill Station ที่สาขาเซ็นทรัลเวิลด์นี้ เป็นโมเดลชั่วคราวที่จะอยู่ตั้งแต่วันที่  20 – 31 มกราคม 2564 เท่านั้น หลังจากนั้นจะดูผลตอบรับเพื่อที่จะขยายไปยังสาขาอื่นๆ หรือตั้งเป็นจุดถาวรในอนาคต

]]>
1316356
เปิดกลยุทธ์ “เซ็นทรัลเวิลด์” เบอร์ 1 ศูนย์การค้าไทย ปั้นเดสติเนชั่นอาหารแหล่งรวมร้านอร่อย ที่ใหญ่ที่สุดระดับโลกในคอนเซ็ปต์ “ENDLESS DISCOVERY WORLD OF FOOD” https://positioningmag.com/1310934 Sat, 19 Dec 2020 10:00:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1310934

ประเทศไทยที่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารโด่งดังไปทั่วโลก จนเรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของเหล่านักกิน แถมยังมีร้านอาหารขายตลอด 24 ชั่วโมง มี Street food ชื่อดังมากมายให้ทานได้ตลอดเวลา แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมผู้บริโภคในไทยที่รักการกิน ดื่ม เป็นชีวิตจิตใจ แถมเฉลี่ยต่อวันยังรับประทานกันถี่มากถึง 6-8 มื้ออีกด้วย

เซ็นทรัลเวิลด์ในฐานะแลนด์มาร์คใจกลางกรุงเทพฯ บริหารโดย บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านธุรกิจศูนย์การค้าเบอร์หนึ่งของไทย ที่ปรับเปลี่ยนธุรกิจได้ทันโลก และตอบรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงได้อยู่เสมอ และด้วยความเชี่ยวชาญในตลาดรีเทล เพราะเป็นรายใหญ่ และรายแรกที่อยู่มานานเกินกว่า 40 ปี ย่อมทำให้เข้าใจความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างลึกซึ้ง

มาครั้งนี้จับอินไซต์ผู้บริโภคยุคใหม่ ที่ใส่ใจเรื่องกินเป็นปัจจัยสำคัญของชีวิต ชูกลยุทธ์ The Biggest Food Destination in Asia ที่รวมร้านอร่อยครบที่สุดและใหญ่ที่สุดระดับโลก ในคอนเซ็ปต์ “ENDLESS DISCOVERY WORLD OF FOOD” ประสบการณ์ความอร่อยแบบไม่สิ้นสุด

โดยตั้งเป้าเจาะกลุ่ม ‘Food Tribes’ หรือคนที่มีความหลงใหลในเรื่องอาหาร โดยแบ่งตาม Lifestyle insight คือ

1) Hunger filler คนที่สนุกกับการตระเวนหาของอร่อยทาน

2) Heart & Soul filler คนที่มีมุมมองว่าอาหารคือศิลปะ ชอบดื่มด่ำอาหารในรูปแบบต่างๆ ให้ความสำคัญในทุกรายละเอียด ทั้งรูป-รส-กลิ่น-เสียง หรือแม้แต่การตกแต่งและ Ambience ของร้านอาหาร และ

3) Skill filler คนที่ชอบพัฒนาทักษะการทำอาหาร สนุกกับการคิดค้นเมนูใหม่ๆ

เซ็นทรัลเวิลด์ โฟกัสกลยุทธ์เรื่องการเป็นเดสติเนชั่นด้านอาหารมาโดยตลอด และได้เฟ้นหาร้านดังในตำนาน, ร้านอร่อยระดับมิชลินสตาร์ และมิชลินไกด์, ร้านที่เป็น First Time in Thailand, ร้านในไทยที่มีตำนานความอร่อยชนิดที่ต้องจองคิวยาวข้ามเดือน รวมถึงร้านที่ตอบโจทย์เทรนด์ใหม่ๆ อย่างเทรนด์สุขภาพ ทั้งหมดนี้รวมไว้ที่เซ็นทรัลเวิลด์

เพราะสิ่งที่ Physical Store อย่างศูนย์การค้าสามารถสู้กับ e-commerce ได้คือเรื่องของ “ประสบการณ์” ซึ่งเป็นสิ่งที่หาไม่ได้จากโลกออนไลน์ การชู“ประสบการณ์ด้านอาหาร” (Food Experience) ย่อมเป็น magnet สำคัญที่ช่วยดึงดูดผู้บริโภค ให้เลือกที่จะออกมาสัมผัสประสบการณ์ที่ศูนย์การค้า แทนที่จะเลือกใช้บริการ food delivery

หนึ่งในเดสติเนชั่นอาหารที่รวมร้านอร่อย และใหญ่ที่สุดระดับโลก ในคอนเซ็ปต์ “ENDLESS DISCOVERY WORLD OF FOOD”

ชูจุดเด่นการเป็นศูนย์การค้าแห่งเดียวในไทย ที่รวบรวมร้านอาหารอร่อยทุกรูปแบบมาไว้ในที่เดียวมากถึง 215 ร้านครบทุกประเภท บนพื้นที่ 46,000 ตร.ม. ใหญ่เทียบเท่า 3 สนามฟุตบอล ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ทุกแพชชั่นการกินและการทำอาหารอย่างแท้จริง มีตั้งแต่วัตถุดิบอาหารสดคุณภาพดี, ร้านอาหารครบทุกสไตล์ ตั้งแต่ระดับ มิชลินสตาร์ และมิชลินไกด์, Street Foods, Café Societyที่มี café มากที่สุด ร้านอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับสายhealthy ไปจนถึง สถาบันสอนทำอาหารระดับโลกแห่งเดียวในไทยอย่าง Le Cordon Bleu Dusit มารวมไว้ในที่เดียว เพื่อให้ผู้บริโภคได้มาสร้าง Personalize experience ด้านอาหารได้อย่างหลากหลาย ไร้ข้อจำกัด มาที่เดียวได้ครบ จบทุกเรื่องความอร่อย

เปิดตัว “FOOD BIBLE” ตอบทุกคำถาม “กินอะไรดี ที่เซ็นทรัลเวิลด์”

จับอินไซต์ผู้บริโภค กับคำถามยอดฮิต “วันนี้กินอะไรดี?” เพราะไลฟ์สไตล์การทานอาหารเป็นเรื่องที่ไม่ตายตัว เปลี่ยนได้ตลอดเวลาขึ้นอยู่กับแต่ละโอกาส ทั้งสังสรรค์กับเพื่อน, ทานข้าวกับครอบครัว, Business Hangout หรือการหาร้านอาหารจานด่วนทานเร็วๆ ช่วงพักเที่ยง

“ฟู้ดไบเบิ้ล” จึงเป็นเหมือนไกด์ไลน์ความอร่อย ที่รวมลิสต์ร้านอาหารทั้งหมดในเซ็นทรัลเวิลด์ โดยแบ่งตาม Lifestyle Insight การทานอาหารของคนออกเป็น 8 สาย เพื่อให้ง่ายต่อการเลือกกิน ได้แก่ สายมิชลิน, สายคาเฟ่ของหวาน,สายแข็งชาบู-ปิ้งย่าง, สายอินเตอร์, สาย Thai taste, สายกินง่ายๆ, สายปาร์ตี้แฮงค์เอ้าท์, และสายครีเอทีฟคุ้กกิ้ง

ชูไฮไลท์เด็ด “สายมิชลิน” รวมร้านดังมิชลินสตาร์ และมิชลินไกด์รวม 9 ร้าน

ครั้งแรกในไทยกับ 2 ร้านระดับมิชลินสตาร์ TSUTA (ซึตะ) ร้านราเมนร้านแรกของโลกและร้านแรกของญี่ปุ่นที่ได้รับ 1 ดาวมิชลินถึง เมื่อปี 2015 โดยจะมาเปิดให้บริการในวันอังคารที่ 22 ธ.ค. นี้ และ KAM’S ROAST GOOSE ร้านห่านย่างเจ้าดังจากฮ่องกง การันตีความอร่อยระดับ 1 ดาวมิชลินถึง 5 ปีซ้อนที่เตรียมเปิดในเดือน ม.ค. 64 นอกจากนี้ยังมีร้านอร่อยที่ได้รับการแนะนำจากมิชลินไกด์อีก 7 ร้าน

“สายคาเฟ่ของหวาน” CAFÉ SOCIETY และอาณาจักรชานมไข่มุก คาเฟ่ของหวาน และกาแฟ

ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคนี้ รวมคาเฟ่ไว้เยอะที่สุดถึง 100 ร้าน และร้านชานมไข่มุก 18 ร้านดัง รวมถึงคาเฟ่เบเกอรี่ และของหวานนานาชาติมากถึง 82 ร้านจาก 10 สัญชาติ ยกตัวอย่างไฮไลท์พลาดไม่ได้ อาทิ

· ร้านกาแฟชื่อดัง : The Coffee Academics ซึ่งเป็น Specialty coffee ที่ The Telegraph ให้ติดอันดับ The World’s best coffee shop ประจำปี 2016 และได้รับการแนะนำโดย Michelin Guide 2017, Host & Amber, Roast กาแฟระดับพรีเมี่ยมแบรนด์ดังจากฮ่องกง, Pacamara, Red diamond และเป็นที่เดียว ที่มี Starbuckถึง 4 สาขา รวมถึง Starbuck Reserve Café สาขาที่ใหญ่ที่สุดของไทย ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลกรองจากจีน

· อาณาจักรของหวาน ขนมและชาไข่มุก อาทิ TP Tea ต้นตำรับชานมไข่มุกเจ้าแรกของโลกและเป็นสาขาแรกในประเทศไทย, Xing Fu Tang ชานมไข่มุกอันดับหนึ่งของไต้หวัน, Anri bakery พายแอปเปิ้ลชื่อดังของญี่ปุ่น, After You, Yomie’s rice, Zakuzaku, Paris Mikki, Paul, Eric Kayser

“สายปาร์ตี้แฮงค์เอ้าท์” ที่โซน GROOVE ที่ได้รับการยอมรับให้เป็น HANGOUT DESTINATION ดีที่สุดใจกลางกรุงเทพฯ

รวมร้านกินดื่มยอดฮิตหลายสัญชาติมากถึง 15 ร้าน และล่าสุดกับ THE CASSETTE MUSIC BAR และ ร้านดังโค-ลิมิเต็ดและ SPANISH TAPAS BAR ที่เตรียมเปิดเร็วๆนี้

นอกจากนี้ ยังมี Lifestyle insight อีก 5 สายความอร่อย ที่สายกินต้องไม่พลาดอย่างเด็ดขาด ได้แก่ “สายแข็งชาบู-ปิ้งย่าง” ที่รวมร้านอร่อยไว้มากถึง 14 ร้าน เหมาะสำหรับทั้งครอบครัว, สายสุขภาพ, Meat lover และร้านดังระดับเทพของสายฮ๊อตพอทอย่าง Haidilao ต่อด้วย “สายอินเตอร์” ที่รวมร้านอร่อยจากทั่วโลกไว้ในที่เดียวทั้งหมด 10 สัญชาติทั้ง Asian และ Western รวม 45 ร้านดัง, “สาย Thai Taste” รวม 16 ร้าน มีตั้งแต่อาหารไทยต้นตำรับ ไทยอีสาน เมนูหาทานยาก ไปจนถึงอาหารไทยฟิวชั่น, “สายอาหารสายกินง่ายๆ กินเร็ว” ทั้งร้านอาหารจานเดียว, ร้านก๋วยเตี๋ยว และฟาสต์ฟู้ดรสชาติระดับเทพ รวม 14 ร้าน และปิดท้ายที่ “สายครีเอทีฟ คุ้กกิ้ง” แห่งเดียวในไทยที่มีสถาบันสอนทำอาหารระดับโลกอย่าง Le Cordon Bleu Dusit และสตูดิโอสอนทำอาหารที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ABC Cooking Studio ตอบโจทย์คนที่รักการทำอาหารอีกด้วย

เรียกได้ว่า เซ็นทรัลเวิลด์อ่านใจผู้บริโภคได้ขาด พร้อมตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์แบบเหนือความคาดหมาย สมแล้วที่ครองแชมป์ผู้นำอันดับ1 ด้านศูนย์การค้าของไทยมายาวนานกว่า 40 ปี…..

#EndlessDiscoverywOrldofFood

#กินอะไรดีที่เซ็นทรัลเวิลด์

แสกนเพื่อรับไฟล์ centralwOrld Food Bible

]]>
1310934
ไม่ไปไหน! “เซ็นทรัลเวิลด์” ดึง 7 ร้านดังจาก “อิเซตัน” เข้าศูนย์ https://positioningmag.com/1295112 Wed, 02 Sep 2020 08:47:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1295112 แม้จะปิดฉาก 28 ปีของห้างสรรพสินค้า “อิเซตัน” ที่ปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา แต่ทางเซ็นทรัลเวิลด์ได้ดึง 7 ร้านอาหาร และขนมชื่อดังเข้าศูนย์ ให้ลูกค้าได้ใช้บริการต่อ

อิเซตัน ห้างสรรพสินค้าสัญชาติญี่ปุ่นได้อยู่คู่คนไทยมากว่า 28 ปี โดยที่บริษัท อิเซตัน (ประเทศไทย) จำกัด ได้สิ้นสุดสัญญาเช่ากับ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ในวันที่ 31 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมานี้เอง บรรยากาศการส่งท้ายเป็นไปอย่างอบอุ่น

โดยที่ลูกค้าของอิเซตันไม่ต้องกังวลเรื่องบัตรสมาชิก หรือร้านอาหารภายในห้างฯ ทางเซ็นทรัลเวิลด์ได้มีแผนการรองรับดังกล่าว

กลุ่มลูกค้าสามารถต่ออายุสมาชิก สมาชิก ISETAN VIP รับสิทธิพิเศษต่อเนื่องในการเป็น CENTRAL PRIVILEGE ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. – 31 ธ.ค. 63 และเมื่อสะสมยอดซื้อครบ 600,000 บาท ภายใน 31 ธ.ค. 63 รับสิทธ์ CENTRAL PRIVILEGE ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 1 ปี

ทั้งนี้ยังมีร้านอาหารชื่อดังชั้น 6 บางส่วนที่ยังคงเปิดให้บริการต่อจนถึงวันที่ 27 ก.ย.นี้ ได้แก่ ร้านหมูทอดชื่อดัง Tonkatsu Wako, ร้านชาบูสไตล์ญี่ปุ่น Tajimaya Shabu, ร้าน Uta-Andon, ร้าน Ramen Santouka, ร้าน Ginza Hageten และร้าน Tamaruya Honten

และเร็วๆ นี้ ร้านขนม ร้านอาหารเดิม และร้านดังต่างๆ จากอิเซตัน จะย้ายมาอยู่ในศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ได้แก่

  1. ร้านหมูทอด TONKATSU WAKO ชั้น 7 โซน Beacon
  2. ร้านพายแอปเปิลชื่อดัง ANRI ชั้น 6 โซน Atrium
  3. ร้าน MINAMOTO KITCHOAN ขนมญี่ปุ่นนำเข้าและโอบังยากิและดังโงะแสนอร่อย ชั้น 5 โซน Atrium
  4. ร้านเบเกอรี่พรีเมียมสไตล์ฝรั่งเศส จากญี่ปุ่น SUNMOULIN ROYAL ชั้น 5 โซน Atrium
  5. ร้าน ROYCE & JAPAN STATION ชั้น 5 โซน Atrium
  6. ร้าน MOROZOFF คุกกี้ ช็อกโกแลตพรีเมียมจากเมืองโกเบ
  7. ร้านดอกไม้สไตล์ญี่ปุ่น FLEUR CLASSIQUE

สำหรับพื้นที่ของอิเซตัน ทางเซ็นทรัลเวิลด์เตรียมรีโนเวตให้เป็น Urban Lifestyle บนพื้นที่รวม 6 ชั้น รวมกว่า 27,000 ตร.ม. ตามแผนรีโนเวตเซ็นทรัลเวิลด์ครั้งใหญ่ที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมดึงพันธมิตรระดับอินเตอร์รายใหม่หลายราย เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ในการช้อปปิ้ง และไลฟ์สไตล์ให้กับย่านราชประสงค์

]]>
1295112
เซ็นทรัลเวิลด์เตรียมรีโนเวตใหญ่ ดึงพาร์ตเนอร์ต่างชาติ หลังหมดสัญญา “อิเซตัน” สิ้นปี https://positioningmag.com/1268327 Sat, 14 Mar 2020 12:25:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1268327 เซ็นทรัลเวิลด์ กางแผนรีโนเวตปรับโฉมครั้งใหญ่ รวมถึงแผนดึงพาร์ตเนอร์ต่างชาติรายใหม่เข้ามา หลังหมดสัญญากับอิเซตันในเดือนธันวาคม 2563 เตรียมเปิดโซนใหม่ไตรมาส 3 ปี 2564

หลังจากที่มีข่าวใหญ่ในวงการค้าปลีก เมื่อ “อิเซตัน” ห้างสรรพสินค้าสัญชาติญี่ปุ่นได้ถอยทัพจากตลาดประเทศไทย เตรียมตัวปิดกิจการในวันที่ 31 สิงหาคม 2563 ตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับทาง “เซ็นทรัลพัฒนา” หรือ CPN

ทั้งนี้เจ้าของพื้นที่อย่าง CPN ได้เตรียมแผนในการรีโนเวตครั้งใหญ่ ตอบรับกับการปิดกิจการของอิเซตันเรียบร้อย โดยในส่วนของอิเซตันมีพื้นที่ 27,000 ตารางเมตร รวมทั้งหมด 6 ชั้น

วัลยา จิราธิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า

ห้างสรรพสินค้าอิเซตันเป็นพันธมิตรที่ดีกับศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์มาโดยตลอด เซ็นทรัลเวิลด์ ขอขอบคุณในมิตรภาพที่อิเซตันได้ร่วมกันสร้างสรรค์ความสุขให้กับคนไทยและนักท่องเที่ยวในทุกโอกาสและทุกสถานการณ์เคียงข้างกันมาเสมอ” 

“สำหรับแผนในอนาคต หลังจากที่สัญญาเช่ากับอิเซตันจะหมดลงในเดือนธันวาคม 2563 นั้น เซ็นทรัลเวิลด์ได้เตรียมแผนลงทุนรีโนเวตพื้นที่ดังกล่าวครั้งใหญ่ เป็นไปตามแผนงานการรีโนเวตของศูนย์การค้าโดยรวม ซึ่งมีพื้นที่รวมกว่า 27,000 ตร.ม. จำนวน 6 ชั้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างรายได้ของศูนย์การค้าโดยใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

โดยขณะนี้เตรียมจะดึงพันธมิตรรายใหม่ระดับนานาชาติหลายราย รวมถึง International Key Anchor ที่กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาและจะประกาศให้ทราบในเร็วๆ นี้ เพื่อเข้ามาเติมเต็มการช้อปปิ้ง”

ทั้งนี้ แผนการรีโนเวตดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของเซ็นทรัลเวิลด์ เนื่องจากสัญญาเช่ากับอิเซตันเป็นสัญญาเช่าระยะยาวเหมาจ่ายตั้งแต่สมัยเป็นเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ โดยทาง CPN ที่เข้ามาเป็นผู้บริหารศูนย์การค้าในภายหลัง ไม่มีการรับรู้รายได้ค่าเช่าของพื้นที่นี้แต่อย่างใด

โดยทางเซ็นทรัลเวิลด์จะทำการปิดอาคารเพื่อรีโนเวตในส่วนของอิเซตัน และเปิดให้บริการใหม่ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2564

สำหรับร้านค้า และร้านอาหารเดิมบางร้านค้าในห้างอิเซตัน อาทิ โซนร้านอาหารสไตล์ Authentic Japanese ต้นตำรับอาหารญี่ปุ่นจากประเทศญี่ปุ่นแท้ๆ จะยังคงคอนเซ็ปต์เดิมไว้ และจะเปิดให้บริการใหม่อีกครั้ง โดยอาจมีการปรับเปลี่ยน layout และเพิ่มเติมร้านค้าและบริการใหม่ๆ เข้ามาเพื่อตอบรับความต้องการของกลุ่มฐานลูกค้าที่เหนียวแน่นซึ่งชื่นชอบไลฟ์สไตล์และอาหารแบบญี่ปุ่นแท้ โดยลูกค้ายังสามารถมาใช้บริการที่ห้างสรรพสินค้าอิเซตันได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2563

ส่วนการถอยทัพจากตลาดไทยในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการแข่งขันในธุรกิจค้าปลีกที่ดุดเดือดมากขึ้น ผู้บริโภคหันไปช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น อีกทั้งการแข่งขันในย่านราชประสงค์ก็ร้อนแรง ทาง CPN เองก็มีห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลของตนเองอยู่แล้วด้วยเช่นกัน จึงเกิดการทับซ้อน

]]>
1268327
เทียบฟอร์ม… เคาท์ดาวน์ “เซ็นทรัลเวิลด์-ไอคอนสยาม” ศึก AIS ปะทะ TRUE https://positioningmag.com/1259341 Sat, 04 Jan 2020 08:17:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1259341 เห็นทีว่าบัลลังก์งานเคาท์ดาวน์ส่งท้ายปีของ “เซ็นทรัลเวิลด์” จะเริ่มสั่นคลอน ด้วยเหตุดราม่างานโชว์ พร้อมกับมีพื้นที่อื่นเกิดใหม่ เตรียมแย่งความสนใจจากผู้ชมมากขึ้น “ไอคอนสยาม” กลายเป็นมวยคู่ใหม่ อีกทั้งยังเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีของ AIS และ TRUE อีกด้วย

“เซ็นทรัลเวิลด์” ครองเจ้าตลาด เคาท์ดาวน์มา 20 ปี

เมื่อเข้าสู่เทศกาลปีใหม่ แน่นอนว่างานเคาท์ดาวน์ส่งท้ายปีก่อนต้อนรับปีใหม่ย่อมเป็นอีเวนต์ที่หลายคนสนใจที่จะเข้าร่วมกิจกรรม นอกจากจะได้ร่วมนับถอยหลังสู่ปีใหม่แล้ว ยังได้รับชมกิจกรรมความบันเทิงบนเวทีอีกเพียบ

ซึ่งงานเคาท์ดาวน์ที่ “เซ็นทรัลเวิลด์” เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ขึ้นชื่อที่สุดในกรุงเทพฯ เพราะเป็นงานใหญ่ จัดหน้าศูนย์การค้าใจกลางเมือง อีกทั้งยังมีการเดินทางที่สะดวกด้วยรถไฟฟ้า BTS ที่วันปีใหม่จะเปิดให้บริการถึง 02.00 น.

ทางเซ็นทรัลพัฒนา หรือ CPN ได้จัดงานท์ดาวน์มาเป็นเวลา 20 ปีแล้ว เรียกว่าครองตลาดเคาท์ดาวน์ในไทย มี AIS เป็นสปอนเซอร์ใหญ่ของงาน ยิ่งในปีนี้ได้มีการยกเลิกลานเบียร์หน้าลานเซ็นทรัลเวิลด์ไป ทำให้ CPN ยกระดับงานให้ยิ่งใหญ่ขึ้น หวังปั้นให้เป็น Time Square of Asia

ในปีนี้ CPN ได้ใช้งบลงทุนกว่า 200 ล้านบาท จัดงาน “Thailand & AIS Bangkok Countdown 2020” ร่วมกับพันธมิตรธุรกิจ ได้แก่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, กรุงเทพมหานคร, บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด, บริษัท ช้างอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด, บริษัท สิงห์คอร์เปอเรชั่น จำกัด, บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน), บริษัท สวอทช์ กรุ๊ป เทรดดิ้ง ประเทศไทย จำกัด, บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด และ สมาคมผู้ประกอบการวิสาหกิจย่านราชประสงค์

แม้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้จะมีศูนย์การค้าหลายๆ แห่งเริ่มเปิดพื้นที่เคาท์ดาวน์ หวังแย่งส่วนแบ่งตลาดจากเซ็นทรัลเวิลด์บ้าง แต่ CPN ยังคงชูความเป็นพี่ใหญ่ที่ทำตลาดมานาน และทำในสเกลใหญ่ขึ้น หวังเป็นอีเวนต์ระดับโกลบอล

พร้อมกับดึงดูดความสนใจด้วยความบันเทิง ปีนี้ได้ 4noloque เป็นออแกไนซ์ในการจัดงาน ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการจัดงานคอนเสิร์ตใหญ่ๆ เรียกว่าเอาคอนเสิร์ตมาเป็นไฮไลต์สำคัญ รวมถึงโปรดักชั่นอื่นๆ อย่าง เวทีไฮดรอลิคใจกลางกรุงเทพฯ ที่เคลื่อนที่ได้ มีความสูงกว่าตึก 4 ชั้น ยาวถึง 220 เมตร ยาวที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

พร้อมกับจัดทัพศิลปินนักร้อง 10 เบอร์ใหญ่ ได้แก่ ปาล์มมี่, The Toy, เป๊ก ผลิตโชค, โจอี้ บอย, ไทยเทเนี่ยม, TWOPEE SOUTHSIDE, Slot Machine, Getsunova พร้อมคอนเสิร์ต TRINITY ศิลปินในสังกัดของ 4noloque

“ไอคอนสยาม” มาแรง เคาท์ดาวน์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

อีกหนึ่งสถานที่ที่มาแรงในการจัดงานเคาท์ดาวน์ก็คือ “ไอคอนสยาม” ศูนย์การค้าริมแม่น้ำเจ้าพระยาของกลุ่มสยามพิวรรธน์ โดยในปีนี้ได้จัดขึ้นเป็นปีที่ 2 ซึ่งกลุ่ม CP เป็นหนึ่งในพันธมิตรของไอคอนสยาม แน่นอนว่าแม่งานหลักก็คือกลุ่ม TRUE นั่นเอง จัดงานภายใต้ชื่อ Amazing Thailand Countdown 2020

ไอคอนสยามยังคงชูจุดเด่นในความ “เล่นใหญ่” เสมอ ไม่ว่าจะเป็นโปรดักชั่น การแสดงพลุ หรือความบันเทิงบนเวที ล้วนขนทัพศิลปินเบอร์ใหญ่มาได้

ในปีนี้ได้จัดเคาท์ดาวน์แบบดิจิทัลกับ TRUE 5G Sky Shot ครั้งแรกในเมืองไทย ให้ทุกคนได้ร่วม “Greeting the World” ด้วยจออินเทอร์แอ็กทีฟ Interactive Mapping Screen ใหญ่ที่สุดกว่า 4,400 ตารางเมตร

พร้อมมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชั้นนำ ได้แก่ ณเดชน์, โต้ง Twopee Southside, TRINITY, ตู่ ภพธร, นนท์ ธนนท์, B5, ต้น AF, ไอซ์ ธมลวรรณ, จินตหรา พูนลาภ, โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ และเบน ชลาทิศ การแสดงจาก บิ๊นท์-สิรีธร ลีห์อร่ามวัฒน์ Miss International 2019 และ ฟ้าใส-ปวีณสุดา ดรูอิ้น Miss Universe Thailand 2019

ดราม่าเคาท์ดาวน์ สร้างบัลลังก์สั่นคลอน

แต่แล้วเคาท์ดาวน์ปีใหม่ก็ไม่ได้เต็มไปด้วยกลิ่นของความสุข ความอบอุ่นเสมอไป ในปีนี้มาพร้อมกับดราม่าของ “เซ็นทรัลเวิลด์” กับเหล่า “นุช” เป็นแฟนคลับของ “เป๊ก ผลิตโชค”

ให้สรุปง่ายๆ ก็คือทางงานได้บริหารเวลาผิดพลาด แล้วตัดเวลาโชว์ของเป๊ก ผลิตโชคออกทั้ง 2 รอบ แต่ทางห้างได้มีกิจกรรมที่ให้แฟนๆ ได้ซื้อสินค้าครบ 3,000 บาท เพื่อแลกสิทธิ์เข้าแฟนโซนได้ใกล้ชิดศิลปินมากขึ้น ทำให้เหล่าแฟนคลับไม่พอใจ เพราะรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ

เป๊ก-ผลิตโชค ขึ้นแสดงในช่วงหัวค่ำ (photo: Facebook@CentralwOrld)

ถึงแม้ว่าทางเซ็นทรัลเวิลด์ และโฟโนล็อคจะออกมาชี้แจงถึงกรณีที่เกิดขึ้นนั้น แต่ก็ยังไม่สามารถบรรเทาความขุ่นเคืองใจได้ หลายคนมองว่าถึงตัวเองจะไม่ใช่แฟนคลับศิลปิน ยังรู้สึกว่าไม่โอเคกับเหตุการณ์นี้ ซึ่งหลายคนก็มองว่ายุคนี้ไม่ได้มีแค่เซ็นทรัลเวิลด์เป็นจุดเคาท์ดาวน์ที่เดียวของกรุงเทพฯ อีกต่อไปแล้ว แต่ยังมีไอคอนสยามและที่อื่นๆ อีกมากมายรอรับอยู่ กลายเป็นดราม่าที่อาจจะส่งผลในระยะยาวของการจัดงานเคาท์ดาวน์ในอนาคตต่อไปก็ได้

ในปีนี้เซ็นทรัลเวิลด์มีประชาชนแห่ไปเคาท์ดาวน์จำนวน 250,000 คน แต่ทางไอคอนสยามไม่ได้เผยจำนวนผู้เข้าร่วมเคาท์ดาวน์แต่อย่างใด

พื้นที่โชว์เคส 5G ของ AIS และ TRUE

ในช่วงปลายปี 2562 ที่ผ่านมา เป็นช่วงที่เตรียมพร้อมเข้าสู่ยุค 5G กันอย่างเต็มที่ จึงได้เห็น 2 ค่ายทั้ง AIS และ TRUE ต่างส่งหมัดเด็ดเพื่อแจ้งว่าค่ายตัวเองมีความพร้อมในการสู้ศึก 5G แล้ว

ภายในงานเคาท์ดาวน์จึงเป็นอีกพื้นที่หนึ่งในการสร้างการรับรู้เป็นอย่างดี จึงกลายเป็นพื้นที่โชว์เคสของทั้ง 2 ค่าย ต่างส่งเทคโนโลยี 5G ต่างๆ เพื่อเป็นไฮไลต์ของงาน

ปีนี้ AIS ได้โชว์นวัตกรรม “หุ่นยนต์แห่งโลกอนาคต” รองรับเทคโนโลยี 5G ที่กำลังจะมาถึง เพื่อเป็นสัญลักษณ์การก้าวสู่ยุคแห่งเทคโนโลยีดิจิทัล ที่จะมายกระดับคุณภาพชีวิตให้กับคนไทยในปี 2563

ส่วน TRUE ได้นำเทคโนโลยีเคาท์ดาวน์แบบดิจิทัล ด้วย Interactive Mapping Screen ผ่าน TRUE 5G Sky Shot ใหญ่กว่า 4,400 ตารางเมตร

เรียกว่างานคาท์ดาวน์ในปีนี้มีรสชาติเข้มข้น ไม่ใช่เป็นเพียงอีเวนต์สร้างความบันเทิงในการส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นอีเวนต์ทองที่สร้างการรับรู้ให้มากที่สุด แต่เชื่อว่าดราม่าที่เกิดขึ้นในปีนี้คงจะเป็นบทเรียนสำคัญของผู้ประกอบการให้ระมัดระวังในการจัดงานมากขึ้น และคงจะมีการแก้เกมในครั้งต่อไปได้เป็นอย่างดี

]]>
1259341