เซ็นทรัล – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 22 Oct 2025 06:01:05 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ถอดแนวคิด ‘จิราธิวัฒน์’ ทำอย่างไรถึงลบคำสาป ‘รุ่น 3’ https://positioningmag.com/1542083 Wed, 08 Oct 2025 12:38:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1542083 จากธุรกิจห้องแถว วันนี้ ‘กลุ่มเซ็นทรัล’ ได้เดินทางมาครบรอบ 78 ปี มีธุรกิจหลากหลายอยู่ใน 15 ประเทศ มียอดขายปีที่ผ่านมาแตะ 4 แสนล้านบาท ทำให้ใครๆ ต่างสนใจว่า ‘ตระกูลจิราธิวัฒน์’ ซึ่ง ณ ปัจจุบันมาถึงเจเนอเรชั่นที่ 5 ทำอย่างไรถึงพาธุรกิจเติบโตได้ขนาดนี้ภายใต้การเปลี่ยนผ่านจาก ‘รุ่นสู่รุ่น’ ขณะที่ธุรกิจครอบครัวส่วนใหญ่มักจะจบที่ ‘รุ่น 3’

 

ประเด็นนี้ ‘ปริญญ์ จิราธิวัฒน์’ รองประธานกรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล ได้มาแชร์แนวคิดการบริหารธุรกิจครอบครัวของตระกูลจิราธิวัฒน์ ในงานสัมมนาของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย The 3rd SET Annual Conference on Family Business : Transforming Family Business ภายใต้หัวข้อ ‘ถอดรหัสความสำเร็จทรานส์ฟอร์มธุรกิจให้ชนะอนาคต’

ปริญญ์เริ่มต้นเล่าว่า จิราธิวัฒน์ไม่เหมือนครอบครัวอื่น เพราะเป็นครอบครัวใหญ่ เนื่องจากคุณปู่ (เตียง จิราธิวัฒน์) เดินทางจากเมืองจีนมาเพียงลำพัง จึงอยากมีครอบครัวใหญ่เอาไว้ช่วยเหลือพึ่งพากัน ทำให้คุณปู่มีภรรยา 3 คน มีลูก 26 คน และตอนนี้จิราธิวัฒน์ได้เดินมาถึงเจเนอเรชั่นที่ 5 รวมคนในตระกูลแล้ว 250 คน

 

สำหรับกลุ่มเซ็นทรัลปีนี้ครบรอบ 78 ปี เริ่มต้นจากธุรกิจห้องแถว และปัจจุบันมี 4 บริษัทจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ส่วนยอดขายของกลุ่มปีที่ผ่านมาแตะ 400,000 ล้านบาท และมีธุรกิจใน 15 ประเทศ เป็นรายได้จากต่างประเทศ 35-40% แต่ทำกำไรให้ยังไม่ถึง 10%

 

กติกาต้องชัดเจน-โปร่งใส-เป็นธรรม

 

ส่วนวิธีบริหารธุรกิจครอบครัวของจิราธิวัฒน์ที่ทำให้กลุ่มเซ็นทรัลเติบโตมาถึงจุดนี้ ประเด็นแรก ‘ต้องมีกฎกติกาชัดเจน โปร่งใสและเป็นธรรม’ โดยพยายามแยก ‘ครอบครัว’ และ ‘ธุรกิจ’ ออกจากกัน เพราะการมีโครงสร้างชัดเจน จะช่วยลดปัญหาความขัดแย้งและทำให้การบริหารงานเป็นมืออาชีพมากขึ้น

 

รวมถึงได้มีการตั้ง ‘สภาครอบครัว’ และคณะกรรมการภายใน เพื่อบริหารเรื่องต่างๆ ภายในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการวางกฎกติกา, บริหารจัดการสวัสดิการ ไปจนถึงการหารือประชุมเรื่องต่างๆ ทั้งลงทุน คัดคน แต่งตั้งผู้บริหาร และกำหนดนโยบาย ซึ่งจะมีการประชุมภายในก่อนจะนำไปสู่ภายนอก หรือ Public company

 

“สภาครอบครัวและคณะกรรมการภายใน จะเน้นให้ครอบครัวแต่ละสายเข้ามาให้ครบเพื่อความโปร่งใสและยุติธรรม เรื่องนี้สำคัญมากจะช่วยลดความขัดแย้ง”

 

นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำ ‘ธรรมนูญครอบครัว’ ขึ้นมา เป็นกฎกติกาและแนวทางปฏิบัติที่ถือเป็น ‘กฎเหล็ก’ ที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม

 

“ก่อนหน้านี้ตระกูลจิราธิวัฒน์เคยมียุคที่ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจ 1- 2 คน แต่พอเจอวิกฤตต้มยำกุ้ง ทำให้ปรับครั้งใหญ่ และเราโชคดีได้ ‘วิโรจน์ ภู่ตระกูล’ มาให้ข้อคิดและเป็นกรรมการ รวมถึงทำธรรมนูญครอบครัวขึ้นมา ซึ่งมีกฎกติกามากมายเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับทุกคนในครอบครัว”

‘ความสามารถ’ สำคัญกว่า ‘อาวุโส’

 

การบริหารธุรกิจครอบครัวเรื่องสำคัญที่สุด คือ ต้องให้ทุกคนกินดี อยู่ดี มีเงินใช้ไม่ขัดสน เพื่อให้ทุกคนมีความสุข และการจะเป็นเช่นนั้นได้ ต้องมี ‘ผู้บริหารที่ดี ทำงานเก่ง’ เพื่อพาบริษัทและธุรกิจเติบโตไปข้างหน้า

 

เพราะเมื่อบริษัทหรือธุรกิจมีปัญหา ทุกคนจะเดือดร้อน และปัญหาครอบครัวจะตามมา ดังนั้น การคัดเลือก ‘คน’    เข้ามาทำงานหรือบริหารธุรกิจในเครือเซ็นทรัลจึงสำคัญมาก

 

ปริญญ์เล่าว่า ด้วยมีจำนวนสมาชิกในครอบครัวถึง 250 คน แต่ใช่ว่า ‘ทุกคน’ จะเข้ามานั่งบริหาร โดยหลักการคัดเลือก จะมีกติกาและแนวทางปฏิบัติชัดเจนอยู่แล้ว นั่นคือ ‘ธรรมนูญครอบครัว’ ไม่ใช่ว่าเป็นเบอร์ 1 หรือผู้บริหารแล้วจะสั่งหรือทำตามใจได้

 

หนึ่งในหลักที่พูดถึง คือ เน้น ‘ความสามารถ’ มากกว่า ‘ความอาวุโส’ ยกตัวอย่าง การขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัลของ ‘ทศ จิราธิวัฒน์’ ที่ ณ ตอนนั้นมีอายุ 50 ปี ขณะที่มีผู้อาวุโสอายุมากกว่าถึง 20 คน นั่นก็มาจากการให้ความสำคัญกับเรื่องความสามารถ ไม่ใช่ยึดหลักอาวุโส 

 

“การลำเอียงและการทะเลาะเป็นเรื่องปกติ ถึงต้องสร้างกฎกติกาที่ยุติธรรม โปร่งใส ให้ทุกคนมีความสุข ไม่เช่นนั้นเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นบ่อยๆ และต้องบาลานซ์แต่ละครอบครัวเข้ามาอยู่ในคณะกรรมการ

 

“ที่สำคัญต้องพยายามสร้างความปรองดองในครอบครัวให้เกิดขึ้นมาก ๆ และต้องสั่งสอนให้คนในครอบครัวรู้ด้วยว่า ความเป็นพี่เป็นน้อง คนอายุมากกว่าไม่จำเป็นต้องขึ้นมาเสมอไป ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความสามารถ”

 

บ่มเพาะความพร้อมทายาท

 

การเตรียมความพร้อมให้ทายาทรุ่นต่อไปที่จะเข้ามาสานต่อธุรกิจ เป็นอีกเรื่องที่ทางจิราธิวัฒน์ให้ความสำคัญ โดยจะมี Mentor อยู่ 7-8 คนที่นอกจากจะเป็นคนในตระกูลแล้ว บางครั้งจะมีคนนอกด้วย

 

Mentor แต่ละคนจะดูแลทายาท 5-6 คน และต้องเจอกันทุก 3 เดือน เพื่อเล่าให้ฟังว่า ทำงานอะไร อยากทำอะไร จากนั้น Mentor จะให้คำแนะนำ และทุกๆ 2-3 ปี ทายาทจะมีการหมุนเปลี่ยน Mentor ไปเรื่อยๆ เพื่อให้เรียนรู้และได้รับการพัฒนาที่หลากหลาย

 

ขณะเดียวกันก็จะมีคอร์สอบรมทั้งภายในและภายนอกองค์กร รวมถึงให้เรียนรู้จากการทำงานจริงตั้งแต่ระดับล่างค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นมา เพื่อให้หมุนเวียนทำความรู้จักโปรดักต์และเรียนรู้ธุรกิจทั้งหมดของกลุ่ม เพื่อบ่มเพาะให้ทายาท ‘เก่ง’ และมี ‘ความพร้อม’ มากที่สุด

 

นอกจากนี้ ยังพยายามสร้างให้มีการแข่งขัน เพื่อให้คนรุ่นใหม่มีความอยากเติบโต มีความกระตือรือร้น และอยากสร้างผลงาน แต่หลักสำคัญ ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดการแข่งขันแบบ ‘ไม่รักกัน’

 

ห้ามขายหุ้นให้คนนอก

 

แม้ธรรมนูญครอบครัว จะเป็นกฎเหล็กที่ทุกคนในจิราธิวัฒน์ต้องปฏิบัติตาม แต่ก็มีการปรับปรุงเรื่อยๆ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และเหมาะสมกับช่วงเวลาในแต่ละยุค โดยที่ผ่านมาได้มีการปรับปรุงไปแล้ว 3-4 ครั้ง

 

ทว่ามีอยู่ข้อหนึ่งที่จะไม่มีการเปลี่ยนหรือปรับเด็ดขาด นั่นคือ ‘ห้ามขายหุ้นให้คนนอก’ เพราะสำคัญมากในการคงอยู่ของธุรกิจครอบครัวเพื่อไม่ให้เสียคอนโทรล รวมไปถึงทำให้มั่นใจได้ว่า ธุรกิจที่ถูกสร้างมาตั้งแต่รุ่นที่ 1 จะยังคงอยู่ในมือของครอบครัวต่อไป  

 

สุดท้าย ปริญญ์ฝากถึงคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาบริหารธุรกิจครอบครัวในอนาคตว่า ผู้นำไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุด แต่ต้อง ‘ยุติธรรม’ และ ‘โปร่งใส’ เพราะจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้คนอื่นๆ ในครอบครัวได้เห็นและปฏิบัติตาม

 

ส่วนตอนนี้ที่ ‘ทายาทรุ่น 4 จิราธิวัฒน์’ ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทขับเคลื่อนธุรกิจในกลุ่มเซ็นทรัล เขา ยังไม่ได้ให้โจทย์อะไรเป็นพิเศษ เพียงต้องการให้แต่ละคนพัฒนาตัวเองให้เก่ง ให้มีความรู้มากที่สุด ซึ่งทุกๆ 2 ปี ทายาทแต่ละคนจะต้องโยกย้ายไปทำงานในยูนิตต่างๆ ของกลุ่ม เพื่อในอนาคตจะสามารถพากลุ่มเซ็นทรัลเติบโตไปข้างหน้าได้

]]>
1542083
‘ดองกิ’ ร้านที่ฉีกกฎวงการรีเทล กับเส้นทางธุรกิจใน ‘ไทย’ หลังปิดไป 2 สาขา https://positioningmag.com/1537326 Tue, 09 Sep 2025 08:41:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1537326 ‘ดองกิ’ ร้านที่แจ้งเกิดจากการฉีกกฎวงการรีเทล กับเส้นทางการดำเนินธุรกิจใน ‘ไทย’ และการปักหมุดเปิดตลาดกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตกครั้งแรกที่สาขาล่าสุด ‘เซ็นทรัล เวสต์เกต’ หลังจากปิดไป 2 สาขา

 

‘ดองกิโฮเต้’ (Don Quijote) หรือหลายคนเรียกติดปากว่า ‘ดองกิ’ (Donki) เป็นร้านดิสเคาน์สโตร์ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นที่แจ้งเกิดและประสบความสำเร็จได้จากการกล้าฉีกกฎวงการค้าปลีก ซึ่งนอกจากจะมีเสน่ห์ในเรื่องสินค้าราคาถูก มีความหลากหลายทั้งประเภทและจำนวนแล้ว กลยุทธ์สำคัญ ก็คือ เปิดให้บริการดึกกว่าห้างปกติทั่วไป และบางสาขาให้บริการแบบ 24 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว

 

โดยร้านแห่งนี้ได้เข้ามาปักหมุดธุรกิจในประเทศไทยเมื่อวันที่ 22 ก.พ. 2562 ด้วยการเปิดสาขาแรกในชื่อ Donki Mall Thonglor และวันนี้ได้ใช้วันฤกษ์ดี ‘วันที่ 9 เดือน 9’ เปิดสาขาล่าสุด ณ ‘เซ็นทรัล เวสต์เกต’ ซึ่งเป็นครั้งแรกของการปักหมุดเพื่อเปิดตลาดกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก และเป็นสาขาแรกที่ดองกิมีความร่วมมือกับ ‘บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด(มหาชน)’

สำหรับ ดองกิ สาขาเซ็นทรัล เวสต์เกต มีพื้นที่ประมาณ 1,100 ตร.ม. แบ่งออกเป็น 3 โซนหลัก ได้แก่ โซนอาหารสด โซนอาหารแห้ง และ โซนของใช้ในชีวิตประจำวัน

 

หากดูขนาดพื้นที่แล้ว สาขาแห่งนี้ถือเป็นสาขา ‘ขนาดเล็ก’ เมื่อเทียบกับสาขาใจกลางเมือง แต่ได้มีการจัดสรรพื้นที่และคัดเลือกรายการสินค้ามาอย่างครบถ้วนตรงความต้องการของคนนนทบุรี ตามกลยุทธ์หลักของดองกิที่พยายามคัดสรรสินค้าให้ตอบโจทย์คนในพื้นที่ให้มากที่สุด เพื่อเข้าถึงลูกค้าให้มากขึ้น

 

และอย่าลืมว่า เซ็นทรัล เวสต์เกต ถูกวางเป็น ‘ซุปเปอร์รีจินอล มอลล์ แห่งเอเชีย’ และเป็นสาขาเรือธงของเซ็นทรัลในฝั่งกรุงเทพฯ ตะวันตก ดังนั้น ความร่วมมือของสองยักษ์ใหญ่ในวงการรีเทลต้องมีอะไรน่าสนใจ

 

ยกตัวอย่างเช่น ดองกิสาขานี้ จะเป็นครั้งแรกที่นำเสนอคอนเซ็ปต์ ‘อร่อย น่ารัก สนุกสนาน’ เพื่อให้เกิดการสร้างประสบการณ์ร่วม เช่น การจัดโซนจำหน่ายซูชิหลากหลายหน้าและเค้กสไตล์ญี่ปุ่นแบบ Self-pick ในช่วงเสาร์อาทิตย์

รวมถึงนำเสนอสินค้าที่ผสมผสานกับวิถีชาวไทยเข้ากับความเป็นญี่ปุ่น อาทิเช่น เมนูข้าวกระเพราะเนื้อปลาไหลญี่ปุ่น เป็นต้น

ร้านที่ฉีกกฎวงการค้าปลีก

 

สำหรับจุดเริ่มต้นของดองกิ เกิดขึ้นในปี 2523 จากผู้ก่อตั้งอย่าง ‘ทาคาโอะ ยาสุดะ’ (Takao Yasuda) เปิดร้านขายของเล็ก ๆ ในย่านโตเกียวขายสินค้าหลากหลายตั้งแต่ของกิน ของใช้ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไปจนถึงของชำในชื่อ Dorobou Ichiba และมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Thieves Market หรือ ‘ร้านหัวขโมย’ สื่อให้เห็นว่า ‘ร้านนี้ขายของถูกเหมือนไปขโมยมา’

 

ช่วงแรกร้านแห่งนี้เปิดปิดตามเวลาปกติของร้านค้าทั่วไป แต่ในช่วงดึกของค่ำคืนหนึ่งระหว่างทาคาโอะ ยาสุดะกำลังเติมสต๊อกสินค้าช่วงร้านปิด มีลูกค้าเดินมาถามว่า “ร้านยังเปิดให้บริการอยู่หรือไม่?” และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายครั้ง ทำให้เขาเห็นโอกาสทางธุรกิจว่า ‘ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหนคนก็ยังต้องการซื้อของอยู่’ จึงขยายเวลาเปิดร้านจนถึงหลังเที่ยงคืน

 

จากนั้นเขาได้เปลี่ยนชื่อร้านมาเป็นดองกิ ซึ่งนอกจาก ‘ราคาถูก’ แล้ว เสน่ห์ของที่นี้ คือ การมีสินค้าให้เลือกมากมายและหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น สินค้าอุปโภคบริโภค , เครื่องเขียน , สินค้าแฟชั่น รองเท้า กระเป๋า แบรนด์เนม เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องกีฬา ของเล่น ของกินที่มีทั้งขนม อาหารสด และอาหารแช่แข็ง ฯลฯ รวมถึงพยายามเปิดให้บริการดึกกว่าห้างอื่นๆ และบางสาขาเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง

ด้วยการวางจุดยืนชัดเจนและมีกลยุทธ์ที่ฉีกกฎวงการรีเทล ทำให้ดองกิเติบโตและกลายเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ด้านรีเทลของญี่ปุ่น ปัจจุบันมีสาขารวมมากกว่า 667 สาขาในญี่ปุ่น และในอีก 6 ประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ ฮ่องกง และไทย ฯลฯ

 

สำหรับในบ้านเรา การเข้าทำธุรกิจของดองกิ เริ่มต้นในปี 2562 จากการลงทุนร่วมกันระหว่าง ‘แพน แปซิฟิค รีเทล แมเนจเมนท์ (สิงคโปร์) จำกัด’ บริษัทลูกของ ‘แพน แปซิฟิค อินเตอร์เนชันแนล โฮลดิ้งคอร์ป’ เจ้าของดองกิ กับผู้ร่วมลงทุนไทยอย่าง ‘บริษัท ทีโอเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด’

 

ต่อมาในปี 2563 ได้ ‘บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)’ เข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ใหม่ และได้เปลี่ยนชื่อบริษัทในไทยจาก ‘บริษัท ดองกิ ทองหล่อ จำกัด’ เป็น ‘บริษัท ดองกิ (ประเทศไทย) จำกัด’

 

เดิมทีการขยายธุรกิจในไทย ดองกิวางเป้าหมายระยะ 5 ปี หรือภายในสิ้นปี 2568 จะมีสาขาครบ  20 สาขา แต่เมื่อเกิดการระบาดของโควิด-19 บวกกับภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ไม่สามารถขยายสาขาได้ตามเป้าหมาย และต้องปรับกลยุทธ์หันมาเปิดสาขาในขนาดเล็กลง

 

รวมถึง ‘ปิดสาขา’ ที่มียอดขายไม่เป็นไปตามคาดหวัง เช่น ‘ดองกิ สาขา The Market Bangkok ราชประสงค์’ ที่ปิดตัวลงเมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2565 หลังจากเปิดให้บริการตั้งแต่ 31 มี.ค. 2563 และ ‘ดองกิ สาขาเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ’ ซึ่งเป็นการเปิดตลาดในโซนฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ โดยเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2566 และปิดตัวไปเมื่อ 12 พ.ค. 2568

 

ปัจจุบันดองกิมีสาขาในไทย 8 สาขา โดยเซ็นทรัล เวสต์เกต คือ สาขาล่าสุด เปิดบริการ 10.00 – 22.00 น. ส่วนสาขาอื่น ประกอบด้วย

 

สาขาทองหล่อ เปิดบริการ 24 ชั่วโมง

สาขาธนิยะ สีลม เปิดบริการ 24 ชั่วโมง

สาขา MBK Center เปิดบริการ 24 ชั่วโมง

สาขาซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ เปิด 9.00 – 21.30 น.

สาขา เจพาร์ค ศรีราชา เปิด 8:00 – 23:00 น.

สาขาแฟชั่น ไอส์แลนด์ เปิด 10.00 – 21.00 น.

สาขาซีคอน บางแค เปิด 09.00-00.00 น.

 

ขณะที่ผลประกอบการของบริษัท ดองกิ (ประเทศไทย) จำกัด จากข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า

 

ปี 2564 ทำรายได้ 1,067 ล้านบาท ขาดทุน 113 ล้านบาท

ปี 2565 ทำรายได้ 1,614.8 ล้านบาท กำไร 2.6 ล้านบาท

ปี 2566 ทำรายได้ 2,119 ล้านบาท ขาดทุน 53.17 ล้านบาท

ปี 2567 ทำรายได้ 2,171.7 ล้านบาท กำไร 21.7 ล้านบาท

 

สำหรับดองกิแล้ว ไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพและยังต้องการลงทุนในระยะยาว หนึ่งในนั้นคือ การเปิดสาขาใหม่ที่เซ็นทรัล เวสต์เกต และจากนี้เราจะได้เห็นการขยายสาขาของดองกิอย่างต่อเนื่องในอนาคต

]]>
1537326
เซ็นทรัล ทุ่ม 500 ล้าน ปั้นงานสงกรานต์ ตั้งเป้าอนาคตแลนด์มาร์กเฟสติวัล ใหญ่เทียบเท่างานเคานต์ดาวน์ https://positioningmag.com/1517233 Thu, 03 Apr 2025 10:52:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1517233 แม้ สงกรานต์ปี 2568 มู้ดการท่องเที่ยวจะสะดุดเล็กน้อย จากข่าวแผนดินไหว แต่ “ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา” กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) กล่าวว่า จากการเทคแอคชั่นเร็วในการตรวจตราตึกของภาครัฐและเอกชน ทำให้ทราฟฟิกฟื้นกลับมาเกือบเทียบเท่าช่วงปกติแล้ว

โดยคาดว่า ช่วงสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 12-16 เม.ย. 68 (อ้างอิงตัวเลข ททท.) ไทยจะสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 26,500 ล้านบาท เติบโต 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) แบ่งเป็น

  • นักท่องเที่ยวต่างชาติ 476,000 คน เพิ่มขึ้น 3% (YoY) สร้างรายได้ 7,324 ล้านบาท
  • นักท่องเที่ยวไทย 4,418,500 คน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 6% (YoY) สร้างรายได้ 19,240 ล้านบาท
“ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา” กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา (CPN)

สำหรับปี 2568 เซ็นทรัล ใช้งบประมาณ 500 ล้านบาท เนรมิตงานสงกรานต์ ปี 2568 ที่ศูนย์การค้า 28 แห่งทั่วประเทศ

โดยงานสงกรานต์ปีนี้จะผสมผสาน ประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิม และเอ็นเตอร์เทนเมนต์เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อจับลูกค้าทุก เจเนอเรชั่น เช่น

  • ภายในศูนย์การค้า จัดเสริมสิริมงคลสรงน้ำพระ และการแสดงหาชมได้ยาก อาทิ โขน หุ่นละคนเล็ก รำมโนราห์
  • ภายนอกศูนย์การค้า เป็นโซนบันเทิง ตั้งแต่ลานเล่นน้ำ สวนสนุกเป่าลม บ่อบอล ตลอดจน Music Festival จากศิลปิน 300 ชีวิต โดยเซ็นทรัลเวิลด์ จะจัดงาน centralwOrld Songkran Fest 2025 ดึงศิลปินแรปเปอร์ x ศิลปินลูกทุ่ง เช่น โจอี้บอย, ลำไยไหทองคำ, จ๊ะ นงผณี, D Gerrard-Zbing Z. เป็นต้น

ดร.ณัฐกิตติ์ กล่าวว่า เอ็นเตอร์เทนเมนต์รอบนี้เราจับทุกเจเนอเรชั่น โดยดีไซน์กิจกรรมตามอินไซด์แต่ละกลุ่มอายุ

  • Gen Z มองสงกรานต์เป็นความสนุก ความบันเทิง การแสดงตัวตนผ่านคอนเสิร์ตและการแต่งตัว
  • Gen Y มองหาช่วงเวลาพักผ่อน และการรีเฟรชชีวิต
  • Gen X และ Baby Boomers ยึดโยงคุณค่าทางจิตใจผ่านการกลับบ้าน ประเพณีดั้งเดิม เช่น รดน้ำดำหัว การสรงน้ำพระ
  • Gen Alpha ต้องการพื้นที่สนุกและปลอดภัย เหมาะกับการทำกิจกรรมทั้งครอบครัว

“อนาคตเราตั้งเป้าดันงานสงกรานต์ เป็นแลนด์มาร์กงานเทศกาลสเกลใหญ่เทียบเท่างานเคานต์ดาวน์ ซึ่งถ้าไปสเกลนั้นอาจต้องมีการปิดถนนบางส่วน ตอนนี้อยู่ระหว่างการเข้าไปพูดคุยกับภาครัฐ คงค่อย ๆ ขยับขยายไป เพราะงานสงกรานต์มีการเล่นน้ำ ต้องสกรีนด้านความปลอดภัยสูงกว่างานเคานต์ดาวน์”

ประเมินว่า งานสงกรานต์ ปี 2568 จะมีทราฟฟิกสูงกว่าปีก่อน 5-10% โดยปีนี้คาดว่าคนไทยจะท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น

ส่วนกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ ที่บริษัทฯ มองในปีนี้ คือ กลุ่ม Short-haul จากจีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ อินเดีย และรัสเซีย รวมถึงตลาดใหม่อย่างฮ่องกงและไต้หวัน

ส่วน 5 อันดับศูนย์การค้าที่มียอดทราฟฟิกช่วงสงกรานต์ ประเมินว่า

อันดับ 1 เซ็นทรัล เวิลด์
อันดับ 2 เซ็นทรัล ภูเก็ต
อันดับ 3 เซ็นทรัล พัทยา
อันดับ 4 เซ็นทรัล เชียงใหม่
อันดับ 5 เซ็นทรัล สมุย

ขณะเดียวกัน ปี 2568 เซ็นทรัลได้ Miss Universe และตัวแทนนางงามจากแต่ละทวีป มาช่วยเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์งานสงกรานต์ปี 2568 คาดเป็นส่วนหนึ่งของการประชาสัมพันธ์เทศกาลไปสู่ระดับโลกได้กว้างขึ้น

“ด้านภาพรวมการใช้จ่ายผู้บริโภค ช่วงเดือน ม.ค. – ก.พ. ค่อนข้างดี ถัดมาเดือน มี.ค. ลดลงเล็กน้อย จากหลายเหตุการณ์ อาทิ แผ่นดินไหว ส่วน เม.ย. มีเทศกาลสงกรานต์ และ Pride Month เข้ามาช่วย น่าจะดีขึ้น”

]]>
1517233
”The Central” พหลโยธิน เมกะโปรเจกต์ เสริมแกร่ง CPN เฟสแรกทุ่มเงินกว่า 2 หมื่นล้าน https://positioningmag.com/1515650 Thu, 20 Mar 2025 14:43:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1515650 ที่ผ่านมาย่าน “พหลโยธิน” เป็น Strategy Location ของ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ที่ได้ริเริ่มสร้างและเปิดตัว “เซ็นทรัล ลาดพร้าว” โครงการมิกซ์ยูสแห่งแรกในไทยขึ้นมา เมื่อ 42 ปีก่อน

ซึ่งได้รับผลตอบรับดี สะท้อนยอดขายของเซ็นทรัล ลาดพร้าว ที่ติดท็อป 5 ในกลุ่มศูนย์การค้าเซ็นทรัล ใกล้เคียงกับ เซ็นทรัลเวิลด์ และเซ็นทรัลชิดลม ที่อยู่ย่านกำลังซื้อสูงใจกลาง CBD ขณะที่ทราฟฟิกก็สูงถึง 150,000 คน/วัน

ด้วยโลเคชั่นเชื่อมถนนสามสายหลัก ถนนพหลโยธิน ถนนลาดพร้าว และถนนวิภาวดีรังสิต ขณะเดียวกันยังเป็นจุดเชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้า Interchange ระหว่าง BTS ห้าแยกลาดพร้าว และ MRT พหลโยธิน

เซ็นทรัล ลาดพร้าว

นั่นจึงทำให้กลุ่มเซ็นทรัล ปั้นเมกะโปรเจกต์อีก 1 โครงการขึ้นมา คือ “The Central” พหลโยธิน ตรงข้ามกับแดนเนรมิต เสริมความแข็งแกร่งของย่าน ด้วยศูนย์การค้า 2 แห่งในเครือ บนทำเลใกล้เคียงกัน

เบื้องต้น เซ็นทรัล พหลโยธิน พัฒนาเป็นรูปแบบมิกซ์ยูส บนที่ดิน 49 ไร่ (ใหญ่ติดอันดับ 3 ของศูนย์การค้าในเครือเซ็นทรัล) เตรียมเปิดตัวไตรมาส 4 ปี 2569

โดย เฟสแรกวางงบลงทุน 20,000 ล้านบาท เพื่อทำศูนย์การค้าระดับ Flagship ในอนาคต ซึ่งมีขนาดพื้นที่ศูนย์การค้ารวม (GBA) 460,000 ตร.ม. ใหญ่กว่ารีเทลของเซ็นทรัล ลาดพร้าว ที่มีพื้นที่ค้าปลีกรวม 78,700 ตร.ม.

“เซ็นทรัล พหลโยธิน จะดึงดูดกำลังซื้อผู้บริโภคกรุงเทพฯ ตอนบน ที่ปัจจุบันดีมานด์ขยายตัวจากความหนาแน่นของประชากรที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น โซนนี้จึงมีศักยภาพพร้อมสำหรับการมีศูนย์การค้าเซ็นทรัล 2 แห่ง ซึ่งจะช่วยเติมเต็มและส่งเสริมความเจริญของย่านนี้”

นั่นแปลว่า การตั้งศูนย์การค้าใกล้กัน ไม่เท่ากับแย่งลูกค้ากันเอง ในหลายกรณี การตั้งศูนย์การค้าใกล้กันช่วยเสริมให้แต่ละแห่งมีความหลากหลายมากขึ้น

โดยเฉพาะหากแต่ละแห่งมีสินค้าและบริการที่แตกต่างกันไป ซึ่งจะทำให้ลูกค้ามีตัวเลือกมากขึ้นและทำให้พื้นที่นั้นกลายเป็นแหล่งช้อปปิ้งที่มีความดึงดูดสูงขึ้น ภายใต้กลยุทธ์ “Co-location strategy” หรือ การตั้งอยู่ร่วมกัน

ตัวอย่างที่เห็นภาพได้ชัด คือ เซ็นทรัล แอมบาสซี และเซ็นทรัล ชิดลม ตลอดจนศูนย์การค้าโซนสยามที่กระจุกตัวกัน 3-4 โครงการ ก็ยังทำยอดขายได้ดี

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาโครงการ “The Central” พหลโยธิน อาจเป็นส่วนหนึ่งของการรองรับกรณีการต่อสัญญาของ “เซ็นทรัล ลาดพร้าว” ที่จะหมดสัญญากันในปี 2571 และปัจจุบันกลุ่มเซ็นทรัลและ รฟท. อยู่ระหว่างการหารือ และยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจนนัก

]]>
1515650
เซ็นทรัล ลงทุน 5 ปี 1.2 แสนล้านบาท ลุยเปิดตัวเมกะโปรเจกต์ศูนย์การค้าใหม่ https://positioningmag.com/1515546 Thu, 20 Mar 2025 09:28:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1515546 เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) วางงบลงทุน 5 ปี (พ.ศ. 2568 – 2572) มูลค่า 120,000 ล้านบาท ทั้งโครงการ Mega Projects และโครงการใหม่ต่างๆ ทั่วประเทศ ที่จะทยอยเปิดตัวต่อเนื่อง

โครงการไฮไลต์ที่เตรียมเปิดตัว หลัก ๆ มี 5 โครงการ มีไทม์ไลน์เปิดตัว ดังนี้

  • The Central พหลโยธิน (เดอะ เซ็นทรัล) เปิด Q4/2569 ตั้งอยู่บนที่ดินกว่า 49 ไร่ มีพื้นที่ศูนย์การค้า (GBA) 460,000 ตร.ม. เติบโตคู่กับเซ็นทรัลลาดพร้าว ซึ่งส่วนของศูนย์การค้าเป็นเพียง การลงทุนเฟส 1 ที่มีมูลค่าราว ๆ 17,000-20,000 ล้านบาท เท่านั้น

  • Central Park (เซ็นทรัล พาร์ค) เปิดเดือน ส.ค. 2568 เป็นศูนย์การค้าระดับ Masterpiece ใจกลางกรุงเทพฯ บนที่ดิน 23 ไร่ พื้นที่ศูนย์การค้า (GBA) 130,000 ตร.ม. ขณะนี้แบรนด์ระดับโลกเตรียมเปิดแล้วเกือบเต็มพื้นที่ รวมกว่า 230 แบรนด์ ขณะเดียวกัน ยังได้เปิดตัว Central Park Offices ตั้งเป้าอัตราการเช่า (Occupancy Rate) 80%

  • Central Northville (เซ็นทรัล นอร์ธวิลล์) เปิดไตรมาส 2 ปี 2569 เป็นโครงการมิกซ์ยูสที่ใหญ่ในนนทบุรี บนพื้นที่เดิมของเซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ ด้วยที่ดินถึง 59 ไร่ และมีพื้นที่ศูนย์การค้า(GBA) 210,000 ตร.ม.

  • Central KhonkaenCampus (เซ็นทรัล ขอนแก่น แคมปัส) เปิดไตรมาส 2 ปี 2569 ถือเป็นศูนย์การค้าเซ็นทรัลแห่งที่ 2 ของขอนแก่น ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีกำลังซื้อสูง ทำเลศักยภาพสูงบนย่านการศึกษาและโรงพยาบาลสำคัญของเมืองบนพื้นที่ 30 ไร่ มีพื้นที่ศูนย์การค้า (GBA) 67,000 ตร.ม. และมีแผนพัฒนาคอนโดรูปแบบใหม่ และ GO! Hotel แห่งแรกของอีสาน

  • Central Krabi (เซ็นทรัล กระบี่) เปิดเดือน ต.ค. 2568 เป็นศูนย์การค้าต้นแบบด้าน Sustainable & Mindful Travel ควบคู่ไปกับเมือง และคาดมีส่วนผลักดันด้านการท่องเที่ยว

นอกจากนี้ เปิดศูนย์การค้าใหม่แล้ว เซ็นทรัล วางงบประมาณราว 10,000 ล้านบาท จะใช้ในการปรับปรุงศูนย์การค้าเดิมในโลเคชั่นสำคัญ เพื่อดึงกลุ่มกำลังซื้อสูง ผ่านการเพิ่มแม็กเนต ทั้ง Fashion, Food Hub, Family & Edutainment อาทิ

  • Central Pinklao (เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า) เปิด Q3 ปี 2568 เน้นการดึงอินเตอร์แบรนด์เพิ่มขึ้น ตอบรับผู้บริโภคย่านธนบุรี ที่ประชากรเติบโต และมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น

  • Chaengwattana (เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ) เปิด Q4 ปี 2568 ย่านนี้เติบโตมีกลุ่มครอบครัวกำลังซื้อสูงขยายตัว จากการเข้ามาของ รร.นานาชาติ และกลุ่ม Expat จึงเน้นเพิ่มในส่วนของ Family & Edutainment

  • Central Bangna (เซ็นทรัล บางนา) เปิด Q3 ปี 2569 โดยบางนา เป็นย่านที่อยู่อาศัยระดับลักซูรีกำลังซื้อสูง จึงได้ตัดสินใจปรับ Master Planning ขยายพื้นที่โครงการมิกซ์ยูสบนพื้นที่ 50 ไร่ เป็น Total Transformation ในรอบ 30 ปี

ส่งผลให้ภายในสิ้นปี 2568 เซ็นทรัลจะมีโครงการทั้งสิ้น 135 โครงการจากทุกธุรกิจ และจากจำนวนนี้เป็นโครงการมิกซ์ยูสรวมทั้งสิ้น 30 โครงการจากทั้งหมด 44 ทำเล และประเมินว่า ภายใน 5 ปี จะมีโครงการมิกซ์ยูสเพิ่มเป็น 37 โครงการ

ทั้งนี้ เซ็นทรัลทำทราฟฟิกคนเข้าศูนย์การค้าสูงถึง 500 ล้าน Visits ต่อปี และมีนักท่องเที่ยวมาที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลถึง 67 ล้าน Visits ต่อปี

ส่งผลให้ผลประกอบเซ็นทรัล ปี 2567 ทำ All Time High รายได้รวม 51,843 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 16,729 ล้านบาท จากนี้ไปอีก 5 ปี ตั้งเป้ารายได้โต 10% ต่อปี

]]>
1515546
เซ็นทรัล สวนกระแสเศรษฐกิจ ทุบสถิติ All-Time High รายได้กำไรปี 67 https://positioningmag.com/1513096 Mon, 03 Mar 2025 03:54:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1513096 ปี 2567 แม้ภาพรวมเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ผู้บริโภคจับจ่ายน้อยลง แต่นั่นไม่ส่งผลกระทบต่อยักษ์ค้าปลีกไทยอย่าง “เซ็นทรัล” ภายใต้การบริหารของ บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา (CPN)

ที่สวนกระแส ทำตัวเลขงบปี 2567 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ All-Time High

  • รายได้รวม 51,843 ล้านบาท เติบโต 11% (YoY)
  • กำไรสุทธิ 16,729 ล้านบาท เติบโต 11% (YoY)

เบื้องต้น เตรียมสร้างผลตอบแทนผู้ถือหุ้นสูงถึง 15% รวมทั้งประกาศจ่ายปันผลสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 2.1 บาทต่อหุ้น (จ่อนำเสนอและรออนุมัติจากผู้ถือหุ้น)

ปัจจัยการเติบโตมาจาก 4 ธุรกิจในมือ ดังนี้

1. ธุรกิจรีเทล บริหารศูนย์การค้ารวม 42 แห่ง และคอมมูนิตี้มอลล์ 15 แห่ง พื้นที่เช่ารวม 2.3 ล้านตร.ม. ปัจจุบันมีอัตราการเช่า (OCC Rate) 91%

  • มีผู้คนมาใช้บริการที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศกว่า 500 ล้านครั้งต่อปี
  • กลุ่มนักท่องเที่ยว มาเยือนกว่า 67 ล้านครั้งต่อปี อาทิ ชาวจีน รัสเซีย ซาอุดีอาระเบีย มาเลเซีย

2. ธุรกิจที่อยู่อาศัย มีโครงการอยู่ระหว่างขาย และโอนกรรมสิทธิ์ จำนวน 30 โครงการ (คอนโด 16 แห่ง และแนวราบ 14 แห่ง)

  • คอนโดมิเนียมติดศูนย์การค้าเซ็นทรัลได้รับความนิยมสูง ทั้งเอสเซ็นท์ นครสวรรค์ และเอสเซ็นท์ นครปฐม ขายหมดอย่างรวดเร็วนับเป็นการเติบโตท่ามกลางความท้าทายสวนทางภาพรวมตลาดวงการอสังหาฯ

3. ธุรกิจโรงแรม บริหารรวม 10 โรงแรม จำนวน 1,681 ห้อง มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยทั้งปี (OCC Rate) 70%

  • Hilton Pattaya ทำอัตราค่าห้องพัก รายได้เฉลี่ยต่อห้อง และรายได้สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
  • โรงแรมเซ็นทารา โคราช, อยุธยา, อุดร, อุบล ล้วนมี Performance ดีเยี่ยม
  • การเปิดตัวแบรนด์ใหม่ล่าสุด Hilton Garden Inn Rayong บนทำเลศักยภาพติดกับศูนย์การค้าเซ็นทรัล ระยอง ไลฟ์สไตล์ เดสติเนชั่นที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด

4. ธุรกิจอาคารสำนักงาน (ออฟฟิศ) มีทั้งหมด 10 อาคาร คิดเป็นพื้นที่เช่า 314,654 ตร.ม. ทำ Occupancy Rate 90% (ณ สิ้นปี 2567) สวนทางตลาดที่กำลังซบเซา

  • ออฟฟิศติดศูนย์การค้า ตอบโจทย์การใช้ชีวิตครบวงจรที่ดีที่สุด ทั้ง 10 แห่งรอบกรุงเทพฯ
  • centralwOrld Offices ใจกลางเมืองได้รับความนิยมสูง
]]>
1513096
ย้อนรอย ‘JD Central’ ยักษ์ใหญ่ที่กำลังโบกมือลาอีคอมเมิร์ซไทยตามรอย ‘11Street’ https://positioningmag.com/1417229 Mon, 30 Jan 2023 09:27:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1417229 หากพูดว่าตลาด อีคอมเมิร์ซ ไม่หมูก็คงไม่เกินจริงนัก เพราะมองจากข้างนอกก็คงจะเห็นว่าแต่ละแพลตฟอร์มนั้นเผาเงินทำการตลาดรวมถึงโปรโมชันต่าง ๆ กันหนักมาก นับเฉพาะแค่ ดับเบิลเดย์ ที่มีให้เห็นแทบทุกเดือนนักช้อปเคยชินกันไปแล้ว ดังนั้น สายป่าน ไม่ยาวจริงก็คงต้องยกธงขาวยอมแพ้ไป เหมือนที่ 11Street เคย และ JD Central ที่กำลังจะไป

ก่อนมี JD Central เคยมี 11Street มาก่อน

ย้อนไปเมื่อปี 2012 ผู้เล่นอีคอมเมิร์ซรายแรกสุดที่เข้ามาทำตลาดในไทยก็คือ ลาซาด้า (Lazada) แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ทำตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนกระทั่งในปี 2014 ลาซาด้าก็ได้ถูก อาลีบาบา (Alibaba) บริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของจีนมาซื้อไป ซึ่งนั่นก็ยิ่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับแพลตฟอร์มในการที่จะ เผาเงิน ทำโปรโมชันในตลาดอีคอมเมิร์ซไทย

หลังจากที่ลาซาด้าทำตลาดได้ 2 ปี ช้อปปี้ (Shopee) แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของ ซี กรุ๊ป (Sea Group) สตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นของภูมิภาคที่เป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม Garena ที่คอเกมบ้านเราน่าจะคุ้นเคยกันดี อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ถือหุ้นใหญ่ใน Sea Group ก็คือ เทนเซ็นต์ (Tencent) บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน พูดง่าย ๆ ว่า 2 แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ต่างมีแบ็กจากจีนทั้งหมด

ถัดมาในปี 2016 ก็มีอีคอมเมิร์ซสัญชาติเกาหลีใต้ลองของเข้ามาทำตลาดในไทยโดยใช้ชื่อว่า อีเลฟเว่น สตรีท (11Street) ที่มี เอสเคเพลนเน็ท ถือหุ้นใหญ่ภายใต้กลุ่ม เอสเค เทลเลคอม ช่วงแรกใช้เงินกว่า 1,000 ล้านบาทในการลงทุน ในจำนวนนี้เป็นงบการตลาดมากถึง 300 ล้านบาท ถึงขนาดดึงซุปตาร์จากเกาหลี ซงจุงกิ ประกบนักแสดงสาว มิว–นิษฐา จิรยั่งยืน มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่ที่สุดก็ต้อง ม้วนสื่อกลับบ้าน หลังเข้ามาเปิดธุรกิจเพียงสองปีเศษเท่านั้น

5 ปีในตลาดของ JD Central ยังห่างชั้นผู้นำ

หลังจากที่อีเลฟเว่น สตรีท ต้องยอมแพ้ มาปี 2018 ก็มีผู้เล่นคนใหม่เข้ามาในตลาดอีคอมเมิร์ซไทยซึ่งก็คือ JD Central (เจดี เซ็นทรัล) โดยที่หลายคนเชื่อว่าจะมาสามารถแข่งกับ 2 แพลตฟอร์มเจ้าตลาดได้ เพราะเป็นการร่วมทุนของ JD.Com อีคอมเมิร์ซเบอร์ 2 ของจีนที่อยู่ในตลาดนานกว่า 20 ปี และ เซ็นทรัล กรุ๊ป โดยการร่วมทุนครั้งนี้มีวงเงินกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 17,500 ล้านบาท ทำให้ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยกลายเป็นพื้นที่ขับเคี่ยวของทุนยักษ์ใหญ่จากจีน

แน่นอนว่าการแข่งขันของตลาดอีคอมเมิร์ซไทยนั้นดุเดือดมาก อย่างลาซาด้าเองก็ขาดทุนมาโดยตลอด หากนับเฉพาะปี 2017-2019 ลาซาด้า ขาดทุนสะสมถึง 6,920 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ลาซาด้านับเป็นอีคอมเมิร์ซรายเดียวที่สามารถทำกำไร โดยในปี 2020 มีกำไรที่ 226.9 ล้านบาท และในปี 2022 มีกำไรประมาณ 3,200 ล้านบาท จากรายได้รวม 38,000 กว่าล้านบาท ส่วนตัว ช้อปปี้ เองเฉพาะปี 2021 ขาดทุนประมาณ 4,900 กว่าล้านบาท จากรายได้ทั้งกลุ่มอยู่ที่เกือบ 43,000 ล้านบาท

ตัดมาที่ JD Central ที่เรียกได้ว่ายังห่างชั้นกับ 2 เจ้าใหญ่อย่างมาก แม้ว่าในปี 2021 แพลตฟอร์มพยายามจะรีแบรนด์ แถมยังได้ ก่อลาภ สุวัชรังกูร ผู้บุกเบิกตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ประเทศไทยทั้ง LINE MAN และ Gojek มานั่งตำแหน่งประธานบริหารฝ่ายการตลาดคนใหม่แทนที่ รวิศรา จิราธิวัฒน์ ที่ไปดำรงตำแหน่งประธานบริหารฝ่ายการตลาด บจก.สรรพสินค้าเซ็นทรัลแทน

แต่จากข้อมูลจากเว็บไซต์ ipricethailand.com ระบุว่า ในช่วง Q1/2022 JD Central มีผู้เข้าชมเว็บไซต์เพียง 2 ล้านกว่าราย ขณะที่ช้อปปี้มีอยู่ที่ 56 ล้านราย และลาซาด้าอยู่ในระดับ 36 ล้านราย ขณะที่ปี 2021 มีรายได้รวม 7,443 ล้านบาท ขาดทุน 1,930 ล้านบาท โดยปัจจุบัน ก่อลาภได้ย้ายไปเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารที่บริษัท โอ ช้อปปิ้ง จำกัด หลังจากที่ร่วมงานกับ JD CENTRAL ได้ประมาณ 1 ปี

เปิดใจ ‘ก่อลาภ’ กับภารกิจดัน ‘JD CENTRAL’ เทียบชั้น 2 เจ้าตลาด

2022 เริ่มเห็นสัญญาณไม่ดี

มาปี 2022 หลายคนน่าจะสังเกตว่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยไม่ค่อยคึกคัก หลังจากที่ตลาดอีคอมเมิร์ซเติบโตอย่างมากในช่วงที่ COVID-19 ระบาด แต่ในปี 2022 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจทั่วโลกก็เจอกับปัญหาเงินเฟ้อ ดังนั้น จะเห็นว่าบริษัทเทคโนโลยีหลายรายได้รับผลกระทบ อย่าง Sea Group ก็ต้องปลดคนงาน พร้อมกับยุติการขยายธุรกิจอีคอมเมิร์ซใน 4 ประเทศ ได้แก่ ชิลี โคลอมเบีย เม็กซิโก และอาร์เจนตินา

ขณะที่ JD.com เองก็มีข่าวว่าบริษัทได้เลิกจ้างพนักงานกว่า 200 คน เพื่อลดค่าใช้จ่าย และได้เรียกผู้บริหารระดับสูงในไทยกลับประเทศจีนหลายราย หลังจากธุรกิจในไทยนั้นโตไม่ได้ตามเป้า โดยรวมแล้ว JD.Com ขาดทุนสูงถึง 5 หมื่นล้านบาท จากการทำตลาดในประเทศไทยและอินโดนีเซีย

ส่งผลให้ในช่วงช่วงปลายปี 2022 มีข่าวว่า JD.com เตรียม ถอนตัวจากไทยและอินโดนีเซีย เพื่อขอกลับไปเน้นธุรกิจในจีนเป็นหลักจากเดิมที่เคยต้องการบุกตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนกระทั่งล่าสุด JD Central ได้ประกาศยุติกิจการในไทยโดยมีผล 3 มี.ค. 2023 เป็นต้นไป ปิดฉาก 5 ปีในตลาดอีคอมเมิร์ซไทย

JD.com เตรียมถอนตัวจากไทยและอินโดนีเซีย หลังจากนี้เน้นธุรกิจในจีนเป็นหลัก

ทิศทางออนไลน์ของเซ็นทรัลจากนี้

ที่ผ่านมา กลุ่มเซ็นทรัลได้วางโรดแมปในการเข้าสู่อีคอมเมิร์ซเต็มตัว โดยก่อนที่จะร่วมทุนกับ JD.Com บริษัทได้เข้าซื้อ ออฟฟิศเมท ในปี 2012 แล้วเปลี่ยนโฉมออฟฟิศเมทเป็นบริษัท ซีโอแอล จำกัด (มหาชน) ในปี 2015 จากนั้นก็ล้างภาพจำออฟฟิศเมทที่จำหน่ายของใช้ในสำนักงานจนกลายเป็นแพลตฟอร์ม เซ็นทรัล ออนไลน์ (Central Online) อย่างเต็มตัว ซึ่งจำนวนผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ใน Q1/2022 นั้นอยู่ที่ 2.5 ล้านราย นับเป็น อันดับ 3 ซึ่งสูงกว่า JD CENTRAL แพลตฟอร์มที่ร่วมทุนกับ JD.Com เสียอีก

และในส่วนของ Central App ก็มีอัตราการเติบโตของยอดดาวน์โหลดเพิ่มมากกว่า 60% จากปี 2021 และคาดว่าในปี 2022 จะมีสมาชิกมากกว่า 5 ล้านคน โดยในฝั่งของแพลตฟอร์มเซ็นทรัล ออนไลน์นี้ ทางเซ็นทรัลก็ได้วางตัวว่าจะเน้นจับ กลุ่มสินค้าพรีเมียม ซึ่งจะแตกต่างจากแพลตฟอร์มใหญ่ ๆ ที่เน้นขายสินค้าแมสมากกว่า

สรุป คงไม่ใช่แค่เรื่องการแข่งขันที่ทำให้ JD.Com ตัดสินใจถอนตัวออกจากไทย แต่ภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกที่ส่งผลกระทบต่อตัวบริษัทแม่เอง รวมถึงตลาดอีคอมเมิร์ซไทยก็ชะลอการเติบโตลงหลังจากที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงที่ COVID-19 ระบาด โดยศูนย์วิจัยกสิกรฯ คาดว่า ในปี 2023 ภาพรวมของตลาดอีคอมเมิร์ซแบบ B2C คาดว่าตลาดอาจขยายตัวราว 4-6% ซึ่งต่ำสุดเมื่อเทียบกับ 3 ปีที่ผ่านมาที่ขยายตัวเฉลี่ย 26% ต่อปี ดังนั้น หากยื้อต่อไปก็จะยิ่งเจ็บตัวเปล่า ๆ

]]>
1417229
CPN คัมแบ็คสร้างแบรนด์ผ่าน “เซ็นทรัลพัฒนา” รีแบรนด์ชื่อศูนย์ฯ เป็น “เซ็นทรัล” ทั้งหมด https://positioningmag.com/1374872 Tue, 22 Feb 2022 12:54:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1374872 เซ็นทรัลพัฒนา หรือ CPN ขอกลับมาสร้างแบรนด์ผ่านชื่อเซ็นทรัลพัฒนาเป็นหลัก เป็นการสร้างจุดยืนนักพัฒนาโครงการ พร้อมกับการรีแบรนด์ชื่อศูนย์การค้าเป็นเซ็นทรัลเหมือนกันทั้งหมด ไม่มีเซ็นทรัลพลาซ่า และเซ็นทรัล เฟสติวัลอีกต่อไป

สร้างจุดยืนในการพัฒนา

ก่อนหน้านี้เซ็นทรัลพัฒนา หรือเราจะคุ้นเคยกับการเรียกว่า CPN เสียมากกว่า เนื่องจากเป็นชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์ฯ และเป็นชื่อย่อที่เรียกง่าย ทำให้แบรนด์ดิ้งของเซ็นทรัลพัฒนาถูกสร้างผ่าน CPN เสียส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการออกสื่อ ออกข่าว ล้วนใช้ชื่อ CPN

เซ็นทรัลพัฒนาได้เริ่มใช้ชื่อย่อ CPN ตามตัวย่อในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่ปี 2538 หรือราวๆ 27 ปีแล้ว ในแง่ของการทำข่าว หรือการสื่อสาร ค่อนข้างเป็นชื่อที่จำง่าย เขียนง่าย และดูเป็นสากล

แต่ว่าตั้งแต่ปี 2564 ที่ผ่านมา เซ็นทรัลพัฒนาเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงการสื่อสาร โดยกลับมาใช้ชื่อเซ็นทรัลพัฒนาเป็นหลัก ทั้งในการสร้างแบรนด์ และการออกสื่อ เริ่มตั้งแต่ต้นปี 2564 ที่ผ่านมา เหตุผลที่กลับมาใช้ชื่อนี้เป็นหลัก ก็เพื่อต้องการสื่อสารถึงสปิริตในการเป็นนักพัฒนาโครงการต่างๆ นั่นเอง

แต่ส่วนชื่อ CPN ก็ยังเป็นตัวย่อในตลาดฯ ดังเดิม เพียงแต่ไม่ได้นำมาใช้ในการสื่อสารออกข่าว หรือสร้างแบรนด์เป็นหลัก

รีแบรนด์ชื่อศูนย์ฯ เป็นเซ็นทรัลทั้งหมด

อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงสำคัญก็คือ ทางเซ็นทรัลพัฒนาได้รีแบรนด์ชื่อศูนย์การค้าทั้งหมดให้เป็นเซ็นทรัล และตามด้วยจังหวัด หรือสาขานั้นๆ จากที่แต่เดิมจะมีการแบ่งเซ็กเมนต์เป็นเซ็นทรัลพลาซ่า และเซ็นทรัลเฟสติวัล

โดยที่เซ็นทรัลพลาซ่า ส่วนใหญ่จะอยู่ในโลเคชั่นทั่วๆ ไป เช่น เซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว, เซ็นทรัลพลาซ่า รามอินทรา ส่วนเซ็นทรัลเฟสติวัล จะอยู่ในโลเคชั่นที่เป็นเมืองท่องเที่ยว เช่น เซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่ หรือเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่ เป็นต้น

เซ็นทรัลพัฒนาได้เริ่มทยอยรีแบรนด์ชื่อมาตั้งแต่ปี 2564 เช่นกัน เริ่มจากการสื่อสารต่างๆ ที่เรียกศูนย์การค้าเป็นเซ็นทรัลเหมือนกันทั้งหมด สำหรับป้ายชื่อศูนย์การค้าอาจจะมีการเปลี่ยน แต่ต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะต้องใช้งบประมาณเยอะ

เหตุผลที่มีการรีแบรนด์ชื่อนั้น ทาง ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ได้เล่าว่า

“เซ็นทรัลพัฒนามีการเปลี่ยน Identity เป็นการวางจุดยืน Center of Life ศูนย์กลางการใช้ชีวิตของทุกคน และทุกชุมชนที่โครงการเราไปตั้งอยู่ คำว่าเซ็นทรัลจึงมาจากคำว่า Centrality และเราให้ความสำคัญกับที่ดิน หรือโลเคชั่นนั้นๆ ต้องการสื่อว่าเราเป็นศูนย์กลางของสถานที่นั้นๆ ที่เราไปตั้ง”

วัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)

สำหรับปีนี้ทางเซ็นทรัลพัฒนาได้มีการจัดทัพใหม่ แต่งตั้ง วัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ถือว่าเป็น CEO หญิงคนแรกของเซ็นทรัลพัฒนา

พร้อมกับวางงบลงทุน 120,000 ล้านบาทใน 5 ปี (2022-2026) ลงทุนโครงการ Mixed-use Development ใหม่ และพลิกโฉมโครงการปัจจุบัน โดยจะครอบคลุมมากกว่า 30 จังหวัด โดยให้ศูนย์การค้าเป็นแกนหลักรวม 50 โครงการ เติมเต็มด้วยฟอร์แมตและเทรนด์ใหม่, ที่พักอาศัย 68, อาคารสำนักงาน 13 โครงการ และโรงแรม 37 โครงการ

]]>
1374872
เมื่อ ‘สัตว์เลี้ยง’ ตลาดใหญ่ไร้ผู้นำ ‘เซ็นทรัล’ เลยส่ง ‘PET ‘N ME’ เพ็ทช็อปครบวงจรชิงตำแหน่ง https://positioningmag.com/1365864 Wed, 08 Dec 2021 11:35:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1365864 คงไม่ต้องบอกว่าตอนนี้ ‘ตลาดสัตว์เลี้ยง’ ร้อนแรงแค่ไหน เพราะขนาด ‘เฮียฮ้อ’ แห่ง ‘อาร์เอส’ ยังเอาด้วยโดยเปิดตัวแบรนด์อาหารสัตว์ ‘Lifemate (ไลฟ์เมต)’ หรือแม้แต่ 1 ใน 3 ร้านค้าออนไลน์ในลาซาด้าที่โกยยอดขายหลักล้านภายในวันเดียวก็เป็นร้านขายอาหารและอุปกรณ์สำหรับสัตว์เลี้ยง ล่าสุด ‘เซ็นทรัล’ เองก็ขอขยับเข้ามาสู่ตลาดเต็มตัวโดยเตรียมเปิด ‘PET ‘N ME’ Specialty Store สัตว์เลี้ยงครบวงจร ว่าแต่ทำไมตลาดสัตว์เลี้ยงถึงมาได้รับความนิยมเอาตอนนี้เราจะไปเจาะลึกกัน

ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่เลี้ยงสัตว์แทนลูก

หากคนทั่วไปที่ไม่ใช่ทาสหมาทาสแมวคงจะไม่รู้ว่าเหล่าทาสหมดเงินไปกับสัตว์เลี้ยงเฉลี่ยเดือนละกว่า 4,000 บาท โดยปัจจุบันตลาดสัตว์เลี้ยงมีมูลค่าถึง 40,000 ล้านบาท เติบโตราว 10% ต่อเนื่องตลอด 5 ปี โดยแบ่งเป็น

  • อาหารสัตว์ 70%
  • บริการ และการรักษา 20 – 30%
  • แฟชั่น และสินค้าไลฟ์สไตล์ 5%

สำหรับปัจจัยที่ทำให้ตลาดสัตว์เลี้ยงเติบโตก็เพราะ ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็น

  • โสดมากขึ้น หลายประเทศทั่วโลกคนแต่งงานช้าลง และเป็นโสดมากขึ้น อย่างในไทยข้อมูลการจดทะเบียนสมรสของกรมการปกครองพบว่าจากปี 2550 เทียบกับปี 2560 จำนวนการจดทะเบียนสมรสลดลง 5.1%
  • คู่รักไม่มีลูก หากอ้างอิงจากอัตราการเกิดในไทยปี 2564 เกิดต่ำกว่า 6 แสนคนครั้งแรกในรอบ 3 ปี และมีแนวโน้มจะลดลงอีก ซึ่งคนมีคู่หลายคนเลือกจะไม่มีลูก รวมถึงคู่รักกลุ่ม LGBTQ+ ที่ไม่สามารถมีลูกได้ ดังนั้น การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงแทนถือเป็นอีกทางเลือก
  • สังคมสูงวัย ไทยกำลังจะเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศแรกของโลกที่ก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุแบบสมบูรณ์ (Aged Society) ในปี 2565 ปัจจุบัน ประชากรอายุ 60 ปีขึ้น มีสัดส่วน 10% ของประชากรทั้งประเทศ และการเลี้ยงสัตว์ไว้คลายเหงา ก็เป็นหนึ่งในเทรนด์
  • อยู่บ้านมากขึ้น เมื่อ COVID-19 ทำให้คนอยู่บ้านมากขึ้น หลายคนเลือกที่จะเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเพื่อเป็นเพื่อนเพื่อคลายเหงา
  • Social Media จะเห็นถึงการเติบโตของเพจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงที่มียอดผู้ติดตามเป็นหลักล้าน ซึ่งความน่ารักของเหล่าสัตว์เลี้ยงเซเลบก็อาจจะตกให้หลายคนหันมาเลี้ยงสัตว์มากขึ้น
  • ความต้องการสินค้าหลากหลายขึ้น เช่น เตียง ชุด เริ่มมีขายเยอะขึ้น การดูแลก็ดีขึ้น มีสปา ต้องให้วิตามิน มีโรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มตาม จะเห็นว่าองค์ประกอบต่าง ๆ ทำให้ดูน่าสนใจมาก

ตลาดใหญ่ไร้ผู้นำ

จะเห็นว่าตลาดสัตว์เลี้ยงถือเป็นตลาดที่ใหญ่ และมีปัจจัยบวกจำนวนมาก แต่ที่น่าสนใจคือ ยังไม่มีผู้นำตลาดชัดเจน เพราะ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้เล่นรายย่อยและร้านแบบครบวงจรก็มีน้อย ส่วนใหญ่มี 1-2 สาขาเท่านั้น ดังนั้น ทาง เซ็นทรัล เลยถือโอกาสเปิดตัวแบรนด์ใหม่ PET ‘N ME เพื่อรุกตลาดสัตว์เลี้ยงเพิ่มเติม จากเดิมที่เคยมีแบรนด์อย่าง PETSTER และ Cool Pets

สำหรับ PET ‘N ME จะเป็น Specialty Store สัตว์เลี้ยงครบวงจร ของเซ็นทรัล รีเทล ขณะที่ PETSTER จะเป็นโซนจำหน่ายอาหารและของใช้สำหรับสัตว์ในเครือ ท็อปส์ เน้นจับกลุ่มลูกค้าทั่วไป ส่วน Cool Pets เป็นโซนจำหน่ายอาหาร ของเล่น ของใช้โดยจะเปิดในโซนห้างเซ็นทรัล ปัจจุบันมี 7 สาขา

โดยคอนเซ็ปต์ PET ‘N ME คือ pet lover community โดยจะมีโซนขายอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยง, โซนอุปกรณ์สำหรับสัตว์เลี้ยง grooming ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นขน รวมกว่า 6,000 รายการ มีโซน other pet ไว้บริการ เช่น บริการตรวจเช็กสุขภาพ อาบน้ำ ตัดขน และสปา มีพื้นที่ pet park สามารถพาสัตว์เลี้ยงมาวิ่งเล่นได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และมี cafe จาก Arigato ให้บริการเครื่องดื่มและอาหารทานเล่น

ลูกค้า The one card กว่า 18 ล้านคน มีราว 4 แสนคนที่ซื้อสินค้าเกี่ยวกับสัตว์ แนวโน้มก็เริ่มมาใช้เงินกับสัตว์เลี้ยงมากขึ้น เราเห็นเทรนด์ว่ามันเพิ่มขึ้นแน่นอน และเรามองว่าตอนนี้ไม่มีใครให้ประสบการณ์กับลูกค้าได้ครบ” ไท จิราธิวัฒน์ รองประธานฝ่ายการเงิน บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ เซ็นทรัล รีเทล กล่าว

ปักเป้า พันล้าน ปีแรก ขยาย 50 สาขาใน 5 ปี

เบื้องต้น PET ‘N ME เปิดสาขาแรกที่เซ็นทรัลเวสต์เกต และจะขยายให้ได้ 50 สาขาภายใน 3-5 ปี เน้นเปิดในศูนย์การค้า หรือติดกับศูนย์การค้า ทั้งของเซ็นทรัลพัฒนา,​ โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ และใน Community Mall ที่เซ็นทรัลพัฒนาซื้อกิจการจากสยามฟิวเจอร์ดีเวลลอปเมนท์​ (SF) โดยวางไว้ 4 รูปแบบ คือ

  • ร้านขนาดเล็ก 100 – 150 ตารางเมตร จำนวน 25 – 30 สาขา
  • ร้านขนาดกลาง 300 – 400 ตารางเมตร จำนวน 10 – 15 สาขา
  • ร้านขนาดใหญ่ 600 – 700 ตารางเมตร จำนวน 8 สาขา
  • Flagship 1,000 ตารางเมตร จำนวน 2 สาขา

และในปีหน้า PET ‘N ME จะเดินกลยุทธ์แบบ Omnichannel โดยเปิดช้อปออนไลน์ที่มีสินค้ากว่า 10,000 รายการควบคู่กันไป สามารถซื้อออนไลน์, Click and Collect สั่งออนไลน์รับของที่ร้าน หรือส่งด่วนใน 2 ชั่วโมง รวมถึงสามารถคุยกับพนักงานผ่านโทรศัพท์หรือไลน์เพื่อให้ช่วยเลือกสินค้าได้ด้วย โดยภายในปีแรกตั้งเป้ารายได้ที่ 1,000 ล้านบาท

เล็งจับพาร์ตเนอร์ขยายบริการ

PET ‘N ME มีแผนที่จะต่อยอดไปบริการอื่น ๆ เช่น สร้างช่องทางออนไลน์ให้เป็น Community คนรักสัตว์ โดยสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนกับผู้เชี่ยวชาญได้ รวมถึงเพิ่มบริการ ฝึกสัตว์เลี้ยง ซึ่งทาง PET ‘N ME จะเน้น ‘จับมือ’ กับผู้เชี่ยวชาญที่ให้บริการในด้านนั้น ๆ อาทิ โรงพยาบาลสัตว์, สถานที่รับฝากสัตว์เลี้ยง, Training Center เป็นต้น

หากดูจากแผนแล้วก็ต้องถือว่าเซ็นทรัลรุกหนักตลาดสัตว์เลี้ยง แต่ต้องยอมรับว่าไม่ใช่แค่เซ็นทรัลที่เห็นโอกาส เพราะอาร์เอสเองก็ประกาศว่าไม่หยุดแค่อาหารสัตว์แน่นอน ที่น่าห่วงอาจเป็นผู้เล่นรายย่อยที่ต้องเจอคู่แข่งสุดแข็งที่ทุนหนากว่ามาแย่งลูกค้า

]]>
1365864
พลิกโฉม “โรบินสันขอนแก่น” สู่ “ห้างเซ็นทรัล” ชิพท์แบรนด์ในเครือ จับโลเคชั่นทำเลทอง https://positioningmag.com/1365835 Wed, 08 Dec 2021 09:15:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1365835 ห้างเซ็นทรัลเดินหน้าชิพท์แบรนด์ในเครือ ปรับโฉม “โรบินสัน” เป็น “ห้างเซ็นทรัล” ล่าสุดปรับโรบินสันขอนแก่น เป็นห้างเซ็นทรัล ถือเป็นศูนย์ที่ 3 ที่มีการเปลี่ยนแบรนด์ เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 64 ที่ผ่านมา

ใช้แบรนด์ “เซ็นทรัล” จับทำเลทอง

หลังจากที่เมื่อต้นปี 2563 ทางกลุ่มเซ็นทรัลได้ปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ โดยได้รวมธุรกิจค้าปลีกอยู่ในบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC และเปิด IPO ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ รวมถึงได้เสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของ ROBINS หรือห้างโรบินสัน เท่ากับว่าได้ควบรวมโรบินสันอยู่ภายใต้ CRC อย่างเป็นทางการ

ทำให้ CRC มีแบรนด์กลุ่มห้างสรรพสินค้าในเครือทั้งห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และโรบินสัน ซึ่งทาง CRC ก็ได้ทำการจัดพอร์ตใหม่ พร้อมกับกลยุทธ์การเปลี่ยนแบรนด์ โรบินสัน ให้เป็นเซ็นทรัล พิจารณาจากทำเลที่ตั้ง กลุ่มลูกค้าที่อาศัยในโซนนั้น

CRC ได้ประเดิมเปลี่ยน “โรบินสัน เมกาบางนา” เป็น “ห้างเซ็นทรัล เมกาบางนา” แห่งแรก เมื่อช่วงเดือนก.ค. 2563 หลังจากเปิดให้บริการมา 8 ปี เพื่อจับโซนทำเลศักยภาพย่านบางนา-ตราด เป็นทำเลทองที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูงด้วย

แต่เดิมโรบินสัน เมกาบางนามีพื้นที่รวม 13,000 ตารางเมตร ทำเลที่ตั้งอยู่ในย่านเศรษฐกิจ มีหมู่บ้านจัดสรรใหญ่ๆ รายล้อม 18 โครงการ และมีที่พักอาศัยอยู่กว่า 70,000 ครัวเรือน มีประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเป็นประตูสู่ภาคตะวันออก โดยกลุ่มที่อาศัยอยู่ย่านนั้นส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยทำงาน มีกำลังซื้อค่อนข้างสูง

CENTRAL KHON KEAN

เท่ากับว่า CRC มียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนในการใช้แบรนด์ “เซ็นทรัล” บุกทำเลทอง ทำเลศักยภาพ หรือหัวเมืองใหญ่ๆ ส่วนแบรนด์ “โรบินสัน” เจาะทำเลภูมิภาค เป็นการปรับโมเดลธุรกิจใหม่ให้สอดรับกับการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจทั้งระบบ ทั้งระดับจังหวัด และชุมชนโดยรอบ

หลังจากนั้นก็ได้ปรับโฉม “โรบินสันอุดรธานี” เป็นห้างเซ็นทรัลเป็นแห่งที่ 2 ในปีที่แล้วเช่นกัน ตอนนี้ยังไม่มีเปลี่ยนจากห้างเซ็นทรัลเป็นโรบินสัน

“ห้างเซ็นทรัลขอนแก่น” ทรานส์ฟอร์มแห่งที่ 3

ในปีนี้ทาง CRC ได้ปรับโฉมโรบินสัน เป็นห้างเซ็นทรัลอีก 1 สาขา เป็นคิวของ “โรบินสันขอนแก่น” ได้เปิดให้บริการ “ห้างเซ็นทรัลขอนแก่น” CENTRAL KHON KEAN อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 64

โอลิวิเยร์ บรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มห้างสรรพสินค้า ในเครือเซ็นทรัลรีเทล กล่าวว่า 

ห้างโรบินสันขอนแก่น เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2552 เป็นห้างที่อยู่เคียงข้างลูกค้าชาวขอนแก่น และจังหวัดใกล้เคียง สอดรับกับไลฟ์สไตล์ และพฤติกรรมลูกค้าทั้งยังรองรับกำลังซื้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ด้วยการพลิกโฉม “โรบินสันขอนแก่น เปลี่ยนเป็น ห้างเซ็นทรัลขอนแก่น” ซึ่งเป็นห้างเซ็นทรัล สาขาที่ 25 และลำดับที่ ของภาคอีสาน เตรียมพร้อมต้อนรับลูกค้าท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว”

CENTRAL KHON KEAN

การปรับโฉมในครั้งนี้มีการดีไซน์ด้วยการดึงเสน่ห์ของวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของภาคอีสาน ผ่านการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “Isan Playground” สนามช้อปปิ้งสุดสนุกของภาคอีสาน บนพื้นที่กว่า 15,508 ตร.ม. ตกแต่งภายในด้วยการนำวัสดุธรรมชาติมาใช้ พร้อมๆ กับส่งเสริมสินค้าจากท้องถิ่นอีสาน

อาทิ กลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์พื้นเมืองบ้านดินทรายอ่อน ที่ออกแบบผ้าทอ ผ้าไหมมัดหมี่ และผ้าฝ้าย รวมทั้งวัสดุอื่นๆ อย่าง ผ้าทอลาย เชือกถัก หวายสาน และโครงไม้ไผ่ ผสานกับสีสันสดใสที่ได้แรงบันดาลใจจากลวดลายผ้าทอพื้นบ้าน สร้างมู้ดบรรยากาศ ออกแบบดีไซน์แต่ละชั้น ให้เดินช้อปเพลินไม่รู้จบราวกับอยู่ในสวนสนุก

พร้อมทั้งมีไฮไลต์บริเวณโถงกลาง ของชั้น 1 ที่ออกแบบเป็นศาลาไม้ไผ่สาน พร้อมนำต้นคูน ต้นไม้ประจำจังหวัดขอนแก่น ขนาด 4 x 4 เมตร ตั้งตระง่านกลางห้าง ชูความสวยงามเป็นแลนด์มาร์กแห่งภาคอีสานที่มีเอกลักษณ์และมีความโดดเด่นของจังหวัด

ขอนแก่น จังหวัดศักยภาพ

การเปิดห้างเซ็นทรัลขอนแก่นครั้งนี้ ยังสอดรับกับความพร้อมของศักยภาพจังหวัดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีประชากรมากเป็นอันดับที่ 3 ของภาค มีความโดดเด่นหลายด้าน ทั้งเป็นเมืองด้านการศึกษา มีแหล่งท่องเที่ยวและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์

เป็นศูนย์กลาง Medical hub เป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ และในอนาคตจะมีรถไฟความเร็วสูง หรือรถไฟทางคู่ในจังหวัดขอนแก่นที่มีการวางแผนสร้างรถไฟรางเบา และยังมีเป้าหมายสู่การเป็นเมืองแห่งการประชุมและสัมมนา (MICE CITY)

CENTRAL KHON KEAN

ภายใน 3 ปี จึงจะทำให้มีผู้เดินทางมาที่จังหวัดขอนแก่นมากขึ้น ทาง CRC จึงเล็งเห็นโอกาสในการต่อยอดอุตสาหกรรมค้าปลีกและการท่องเที่ยวไทย ที่จะสามารถเชื่อมโยงและกระจายวงกว้างออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านต่อไปได้อีก

]]>
1365835