เฮียฮ้อ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 16 Aug 2024 08:10:23 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เจาะ 3 กลยุทธ์ ‘Content to Commerce’ ฉบับ ‘RS’ ที่ไม่ใช่แค่เอาศิลปินมาขายของ https://positioningmag.com/1486590 Fri, 16 Aug 2024 06:27:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1486590 อย่างที่รู้กันว่า อาร์เอส (RS) ในยุคใหม่ แม้จะกลับมาทำธุรกิจเพลงอีกครั้ง แต่ธุรกิจที่โดดเด่นในช่วงหลัง ๆ มาก็คือ คอมเมิร์ซ หรือก็คือฝั่งของ RS LiveWell อาทิ แบรนด์ well u, Vitanature+, Lifemate และ Camu C แต่ล่าสุด บริษัทได้เพิ่มแบรนด์ใหม่อีก 3 แบรนด์ และย้ำถึงการใช้กลยุทธ์ Content to Commerce ในแบบอาร์เอสจะเป็นอย่างไร

เปิด 3 แบรนด์ใหม่ให้คลุมทุกกลุ่มสินค้า

หากพูดถึงการขายของแล้ว ใครที่มีทรัพยากรอย่าง ช่องทาง การจำหน่ายและ อินฟลูเอนเซอร์ ศิลปินคนดังในมือก็ถือว่าได้เปรียบกว่าอยู่แล้ว คำถามคือ จะหยิบจับทรัพยากรมาเปลี่ยนเป็นสินค้าอย่างไร ซึ่ง อาร์เอส ก็ได้แตกกลยุทธ์ Content to Commerce ไว้ 3 รูปแบบ ผ่าน 3 แบรนด์ ได้แก่ 

  • ปากท้อง
  • bbooty
  • TellmeDarling by Daring&Co.

“เราพยายามให้เฮาส์แบรนด์ครอบคลุมอยู่ในหลายกลุ่มสินค้า เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ซึ่งเรามีแต้มต่อคือ แพลตฟอร์มของตัวเอง เช่น  RS Mall และ ULife รวมถึงมีฟูลฟิลเมนต์กับซัพพลายเชนของตัวเอง”  กุ้ง – พรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส มิวสิค จำกัด กล่าว

พรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส มิวสิค จำกัด

น้ำพริกปากท้อง กับการ Co-Brand ธุรกิจในเครือ 

สำหรับกลยุทธ์ Strategic Partnerships จะเป็นการ Co-Brand ระหว่างธุรกิจในเครือ โดยบริษัทเลือกจะหยิบรายการ ปากท้องต้องรู้ ดูแล้วร้วยรวย รายการวาไรตี้เกี่ยวกับการนำเสนอนวัตกรรมของ SME รายย่อย ที่ฉายทางช่อง 8 ซึ่งมีกลุ่มแฟนคลับที่เหนียวแน่นกว่า 10 ล้านราย จนสามารถจัดงาน ปากท้องต้องรู้แฟร์ เพื่อเชื่อมระหว่างผู้ชมและ SME มาต่อเนื่อง 3 ปี

ด้วยกลุ่มฐานลูกค้าที่มี อาร์เอสจึงเริ่มดึงพิธีกรอย่าง เอ ไชยา-แป้ง ศรันฉัตร์ มิตรชัย ร่วมเป็นเจ้าของและพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกันจนเป็นแบรนด์ น้ำพริกปากท้อง โดยมีทั้งหมด 3 สูตร เพื่อเจาะ ตลาดน้ำซอสปรุงรสและน้ำพริก ในประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดใหญ่มูลค่าถึง 5.7 หมื่นล้านบาท เติบโต +8% 

“เรามองว่าตลาดนี้เป็นตลาดใหญ่และยังไม่มีผู้เล่นหลักที่ครองตลาดชัดเจน เราจึงกล้าเข้ามา และเริ่มจากน้ำพริกที่เป็นของแห้ง ทำให้สามารถเก็บได้นาน สามารถควบคุมคุณภาพได้ง่าย แต่อนาคตจะมีสินค้าอื่น ๆ แน่นอน” โบว์ – วรัญญา ราชพลสิทธิ์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส ลิฟเวลล์ จำกัด อธิบาย

จับใบเตย เดินตาม ริฮานน่า

อีกกลยุทธ์ก็คือ Star Commerce ดยเห็นต้นแบบอย่าง ริฮานน่า (Rihanna) นักร้องชื่อดังระดับโลกที่ก่อตั้งแบรนด์ Fenty Beauty ดังนั้น อาร์เอสจึงต้องการศิลปินที่มี Earned Media ที่แข็งแรง และต้องมี แพชชั่น เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ เพื่อมาเป็น เจ้าของผลิตภัณฑ์

โดยอาร์เอสเลือกจะดึง ใบเตย อาร์สยาม มาร่วมเป็นเจ้าของแบรนด์ bbooty เพื่อเจาะตลาด เครื่องสำอาง (Color Cosmetics) ที่มีมูลค่าถึง 20,087 ล้านบาท และเติบโตได้ถึง +33% และยังมีแนวโน้มที่จะโตขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในสินค้ากลุ่มประเภท Facial Makeup และ Lip Products

สาเหตุที่เป็น ใบเตย อาร์สยาม เพราะจากจำนวนผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียกว่า 6.5 ล้านบัญชี และส่วนใหญ่อายุประมาณ 20-35 ปี ซึ่งตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ นอกจากนี้ ใบเตยยังมี แพชชั่นที่อยากเป็นเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์ความงาม อีกด้วย

“หลายคนคงมีคำถามว่าทำไมต้องเป็นใบเตย แต่เราเชื่อในการให้โอกาส และการมีคนพูดถึง ถือว่าดีกว่าไม่มีใครพูดถึง ซึ่งโมเดลนี้เราจะแบ่งรายได้กับศิลปินตามแต่ละช่องทางที่ตกลงกัน ซึ่งถือเป็นการช่วยสร้างรายได้อีกทางให้ศิลปิน”  พรพรรณ อธิบาย

ดึง Tellme ทำ Brand Collaborations

กลยุทธ์สุดท้าย Brand Collaborations โดยใช้จุดแข็งของตัวเองรวมกับจุดแข็งของพาร์ทเนอร์ เพื่อต่อยอดธุรกิจให้กับแบรนด์ ซึ่งอาร์เอสได้ร่วมกับแบรนด์ Tellme ที่กำลังต้องการ รีแบรนด์ให้เด็กลง ส่วนอาร์เอสมีแบรนด์ Daring&Co. ซึ่งเป็นแบรนด์อาหารเสริมจับกลุ่มวัยรุ่น Gen Z จึงได้ร่วมกันทำแบรนด์ TellmeDarling by Daring&Co. ออกแป้งทาหน้าในกลุ่มของ Facial Makeup ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าราว 5,131.3 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 8.4%

นอกจากนี้ อาร์เอสจะใช้กลยุทธ์ Music Marketing โดยออกเพลง Tellme Darling โดยได้ เบิ้ล ปทุมราชลำไย ไหทองคำ เป็นผู้ขับร้อง เพื่อสร้างความคุ้นเคยให้ชื่อแบรนด์หรือชื่อสินค้ากลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้ฟัง เพื่อสร้าง Brand Awareness นอกจากนี้ ยังมีแผนจะทำการตลาดครบ 360 องศา ทั้งออนไลน์ และออนกราวด์ 

“ที่เราจับมือกับ Tellme เพราะเราอยากได้แบรนด์ที่เป็นตำนาน และจุดเด่นของ Tellme คือ การผลิตแป้งและช่องทางจัดจำหน่าย ซึ่งเราก็จะไปช่วยเขาในด้านมาร์เก็ตติ้ง เขาก็ไม่ต้องลงทุนตรงนี้ ส่วนเราก็ไม่ต้องลงทุนผลิตสินค้าเอง”

ไม่หวั่นพิษศก. มั่นใจคุณภาพ

แม้ว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะไม่ดี ขณะที่สถานะด้านการเมืองก็ยัง ไม่มั่นคง แต่ พรพรรณ เชื่อว่า บริษัทมีความ ยืดหยุ่นในการบริหารความเสี่ยง และทั้ง 3 แบรนด์ที่ออกใหม่ก็มีการบริหารความเสี่ยงตั้งแต่แรก นอกจากนี้ สินค้าทั้ง 3 แบรนด์ยังเน้นที่ คุณภาพ เพื่อลบภาพของ แบรนด์ดารามาแล้วไป

“ทุกธุรกิจเราคิดเรื่องความเสี่ยงแล้ว และมีความยืดหยุ่นในการปรับแผนตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งเราเชื่อว่าเรามีความเสี่ยงน้อยกว่าทุก ๆ คน และสินค้าที่เราทำ ไม่ใช่สินค้าที่ ผู้บริโภคกล้าเสี่ยงกับของถูก ดังนั้น เราไม่กังวลเรื่องจีน เพราะเราเน้นเรื่องคุณภาพ ฟังก์ชันนอล เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ไม่ได้ต้องการเป็นแค่แบรนด์ของดารา”

วรัญญา ราชพลสิทธิ์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส ลิฟเวลล์ จำกัด

วางเป้าโกย 1 พันล้าน พร้อมขยายไปตปท.

คาดการณ์สัดส่วนรายได้ของธุรกิจคอมเมิร์ซในปี 2567 อยู่ที่ 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็น

  • รายได้จากทั้ง 3 แบรนด์ใหม่ คาดว่าจะอยู่ที่ 250 ล้านบาท 
  • รายได้จากแบรนด์สินค้าอื่นๆ ของ RS LiveWell ประมาณ 750 ล้านบาท

โดยอีกโอกาสที่อาร์เอสมองก็คือ โมเดิร์นเทรด และบิวตี้สโตร์ รวมถึงการขยายไป ตลาดต่างประเทศ โดยจะเริ่มในกลุ่มประเทศ CLMV ปัจจุบันอาร์เอสได้รุกตลาดต่างประเทศแล้วก็คือ ฟิลิปปินส์ โดยปัจจุบัน รายได้จากต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 5-10% ของรายได้ฝั่งคอมเมิร์ซ

“เราอยากจะเน้นช่องทางตัวเอง แต่วางแผนจะเข้าออฟไลน์และต่างประเทศแล้ว เช่น โมเดิร์นเทรด และบิวตี้สโตร์ ซึ่งปัจจุบันตลาดฟิลิปปินส์เป็นตลาดที่มีโอกาสมาก เพราะประชากรส่วนใหญ่เป็นนิวเจน อยู่ในช่วงขาขึ้น และการบริโภคใกล้เคียงเรา นอกจากนี้ ฟิลิปปินส์ยังไม่ผลิตสินค้าเอง เน้นบริโภคซึ่งไทยมี OEM ที่คุณภาพดี” พรพรรณ ทิ้งท้าย

]]>
1486590
เปิดเบื้องหลังประวัติศาสตร์ ‘Grammy x RS’ แม้เป็นคู่แข่งแต่ไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรู https://positioningmag.com/1425197 Tue, 28 Mar 2023 11:23:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1425197 ถือเป็นประวัติศาสตร์ที่วงการเพลงต้องจดจำ เพราะในที่สุดแฟนเพลงก็จะได้เห็นคอนเสิร์ตร่วมกันครั้งแรกในรอบ 40 ปี ของ 2 ค่ายใหญ่อย่าง แกรมมี่ (Grammy) และ อาร์เอส (RS) จุดเริ่มต้น เบื้องลึก เบื้องหลัง และการร่วมมือจากนี้จะเป็นอย่างไร Positioning จะมาอธิบายให้ได้อ่านกัน

จีบกันไปกันมากว่า 5 ปี

ภาวิต จิตรกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจ จีเอ็มเอ็ม มิวสิค บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เล่าว่า สำหรับการร่วมมือของแกรมมี่และอาร์เอสมีการคุยกันมานานแล้วแต่หลาย ๆ อย่างยังไม่ลงตัว จนกระทั่งจังหวะเวลาได้ ทั้ง 2 ค่ายจึงจัดตั้งกิจการร่วมการค้า (JOINT VENTURE) อะครอสเดอะยูนิเวิร์ส เพื่อจัดงานคอนเสิร์ตร่วมกัน โดยทุกอย่างแบ่งครึ่งเท่า ๆ กันทั้งการลงทุนและผลกำไร ขณะที่แต่ละค่ายก็จะทำในสิ่งที่ถนัด เช่น แกรมมี่ดูเรื่องการขายบัตร, งานโปรดักชั่น, งานครีเอทีฟ ส่วนอาร์เอสมองในภาพรวม ดูเรื่องงบประมาณ และการประชาสัมพันธ์ เป็นต้น

“ไม่มีใครจีบใครก่อน แต่จีบกันไปกันมาในช่วง 5 ปีมานี้ แต่เพราะจังหวะยังไม่เหมาะสม จนกระทั่งช่วงที่สถานการณ์โควิดคลี่คลาย และอาร์เอสก็ประกาศกลับมาทำเพลงอีกครั้ง การพูดคุยก็เลยลงตัว ซึ่งหัวใจสำคัญของดีลนี้ เรามองว่ามันคือ ความเท่าเทียมและความไว้ใจ”

ภาวิต จิตรกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจ จีเอ็มเอ็ม มิวสิค บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน)

ทำปีเดียวไม่ได้ เพราะศิลปินเยอะ

เบื้องต้น คอนเสิร์ตที่จะจัดจะเป็น ซีรีส์คอนเสิร์ต (SERIES CONCERT) ของศิลปินยุค 90 และ 2000 เบื้องต้นจะจัดขึ้นปีละ 3 ครั้ง ครั้งละ 2 รอบ และจะจัดต่อเนื่องยาว 3 ปี ซึ่งสาเหตุที่ต้องจัดคอนเสิร์ตเป็นซีรีส์เพราะจำนวนศิลปินที่มีมากกว่าร้อยชีวิต ครอบคลุมทุกแนว ดังนั้น แต่ละคอนเสิร์ตก็จะมีธีมและศิลปินที่แตกต่างกันไป โดยจะประกาศปีต่อปี ซึ่งในปี 2023 นี้จะจัดขึ้นในเดือนกรกฎาคม กันยายน และตุลาคม ตามลำดับ

การเลือกศิลปินเรายึดจากช่วงปี 90 ถึง 2000 เพราะถือเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุด และเรามองว่าเพลงเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่มีอายุไขแม้จะมีกระเเสใหม่ ๆ เข้ามา และจากพฤติกรรมทั่วโลกพบว่าคนฟังเพลงใหม่ ๆ 15% อีก 85% เป็นการฟังเพลงเก่า”

วางเป้า 3 ปีทำรายได้ 660 ล้านบาท

เบื้องต้น การลงทุนทำคอนเสิร์ตแต่ละปีจะอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านบาท คาดว่าจะทำรายได้ 220 ล้านบาท ทำกำไรประมาณ 50% โดยคาดว่าคอนเสิร์ตแต่ละครั้งจะสามารถจุดผู้ชมได้ 10,000 คน หรือประมาณ 60,000 คน/ปี ราคาบัตรอยู่ที่ 2,000-6,000 บาท

นอกจากนี้ ทุกคอนเสิร์ตยังเปิดรับสปอร์นเซอร์ ปัจจุบันมีประมาณ 10 แบรนด์ที่เข้ามาเป็นสปอนเซอร์ซึ่งยังคงเปิดรับอยู่แต่ไม่ได้อยากจะเปิดรับมากเกินไป เพื่อให้ทุกแบรนด์สามารถเป็นที่จดจำได้

“เรามองการขายบัตรเป็นรายได้หลักส่วนสปอนเซอร์เป็นรายได้เสริม ซึ่งเราอยากทำคอนเสิร์ตไปยาว ๆ ไม่อยากให้มันจบ ดังนั้น จำนวนสปอนเซอร์ก็รับตามความเหมาะสม แต่ยอมรับราคาสปอนเซอร์อาจแพงขึ้น แต่ยังอยู่ในระดับที่แบรนด์รับได้ ส่วนราคาบัตรยังอยู่ในระดับปกติภาวิต เสริม

ไม่ปิดกั้นโอกาสอื่น

วิทวัส เวชชบุษกร ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า 2 ค่ายใหญ่อย่างแกรมมี่และอาร์เอสสามารถสร้างเม็ดเงินให้อุตสาหกรรมเพลงไทยได้ประมาณ 5,000 ล้านบาท ดังนั้น เชื่อว่าการจัดคอนเสิร์ตร่วมกันในครั้งนี้นอกจากจะสร้างความสุขให้ผู้ชม จะยังช่วยให้อุตสาหกรรมเพลงไทยสามารถเติบโตได้ เพราะการมีคอนเสิร์ตที่ทำรายได้ปีละ 200 ล้านบาทก็เท่ากับตลาดโต 20%

นอกจากนี้ยังระบุว่า คอนเสิร์ตเป็นแค่จุดเริ่มต้น เพราะเชื่อว่ายังมีโอกาสอื่น ๆ ให้ได้ทำอีก อย่างไรก็ตาม ทั้งสองค่ายอาจต้องมาคุยเรื่องทิศทางต่อไป ซึ่งจะขึ้นอยู่กับว่าฟีดแบ็กของผู้ชมจะเป็นอย่างไร เห็นโอกาสอะไร แต่ต้องมาประเมินอีกที

“อาร์เอสมองว่า การทำธุรกิจสมัยนี้เราสามารถมีพาร์ตเนอร์ได้ในหลาย ๆ รูปแบบ การร่วมกับแกรมมี่ก็เป็นอีกพาร์ตเนอร์ชิปหนึ่งที่ทำให้เรามองเห็นโอกาส ซึ่งทั้งเราทั้งแกรมมี่ต่างก็ไม่ปิดกั้นโอกาส เรามองหาโอกาสที่จะมาต่อ ยอดซึ่งกันและกัน”

(ซ้าย) วิทวัส เวชชบุษกร ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน)

เป็นคู่แข่งไม่ใช่ศัตรู

ภาวิต ย้ำว่า อุตสาหกรรมเพลงไทยเองยังคงเติบโตได้อย่างมหาศาลเพียงแต่มันหมดยุคเทป, ซีดีมาสู่ยุคดิจิทัล หารายได้จากสตรีมมิ่ง Artist Management และคอนเสิร์ต ขณะที่ตลาดเพลงทั่วโลกเติบโตเฉลี่ย 9-12% ดังนั้น การเติบโตยังทำได้อย่างต่อเนื่อง แต่ภาพการแข่งขันก็เปลี่ยนไป ต้องแข่งขันกับเพลงทั่วโลก ค่ายเพลงใหม่ก็เพิ่มขึ้นเป็นร้อย ๆ แต่ค่ายก็ร่วมมือกับทุกค่าย เพราะสุดท้ายผู้บริโภคจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะให้เวลากับใคร ดังนั้น การแข่งขันในปัจจุบันมันไม่ใช่ว่าใครดีกว่าใคร แต่มันคือการแย่งเวลาผู้บริโภคมากที่สุด

“เราอยากสร้างประวัติศาสตร์ นี่เป็นสิ่งที่ทั้งแกรมมี่และอาร์เอสอยากทำให้เกิดขึ้น เพราะโอกาสแบบนี้บางทีร้อยปีอาจไม่เกิดขึ้น การที่เราเป็นคู่แข่งกันไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกัน เราอยากทำให้เห็นว่ามันร่วมมือกันได้ ตอนนี้การแข่งขันในปัจจุบันมันไม่ใช่ว่าค่ายไหนดีกว่ากัน แต่มันคือใครแย่งเวลาผู้บริโภคมากที่สุดคนนั้นชนะ”

]]>
1425197
กางแผน ‘อาร์เอส กรุ๊ป’ กับการปั้นมาร์เก็ตแคป ‘แสนล้าน’ ใน 3 ปี ฝันใหญ่ที่ไม่ลมแล้งของ ‘เฮียฮ้อ’ https://positioningmag.com/1415743 Tue, 17 Jan 2023 13:15:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1415743 นับตั้งแต่ที่ อาร์เอส กรุ๊ป (RS Group) ได้รีแบรนด์ ปี 2023 นี้ก็ครบ 3 ปีพอดี ซึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมาทุกการเคลื่อนไหวของอาร์เอสนับว่าจับตามอง ทั้งการคลอดแบรนด์ Lifemate (ไลฟ์เมต) หรือการซื้อธุรกิจขายตรง ยูนิลีเวอร์ ไลฟ์ แต่ดูเหมือนเส้นทางจากนี้จะยิ่งน่าจับ เพราะ เฮียฮ้อ-สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ มองว่า ปี 2023 เป็นปีที่ท้าทายที่สุดในชีวิตการทำธุรกิจ 41 ปี และเป้าหมาย 3 ปีของอาร์เอส กรุ๊ป ต้อง สร้างอาณาจักรแสนล้าน ให้ได้

2023 เวลาที่ใช่ของวิชั่นส์ใหม่อาร์เอส

เฮียฮ้อ เล่าถึงช่วง 3 ปีที่ผ่านมาว่า ไม่ง่าย เพราะมีทั้งการะบาดของโควิด สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และวิกฤตเศรษฐกิจที่ทำให้คาดการณ์แนวทางการทำธุรกิจได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ และในปี 2023 นี้ จะเป็นปีที่ สำคัญที่สุดของอาร์เอสนับตั้งแต่ก่อตั้งมา และเป็นปีที่ สำคัญที่สุดของเฮียฮ้อนับตั้งแต่ทำธุรกิจมา 41 ปี เนื่องจากมองว่าการฟื้นตัวหลังจากโควิดจะทำให้ตลาดจะดีดกลับอย่างไม่ปกติ เพราะตลาดอั้นมานานและผู้บริโภคพร้อมกลับมาใช้จ่ายเพื่อซื้อความสุข

“ผมใช้เวลาทั้งชีวิตในการทำงานหาเวลาที่ใช่ และผมเชื่อว่าปี 2023 คือเวลาที่ใช่ ดังนั้น เราจึงใช้เวลานี้กำหนดวิชั่นส์ใหม่ของอาร์เอสใน 3 ปีจากนี้ โดยเราต้องการให้ทำให้มาร์เก็ตแคปของอาร์เอสกรุ๊ปมีมูลค่า 1 แสนล้านบาท

จัดโครงสร้างองค์กรใหม่ก่อน Spin-Off เข้าตลาด

นับตั้งแต่ 15 ปีที่แล้ว ที่ ตลาดมิวสิก อยู่ในช่วงขาลง อาร์เอสก็มีการปรับตัวมาตลอดอย่างที่หลาย ๆ คนรู้ว่าปัจจุบันอาร์เอสมีธุรกิจหลากหลายมากในมือ ซึ่งปีนี้ บริษัทได้ปรับโครงสร้างใหม่โดยแบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม เพื่อให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ได้แก่

  • RS Multimedia: ประกอบด้วย ช่อง 8 และ COOLfahrenheit
  • RS Music: ประกอบด้วยค่ายเพลง RSIAM, kamikaze, RoseSound และบริษัท โฟร์ท แอปเปิ้ล
  • RS LiveWell: ประกอบด้วย RS Mall และแบรนด์ผลิตภัณฑ์ well u, Vitanature+, Lifemate และ Camu C
  • RS Connect: ประกอบด้วย ULife และ De Beste ธุรกิจขายตรง
  • RS Pet All: ธุรกิจใหม่ที่ประกอบธุรกิจครบวงจรสำหรับสัตว์เลี้ยง
  • R Alliance: ดูแลด้านการลงทุน ตามกลยุทธ์​ M&A และ JV

โดยใน 3 ปีจากนี้อาร์เอสต้องการจะ Spin-Off 5 บริษัท (ไม่นับ R Alliance) ออกไปเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้ทุกธุรกิจรวมมีมูลค่า 1 แสนล้านบาท ได้ภายใน 3 ปีตามเป้าหมาย

กางแผน 6 บริษัทภายใต้วิชั่นส์ Life Enriching

เฮียฮ้อ เล่าต่อว่า อีกหนึ่งกลยุทธ์พาอาร์เอสกรุ๊ปสู่อาณาจักรแสนล้านก็คือ วิชั่นส์ Life Enriching (ยกระดับทุกมิติของการใช้ชีวิต) โดยกลยุทธ์จากนี้ของบริษัทในเครือคือการ เจาะตลาดแมส และเพิ่ม Accessibility การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้มากขึ้นด้วยช่องทางการจำหน่ายและพาร์ตเนอร์ที่หลากหลาย

โดยในส่วนของธุรกิจฝั่งอีคอมเมิร์ซ เริ่มจาก RS LiveWell ปีนี้เตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งหมด 19 SKUs ภายใต้แบรนด์ well u และ Vitanature+ ปี ในหมวดผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร, ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัว นอกจากนี้ สินค้าบางส่วนยังได้จับมือพันธมิตรเพื่อขยายช่องทางไปสู่ Specialty Store และ Duty Free เพื่อเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน ขณะที่ RS Mall ก็จับมือกับพันธมิตรหลากหลายยิ่งขึ้น อาทิ สถาบันการเงิน โรงพยาบาล คลินิก และบริษัทประกันชั้นนำ เพื่อสร้างฐานลูกค้าใหม่

ส่วน RS Connect ธุรกิจขายตรง ได้เพิ่มบิสซิเนสโมเดลใหม่ ได้แก่ ปิ่นโต สำหรับจำหน่ายสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพแบบ Subscription และโมเดลธุรกิจ PROMPT เพื่อจัดจำหน่ายสินค้ากลุ่มพันธมิตรที่น่าสนใจผ่านช่องทางออนไลน์ ส่วนแบรนด์ De Beste (เดอร์ เบสส์เต) จะเปิดระบบตัวแทนออนไลน์ (Online Marketing)

ต่อยอดไลฟ์เมตสู่ธุรกิจสัตว์เลี้ยงครบวงจร

จากที่ปี 2021 บริษัทได้ชิมลางออกแบรนด์ Lifemate ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง ซึ่งถือเป็นธุรกิจที่เกิดจากแพชชั่นส่วนตัวของเฮียฮ้อเอง โดยในปีนี้เฮียฮ้อก็ได้แตกออกมาเป็น บริษัท อาร์เอส เพ็ท ออล จำกัด เพื่อทำธุรกิจสัตว์เลี้ยงครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำที่ประกอบด้วยโรงงานผลิตอาหารสัตว์ รีเทลสัตว์เลี้ยง สินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง รวมถึงธุรกิจเวลเนสสำหรับสัตว์เลี้ยงด้วย

ส่วนสินค้าภายใต้แบรนด์ Lifemate ก็มีแผนจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 22 SKUs ในหมวดอาหารกลุ่ม Specialty Food, สแน็คสำหรับสุนัขและแมว และผลิตภัณฑ์ดูแลทำความสะอาด อีกทั้งยังเตรียมขยายช่องทางการจำหน่ายไปยัง Modern Trade และตลาดต่างประเทศ

ช่อง 8 นำเสนอภูธรมาร์เก็ตติ้ง

อย่างในส่วนของ RS Multimedia ที่ประกอบด้วยช่อง 8 จะนำเสนอ ภูธรมาร์เก็ตติ้ง เน้นฐานผู้ชมต่างจังหวัดที่เป็นตลาดแมส ซึ่งถือเป็นฐานแฟนคลับชั้นดีของช่อง โดยปีนี้จะมีละครใหม่ที่ถูกจริตกับคนกลุ่มนี้ เสริมด้วยซีรีส์อินเดีย จีน เกาหลี เพื่อสร้างความแตกต่างและช่วยให้เข้าถึงเป้าหมายที่กว้างขึ้น นอกจากนี้จะเพิ่มรายการ มวย 4 รายการ เพื่อรักษาตำแหน่งเบอร์ 1

นอกจากนี้ จะผลิต คอนเทนต์ออนไลน์ของช่อง 8 โดยจะมีรายการใหม่ ๆ จับกลุ่ม Young Gen ส่วนของ COOLfahrenheit จะทำให้ครบทั้ง ออนแอร์ ออนไลน์ ออนกราวด์ โดยขยายช่องทางเข้าถึงจากแค่ FM 93 และ แอปพลิเคชัน COOLISM ให้สามารถฟังได้ผ่านสตรีมมิ่ง เช่น Joox, Siri, Apple Music, Google Home และ Google Assistant นอกจากนี้ ยังมีด้วยกิจกรรมโดนใจ อาทิ COOL Outing และ COOLive วางแผนจัด 4 คอนเสิร์ตใหญ่ และ 4 เฟสติวัล

คัมแบ็กตลาดเพลงในรอบ 15 ปี

อีกธุรกิจที่น่าจับตาสำหรับฝั่งคอนเทนต์ก็คือ RS Music ที่ตลอดช่วง 15 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่เริ่มเห็นขาลงของธุกิจเฮียฮ้อก็ได้พักเอาไว้ แต่ปัจจุบันเฮียฮ้อมองว่า New Wave ของ Music กลับมาแล้ว ดังนั้น ตั้งแต่ปีนี้เฮียฮ้อจะกลับมาทำธุรกิจเพลงเต็มรูปแบบเหมือนในอดีต ผ่านค่ายเพลงในเครือซึ่งประกอบด้วย RSIAM, kamikaze และ RoseSound

สำหรับไฮไลต์สำคัญของปีจะมี 2 โปรเจกต์ใหม่ ได้แก่

  • RS Homecoming: ที่จะนำศิลปินเก่ากลับมาอีกครั้ง
  • RS Newcomers: ที่จะปลุกปั้นศิลปินใหม่ โดยจะมีรายการใหม่ vibe house เป็นรายการหาศิลปินหน้าใหม่ vibe square จัดงานอีเวนต์คอนเสิร์ตภายใต้บริษัท โฟร์ท แอปเปิ้ล

“รายได้ใหญ่สุดของธุรกิจเพลงในอดีตมันมาจากยอดขายแผ่นยอดขายเทป พอรายได้ส่วนนี้มันลดลงถือเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่ามันไม่ใช่ธุรกิจที่เหมาะสม ตลอดที่ผ่านมาเรายังทำแต่แค่ลดลง ซึ่งตอนนี้เราเห็นการเติบโตทางดิจิทัลที่มีนัยสำคัญ และเรามองภาพต่างจากอดีต เพราะแม้รายได้ตอนนี้อาจไม่สูงเท่าเดิมแต่มันไม่มีต้นทุน และทำเงินได้ตั้งแต่เริ่มหาศิลปิน ดังนั้น ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว น้ำขึ้นเราควรจะกลับมาจับปลา”

อย่างไรก็ตาม เฮียฮ้อยังไม่ได้เปิดเผยถึงส่วนของ RS Music มากนัก แต่ระบุว่า จะเห็นความชัดเจนเพิ่มขึ้นภายในไตรมาส 1 โดยเฉพาะเรื่องของ พาร์ตเนอร์ ที่จะมาร่วมกับอาร์เอส โดยเฮียฮ้อทิ้งท้ายถึงตลาดเพลงในปัจจุบันว่า อาร์เอส ไม่ได้มองใครเป็นคู่แข่ง เพราะตลาดเปลี่ยนไป ทุกคนสามารถ อยู่ร่วมกันหรือสามารถจับมือกันสร้างมูลค่าเพิ่มได้ และมั่นใจว่าสิ่งที่อาร์เอสมีแต้มต่อก็คือ ความเชี่ยวชาญ ความมีประสบการณ์เพลงกว่า 20,000 เพลง

“วันนี้รายได้จากดิจิทัลเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำรายได้ให้เราแข็งแรง ซึ่งธุรกิจเพลง 3 ปีจากนี้มีโอกาสที่จะทำรายได้ 1,000 ล้านเหมือนในอดีต โดยปีนี้เราตั้งเป้าไว้ที่ 400 ล้านบาท”

วางเป้า 5,500 ล. พร้อมตั้งสายงานใหม่ Media & Marketing

นอกจากฝั่งอีคอมเมิร์ซและคอนเทนต์ อาร์เอสกรุ๊ปมีส่วนของการทุนก็คือ R Alliance สำหรับการทำ M&A และ JV โดยปีนี้คาดว่าจะมีการลงทุนในปีนี้ 2-3 ดีล ภายใต้งบลงทุนไม่เกิน 600 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทได้มีการตั้งสายงานใหม่ Media Sell and Marketing ดูแลการซื้อสื่อและการทำการตลาดแบบ one stop service ครอบคลุมและเชื่อมโยงสื่อและบันเทิงในทุกธุรกิจของอาร์เอส กรุ๊ป ช่วยให้การซื้อสื่อโฆษณาและการทำการตลาดของลูกค้ามีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากที่สุด

สำหรับรายได้ของปี 2023 บริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 5,500 ล้านบาท โดยมาจาก ธุรกิจคอมเมิร์ซ 3,100 ล้านบาท (RS LiveWell 1,800 ล้านบาท, RS Connect 900 ล้านบาท และ RS Pet All 400 ล้านบาท) และ ธุรกิจมีเดียและเอ็นเตอร์เทนเมนต์ 2,400 ล้านบาท (RS Multimedia 1,450 ล้านบาท, RS Music 400 ล้านบาท และอีเวนต์-คอนเสิร์ต 550 ล้าบาท) และในช่วง 3 ปีจากนี้ต้องการให้ภาพรวมทั้งหมดเติบโตปีละ 30-40%

60 แต่ยังไม่วางมือ

เฮียฮ้อทิ้งท้ายว่า ตนเองเริ่มต้นทำธุรกิจตั้งแต่อายุ 19 จนปัจจุบันอายุ 60 แต่ปีนี้ถือเป็นปีที่ท้าทายที่สุดที่อาร์เอสก่อตั้งมาและท้าทายที่สุดในชีวิตการทำงานของเฮียฮ้อ เพราะมีแผนที่จะทำให้มาร์เก็ตแคปบริษัทรวม 1 แสนล้านบาท ถือเป็นฝันที่ใหญ่แต่ไม่ใช่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ ซึ่งตอนนี้เฮียฮ้อย้ำว่าตอนนี้ยังคงสนุกกับการทำงาน ดังนั้น ยังไม่มีแผนจะวางมือแน่นอน

“โหดสุดสำหรับเฮียคือ 5 ปีในธุรกิจเพลงที่เราขาดทุนต่อเนื่อง เป็นช่วงที่ยากที่สุดที่ต้องขายโรงงานผลิตซีดีทิ้ง แต่ก็ทำให้เรากล้าที่จะทรานซ์ฟอร์ม กล้าจะลองทำอะไรใหม่ ๆ ทั้งธุรกิจกีฬา ธุรกิจทีวี ธุรกิจคอมเมิร์ซ ทำให้เราได้บทเรียนดี ๆ สำหรับเฮียแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ยอมแพ้ ไม่กลัวความล้มเหลว และเรียนรู้สิ่งใหม่เสมอ มันทำให้เราล้มก็ต้องรับให้ได้ เรียนรู้กับมัน และการที่ไม่หยุดคิดและฝัน ทำให้เราไม่ยึดติดกับความสำเร็จ จะเห็นว่าอาร์เอสมีความหลากหลายมันสะท้อนว่าเราไม่หยุดที่จะหาสิ่งใหม่ ๆ

]]>
1415743
ขาลงหรือขึ้นอยู่ที่คนปั้น! ‘เฮียฮ้อ’ ลั่นขอ 3 ปีพา ‘ยูไลฟ์’ ขึ้น Top5 ขายตรง พร้อมลบภาพ ‘นักตื๊อ’ https://positioningmag.com/1387394 Wed, 01 Jun 2022 11:11:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1387394 หลังจากที่ ‘อาร์เอส’ (RS) ของ เฮียฮ้อ สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ได้ทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่จากธุรกิจบันเทิงเป็น ‘Entertainmerce’ หรือการนำศิลปิน ดารา นักแสดง คอนเทนต์ สื่อ ทีวี และวิทยุในมือทั้งหมด มาต่อยอดผสมผสานกับธุรกิจคอมเมิร์ซ เพื่อสร้างธุรกิจให้แข็งแรง คำถามคือ ในเมื่อมีทั้งช่องทางออนไลน์ มีทั้งสื่อในมือ แล้วอาร์เอสยังขาดอะไรที่จะทำให้กลยุทธ์ Entertainmerce นั้นสมบูรณ์ คำตอบก็คือ เครือข่ายขายตรง

ธุรกิจขายตรง จิ๊กซอว์ตัวสำคัญที่รอ

ที่ อาร์เอส กล้าทรานส์ฟอร์มจากธุรกิจบันเทิงสู่การขายเต็มตัวก็เพราะมีเครื่องมือทั้ง ออนแอร์ ออนไลน์ ดังนั้น การที่อาร์เอสยอมทุ่มเงิน 900 ล้านบาท เข้าซื้อ ธุรกิจขายตรงยูนิลีเวอร์ ไลฟ์’ ของ ยูนิลีเวอร์ ก็เพื่อต่อจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายในการสร้างแพลตฟอร์มการขายที่ครบวงจรเพื่อที่จะมี ออนกราวด์

โดยหลังจากที่ปิดดีลดังกล่าวไปเมื่อช่วงสิ้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา เฮียฮ้อก็เดินหน้าทำงานต่อทันทีภายใต้ชื่อ ULife (ยูไลฟ์) โดยได้ ทีมบริหารมาครบชุด ฐานสมาชิกในเครือข่ายธุรกิจกว่า 1.5 แสนคน ที่ปัจจุบันแอคทีฟกว่า 40% ช่องทางจัดจำหน่ายกว่า 22 แห่ง สินค้า 43 ผลิตภัณฑ์ รวม 76 SKU โดยเฉพาะแบรนด์พรีเมียมอย่าง

  • Beyonde: ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
  • Aviance: ผลิตภัณฑ์สุขภาพความงาม
  • I-Fresh: ผลิตภัณฑ์สุขภาพช่องปาก

ขาลงหรือขาขึ้นอยู่ที่มือใครปั้น

ก่อนจะเกิด COVID-19 ตลาดขายตรงของไทยเติบโตได้ 5-7% แต่ในปี 2020 ตลาดมีมูลค่าราว 70,000 ล้านบาท ติดลบ -1% และในปี 2021 แค่ครึ่งปีแรกตลาดติดลบ -5% จากการเติบโตที่ลดลงดังกล่าว หลายคนมองว่าตลาดอยู่ในช่วง ขาลง แต่เฮียฮ้อไม่ได้มองอย่างนั้น เพราะแม้ตลาดจะลดลงแต่กลับมาบริษัทที่จดทะเบียนเพิ่มกว่า 70 บริษัท

“อุตสาหกรรมขายตรงไม่ได้อยู่ในขาลง แต่ขึ้นอยู่กับอยู่ในมือใคร จะเห็นว่ามี 80 บริษัทยอดตก แต่มี 20 บริษัทที่โต เราไม่สนว่าตลาดรวมจะเป็นอย่างไร แต่เราต้องโตให้ได้ มันอยู่ที่ตัวเรามากกว่า ซึ่งเฮียมองว่าการได้ยูไลฟ์เหมือนได้รถที่พร้อมขับ แค่โมเครื่องใหม่ให้แรงกว่าเดิม”

เฮียฮ้อระบุว่า หลังจากที่ได้ยูไลฟ์มาในมือแค่เดือนเดียว ก็สามารถสร้างการเติบโตได้ ดังนั้น ภายใน 8 เดือนจากนี้อาร์เอสต้องการปิดรายได้ราว 800 ล้านบาท รวมทั้งปีปิดที่ 1,100 ล้านบาท โดยเติบโตจากปีก่อนที่ทำได้ 650 ล้านบาทหรือราว 50%

ขายตรงยุคใหม่ไม่ตื๊อให้ยี้

แน่นอนว่าถ้าแค่รีแบรนด์แล้วขายตรงแบบเดิมการเติบโตคงจะยาก ซึ่ง สุชาดา ธีรวชิรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส-ยู ไลฟ์ จำกัด อธิบายว่า Pain Point ของธุรกิจขายตรงคือ เส้นบาง ๆ ระหว่าง ใส่ใจ กับ ตื๊อ และคนขายจะเป็นฝ่ายเข้าหา แต่ขายตรงของยูไลฟ์ ลูกค้าจะต้องมาเป็นฝ่ายติดตามแทน เพื่อลบภาพลบนักตื๊อของขายตรง

แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่จุดแข็งของอาร์เอสที่มีคือ คอนเทนต์ และ โค้ช ที่จะช่วยสอนเพื่อพัฒนาให้พาร์ตเนอร์กลายเป็น Nano Influencers เสมือนกับที่ พิมรี่พาย ขายของแล้วมีคนรอติดตามซื้อ และเพื่อขยายเครือข่าย Business Partners จากปัจจุบันมี 1.5 แสนคน ให้เพิ่มเป็น 1 ล้านคน ภายใน 3 ปี ยูไลฟ์จะเพิ่มค่าตอบแทนจาก 5% เป็น 15% เพื่อจูงใจอีกด้วย

“คนอาจจะมองว่าขายตรงล้าสมัย แต่จริง ๆ แล้วเหมาะกับยุคนี้ ยุคของ C To C ที่เป็น การสร้างสายสัมพันธ์ เรามองตัวเองว่าเป็นอีกทางเลือกให้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันนี้อยู่ยากมากขึ้น เพราะโปรดักต์ไม่ยั่งยืน เราเองก็อยากจะดึงแม่ค้าออนไลน์มาเป็นพาร์ตเนอร์กับเรา สร้างความยั่งยืนให้ เราให้น้ำหนักกับการโค้ช การเรียนการสอน และสินค้าก็มีคุณภาพ หัวใจคือ สินค้าคุณภาพและความต่อเนื่อง”

เพิ่มสินค้าจับกลุ่มแมสมากขึ้น

สินค้าที่ขายในตลาด 56% เป็นสินค้าเพื่อสุขภาพ เช่น อาหารเสริม ตามด้วยสินค้าด้านความงาม ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นสินค้าหลักของยูไลฟ์อยู่แล้วทั้งสิ้น แต่สิ่งที่อาร์เอสจะทำคือ เพิ่มความหลากหลายมากขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดในบ้าน, กาแฟเพื่อสุขภาพ และโปรตีน โดยตั้งเป้าจะเพิ่มเป็น 6 แบรนด์ 200 SKU นอกจากนี้ สินค้าจะไม่ได้จับแค่ตลาดพรีเมียมเหมือนเดิม แต่จะลงมาในกลุ่มแมสมากขึ้นด้วย

“สินค้าที่ใช้แล้วหมดไปถือเป็นสินค้าที่เหมาะอยู่แล้ว เพราะเราจะได้ดึงลูกค้าให้มาซื้อซ้ำ ธุรกิจก็จะยั่งยืนไม่ต้องพยายามหาลูกค้าใหม่ ดังนั้น ควรมีรายได้จากสินค้าเก่า 70% นี่ถือเป็นสัดส่วนที่เฮลท์ตี้ อีกสิ่งที่ต้องมีคือ นวัตกรรม สร้างความว้าว”

แน่นอนว่ายูไลฟ์จะใช้ความได้เปรียบของโมเดลธุรกิจ Entertainmerce ของอาร์เอส ที่มีสื่อในมืออย่าง ทีวี วิทยุ ออนไลน์ และอินฟลูเอนเซอร์ รวมทั้งนำ Popcoin มาเป็นเครื่องมือการตลาด และมีการทำดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งร่วม รวมทั้งเปิดตัวไลฟ์สไตล์รีวอร์ด เพื่อสร้าง CRM ให้นักธุรกิจและลูกค้า โดยจากแผนดังกล่าว อาร์เอสคาดว่าจะใช้งบการตลาดราว 100 ล้านบาท Popcoin อีก 200 ล้านเหรียญ

“เรามีทั้งออนไลน์ ออนไซด์ ออนแอร์ สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ครบ แต่หน้าร้านทั้ง 22 แห่งต่อไปจะเน้นเป็นเอ็กซ์พีเรียนสโตร์ คงไม่ขยายเพิ่ม เพราะมองว่าอนาคตยอดขาย 40% จะเป็นออนไลน์ จากปัจจุบันมีสัดส่วนที่ 30%”

ผงาดขึ้น Top5 ใน 3 ปี

เฮียฮ้อ ยอมรับว่าในตลาดจะมีผู้เล่นแข็งแกร่งในตลาดไม่ว่าจะเป็น แอมเวย์ นูสกิน กิฟฟารีน มิสทิน แต่ใน 3 ปี จากนี้ (2024) ต้องพายูไลฟ์ให้ติด Top5 จากเดิมเป็นแค่ผู้เล่น Top10 ให้ได้ นอกจากนี้ เฮียฮ้อตั้งใจจะพายูไลฟ์เข้าตลาด พร้อมปั้นรายได้ 3,000 ล้าน และขยายฐานลูกค้าให้ได้ 10 ล้านคน

ก็มารอดูกันว่าเฮียฮ้อจะพายูไลฟ์จิ๊กซอว์ตัวสำคัญที่อยากได้มานานไปถึงเป้าที่วางไว้ไหม แล้วผู้เล่นตัวท็อปจะงัดไม้เด็ดอะไรมาสู้กับยูไลฟ์ของเฮียฮ้อ

]]>
1387394
เปิดใจ ‘เฮียฮ้อ’ จาก ‘ทาสน้องหมา’ สู่การปั้นแบรนด์ ‘Lifemate’ ธุรกิจที่ทำแล้วมีความสุขที่สุด https://positioningmag.com/1363572 Tue, 23 Nov 2021 12:21:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1363572 จากปกติหลายคนมักจะพูดว่า ‘เฮียฮ้อ’ สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ นั้น ‘ยิ้มยาก’ แต่ในวันนี้กลับ ‘ยิ้มกว้าง’ เพราะพาเจ้า ‘แบงก์เกอร์’ สุนัขคู่ใจมาร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวแบรนด์ ‘Lifemate (ไลฟ์เมต)’ ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงที่เคยเกริ่นไว้ตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคมปี 63 ว่า RS เตรียมลุยตลาดอาหารสัตว์เต็มตัว พร้อมบอกว่านี่เป็นธุรกิจที่ทำแล้วมีความสุขที่สุด

เฮีอฮ้อ เล่าถึงที่มาที่ไปว่าเหตุผลที่เข้ามาในตลาดก็เพราะเป็น ทาสน้องหมา นี่แหละ แม้ส่วนตัวจะเป็นคนรักสัตว์ แต่ก็เพิ่งจะได้เริ่มเลี้ยงอย่างจริงจังก็เมื่อตอน 6-7 ปีก่อน เพราะมองว่าเวลากำลังเหมาะสม จนในที่สุดลูกก็ไปหาสุนัขพันธุ์เฟรนซ์บลูด็อกมาให้เลี้ยง หรือก็คือเจ้า แบงก์เกอร์ จากนั้นก็ตามมาอีก 2 ตัว คือ เจ้า ไทเกอร์ (สุนัชพันธุ์อิงลิช บลูด็อก) และ เพลเยอร์ (พันธุ์พุดเดิ้ลผสมมอลทีส)

“ย้อนไปช่วงอายุ 30 กว่า ๆ เราก็เคยเลี้ยงหมา แต่เราทำงานหนักไม่มีเวลาให้เขาเลย แต่ตอนนี้เรามองว่าเป็นช่วงที่เหมาะแล้ว ทุกวันนี้พวกเขาก็เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว เขาจะมานั่งตักเฮียทุกเช้า สาย ๆ ก็จะจูงเดิน เลิกงานก็เล่นกับเขาคลายเครียด มีเวลาก็อาบน้ำให้บ้าง”

เฮียฮ้อ สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) และแบงก์เกอร์

เฮียฮ้อเล่าต่อว่า พอเรารักเขาเราก็เอาแต่ใจเขา อยากดูแลเขาให้เต็มที่ จากปกติเป็นคนไม่ค่อยเดินห้างฯ ช้อปปิ้ง แต่กลายเป็นว่าเราอยู่ในร้าน Pet Shop ได้เป็นชั่วโมง ๆ สามารถยินดีจ่ายเงินซื้อของให้ บางอย่างใช้แพงกว่าตัวเองด้วยซ้ำ นี่เลยเป็นจุดตั้งต้นให้เกิดแบรนด์ ‘Lifemate (ไลฟ์เมต)’

“เขาก็เป็นจุดตั้งต้นให้เราทำธุรกิจ เราเข้าใจเลยว่าเขาเป็นเพื่อนคู่ชีวิต เป็นมากกว่าสัตว์เลี้ยง แบรนด์เราเลยชื่อไลฟ์เมต และนี่เป็นธุรกิจที่ผมทำแล้วมีความสุขที่สุด”

ไม่ใช่แค่เรื่องของแพชชั่น แต่หากพูดถึงโอกาสทางธุรกิจแล้วต้องบอกว่าไม่น้อย เพราะปัจจุบัน วัฒนธรรมหรือมุมมองต่อสัตว์เลี้ยงของคนที่เปลี่ยนไป คนโสดมากขึ้น หรือแต่งงานแต่ไม่มีลูก รวมไปถึงเพศทางเลือก อีกทั้งสังคมสูงวัย ส่งผลให้คนเริ่มหาน้องหมาน้องแมวมาเลี้ยง ให้ความรักเอาใจใส่

และโดยเฉลี่ยแล้วเจ้าของสัตว์เลี้ยงจะมียอดใช้จ่ายเฉลี่ยที่ 14,200 บาท/ปี ขณะที่ตลาดสัตว์เลี้ยงตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเติบโตเฉลี่ย 10% และในหมวดอาหารสุนัขและอาหารแมวมีสัดส่วนประมาณ 45% หรือประมาณ 18,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มอีโคโนมี 60% กลุ่มสแตนดาร์ด 30% และกลุ่มพรีเมียม 10%

ดังนั้น แบรนด์ไลฟ์เมตจะเริ่มจาก อาหารแห้งชนิดเม็ด สำหรับเน้องหมาน้องแมวเป็นสินค้าตัวแรก โดยมีจุดเด่นด้านการดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงแบบองค์รวม ซึ่งแบรนด์ไลฟ์เมตจะวางราคาไว้ที่จุดบนสุดของราคามาตรฐาน แต่คุณภาพใกล้เคียงกลุ่มพรีเมียม โดยความคาดหวังคือ เปลี่ยนใจคนที่มีกำลังระดับกลางยอมจ่ายเพิ่มอีกนิด หรือกลุ่มพรีเมียมที่หันมาซื้อไลฟ์เมตไม่ต้องไปรอสินค้านำเข้า

“เขาพยายามหาของดีที่สุดในราคาที่จับต้องได้ นี่เป็นจุดที่ทำให้เราเข้ามาเล่นในตลาดนี้ ตอนนี้กลุ่มพรีเมียมส่วนใหญ่นำเข้า คนอยากได้แต่ราคาเอื้อมไม่ถึง ดังนั้น เราจึงอยากทำสินค้าที่ดีเทียบเท่านำเข้า เราก็น่าจะทำตลาดได้” นางพรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ กล่าวเสริม

นำสัตว์เลี้ยงพนักงานเป็นพรีเซ็นเตอร์

ไม่ใช่แค่เฮียฮ้อที่มีความสุขกับการทำแบรนด์ไลฟ์เมต แต่พนักงาน RS ก็มีส่วนร่วมด้วย โดยเฮียฮ้อเล่าว่า ได้ให้พนักงานนำสัตว์เลี้ยงของตัวเองมาประกวดเพื่อเป็น พรีเซ็นเตอร์ ให้กับแบรนด์ นอกจากนี้ยังได้ เพนตาแกรม บริษัทด้านดีไซน์ระดับโลกเป็นผู้ออกแบบแพ็กเกจจิ้งแบรนด์

ทั้งนี้ แบรนด์ไลฟ์เมตใช้งบการตลาด 30 ล้านบาท โดยจะทำแบบครบวงจร ทั้งสร้างการรับรู้ผ่านสื่อต่าง ๆ ในเครือ RS ไม่ว่าจะทีวี วิทยุ สื่อนอกบ้าน อีเวนต์ พรีเซ็นเตอร์ การให้สิทธิประโยชน์ผ่านเหรียญ Popcoin แคมเปญการแจกสินค้าตัวอย่าง การทำโปรโมชันต่าง ๆ นอกจากนี้ยังได้ อย่าง บอล-จารุลักษณ์ มาเขียนเนื้อร้องและทำนอง และขับร้องโดย นะ-รัตน จากวง Polycat 

เบื้องต้น ไลฟ์เมตจะเริ่มวางจำหน่ายวันที่ 1 ธ.ค. นี้ ผ่านร้านเพ็ทช็อป คลินิก และโรงพยาบาลสัตว์ทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์ RS Mall, Shopee และ Lazada

ตั้งเป้ายอดขาย 320 ล้านบาทในปีแรก

ในปีแรก ไลฟ์เมตตั้งเป้าทำรายได้ 320 ล้านบาท และปีหน้าจะเริ่มทำในส่วนของ อาหารเปียก สแน็ค และอาหารเสริมสำหรับน้องหมาน้องแมว และมีโอกาสที่จะต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อาทิ แชมพู ด้วยแน่นอน และหากแบรนด์ประสบความสำเร็จ เฮียฮ้อก็พร้อมที่จะก้าวไปสู่อีโคซิสเต็มส์ของตลาด ไม่ว่าจะเป็น Pet Shop หรือแม้แต่ทำ โรงพยาบาลสัตว์ ก็มีโอกาสเป็นไปได้

“เราทำธุรกิจเรามีแพชชั่นหมด แต่เราทำแล้วสนุก เรายิ้มได้ และเป็นทิศทางที่มันน่าสนใจ โอกาสทางธุรกิจก็ตามมา ซึ่งเราวางตัวไม่ใช่แค่อาหารสัตว์แต่เป็น Pet Care เราต้องการดูแลสัตว์เลี้ยงในทุกมิติ ดังนั้นเป็นไปได้หมด”

อ่านมาจนถึงตรงนี้ คงจะเชื่อแล้วว่าเฮียฮ้อมีแพชชั่นกับสัตว์เลี้ยงอย่างเต็มเปี่ยมจริง ๆ ไม่แน่ว่า เราอาจได้เห็นแบรนด์ไลฟ์เมตในสถานะอื่น ๆ อีกเร็ว ๆ นี้ก็ได้

]]>
1363572
นอกจอทีวี! “เฮียฮ้อ” ประกาศดีลยักษ์ RS ร่วมทุน Plan B โฆษณาสินค้าขึ้นสื่อนอกบ้าน https://positioningmag.com/1332650 Tue, 18 May 2021 08:46:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1332650 เฮียฮ้อประกาศดีลธุรกิจใหม่ เปิดบริษัทร่วมทุนกับ Plan B ยักษ์ใหญ่ในวงการสื่อโฆษณา ต่อไปอาจจะได้เห็นการขายสินค้าของ RS Mall ขึ้นบนจอโฆษณาทั่วประเทศได้

บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ประกาศความร่วมมือ จับมือกับ บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัย (Out of Home Media) จัดตั้งบริษัทร่วมทุนด้วยทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท เพื่อประกอบธุรกิจคอมเมิร์ซ และการตลาด เน้นไปที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และจัดจำหน่ายสินค้าไปยังตลาดทั่วประเทศ

โดย อาร์เอส กรุ๊ป ถือหุ้น 51% และ บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 49% ซึ่งการลงทุนดังกล่าว เป็นการนำจุดแข็งของทั้งสองบริษัทมาผนึกกำลัง สร้างศักยภาพในการแข่งขันในธุรกิจคอมเมิร์ซ

สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า

“เพื่อขยายโอกาสและศักยภาพในการแข่งขันทางธุรกิจ อาร์เอส กรุ๊ป จึงร่วมกับ บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านสื่อ Out Of Home จัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อประกอบธุรกิจพาณิชย์ โดยการทำ Joint Venture ในครั้งนี้เป็นการดึงความเชี่ยวชาญของแต่ละบริษัท มาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวร่วมกัน”

Plan B ถือว่าเป็นผู้เล่นเบอร์ต้นๆ ในธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้าน มีช่องทางที่หลากหลายครอบคลุมทั่วประเทศ ทั้งสื่อเคลื่อนที่ เช่น Buswrap หรือ รถไฟฟ้าที่มีผู้ใช้บริการหลายล้านคนต่อวัน ป้ายโฆษณาบริเวณทางด่วน Street Furniture ตามสี่แยกต่างๆ บริเวณศูนย์การค้า สนามบิน ตลอดจนจอ LED ขนาดใหญ่ พื้นที่รวมหลายหมื่นตารางเมตรทั่วประเทศ รวมถึงสื่อโฆษณาที่กระจายอยู่ในภูมิภาคอาเซียน เช่น ประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และลาว

ทางด้าน ปรินทร์ โลจนะโกสินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า

“เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต เชื่อว่าประสิทธิภาพของสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัยของแพลนบี จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย และพฤติกรรมของผู้บริโภคได้ อีกทั้งยังเสริมด้วยคอนเทนต์ต่างๆ ทั้งสปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง อาร์ทติส เมเนจเมนท์ และที่สำคัญสื่อโฆษณาในร้านค้าสะดวกซื้อ 7-Eleven ที่ยังคงเดินหน้าขยายให้ครบทุกสาขาทั่วประเทศนั้น จะยิ่งช่วยสร้างความผูกพันระหว่างผู้บริโภคกับสินค้าของ JV ครั้งนี้ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างยอดขายของ JV ในระดับสูงทันทีตั้งแต่ในปีแรก”

การร่วมทุนกันครั้งนี้ อาร์เอส กรุ๊ป จะเป็นผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์ ทำการตลาด และจัดจำหน่ายสินค้า ขณะที่สื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยจากแพลนบี จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสร้างการรับรู้ และสื่อสารผลิตภัณฑ์ใหม่ไปถึงกลุ่มเป้าหมายได้ทั่วถึงมากขึ้น

]]>
1332650
เจาะ 4 กลยุทธ์ ‘เฮียฮ้อ’ พา RS Group ขึ้นแท่น Game changer ใช้ Entertainmerce ก้าวสู่เส้นทางหมื่นล้านใน 2 ปี https://positioningmag.com/1328779 Thu, 22 Apr 2021 07:16:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1328779 โลกปัจจุบัน ไม่มีสูตรสำเร็จในการทำธุรกิจอีกต่อไป เพราะการแข่งขันที่สูง บวกกับภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนและสถานการณ์ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังแพร่กระจายอย่างต่อเนื่อง กลับกลายเป็นว่าธุรกิจที่ปรับตัวได้เร็วและกล้าเผชิญความเปลี่ยนแปลงภายใต้วิสัยทัศน์ที่ชัดเจนของผู้นำองค์กรและมีทีมงานที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะสามารถอยู่รอดในสมรภูมินี้ได้ เช่นเดียวกับ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ อาร์เอส กรุ๊ป ที่ผ่านการดิสรัปชั่นมาครั้งแล้วครั้งเล่า จากธุรกิจเพลงสู่ธุรกิจคอมเมิร์ซในวันนี้ เป็นบทพิสูจน์ให้เห็นว่า อาร์เอส กรุ๊ป ได้กลายเป็น Game Changer ให้กับวงการสื่อและบันเทิง ด้วยการนำโมเดลธุรกิจ Entertainmerce มาเป็นแกนหลักในการดำเนินธุรกิจ สามารถทำให้บริษัทฯ ก้าวเข้าสู่ธุรกิจคอมเมิร์ซและธุรกิจอื่นๆ ส่งผลให้กระจายความเสี่ยงได้ดีขึ้น รวมทั้งมีรายได้และการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุดในประวัติศาสตร์

นอกจากการเป็น Game Changer และได้รับการยอมรับในฐานะบริษัทฯ ที่ทรานส์ฟอร์มองค์กรได้สำเร็จแล้ว หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของ คุณสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ หรือ ‘เฮียฮ้อ’ แม่ทัพใหญ่ของ อาร์เอส กรุ๊ป คือ การสร้างรายได้หมื่นล้านบาท ภายในระยะเวลา 2 ปีนับจากนี้ โดย อาร์เอส กรุ๊ป ได้ใช้กลยุทธ์ 4 ข้อหลัก ซึ่งอยู่ภายใต้โมเดลธุรกิจ Entertainmerce คือ เน้นการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ และระบบดิจิทัลต่างๆ มาเพิ่มประสิทธิภาพของทุกธุรกิจ และการข้ามไปสู่ธุรกิจใหม่ที่ยังมี ecosystem ที่เชื่อมโยงกัน เพื่อสนับสนุนกันให้เกิดความแข่งแกร่งตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

กลยุทธ์ที่ 1: สร้างความยั่งยืนให้แก่ธุรกิจสื่อและบันเทิงซึ่งเป็นธุรกิจหลักแต่เดิมด้วยการสร้างรายได้จากหลายช่องทาง

เพื่อนำจุดเด่นและความเชี่ยวชาญของกลุ่มธุรกิจสื่อและบันเทิงในเครืออาร์เอส กรุ๊ป มาสนับสนุนและต่อยอดธุรกิจคอมเมิร์ซและธุรกิจอื่นๆ โดยเน้นให้เกิดการ Synergy กันอย่างกลมกลืน ทรงพลัง และยั่งยืน

  • ธุรกิจมีเดีย (สถานีโทรทัศน์ช่อง8 และ COOLISM)

เน้นใช้กลยุทธ์กระจายช่องทางหารายได้ เพื่อสร้างรายได้แบบค้ำยันซึ่งกันและกัน ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงจากปีก่อนถึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์โควิด-19 โดยรายได้มาจากการขายมีเดียและสปอนเซอร์ทั้งจากช่อง 8 และ COOLFahrenheit  รายได้จากขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์จากละครและซีรีย์ รายได้จากรายการขายสินค้าของ RS Mall ผ่านรายการต่างๆ ของช่อง 8 รายได้จากการจัดคอนเสิร์ตและกิจกรรมอีเวนท์ของ ช่อง 8 และ COOLive รวมถึงการพัฒนา COOLanything แพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์ เพื่อให้ผู้ฟังเพลงจาก COOLfahrenheit สามารถช้อปปิ้งบนแอปพลิเคชันและบนเว็บไซต์ได้ในเวลาเดียวกัน

  • ธุรกิจเพลง(RS Music)

ยังคงให้ความสำคัญกับการบริหารลิขสิทธิ์คลังเพลง และการสร้างคอนเทนต์ให้แก่เพลงในยุค ’90s จนเกิดกระแส “โตมากับอาร์เอส” นอกจากนี้ RS Music ยังเน้นการเพิ่มมูลค่าจากโซเชียลมีเดียของแต่ละศิลปินในสังกัด ทั้งศิลปินเดิมที่มีฐานผู้ฟังเหนียวแน่น และศิลปินใหม่ 9 คนจาก 3 ค่ายเพลง รวมถึงสร้างศิลปินให้เป็น influencer จากไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง และต่อยอดสู่การเป็น Business partner ตามโมเดล Music Star Commerce รวมไปถึงการจัดคอนเสิร์ตและอีเว้นท์ต่างๆ ด้วย

กลยุทธ์ที่ 2: การสร้างการเติบโตของ RS Mall ให้เป็น Wellbeing Partner ในใจคนไทย

ปัจจุบัน RS Mall มีฐานลูกค้ามากกว่า 1.6 ล้านราย และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็น Wellbeing Partner ของลูกค้า ด้วยปัจจัยสำคัญ คือ

  • การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพในทุกมิติ ล่าสุดในงานRS GROUP Open Day 2021 มีการเปิดตัวไลน์อัพผลิตภัณฑ์ที่มีสารสกัดจากกัญชง-กัญชา กว่า 8 SKU ทั้งในส่วนของอาหารเสริมและเครื่องดื่ม ภายใต้แบรนด์O.M., well u และ CAMU C ซึ่งจะวางจำหน่ายทั้งใน RS Mall และช่องทางอื่นๆ
  • การสร้างและพัฒนาระบบCRM ที่แข็งแรง จึงทำให้เกิดการซื้อสินค้าซ้ำกว่า 2.4 ครั้งต่อปี โดยเกิดจากคุณภาพของสินค้า และปริมาณของสินค้าที่หลากหลายในการตอบโจทย์ความต้องการทางด้านสุขภาพ รวมถึงการอบรมเจ้าหน้าที่เทเลเซลล์ให้มีความรู้ด้าน Wellbeing ที่ครบถ้วน เพื่อตอบทุกคำถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ จึงทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจในการซื้อสินค้ามากขึ้น
  • การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้เพื่อทำให้เราเข้าใจลูกค้ามากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ อาร์เอส กรุ๊ป ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งในแง่ของการสร้างCustomer Data Platform การใช้ Data analytics รวมทั้งระบบ Voice analytics ที่นำข้อมูลในหลากหลายมิติและเสียงการสนทนาของลูกค้ามาประมวลผลให้สามารถนำเสนอสินค้าและบริการได้ตรงใจ และตรงจังหวะความต้องการการใช้ผลิตภัณฑ์ของลูกค้ามากที่สุด นอกจากนี้ ยังมีการขยายระบบ Predictive dialing system (PDS) สู่ลูกค้าทุกกลุ่ม ทำให้ประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

กลยุทธ์ที่ 3: การพัฒนาผลิตภัณท์ของ Lifestar เพื่อเข้าสู่ตลาดใหม่

ไลฟ์สตาร์ เป็นบริษัทในเครือของ อาร์เอส ที่ผลิตสินค้านวัตกรรมสุขภาพและความงาม โดยในปีนี้ จะมีการผลิตสินค้าที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นเพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนรักสุขภาพและเทรนด์การใช้ชีวิตแบบใหม่ และเข้าสู่ Mass Market อย่างเต็มตัว โดยล่าสุดเปิดตัว

  • ผลิตภัณฑ์‘well u คอลลาเจน’ คอลลาเจนระดับพรีเมียมที่มีประสิทธิภาพและนวัตกรรมที่เหนือกว่าด้วยส่วนประกอบที่สำคัญถึง 6 ชนิด วางจำหน่าย ผ่าน 3 ช่องทางหลัก คือ Exclusive Distribution Network (EDN) หรือตัวแทนจำหน่าย, Exclusive Modern Trade ที่ร้าน Watsons และออนไลน์ ภายใต้คอนเซปต์ “คอลลาเจน 1 เดียวที่เราเลือก เพื่อยู…ในทุกวัน” โดยใช้พรีเซนเตอร์ชื่อดังถึง 3 คน ได้แก่ เจนี่ อัลภาชน์ ณ ป้อมเพชร, แต้ว-ณฐพร เตมีรักษ์ และ แพท-ณปภา ตันตระกูล
  • ผลิตภัณฑ์Functional Drink ภายใต้แบรนด์ “CAMU C” เครื่องดื่มน้ำผลไม้ผสมคามู คามู วิตามินซีสูง 200% และวิตามินบี 12 สูง จำหน่ายทั่วประเทศ ผ่าน 3 ช่องทางหลัก คือ ร้านสะดวกซื้อ, โมเดิร์นเทรด และร้านค้าปลีก ภายใต้คอนเซปต์ “คุณใส่ใจตัวเองหรือยัง?” โดยมีพรีเซนเตอร์เป็น คิมซูฮยอน ซูเปอร์สตาร์ของเกาหลีที่มีค่าตัวสูงที่สุดในเวลานี้
  • ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์มีมูลค่าตลาดที่สูงถึงกว่า 4 หมื่นล้านบาท และเติบโตต่อเนื่องทุกปี ปีละ 10% ไลฟ์สตาร์จึงพร้อมเปิดตัวและวางจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงในช่วงกลางปีนี้ โดยจะจัดจำหน่ายบนช่องทางออนไลน์ของ RS Mall และพันธมิตร

นอกจากนี้ ไลฟ์สตาร์ ยังเตรียมทยอยออกสินค้าใหม่ๆ สู่ตลาดแมส ภายใต้แบรนด์ well u และ CAMU C เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่รักสุขภาพตลอดทั้งปี

กลยุทธ์ที่ 4: การทำ Mergers and Acquisitions (M&A) และ Joint Venture (JV)

การทำธุรกิจในปัจจุบันต้องมีพาร์ทเนอร์ที่ดี เพื่อนำทรัพยากร ความชำนาญ และเงินทุนที่มี สร้างการเติบโตร่วมกัน โดย คุณสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เคยกล่าวไว้ว่า “โลกธุรกิจในยุคนี้ เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าคู่แข่งเราจะมาจากไหน ทุกบริษัทสามารถข้ามมาทำธุรกิจอะไรก็ได้ ที่ตัวเองมองเห็นโอกาส เพียงแต่เรื่องนี้มันจะไม่น่ากลัวอะไรเลย หากตัวเราเองก็พร้อมที่จะข้ามไปแข่งขันกับคนอื่นๆ” ดังนั้น ในปีนี้ อาร์เอส กรุ๊ป คาดการณ์ว่าจะมีการขยายธุรกิจอย่างน้อย 2-3 ดีล เพื่อต่อยอดและขยาย Ecosystem ของ อาร์เอส กรุ๊ป โดยตั้งงบไว้ที่ประมาณ 300-600 ล้านบาทต่อดีล และเป็นไปได้ทั้งการขยายธุรกิจในแนวตั้งและแนวราบ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา อาร์เอส ได้มีการเข้าซื้อหุ้น บริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด จำนวน 35% มูลค่า 920 ล้านบาท เพื่อรุกเข้าสู่ธุรกิจ “บริหารสินทรัพย์-สินเชื่อรายย่อย” และสร้างการเติบโตในแนวราบ การทำ M&A และ JV ของ อาร์เอส กรุ๊ป นอกจากเป็นการต่อยอดจากโมเดลธุรกิจ Entertainmerce และทำให้ Ecosystem ของอาร์เอส กรุ๊ป ขยายตัวอย่างไม่สิ้นสุดแล้ว ยังเป็นหนึ่งในนโยบายบริหารจัดการความเสี่ยงที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง

การทำธุรกิจกับโอกาส ไม่ยึดติดกับกรอบเดิมๆ ยืดหยุ่น สนุก ท้าทาย และพร้อมที่จะเติมเต็มชีวิตและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คน ของ อาร์เอส กรุ๊ป ในวันนี้ จึงทำให้บริษัทฯ กลายเป็น Game Changer ที่สามารถทรานส์ฟอร์มตัวเองได้ประสบความสำเร็จจนได้รับการยอมรับทั้งในไทยและต่างประเทศ ร่วมกับ 4 กลยุทธ์หลักที่ อาร์เอส กรุ๊ป นำมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ จะเป็นสปริงบอร์ดส่งให้องค์กรเติบโตและก้าวไปสู่เป้าหมายรายได้หมื่นล้านบาทได้ในไม่ช้า

ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสาร และความเคลื่อนไหวต่างๆ ของ อาร์เอส กรุ๊ป ได้ทาง www.rs.co.th

]]>
1328779
กางโมเดล RS Music ธุรกิจเพลงยุคใหม่ของ “เฮียฮ้อ” ศิลปินลงทุนเอง ต้องเป็น Influencer https://positioningmag.com/1307500 Tue, 24 Nov 2020 17:05:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1307500 “เฮียฮ้อ” ประกาศปัดฝุ่นธุรกิจเพลง RS Music โดยอยู่ภายใต้โมเดลใหม่ Music Star Commerce เปิด 3 ค่ายเพลง พร้อม 9 ศิลปินใหม่ RS ยุคใหม่ ศิลปินต้องลงทุนเอง และต่อยอดเป็น Business Partner ขายของต่อได้

ไม่ได้หายไป กลับมารุกใหม่ในจังหวะที่ใช่

เชื่อว่าหลายคนต้องมีประสบการณ์ และเติบโตมากับเพลงของ RS เรียกว่ายุคหนึ่งเป็นช่วงที่เพลง RS ครองเมือง ในตอนนี้ก็ยังย้อนวัยกลับไปฟังได้ ในยุคที่รุ่งเรืองขีดสุด RS เคยมีศิลปินในค่ายถึง 400 คน แต่ในตอนนั้นโจทย์ของธุรกิจยังเน้นในเรื่องธุรกิจเพลง

แต่เมื่อยุคสมัยที่เปลี่ยนไป RS ได้เริ่มปรับโมเดลธุรกิจให้เข้ากับสถานการณ์การแข่งขันของโลกธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสื่อ เพลง ปรับโมเดลเข้าสู่ “คอมเมิร์ซ” เต็มตัว ทำให้ธุรกิจเพลงเริ่มลดบทบาทลง จนเหลือแค่ธุรกิจอีเวนต์ และเก็บค่าลิขสิทธิ์ แต่ยังมีค่ายเพลงอาร์สยามที่ยังคงแอคทีฟอยู่ค่ายเดียว

จนในปีนี้เรียกว่าเป็นปีที่เหมาะเจาะที่ RS จะปัดฝุ่นธุรกิจเพลง กลับมารุกครั้งใหญ่อีกครั้ง เปิดตัว 3 ค่ายเพลง RoseSound, Kamikaze และ RSIAM ภายใต้โมเดลธุรกิจใหม่ Music Star Commerce เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ศิลปิน และสอดคล้องกับธุรกิจของอาร์เอส กรุ๊ปในปัจจุบันที่เน้นในเรื่องคอมเมิร์ซ

เฮียฮ้อ สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน)

“จริงๆ เราไม่เคยหยุดธุรกิจเพลง ไม่เคยหายไป เพลงยังเป็นต้นน้ำ เป็นรากฐานของ RS เพียงแต่มีการปรับตัวตามสภาพแวดล้อม ปีนี้กลับมารุกอย่างจริงจังมากกว่า ภายใต้โมเดล Music Star Commerce การทำเพลงไม่ใช่เรื่องยาก เราอยู่กับมันมาขนาดนี้ แต่อยู่ที่จังหวะว่าเมื่อไหร่ควรทำมากทำน้อย อยู่ที่การตัดสินใจในการขับเคลื่อนธุรกิจ อยู่ที่โจทย์ในตอนนั้น”

เฮียฮ้อมองว่า RS Music จะเป็นธุรกิจเพลงยุคใหม่ ที่ได้ปรับให้เข้ากับโมเดลธุรกิจของอาร์เอส กรุ๊ปในตอนนี้ มีการจัดโครงสร้างที่เหมาะสม มีทีมงานราว 20-30 คน มี 3 ค่ายเพลง กับ 9 ศิลปินใหม่ ถือว่าเพียงพอ และกำลังมีแผนเพิ่มในอนาคต เพียงแต่ต้องตอบโจทย์ธุรกิจในตอนนั้น

“แม้ตอนนี้คอมเมิร์ซจะเป็นธุรกิจหลัก แต่ธุรกิจเพลงไม่เคยขาดหายไป เพียงแต่เข้าไปอยู่ในแผนการเติบโตของ Entertainmerce การมาของ RS Music จึงถูกจังหวะ สร้างความท้าทายใหม่ เป็น RS ในยุคใหม่”

โมเดลใหม่ ศิลปินลงทุนเอง ปั้นสตาร์เป็น Business Partner

การเปิดตัว 3 ค่ายเพลง เป็นการเอากลิ่นอายเดิมๆ ของ RS มาปัดฝุ่นใหม่ แถมยังเอาค่ายดั้งเดิมอย่าง RoseSound กลับมาด้วย โดยที่ศิลปินใหม่ 9 คน ก็เป็นหน้าใหม่แกะกล่อง ไม่มีศิลปินเก่าเลย ส่วนแนวเพลงของแต่ละค่าย จะแยกตามไลฟ์สไตล์

โฬม อาร์สยาม
โฬม อาร์สยาม

RSIAM (อาร์สยาม) ปรับโฉมค่ายเพลงลูกทุ่ง ให้มีความ Mass Music มีศิลปินใหม่ 1 คน ได้แก่ โฬม อาร์สยาม

RoseSound (โรสซาวด์) แนวเพลง Trendy Music กับ 4 ศิลปิน ริศา, ติม, ดนุมาร์ค และมิวสิค

Kamikaze (กามิกาเซ่) แนวเพลง POP Music กับ 4 ศิลปินรุ่นใหม่ ได้แก่ GRACY, KKP, UTTER และ FRESHYBII 

ในศิลปิน 9 คนนี้ มีการเซ็นสัญญาทั้งหมด 8 ปี ตัวเลข 9 คนนี้เฮียฮ้อมองว่าไม่ได้น้อยไป เพราะไม่ได้มองที่ปริมาณ แต่มองที่ว่าสามารถตอบโจทย์ธุรกิจ และโมเดลได้หรือไม่

โดย RS Music ยุคนี้ก็มาพร้อมกับโมเดลใหม่ นั่นคือ ให้ศิลปินทุกคนลงทุนทำเพลงเอง ไม่ว่าจะเป็นโปรดักชั่นต่างๆ ทำ Music VDO เสื้อผ้า หน้าผม เพียงแต่ทาง RS จะเป็นผู้บริหารจัดการให้ ประเมินว่ามีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ทำให้ศิลปินมีความเสี่ยงน้อย และทำการตลาดให้ ใช้จุดแข็งจากการเป็นค่ายใหญ่

เฮียฮ้อเล่าว่าถ้าเป็นโมเดลแบบสมัยก่อนที่ทางค่ายลงทุนทำเพลงให้ศิลปิน มีต้นทุนเฉลี่ย 3-5 แสน/เพลง ตอนนี้ก็อยู่ในราคานี้ เพียงแต่ทางศิลปินลงทุนเองทั้งหมด ทางค่ายจะเป็นคนบริหารจัดการ ทำการตลาด แต่ถ้ารวมมูลค่าในการปั้นศิลปินแต่ละคนนั้น เฮียฮ้อบอกว่ามูลค่าหลายล้าน แต่ตอนนี้ใช้แค่ไม่กี่แสนเท่านั้น ทำเพลงแล้วลงโซเชียล มีเดียก็ได้แล้ว

รวมไปถึงศิลปินจะต้องต่อยอดกับโมเดล Music Star Commerce ได้ ในอนาคตอาจจะเชื่อมโยงกับสินค้าของ RS Mall หรือเปิดตัวสินค้า เป็น Business Partner ร่วมกันก็ได้ เพราะศิลปินแต่ละคนมีแพลตฟอร์ม และมีแฟนเพลงเป็นของตัวเอง

“ในอดีตเราจะคุยกันว่าเราจะสร้างศิลปินเป็นนักร้อง ซูเปอร์สตาร์ แต่ตอนนี้เราบอกว่าปลายทางเราต้องการให้เป็น Business Partner กัน อาจจะเป็นนักร้องดังด้วย และมีธุรกิจที่เป็นหุ้นส่วนด้วย” 

FRESHYBII
FRESHYBII

บอกลาบอยแบนด์ เกิร์ลกรุ๊ป

จะเห็นว่าคาแร็กเตอร์ของศิลปิน RS ส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นศิลปินในตำนานยุค 90 หรือค่ายเพลงรุ่นใหม่อย่าง Kamikaze ล้วนมีส่วนประกอบของวงที่เป็นบอยแบนด์ และเกิร์ลกรุ๊ปค่อนข้างเยอะ มีหลายวงที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่ศิลปินใหม่ของ RS Music ในยุคนี้ไม่มีที่เป็นวงเลย มีแต่ศิลปินเดี่ยว

เมื่อยิงคำถามนี้ เฮียฮ้อได้ให้คำตอบว่า “อยู่ที่โจทย์” ถ้ามีวงบอยแบนด์ หรือเกิร์ลกรุ๊ปที่สามารถเข้าระบบ และตอบโจทย์โมเดลนี้ได้ ก็อาจจะได้เห็น เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่มีตรงโจทย์ เลยมีแค่ศิลปินเดี่ยว

เฮียฮ้อได้เล่าถึงหลักการเลือกศิลปินของ RS Music ยุคใหม่เพิ่มเติม ตอนนี้มุมมองจะแตกต่างจากเดิม ไม่ใช่แค่มีความสามารถ แต่ต้องมีไลฟ์สไตล์ที่ชัดเจนด้วย สามารถเป็น Influencer ได้

“หลักการเลือกศิลปินในตอนนี้จะมีความแตกต่างจากเดิมมาก การสร้างศิลปินจะต้องมองมากกว่าที่เคยมอง แต่ก่อนมองแค่ว่ามีความสามารถ การแสดงดี ร้องเพลงดี บุคลิกดี ตอนนี้โมเดลใหม่ต้องเน้นไลฟ์สไตล์ชัดเจน มีตัวตน มีชีวิตส่วนตัวน่าสนใจ เป็นคนอยู่ในโลกโซเชียล เป็น Influencer ได้”

ในส่วนของศิลปินเก่า ตอนนี้ RS ยังมีศิลปินค่าย RSIAM ที่ยังอยู่ในสัญญารวม 20 คน ซึ่งศิลปินเก่าจะกลับมาทำตลาดในมุมของการทำอีเวนต์ และคอนเสิร์ต มากกว่าการทำเพลงใหม่

หวังปั๊มรายได้จากเพลงเติบโตขึ้น

ในเรื่องของรายได้นั้น เฮียฮ้อก็หวังที่จะมีรายได้จากธุรกิจเพลงเพิ่มมากขึ้น โดยอาจจะอยู่ในรูปแบบของการชมในโซเชียลมีเดีย สตรีมมิ่ง งานแสดง กิจกรรมต่างๆ รวมไปถึงพรีเซ็นเตอร์

GRACY
GRACY

โมเดลการสร้างรายได้ให้กับธุรกิจเพลงจะมี 3 ข้อใหญ่ๆ ได้แก่

Music Star Commerce เพลงเป็นแค่เครื่องมือหนึ่ง ต่อยอดศิลปินให้เป็น Business Partner

– การบริหาร asset ทั้งหมด อาทิ การฟังเพลงผ่านระบบดิจิทัล การบริหารศิลปินในค่าย การขายลิขสิทธิ์เพลง รวมถึงการจัด event และ concert

– การทำโปรเจกต์ร่วมกับพาร์ตเนอร์ เพื่อทำให้เกิดคอนเทนต์ใหม่ๆ เช่น การทำ Project “RS X JOOX GENERATION JOOX” ที่นำเอาเพลงระดับตำนานของอาร์เอส มาให้ศิลปินที่อยู่ในกระแสปัจจุบันมาตีความ

ปัจจุบันธุรกิจเพลงสร้างรายได้สัดส่วน 7% หรือราวๆ 200 ล้านบาท เฮียฮ้อบอกว่าในยุคหนึ่งที่ธุรกิจเพลงรุ่งเรืองมากๆ เคยมีสัดส่วนรายได้จากเพลงถึง 90%

ต้องจับตาดูว่า โมเดลธุรกิจเพลงยุคใหม่ของ RS จะเวิร์กหรือไม่ แต่ก็ถือว่าเป็นการสร้างมิติใหม่ และ Disrupt วงการเพลง และปรับตัวให้เข้ากับโมเดลธุรกิจของตัวเองให้มากที่สุด

]]>
1307500
คุยกับ “เฮียฮ้อ” ทรานส์ฟอร์ม RS ยุคใหม่ : ทาสหมาตัวยง ลุยขายอาหารสัตว์ ปัดฝุ่นเพลง https://positioningmag.com/1293489 Thu, 20 Aug 2020 10:28:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1293489 RS เข้าสู่ยุคที่ 4 ของการดำเนินธุรกิจ ได้เปิดสำนักงานใหม่ย้ายจากลาดพร้าวสู่ย่านถนนประเสริฐมนูกิจ หรือเกษตร-นวมินทร์ ยุคที่ 4 นี้มีการปรับโมเดลใหม่หลายๆ อย่าง เตรียมลุยตลาดอาหารสัตว์เต็มตัว แถมยังเตีรยมปัดฝุ่นธุรกิจเพลงที่ห่างหายไปนานด้วย

RS สู่ยุคที่ 4

ถ้าฝั่งแกรมมี่มี “อากู๋” ฝั่ง RS ที่เป็นเหมือนคู่ปรับทางดนตรีมาตลอดก็ต้องมี “เฮียฮ้อ”

RS เป็นหนึ่งในตำนานเพลงยุค 90 ที่หลายๆ คนเติบโตมาพร้อมกับเพลง และศิลปินของ RS ถึงแม้ว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป โมเดลธุรกิจต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อรับกับความต้องการของตลาด แต่ชื่อของ RS ก็ยังคงอยู่

RS ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2519 โดย “สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์” หรือเฮียฮ้อ และพี่ชาย “เกรียงไกร เชษฐโชติศักดิ์”  เริ่มก่อตั้ง RS และ Rose Sound จากธุรกิจตู้เพลง และค่ายเพลง ด้วยเงินลงทุน 50,000 บาท โดยมีสำนักงานแห่งแรกเป็นตึกแถวจำนวน 2 คูหา บนถนนอุรุพงษ์ ตอนนั้นเฮียฮ้อมีอายุ 19 ปี

อาร์เอส กรุ๊ป

จากนั้นในปี 2525 ก้าวเข้าสู่ธุรกิจเพลงวัยรุ่น ภายใต้บริษัท อาร์.เอส.ซาวด์ จำกัด โดยมีศิลปินวงแรกในสังกัดคือ วงอินทนิล ตามด้วย คีรีบูน, ฟรุตตี้, ซิกเซนต์, บรั่นดี, และ เรนโบว์ เป็นต้น

ในปี 2535 ย้ายสำนักงานจากตึกแถว 2 คูหา ถนนอุรุพงษ์ มายังอาคารเชษฐโชติศักดิ์ ซอยลาดพร้าว 15 และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “บริษัท อาร์.เอส. โปรโมชั่น 1992 จำกัด”

ถ้านับถึงตอนนี้ RS มีอายุ 39 ปีแล้ว ย่างเข้าปีที่ 40 ผ่านการทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสู่ธุรกิจทีวีดิจิทัลเต็มตัวในปี 2557 ใช้ช่อง 8 เป็นหัวหอกหลัก ในปี 2559 เปิดบริษัท “ไลฟ์สตาร์ (LifeStar)” เข้าสู่ธุรกิจสุขภาพ และความงาม

จนถึงในปี 2562 มีการทรานส์ฟอร์มครั้งสำคัญที่ RS ได้ขอปรับย้ายหมวดธุรกิจ จากหมวดธุรกิจ “สื่อและสิ่งพิมพ์” มาเป็นหมวด “ธุรกิจพาณิชย์” หรือ MPC (Multi-platform Commerce) โดยกลุ่มนี้สร้างรายได้ได้ในสัดส่วนถึง 65% ของรายได้รวมของ RS และในปีเดียวกันนั้น “บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์” ก็ได้เข้าถือหุ้น RS จำนวน 68 ล้านหุ้น (หรือประมาณ 7%) เพื่อเชื่อมโยงฐานข้อมูลลูกค้า

เฮียฮ้อเริ่มเล่าว่า 39 ปีของ RS ที่ผ่านมา ได้แบ่งเป็น 3 ช่วงใหญ่ๆ จนในปีนี้ถึงยุคที่ 4 เป็นการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ พร้อมกับย้ายสำนักงานใหญ่ด้วย

“ที่ผ่านมาแบ่ง RS เป็น 3 ช่วงด้วยกัน ช่วงแรกเป็นช่วงของปลาใหญ่กินปลาเล็ก ช่วงนั้นเราเป็นปลาเล็ก ช่วงวัยรุ่น คิดแค่ว่าจะเอาตัวรอดได้อย่างไรไม่ถูกกินก่อนที่จะโต พอเข้าสู่ช่วงที่ 2 คือช่วงปี 2535 เริ่มย้ายมาที่ลาดพร้าว ธุรกิจเริ่มใหญ่ขึ้น เป็นปลาใหญ่แล้ว ช่วงนี้จะเป็นปลาใหญ่กินปลาช้า แต่ในช่วงที่ 3 คือช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เป็นยุคปลาฉลามที่กินทุกปลา ปลาใหญ่ หรือปลาเล็กไม่สำคัญ” 

โลโก้ใหม่สุดมินิมอล พร้อมสำนักงานใหม่

ในปีนี้มีการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ เฮียฮ้อบอกว่าไม่ใช่แค่เปลี่ยนโลโก้ใหม่ แต่ยังมีการจัดโครงสร้างองค์กรใหม่ ใช้ระบบ Agile ที่เน้นความรวดเร็ว คล่องตัว กำหนดวัฒนธรรมองค์กรใหม่ เป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนด้วยคอนแทนต์ และสินค้านั่นเอง

โดยที่โลโก้ใหม่ที่ให้ภาพลักษณ์เรียบง่าย มินิมอล และแฝงไปด้วยความร่วมสมัยเป็นสากล ได้ทำงานร่วมกับ มารีน่า วิลเลอร์ กราฟฟิกดีไซเนอร์ผู้ออกแบบโลโก้ให้แก่ เทต โมเดิร์น พิพิธภัณฑ์ศิลปะชื่อดังในอังกฤษ โลโก้ใหม่ยังสื่อถึงความเป็นเป็นองค์กรที่ไร้ขีดจำกัด ไม่มีสี ไม่มีกรอบ เป็นตัวอักษรขาวหรือดำก็ได้

ส่วนสำนักงานใหญ่ที่ย้านมาอยู่ที่ย่านถนนเกษตร-นวมินทร์ มีพื้นที่รวมถึง 16 ไร่ เป็นพื้นที่ส่วนตัวของเฮียฮ้อ และให้ RS เป็นผู้เช่า ซึ่งบ้านของเฮียฮ้อก็อยู่ในระแวกเดียวกันด้วย

ย้ำจุดยืน Entertainmerce

RS ได้เข้าสู่วงการขายของได้ราว 4 ปี เริ่มต้นจากธุรกิจไลฟ์สตาร์ เฮียฮ้อเริ่มมองเห็นแล้วว่าธุรกิจสื่อเริ่มอยู่ในช่วงขาลง ยิ่งมีทีวีดิจิทัล ยิ่งแบ่งเค้กกันมากขึ้น ในขณะที่จำนวนคนดูเท่าเดิม จึงเริ่มเปลี่ยนวิธีจากให้เอยนซี่เป็นลูกค้าซื้อสปอตโฆษณา เป็นให้คนดูเป็นผู้ซื้อแทน ใช้สื่อในเครือทั้งหมดเป็นช่องทางการขาย

RS ได้ Disrupt ตัวเองด้วยการใช้โมเดลธุรกิจ Entertainmerce หรือ Entertainment + Commerce ธุรกิจมีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขนาดขอย้ายจากหมวดธุรกิจ Entertainment มาอยู่หมวด Commerce ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

พรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์

การทำ Entertainmerce ของ RS ก็คือ การใช้ศักยภาพ ทรัพย์สินทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นศิลปิน ดารา นักแสดง คอนเทนต์ สื่อ ทีวี และวิทยุในมือทั้งหมด มาต่อยอดผสมผสานกับธุรกิจคอมเมิร์ซ เพื่อสร้างธุรกิจให้แข็งแรง

พรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ เล่าว่า

“ในปี 2557 เป็นปีที่อุตสาหกรรมสื่อเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากทีวี 4 ช่อง เป็น 24 ช่อง แต่สายตาคนดูเท่าเดิม RS เลยใช้วิธีแตกต่าง เอาเวลาครึ่งนึงของโฆษณามาทำธุรกิจใหม่ จนวันนี้ 5 ปีผ่านไป RS Mall เป็นการผสมช้อปปิ้งเข้ากับความบันเทิง เล่าถึงแนวทางการแก้ปัญหา เสนอข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าได้” 

แม้ในแต่ละสื่อทุกช่องทางของ RS จะมีการขายของเก่งอย่างไร แต่โมเดล Entertainmerce ก็พิสูจน์ได้ว่ามันเข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคนี้ และสามารถทำให้บริษัทอยู่รอดได้ และ RS ยังโตสวนกระแสวงการทีวีดิจิทัลที่มีการขาดทุนกันอย่างนัก ร่วมกับวิกฤต COVID-19 โดยที่ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ สามารถสร้างรายได้ 586.2 ล้านบาท สร้างสถิติ New High สูงที่สุด และมียอดขายจากช่องทางออนไลน์โต 80%

ปัจจุบันมีฐานลูกค้า 1.4 ล้านราย แบ่งสัดส่วนเป็นคนกทม. 65% และคนต่างจังหวัด 35% ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงอายุ 40 ปี ขึ้นไป มียอดใช้จ่ายเฉลี่ย 2,000 บาท

ทาสหมาตัวยง เตรียมขายอาหารสัตว์

ภายใต้ RS Mall ที่เป็นแพลตฟอร์มขายสินค้าของ RS มีสินค้าที่หลากหลาย ทั้งสินค้าแบรนด์ของ RS เอง และแบรนด์ที่รับมาขาย โดยสัดส่วนรายได้ 60% เป็นสินค้าในเครือ และอีก 40% เป็นสินค้าข้างนอก

ชาคริต พิชญางกูร หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจไลฟ์สตาร์ บอกว่า ในปีนี้จะบุกโมเดล Star Commerce Modelนำศิลปินดารามาร่วมคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มแฟนคลับ เริ่มต้นที่ใบเตย อาร์สยาม กับแบรนด์ BT Cosmetics Color Collection มีสินค้าแป้ง Color Palette และ Lipstick

ดร.ชาคริต พิชญางกูร หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจไลฟ์สตาร์

อีกหนึ่งไฮไลท์ของไลฟ์สตาร์ คือ การบุกตลาด “อาหารสัตว์” นอกจากตัวเลขมูลค่าตลาดอันมหาศาลถึง 40,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 10% โดยตลอด ที่สำคัญคือ เฮียฮ้อเป็น “ทาสหมา” ตัวยง จึงรู้ว่าตลาดนี้มีโอกาสมากมายขนาดไหน

เฮียฮ้อเล่าว่า “เฮียเลี้ยงหมา 2 ตัว เริ่มจากตัวเองนี่แหละถึงรู้ว่าตลาดใหญ่มาก เอาจากอินไซต์ของตัวเองเลย ซื้อยาสระผมให้ตัวเองอย่างมากราคา 200 บาท แต่ซื้อให้หมา 700 บาท พวกทาสเนี่ยจ่ายให้หมาแมวเหมือนลูก บางอย่างซื้อดีกว่าลูกด้วยซ้ำ”

เฮียฮ้อเสริมอีกว่า เชื่อว่าอาหารสัตว์จะทำให้เรามีแต้มต่อได้ เพราะเป็นเรื่องของ Emotional ใช้ Storytelling ให้เหมาะสม ยิ่งตอนนี้เป็นเทรนด์ของสังคมอีกด้วย ซึ่งอาหารสัตว์ในตลาดมีหลายกลุ่ม แต่ของไลฟ์สตาร์จะอยู่ในกลุ่มไฮเอนด์ มีทีมคิดสูตรเป็นของตัวเอง คาดว่าจะวางจำหน่ายช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้

เบื้องหลังการปลุกชีพธุรกิจ “เพลง”

อีกหนึ่งไฮไลท์ของแผนธุรกิจในปีนี้ของ RS ก็คือ การที่กลับมาปัดฝุ่น “ธุรกิจเพลง” อีกครั้ง หลังจากที่ห่างหายไปนาน เพราะ RS โฟกัสกับธุรกิจสื่อ และคอมเมิร์ซ

RS Music ในปีนี้จะกลับมาเต็มรูปแบบด้วย 3 ค่ายเพลง RSIAM, Kamikaze และ RoseSound ทั้งหมดเป็นค่ายดั้งเดิมที่เคยมี แต่ศิลปินใหม่ทั้งหมด แต่มาพร้อมกับโมเดลธุรกิจใหม่ ไม่ใช่แค่งานเพลงอย่างเดียว ศิลปินจะต้องขายของได้ด้วย! จะเริ่มเปิดตัวในเดือนตุลาคม

สุกฤช สุขสกุลวัฒน์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจเพลง บอกว่า

“ความท้าทายครั้งสำคัญของธุรกิจเพลง คือ การปรับตัวเพื่อสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ที่แตกต่าง เพลงเป็นแค่เครื่องมือหนึ่ง แต่สิ่งที่จะสร้างและต่อยอดธุรกิจได้คือ สตาร์ ที่มีตัวตน มีคาแรคเตอร์ที่ชัดเจน และมีฐานแฟนคลับ ซึ่งทั้งหมดจะถูกเชื่อมโยงกับโมเดลธุรกิจใหม่ Music Star Commerce จากการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ศิลปิน และสอดคล้องกับธุรกิจของอาร์เอส กรุ๊ป”

ถ้าถามว่าทำไมในปีนี้ถึงเป็นจังหวะที่ RS จะกลับมารุกธุรกิจเพลงอีกครั้ง เฮียฮ้อบอกแค่ว่า วันนี้มี Business Model รองรับนั่นเอง

“หัวใจสำคัญของกลยุทธ์ RS รู้ว่าเมื่อไหร่ควรทำ ควรหยุด ควรช้า ควรเร็ว จังหวะในการทำธุรกิจคือสิ่งสำคัญ โตได้โต โตไม่ได้อย่าฝืน มาทำช่วงที่กลับมาได้  เราปรับตัวในธุรกิจเพลงตลอด สร้างโมเดลใหม่ๆ ทำให้ยังมีรายได้ ตอนนี้ทรานฟอร์มจนคอมเมิร์ซเป็นธุรกิจใหญ่ การกลับมารุกธุรกิจเพลงอีกครั้ง เอาค่าย RoseSound ค่ายเพลงแรกในชีวิตกลับมา เพราะวันที่มี Business Model พร้อมรองรับ ต้องต่อยอดกับโมเดลคอมเมิร์ซได้ เรามีต้นน้ำถึงปลายน้ำพร้อม”

เฮียฮ้อบอกว่าแต่เดิมโมเดลธุรกิจเพลงของ RS จะเป็นการวางตัวเป็นมาร์เก็ตติ้ง นั่นคือให้ศิลปินออกเงินเอง แต่ทางค่ายเป็นคนทำการตลาดให้ หรือมีหน้าที่ซัพพอร์ต แต่ตอนนี้มีธุรกิจคอมเมิร์ซ ไม่เลือกแค่ร้องดีมีคุณภาพ แต่ต้องต่อยอดคอมเมิร์ซได้ ขึ้นอยู่กับศักยภาพของศิลปิน เป็นพาร์ทเนอร์ เจ้าของแบรนด์ได้

ในปี 2562 RS มีรายได้รวม 3,200 ล้านบาท ในปีนี้ตั้งเป้ารายได้ที่ 4,200 ล้านบาท มีการปรับลดแผนจากเดิมที่วางไว้ที่ 5,000 ล้านบาทเพราะวิกฤต COVID-19

แบ่งสัดส่วนรายได้ธุรกิจคอมเมิร์ซ 65% ทีวี 20% วิทยุ 10 และเพลง 5%

เฮียฮ้อตั้งเป้ารายได้ไปถึง 10,000 ล้านบาท แต่ยังไม่บอกว่าภายในกี่ปี แต่ที่แน่ๆ คอมเมิร์ซยังเป็นธุรกิจใหญ่ที่จะยังคงมีสัดส่วนถึง 80%

]]>
1293489
ขายเก่ง! RS Mall รุกโมเดล Entertainmerce ผนึกทุกสื่อในเครือขายของ ปั๊มยอดขาย 3,200 ล้าน https://positioningmag.com/1260460 Tue, 14 Jan 2020 09:26:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1260460 RS Mall ปรับคอนเซ็ปต์โมเดล Entertainmerce นำทุกสื่อในเครือ และพันธมิตรขายของ พ่วงสร้างความบันเทิง ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีมากขึ้น เป้ารายได้ 3,200 ล้านในปีนี้ พร้อมแผนรายได้รวมของกลุ่ม RS ทะลุหมื่นล้านในปี 2022

ยุคใหม่ของ RS ในรอบ 37 ปี

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเรียกว่าเป็นช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดทุกปีจริงๆ สำหรับ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS ที่จากเดิมอยู่ในธุรกิจเพลง ก็เริ่มมุ่งหน้าเข้าสู่ธุรกิจสื่อ มีทีวีดิจิทัลช่อง 8” จนกระทั่งได้มีการทรานส์ฟอร์มครั้งยิ่งใหญ่สู่การเปลี่ยนกลุ่มธุรกิจเป็นกลุ่มคอมเมิร์ซอย่างเต็มตัว หลังพบว่าขายสินค้าเพื่อนสุขภาพ และความงามมีรายได้ที่ดีกว่า จนแซงหน้าธุรกิจสื่อไปแล้ว

ล่าสุด RS ได้เปลี่ยนช่องทางการขายสินค้าของตัวเองจาก Shop 1781 เป็น RS Mall เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา พร้อมกับกลยุทธ์ปี 2020 ในการปรับตัวเข้าสู่โมเดล Entertainmerce เรียกว่าเป็นการขายของที่พ่วงความบันเทิงในทุกสื่อในเครือมากขึ้น

งานนี้เฮียฮ้อสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ถึงกับออกปากเลยว่าปีนี้เป็นปีที่สำคัญของ RS ในรอบ 37 ปีเลยทีเดียว

“หลังจากที่ RS ได้ทรานส์ฟอร์มสู่ธุรกิจคอมเมิร์ซมาได้ 5 ปีแล้ว ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ได้เข้าใจตลาด และสภาพแวดล้อมธุรกิจ แต่ก็ยังเห็นช่องว่างในตลาดอีกมากที่จะเป็นโอกาสทางธุรกิจ ที่ผ่านมามีการเตรียมความพร้อมสู่ปี 2020 ได้มีการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ จัดทีมทำงาน ทีมบริหาร ลงทุนเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการขาย เรียกว่าเป็นปีสำคัญในรอบ 37 ปีของ RS ในการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่”

Entertainmerce ขายของแบบพ่วงความบันเทิง

สำหรับโมเดล Entertainmerce เฮียฮ้อเล่าว่า เป็นการต่อยอดจากธุรกิจดั้งเดิมที่แข็งแกร่ง ที่ผ่านมา RS ยังไม่ได้ใช้จุดแข็งนั้นอย่างเต็มที่ ก็คือการมีสื่อในมือเยอะ จะช่วยในเรื่องการขายได้มากขึ้น

พรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ กลุ่มธุรกิจสินค้าและแพลตฟอร์ม เล่าว่า

“เราไปเจออินไซต์อย่างหนึ่งพบว่าเรื่องช้อปปิ้งเป็นเรื่องของประสบการณ์ ความสนุก การค้นเจอสิ่งใหม่ๆ และความบันเทิง ถ้าเอาทุกอย่างมารวมกันมันได้จะช่วยสร้าง Conversion Rate ที่สูงขึ้น ยกตัวอย่างที่ประเทศจีนก็ใช้โมเดลแบบนี้ ก็ประสบความสำเร็จ”

ถ้าพูดถึงสื่อในมือของกลุ่ม RS มีทั้ง

  • TV ช่องของตัวเองคือช่อง 8 และพันธมิตร ไทยรัฐทีวีเวิร์คพอยท์ และอมรินทร์ ที่มีการวัดจำนวนคนดูกว่า 2.6 ล้านคนต่อวัน
  • วิทยุ Cool Fahrenheit Online มีคนฟังออนไลน์ 49 ล้านครั้งต่อเดือน
  • ดิจิทัล นับทุกช่องทางของกลุ่ม RS ได้แก่ YouTube มีผู้ติดตามรวมทั้งหมด 57 ล้านราย Instagram 12 ล้านราย และ Facebook 38 ล้านราย (RS นับทุกแอคเคาท์ในเครือรวมกันทั้งหมด)
  • On Ground งานอีเวนต์ และคอนเสิร์ตต่างๆ

ต้องมีหมื่นล้านภายในปี 2022

สำหรับกลยุทธ์ด้านสินค้าของ RS Mall จะประกอบไปด้วย การเพิ่มความหลากหลายของประเภทผลิตภัณฑ์ รวมถึงการนำเอาสินค้าสำหรับเทศกาลต่างๆ เข้ามาสร้างสีสัน การทำสินค้าเฉพาะสำหรับ RS Mall เท่านั้น เป็นการเปิดตัวที่ RS Mall เป็นที่แรก หรือแม้แต่การทำ Brand Collaboration

ส่วนด้านการนำเสนอ จะมีการสร้างรูปแบบการนำเสนอประเภทไลฟ์สด การสาธิตการใช้จริง รวมถึงการนำผู้มีประสบการณ์ในการใช้งานจริงมาร่วมให้ความคิดเห็นและแบ่งปันประสบการณ์

ในปีนี้กลุ่ม RS ตั้งเป้ารายได้รวม 5,200 ล้านบาท เติบโต 30% แบ่งสัดส่วนเป็นรายได้จากคอมเมิร์ซ 60% หรือ 3,200 ล้านบาท และสื่อ/ความบันเทิง 2,050 ล้านบาท มีสัดส่วน 40%

ในปีหน้าตั้งเป้ารายได้ของคอมเมิร์ซมีสัดส่วน 80% รวมทั้งตั้งเป้าหมายว่าทั้งกลุ่ม RS ในปี 2022 จะต้องมีรายได้ 10,000 ล้านบาท

]]>
1260460