โรงแรมชาเทรียม – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 12 Oct 2022 12:16:35 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “ชาเทรียม” เครือตระกูลโสภณพนิช ลุยธุรกิจ “รับบริหาร” โรงแรม สยายปีกเข้าอินโดฯ-เวียดนาม https://positioningmag.com/1404098 Wed, 12 Oct 2022 09:17:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1404098
  • เครือโรงแรมไทย “ชาเทรียม” ในมือตระกูล “โสภณพนิช” กางแผนเน้นธุรกิจ “รับบริหาร” มากขึ้น ควบคู่ไปกับธุรกิจเดิมที่เป็นเจ้าของโรงแรมและบริหารเอง โดย 3 ปีข้างหน้าจะมีโรงแรมเปิดใหม่อีก 5 แห่ง ทั้งในไทยและต่างประเทศ เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม
  • ส่งแบรนด์ “มายเทรียณ์” (Maitria) โรงแรมไลฟ์สไตล์ระดับ 4 ดาวเป็นหัวหอกเข้าสู่ตลาดรับบริหาร วางจุดเด่นสัญญา “ยืดหยุ่น” กว่า เจ้าของโครงการ (owner) โอกาสได้กำไรสูง
  • ปีนี้ยังขยับเข้าสู่ตลาดโรงแรมระดับลักชัวรีผ่าน “ชาเทรียม แกรนด์ กรุงเทพ” ทำเลด้านหลังสยามพารากอน ฤกษ์เปิดตัว 28 พฤศจิกายนนี้
  • กล่าวถึงเชนโรงแรม “ชาเทรียม ฮอสพิทาลิตี้” ภาพจำที่คนไทยรู้จักดีคือโรงแรมขนาดใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา “ชาเทรียม โฮเทล ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ” โดยบริษัทนี้อยู่ภายใต้ร่มใหญ่ “ซิตี้เรียลตี้” ของตระกูลโสภณพนิช

    ซิตี้เรียลตี้เริ่มลงทุนโรงแรมครั้งแรกที่ย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา ตั้งแต่ปี 2541 และโรงแรมนี้เองที่รีแบรนด์ใหม่เป็น “ชาเทรียม โฮเทล รอยัล เลค ย่างกุ้ง” ในปี 2551 จุดเริ่มต้นของการขยายชาเทรียม ฮอสพิทาลิตี้ จนปัจจุบันมีโรงแรมในมือ 12 แห่ง ใน 3 ประเทศ คือ ไทย เมียนมา และญี่ปุ่น

    ชาเทรียม
    ชาเทรียม โฮเทล ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ ตึกทรงกระบอก 3 ตึก ที่โดดเด่นริมแม่น้ำเจ้าพระยา

    พอร์ตโฟลิโอดั้งเดิมของชาเทรียมทำธุรกิจแบบ Build-Own-Operate คือพัฒนาโครงการ เป็นเจ้าของเอง และบริหารเอง รวมทั้งหมด 10 แห่ง

    มีเพียง 2 แห่งเท่านั้นที่เป็นธุรกิจ “รับบริหาร” (Management) ได้แก่ โรงแรมมายเทรียณ์ โมด สุขุมวิท 15 และ ชาเทรียม นิเซโกะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทั้งสองแห่งเพิ่งเข้ามาในพอร์ตเมื่อปี 2561-62

     

    แผน 3 ปีเปิดใหม่ 5 แห่ง ทั้งลงทุนเองและรับบริหาร

    “สาวิตรี รมยะรูป” กรรมการผู้จัดการ ชาเทรียม ฮอสพิทาลิตี้ อธิบายถึงแบรนด์ในพอร์ตบริษัทจะแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ

    • ชาเทรียม แกรนด์ (Chatrium Grande) โรงแรมระดับลักชัวรี 5 ดาว+
    • ชาเทรียม (Chatrium) โรงแรมระดับอัปสเกลจนถึงไฮเอนด์ 5 ดาว
    • มายเทรียณ์ (Maitria) โรงแรมไลฟ์สไตล์ระดับกลางบน 4 ดาว

    แผนของชาเทรียมในอีก 3 ปีข้างหน้า จะมีการเปิดตัวโรงแรมใหม่ 5 แห่ง ทั้งในไทยและต่างประเทศ ในไทยจะเน้นทำเลหัวเมืองที่ไม่ใช่กรุงเทพฯ ขณะที่ต่างประเทศคาดว่าจะเปิดในเวียดนามและอินโดนีเซีย

    “สาวิตรี รมยะรูป” กรรมการผู้จัดการ ชาเทรียม ฮอสพิทาลิตี้

    โดยคาดว่าจะมีโรงแรมที่ลงทุนเอง 1-2 แห่ง และที่รับบริหาร 3-4 แห่ง ในส่วนที่รับบริหาร จะเน้นนำเสนอแบรนด์ “มายเทรียณ์” เป็นหลัก เพราะเป็นแบรนด์ที่ทำกำไรได้ดีที่สุด ตรงกับความต้องการของเจ้าของโรงแรม (owner) ที่มองหาเชนโรงแรมบริหาร

     

    จุดเด่น “สัญญายืดหยุ่น” ตีตลาดจากรายใหญ่

    “เรเน่ บาล์มเมอร์” ผู้จัดการทั่วไปกลุ่มชาเทรียม ฮอสพิทาลิตี้ กล่าวถึงกลยุทธ์ของชาเทรียมในการแข่งขันกับเชนโรงแรม ‘บิ๊กเนม’ คือ การเจรจาสัญญาที่ยืดหยุ่นกว่า สามารถเซ็นระยะสั้นกว่าได้ ส่วนใหญ่ในตลาดรับบริหารจะเปิดสัญญาที่ 10+10 ปี แต่ชาเทรียมสามารถทำสัญญาระยะ 5+10 ปี หรือ 10+5 ปีได้ รวมถึงจะเน้นเรื่องค่าธรรมเนียม (fee) ที่ชัดเจน เป็นประโยชน์กับ owner มากกว่า

    เรเน่ บาล์มเมอร์ ผู้จัดการทั่วไปกลุ่มชาเทรียม ฮอสพิทาลิตี้

    สิ่งที่จะนำเสนอกับ owner โรงแรม คือประสบการณ์ของชาเทรียมที่ลงทุนและบริหารเองมานาน ทำให้เข้าใจความต้องการของเจ้าของโครงการ เข้าใจการควบคุมต้นทุน และสร้างผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ที่ดีสม่ำเสมอ

    ขณะที่จุดอ่อนของเครือยอมรับว่าเป็น “ชื่อเสียง” ของแบรนด์ที่ไม่เป็นที่รู้จักมากนักนอกประเทศ ทำให้จะต้องเน้นการประชาสัมพันธ์โรงแรมมากขึ้น

     

    ที่ดินทำเลทองลงทุนเองที่ “ภูเก็ต-เกาะสมุย”

    เรเน่กล่าวต่อถึงโครงการที่บริษัทจะลงทุนเองใน 3 ปีข้างหน้า มีที่ตัดสินใจลงทุนแน่ชัดแล้วคือ โรงแรมชาเทรียม หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต เนื้อที่ 15 ไร่ คาดก่อสร้างเป็นโรงแรมขนาด 320 ห้อง (ยังไม่ระบุมูลค่าการลงทุน)

    ขณะที่ตระกูลโสภณพนิชยังมีที่ดินทำเลทองในมืออีก 2 แห่งที่สามารถพัฒนาเป็นโรงแรมต่อไปได้ในอนาคต คือ ที่ดินบริเวณหาดไม้ขาว จ.ภูเก็ต เนื้อที่ 90 ไร่ และ ที่ดินบนเกาะสมุย เนื้อที่ประมาณ 30 ไร่ ทั้งสองแห่งน่าจะพัฒนาภายใต้แบรนด์ชาเทรียม แกรนด์

     

    เปิดตัว “ชาเทรียม แกรนด์ กรุงเทพฯ” โรงแรมหรูกลางสยาม

    ด้านความเคลื่อนไหวปีนี้ เครือจะมีการเปิดตัวโรงแรมสำคัญคือ “ชาเทรียม แกรนด์ กรุงเทพฯ” เป็นโรงแรมระดับลักชัวรีแห่งแรกของเครือ โดยใช้เม็ดเงินลงทุน 5,400 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดิน) ทำเลที่ตั้งด้านหลังศูนย์การค้าสยามพารากอน สามารถเข้าออกได้ทั้งทางถ.เพชรบุรี และถ.พระราม 1

    ชาเทรียม แกรนด์ กรุงเทพฯ
    อาคารแฝดสีแดงของโรงแรมชาเทรียม แกรนด์ กรุงเทพฯ

    ออกแบบแยกเป็น 2 อาคาร สูง 32 ชั้น จำนวนห้องพักรวม 582 ห้อง ตกแต่งภายนอกด้วย “สีแดง” ในคอนเซ็ปต์ที่สื่อถึง “ทับทิมสยาม” และภายในตกแต่งด้วยเส้นสายของสายน้ำและดอกบัวที่สื่อถึงที่ตั้งของโรงแรมที่อยู่ใกล้วังสระปทุม สนนราคาห้องพักเริ่มต้น 7,000 บาทต่อคืน สูงสุดเป็นห้องเพนท์เฮาส์ราคา 80,000 บาทต่อคืน

    สาวิตรีเล่าถึงความเป็นมาของที่ดินโรงแรมผืนนี้เป็นที่ดินทรัพย์สินเก่าแก่ของโสภณพนิชมานาน 40 ปี เคยมีสิ่งปลูกสร้างเป็นอพาร์ตเมนต์ในชื่อ ‘บางกอก อพาร์ตเมนต์’ สูง 6 ชั้น ก่อนจะพัฒนาเป็นโรงแรมชาเทรียม แกรนด์ กรุงเทพฯ

    ชาเทรียม แกรนด์ กรุงเทพฯ เตรียมเปิดบริการจริง 28 พฤศจิกายน 2565

    กำหนดการแกรนด์ โอเพนนิ่งโรงแรม วันที่ 28 พฤศจิกายนนี้ โดยมีเป้าหมายหลักเป็นลูกค้ากลุ่มตะวันออกกลาง อินเดีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะนี้มีการจองผ่านบริษัทเอเจนซีบ้างแล้ว และจะเริ่มเปิดให้จองผ่าน OTA ได้ในสัปดาห์หน้า

    สาวิตรีเชื่อว่าโรงแรมจะสามารถแข่งขันได้กับโรงแรมระดับเดียวกัน ด้วยทำเลที่อยู่กลางแหล่งศูนย์การค้าย่านสยาม และจะมีไฮไลต์เป็นห้องอาหารสไตล์ฝรั่งเศส-เมดิเตอเรเนียน เพื่อเสริมแกร่งด้านรายได้กลุ่ม Food & Beverage ด้วย เชื่อว่าอัตราการเข้าพักจะขึ้นไปแตะ 75% ได้ภายในเดือนธันวาคม 2566

     

    พอร์ต “ลองสเตย์” ช่วยรักษาสมดุลรายได้

    ภาพรวมของปี 2565 สาวิตรีระบุว่าอัตราเข้าพักของทั้งพอร์ตอยู่ที่ 70% โดยราคาห้องพักเฉลี่ยใกล้เคียงหรือสูงกว่าก่อนโควิด-19 ด้วย เนื่องจากพอร์ตโรงแรมของเครือชาเทรียมบางแห่งจะมีห้องพักที่เป็นเรสซิเดนเซสด้วย เช่น เอ็มโพเรียม สวีท บาย ชาเทรียม จึงมีกลุ่มลูกค้า “ลองสเตย์” ค่อนข้างมาก ทำให้แม้จะเผชิญโรคระบาด ลูกค้ากลุ่มนี้ก็ไม่ลดลงเท่าใดนัก

    “ถ้าเป็นโรงแรมที่มีเรสซิเดนเซสอยู่ในตึกด้วยก็จะไม่เคยขาดทุนเลยตลอดช่วงโควิด-19 เพราะยังมีรายได้หล่อเลี้ยงตลอด ส่วนโรงแรมที่ไม่มี เราก็ปรับตัวไปเป็น ASQ ร่วมกับภาครัฐเพื่อสร้างรายได้” สาวิตรีกล่าวย้อนถึงสถานการณ์ช่วงปี 2563-64

    ช่วงก่อนโควิด-19 ชาเทรียม ฮอสพิทาลิตี้เคยมีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 80-85% ซึ่งถ้าหากประเมินจากสถานการณ์การท่องเที่ยวของประเทศ สาวิตรีก็เชื่อว่าจะกลับไปเป็นปกติได้ภายในปี 2567

    ]]>
    1404098
    เปิดตลาดใหม่! รพ.เทพธารินทร์ จับมือ ชาเทรียม ออกโปรแกรมรักษาโรคนอนไม่หลับใน “เมดิเทล” https://positioningmag.com/1289895 Wed, 29 Jul 2020 12:12:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1289895 รพ.เทพธารินทร์ จับมือโรงแรม ชาเทรียม ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ พัฒนาพื้นที่แบบ “เมดิเทล” ประเดิมโปรแกรมวินิจฉัยโรคนอนไม่หลับ (insomnia) พร้อมกิจกรรมรีทรีตภายในโรงแรม หวังเจาะกลุ่มคนวัยทำงานชาวไทย และต่อยอดกลุ่มชาวต่างชาติในอนาคต โมเดลธุรกิจแบบวิน-วิน ฝั่งโรงพยาบาลได้รุกตลาดเวชศาสตร์เชิงป้องกัน ฝั่งโรงแรมมีตลาดใหม่ชดเชยช่วง COVID-19

    “นพ.โอฬาริก มุกสิกวงศ์” ผู้อำนวยการส่วนการแพทย์และนวัตกรรม บริษัท ที อาร์ เอช โกลบอล ในนาม โรงพยาบาลเทพธารินทร์ เปิดเผยถึงนวัตกรรมใหม่ล่าสุดของโรงพยาบาล เป็นความร่วมมือแบบ “เมดิเทล” คือ Medical+Hotel กับ โรงแรมชาเทรียม ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ จัดโปรแกรม Sleepless Society วินิจฉัยและช่วยปรับพฤติกรรมแก้ปัญหาโรคนอนไม่หลับ (insomnia) ภายในโรงแรม ไม่จำเป็นต้องมาที่โรงพยาบาล เพื่อให้คนไข้ได้ผ่อนคลายระหว่างการวินิจฉัย และตอบรับกับ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Tourism) ที่กำลังเป็นเทรนด์

    ห้องพักแบบ Grand Room ของโรงแรมชาเทรียม ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ พักผ่อนรับวิวแม่น้ำเจ้าพระยา

    โดยโปรแกรมนี้จะจัดระยะเวลา 3 วัน 2 คืน ผู้เข้าร่วมจะได้รับแพ็กเกจห้องพักที่ชาเทรียม ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ ห้องพักเริ่มต้น 60 ตร.ม. เป็นห้องพักแบบ Grand Room รับวิวแม่น้ำเจ้าพระยา มีอุปกรณ์ตรวจ Sleep Test จากทางโรงพยาบาลติดตั้งให้ ตามด้วยการวินิจฉัยจากทีมแพทย์และนักจิตบำบัด เพื่อหาสาเหตุการนอนไม่หลับของแต่ละบุคคล พร้อมอาหาร 3 มื้อที่ออกแบบโดยนักโภชนาการ และมีคลาสโยคะ โยคะร้อน แอโรบิกในน้ำ ให้เข้าร่วม ทั้งหมดเพื่อปรับพฤติกรรมที่ทำให้นอนไม่หลับ ราคาแพ็กเกจเริ่มต้น 27,500 บาท

     

    คน 2 ใน 3 ของโลกมีอาการนอนไม่หลับ

    นพ.โอฬาริกเชื่อว่าโปรแกรมนี้จะได้รับความสนใจมาก เพราะคน 2 ใน 3 ของประชากรโลกเผชิญปัญหานอนไม่หลับหรือหลับไม่เพียงพอ สำหรับในประเทศไทย คาดว่ามีประชากรถึง 30-40% เท่ากับ 19 ล้านคนที่มีปัญหานอนไม่หลับ และปัญหาการนอนไม่พอเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไปจนถึงความสามารถด้านการจำ

    “ดีมานด์น่าจะเยอะมากแต่ห้องทำ Sleep Test ในโรงพยาบาลมีไม่เพียงพอ ไม่ใช่แค่ที่เรา โรงพยาบาลอื่นๆ ก็มีคิวต่อกันยาวไปถึงครึ่งปีเพราะห้องไม่พอ” นพ.โอฬาริกกล่าว โดยเสริมว่าคนกลุ่มใหญ่ที่สุดที่มีปัญหานอนไม่หลับคือคนวัยทำงาน และหนักที่สุดคือคนที่ทำงานเป็นกะ

    เป็นเหตุให้การจับมือกับโรงแรมเป็นทางออกที่ดี นอกจากเพิ่มซัพพลายตอบรับดีมานด์แล้ว ยังทำให้ผู้เข้ารับวินิจฉัยผ่อนคลายกว่าในตอนนอนและเป็นการพักผ่อนไปในตัวได้

    (จากซ้าย) “เรอเน่ บาลเมอร์” ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มชาเทรียม ฮอสพิทัลลิตี้, “นพ.โอฬาริก มุกสิกวงศ์” ผู้อำนวยการส่วนการแพทย์และนวัตกรรม บริษัท ที อาร์ เอช โกลบอล และ “พาที สารสิน” ผู้ก่อตั้ง Really Really Cool Global Platform

     

    โอกาสต่อยอดรับลูกค้าต่างชาติ

    ดาน “ทักษอร คงคาประเสริฐ” รองประธานกรรมการ โรงพยาบาลเทพธารินทร์ กล่าวถึงที่มาการร่วมมือกับชาเทรียม เดิมพูดคุยกันเพื่อจะร่วมมือสร้างสถานที่กักกันโรคทางเลือก (Alternative State Quarantine : ASQ) แต่หารือแล้วมองว่าการพัฒนาสถานที่กักกันโรคอาจจะเปิดได้แค่ชั่วคราว เมื่อสถานการณ์ผ่อนคลายหรือรัฐมีการเปลี่ยนนโยบายก็จะไม่มี ASQ อีก ทำให้โมเดลธุรกิจนี้ไม่ยั่งยืน

    ขณะที่รพ.เทพธารินทร์มีเป้าหมายต้องการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อจะเป็นผู้นำด้านเวชศาสตร์เชิงป้องกัน จึงเลือกหยิบเรื่องปัญหาการนอนไม่หลับมาจัดเป็นโปรแกรม และทำให้ความร่วมมือนี้เกิดขึ้นได้ยาว ปัจจุบันมีดีลระหว่างกันถึงเดือนพฤศจิกายน 2563

    เบื้องต้นยังเน้นเจาะกลุ่มคนไทยหรือ expat ที่อาศัยในไทยก่อนเพราะรัฐยังไม่เปิดให้ชาวต่างชาติเข้าประเทศ แต่อนาคต ทักษอรมองว่ามีโอกาสเนื่องจากกลุ่มต่างชาตินิยมแพ็กเกจรีทรีตอยู่แล้ว เป็นการมาท่องเที่ยวด้วยและเข้าโปรแกรมเพื่อสุขภาพด้วย โดยอยู่ยาว 2-3 สัปดาห์เพื่อปรับพฤติกรรม

    ด้าน “พาที สารสิน” ผู้ก่อตั้ง Really Really Cool Global Platform เอเย่นต์ออนไลน์ (OTA) ที่เข้ามาช่วยเป็นช่องทางโปรโมตและขายแพ็กเกจ Sleepless Society มองว่า “ชาวจีน” ให้ความสนใจมาก หากไม่มี COVID-19 จะมีคนจีนจำนวนมากเข้ามาทัวร์สุขภาพในไทยตั้งแต่ต้นปี

     

    ตลาดใหม่ของชาเทรียม

    ฝั่งโรงแรมก็ได้ประโยชน์จากโปรแกรมนี้แน่นอน ดังที่ทราบกันดีว่าช่วงการท่องเที่ยวชะงักงันเช่นนี้คือวิกฤตของโรงแรมทุกแห่ง รวมถึงชาเทรียม ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ ด้วย โดยขณะนี้โรงแรมกลับมาให้บริการแล้ว ล่าสุดมีอัตราเข้าพักช่วงวันธรรมดา 10-20% และวันหยุดสุดสัปดาห์ 55% เทียบกับช่วงก่อน COVID-19 โรงแรมริมน้ำอย่างชาเทรียมมีอัตราเข้าพักสูง 70-80% ในช่วงไฮซีซั่น

    สระว่ายน้ำริมเจ้าพระยา โรงแรมชาเทรียม ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ

    เราต้องมองหาตลาดใหม่หลัง COVID-19 การเป็นเมดิเทลคือการจับคู่ที่สมบูรณ์แบบ เพราะเราสามารถให้ความสบายในการพักผ่อนในโรงแรมนี้ได้อย่างเต็มที่” เรอเน่ บาลเมอร์ ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มชาเทรียม ฮอสพิทัลลิตี้ กล่าว

    เป็นครั้งแรกของชาเทรียม ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ ที่จัดโปรแกรมแบบเมดิเทลกับโรงพยาบาล ทำให้ต้องจัดระบบบุคลากรและฟังก์ชันในโรงแรมขึ้นมารองรับเพิ่มเช่นกัน เช่น บุคลากรโรงแรมจะต้องดูแลแขกอย่างละเอียดมากขึ้นเพราะมีเรื่องอาหาร customized รายบุคคล ทำให้โรงแรมจะใช้บุคลากรมากขึ้นสำหรับโปรแกรมนี้ หรือมีการจัดหาเทรนเนอร์กิจกรรมอย่างโยคะหรือแอโรบิกในน้ำเข้ามาเพิ่มเติม จากเดิมที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นต้น

    เรียกได้ว่านาทีนี้ทุกธุรกิจต้องหาทางรอดเท่าที่ทำได้ เพื่อให้ผ่านพ้น COVID-19 และไม่แน่ว่าอาจค้นพบโอกาสใหม่จากดีมานด์ที่รออยู่ในตลาดก็ได้!

    ]]>
    1289895