เปิดตลาดใหม่! รพ.เทพธารินทร์ จับมือ ชาเทรียม ออกโปรแกรมรักษาโรคนอนไม่หลับใน “เมดิเทล”

รพ.เทพธารินทร์ จับมือโรงแรม ชาเทรียม ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ พัฒนาพื้นที่แบบ “เมดิเทล” ประเดิมโปรแกรมวินิจฉัยโรคนอนไม่หลับ (insomnia) พร้อมกิจกรรมรีทรีตภายในโรงแรม หวังเจาะกลุ่มคนวัยทำงานชาวไทย และต่อยอดกลุ่มชาวต่างชาติในอนาคต โมเดลธุรกิจแบบวิน-วิน ฝั่งโรงพยาบาลได้รุกตลาดเวชศาสตร์เชิงป้องกัน ฝั่งโรงแรมมีตลาดใหม่ชดเชยช่วง COVID-19

“นพ.โอฬาริก มุกสิกวงศ์” ผู้อำนวยการส่วนการแพทย์และนวัตกรรม บริษัท ที อาร์ เอช โกลบอล ในนาม โรงพยาบาลเทพธารินทร์ เปิดเผยถึงนวัตกรรมใหม่ล่าสุดของโรงพยาบาล เป็นความร่วมมือแบบ “เมดิเทล” คือ Medical+Hotel กับ โรงแรมชาเทรียม ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ จัดโปรแกรม Sleepless Society วินิจฉัยและช่วยปรับพฤติกรรมแก้ปัญหาโรคนอนไม่หลับ (insomnia) ภายในโรงแรม ไม่จำเป็นต้องมาที่โรงพยาบาล เพื่อให้คนไข้ได้ผ่อนคลายระหว่างการวินิจฉัย และตอบรับกับ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Tourism) ที่กำลังเป็นเทรนด์

ห้องพักแบบ Grand Room ของโรงแรมชาเทรียม ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ พักผ่อนรับวิวแม่น้ำเจ้าพระยา

โดยโปรแกรมนี้จะจัดระยะเวลา 3 วัน 2 คืน ผู้เข้าร่วมจะได้รับแพ็กเกจห้องพักที่ชาเทรียม ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ ห้องพักเริ่มต้น 60 ตร.ม. เป็นห้องพักแบบ Grand Room รับวิวแม่น้ำเจ้าพระยา มีอุปกรณ์ตรวจ Sleep Test จากทางโรงพยาบาลติดตั้งให้ ตามด้วยการวินิจฉัยจากทีมแพทย์และนักจิตบำบัด เพื่อหาสาเหตุการนอนไม่หลับของแต่ละบุคคล พร้อมอาหาร 3 มื้อที่ออกแบบโดยนักโภชนาการ และมีคลาสโยคะ โยคะร้อน แอโรบิกในน้ำ ให้เข้าร่วม ทั้งหมดเพื่อปรับพฤติกรรมที่ทำให้นอนไม่หลับ ราคาแพ็กเกจเริ่มต้น 27,500 บาท

 

คน 2 ใน 3 ของโลกมีอาการนอนไม่หลับ

นพ.โอฬาริกเชื่อว่าโปรแกรมนี้จะได้รับความสนใจมาก เพราะคน 2 ใน 3 ของประชากรโลกเผชิญปัญหานอนไม่หลับหรือหลับไม่เพียงพอ สำหรับในประเทศไทย คาดว่ามีประชากรถึง 30-40% เท่ากับ 19 ล้านคนที่มีปัญหานอนไม่หลับ และปัญหาการนอนไม่พอเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไปจนถึงความสามารถด้านการจำ

“ดีมานด์น่าจะเยอะมากแต่ห้องทำ Sleep Test ในโรงพยาบาลมีไม่เพียงพอ ไม่ใช่แค่ที่เรา โรงพยาบาลอื่นๆ ก็มีคิวต่อกันยาวไปถึงครึ่งปีเพราะห้องไม่พอ” นพ.โอฬาริกกล่าว โดยเสริมว่าคนกลุ่มใหญ่ที่สุดที่มีปัญหานอนไม่หลับคือคนวัยทำงาน และหนักที่สุดคือคนที่ทำงานเป็นกะ

เป็นเหตุให้การจับมือกับโรงแรมเป็นทางออกที่ดี นอกจากเพิ่มซัพพลายตอบรับดีมานด์แล้ว ยังทำให้ผู้เข้ารับวินิจฉัยผ่อนคลายกว่าในตอนนอนและเป็นการพักผ่อนไปในตัวได้

(จากซ้าย) “เรอเน่ บาลเมอร์” ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มชาเทรียม ฮอสพิทัลลิตี้, “นพ.โอฬาริก มุกสิกวงศ์” ผู้อำนวยการส่วนการแพทย์และนวัตกรรม บริษัท ที อาร์ เอช โกลบอล และ “พาที สารสิน” ผู้ก่อตั้ง Really Really Cool Global Platform

 

โอกาสต่อยอดรับลูกค้าต่างชาติ

ดาน “ทักษอร คงคาประเสริฐ” รองประธานกรรมการ โรงพยาบาลเทพธารินทร์ กล่าวถึงที่มาการร่วมมือกับชาเทรียม เดิมพูดคุยกันเพื่อจะร่วมมือสร้างสถานที่กักกันโรคทางเลือก (Alternative State Quarantine : ASQ) แต่หารือแล้วมองว่าการพัฒนาสถานที่กักกันโรคอาจจะเปิดได้แค่ชั่วคราว เมื่อสถานการณ์ผ่อนคลายหรือรัฐมีการเปลี่ยนนโยบายก็จะไม่มี ASQ อีก ทำให้โมเดลธุรกิจนี้ไม่ยั่งยืน

ขณะที่รพ.เทพธารินทร์มีเป้าหมายต้องการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อจะเป็นผู้นำด้านเวชศาสตร์เชิงป้องกัน จึงเลือกหยิบเรื่องปัญหาการนอนไม่หลับมาจัดเป็นโปรแกรม และทำให้ความร่วมมือนี้เกิดขึ้นได้ยาว ปัจจุบันมีดีลระหว่างกันถึงเดือนพฤศจิกายน 2563

เบื้องต้นยังเน้นเจาะกลุ่มคนไทยหรือ expat ที่อาศัยในไทยก่อนเพราะรัฐยังไม่เปิดให้ชาวต่างชาติเข้าประเทศ แต่อนาคต ทักษอรมองว่ามีโอกาสเนื่องจากกลุ่มต่างชาตินิยมแพ็กเกจรีทรีตอยู่แล้ว เป็นการมาท่องเที่ยวด้วยและเข้าโปรแกรมเพื่อสุขภาพด้วย โดยอยู่ยาว 2-3 สัปดาห์เพื่อปรับพฤติกรรม

ด้าน “พาที สารสิน” ผู้ก่อตั้ง Really Really Cool Global Platform เอเย่นต์ออนไลน์ (OTA) ที่เข้ามาช่วยเป็นช่องทางโปรโมตและขายแพ็กเกจ Sleepless Society มองว่า “ชาวจีน” ให้ความสนใจมาก หากไม่มี COVID-19 จะมีคนจีนจำนวนมากเข้ามาทัวร์สุขภาพในไทยตั้งแต่ต้นปี

 

ตลาดใหม่ของชาเทรียม

ฝั่งโรงแรมก็ได้ประโยชน์จากโปรแกรมนี้แน่นอน ดังที่ทราบกันดีว่าช่วงการท่องเที่ยวชะงักงันเช่นนี้คือวิกฤตของโรงแรมทุกแห่ง รวมถึงชาเทรียม ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ ด้วย โดยขณะนี้โรงแรมกลับมาให้บริการแล้ว ล่าสุดมีอัตราเข้าพักช่วงวันธรรมดา 10-20% และวันหยุดสุดสัปดาห์ 55% เทียบกับช่วงก่อน COVID-19 โรงแรมริมน้ำอย่างชาเทรียมมีอัตราเข้าพักสูง 70-80% ในช่วงไฮซีซั่น

สระว่ายน้ำริมเจ้าพระยา โรงแรมชาเทรียม ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ

เราต้องมองหาตลาดใหม่หลัง COVID-19 การเป็นเมดิเทลคือการจับคู่ที่สมบูรณ์แบบ เพราะเราสามารถให้ความสบายในการพักผ่อนในโรงแรมนี้ได้อย่างเต็มที่” เรอเน่ บาลเมอร์ ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มชาเทรียม ฮอสพิทัลลิตี้ กล่าว

เป็นครั้งแรกของชาเทรียม ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ ที่จัดโปรแกรมแบบเมดิเทลกับโรงพยาบาล ทำให้ต้องจัดระบบบุคลากรและฟังก์ชันในโรงแรมขึ้นมารองรับเพิ่มเช่นกัน เช่น บุคลากรโรงแรมจะต้องดูแลแขกอย่างละเอียดมากขึ้นเพราะมีเรื่องอาหาร customized รายบุคคล ทำให้โรงแรมจะใช้บุคลากรมากขึ้นสำหรับโปรแกรมนี้ หรือมีการจัดหาเทรนเนอร์กิจกรรมอย่างโยคะหรือแอโรบิกในน้ำเข้ามาเพิ่มเติม จากเดิมที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นต้น

เรียกได้ว่านาทีนี้ทุกธุรกิจต้องหาทางรอดเท่าที่ทำได้ เพื่อให้ผ่านพ้น COVID-19 และไม่แน่ว่าอาจค้นพบโอกาสใหม่จากดีมานด์ที่รออยู่ในตลาดก็ได้!