การลงทุน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 27 Nov 2025 15:02:26 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สรุปแนวทาง ‘ลงทุน’ ปี’69 โดย ‘บล.บัวหลวง’ ในวันที่หุ้นไทยยัง ‘เป็นรอง’ ในภูมิภาค ควรกระจายพอร์ตอย่างไรดี? https://positioningmag.com/1548809 Thu, 27 Nov 2025 04:02:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548809 หลักทรัพย์บัวหลวง ประเมินทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2569 ว่าจะเริ่ม ทยอยฟื้นตัว อย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังจากที่ตลาดหุ้นไทยได้รับแรงกดดันและปรับตัวลดลงกว่า 8% ในปี 2568 โดยมีปัจจัยบวกสำคัญที่เข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจ คือ เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และการฟื้นตัวของ ภาคการท่องเที่ยว ทำให้คงเป้าหมายดัชนี SET Index ปี 2569 ที่ระดับ 1,440 จุด

ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปี 2569

การฟื้นตัวในปีหน้าจะได้รับแรงขับเคลื่อนหลักจาก 3 ปัจจัย ได้แก่

  1. FDI ในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต: การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจะเริ่มลงทุนจริงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่ม ดิจิทัล (Data Center) และ อิเล็กทรอนิกส์ (Semiconductor) ซึ่งได้รับอนุมัติจาก BOI ไปแล้ว
  2. ภาคท่องเที่ยวกลับมาคึกคัก: คาดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 34 ล้านคน โดยเฉพาะตลาดอินเดีย รัสเซีย และยุโรป ส่วนนักท่องเที่ยวจีนเริ่มฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำ
  3. ภาคการส่งออกพลิกฟื้น: การส่งออกคาดว่าจะผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 4 ปี 2568 และมีแนวโน้มจะ ฟื้นตัวในครึ่งหลังของปี 2569

กลยุทธ์การลงทุนที่แนะนำ: Barbell Strategy

บัวหลวงแนะนำให้นักลงทุนใช้ กลยุทธ์ Barbell Strategy เพื่อสร้างสมดุลและลดความผันผวนของพอร์ต โดยแบ่งการลงทุนออกเป็นสองด้าน คือ สินทรัพย์เสี่ยงสูงและเสี่ยงต่ำ:

  • ตลาดหุ้น (60%): เน้นหุ้นคุณภาพสูงหรือหุ้นปันผลสูง แบ่งเป็น หุ้นไทย 10% และ หุ้นต่างประเทศ 50% ผ่าน DR ในธีมสำคัญ เช่น AI ในสหรัฐฯ, เศรษฐกิจดิจิทัลในจีน, รวมถึงอินเดียและเวียดนาม
  • ตราสารหนี้ (30%): ใช้เพื่อสร้างความมั่นคงและลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ต
  • ทองคำ (10%): ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจ โดยราคามีแนวโน้มแข็งแกร่งจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และการเข้าซื้อของธนาคารกลางทั่วโลก คาดราคาทองคำเข้าสู่ Super Cycle ระยะที่ 3

“นักลงทุนไทยควรเพิ่มสัดส่วนการลงทุนต่างประเทศ ให้มากกว่าปัจจุบันที่อยู่ประมาณ 5−10% เพราะตลาดทุนไทยอาจจะยังไม่โดดเด่นมากนัก เมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาค โดยเฉพาะการเชื่อมโยงกับ AI ซึ่งไทยยังเป็นแค่ Data Center แต่ไม่ได้เป็นบริษัทต้นน้ำ ซึ่งตลาดหลักที่เม็ดเงินจะไป ได้แก่ ไต้หวัน, เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น” ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าว

ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)

4 ธีมหลักกลุ่มหุ้นน่าสนใจ

บัวหลวงเน้นการลงทุนใน 4 ธีมหลักที่คาดว่าจะมีกำไรเติบโตต่อเนื่องและได้รับประโยชน์จากปัจจัยหนุนต่างๆ:

  1. ผู้นำการเติบโตธีม Data Center และ Digital Transformation:
    • การเติบโตของกลุ่มโรงไฟฟ้า-น้ำ (WHAUP, GULF) และสื่อสาร (ADVANC) ที่ได้รับประโยชน์จากความต้องการใช้ไฟฟ้าและน้ำสำหรับ Data Center ที่เร่งตัวขึ้น
  2. กลุ่มเชื่อมโยงการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก:
    • กลุ่มปิโตรเคมี (PTTGC, SCC) ที่มี Valuation ถูกมาก และจะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมโลก รวมถึงนโยบาย Anti-involution ที่จำกัดอุปทานส่วนเกิน
    • กลุ่มส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง (ITC) ที่ความต้องการยังคงแข็งแกร่ง
  3. กลุ่มที่กำไรเติบโตต่อเนื่อง และได้รับประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ:
    • มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เช่น “คนละครึ่ง พลัส” เฟส 2 และ “Easy e-receipt” จะหนุนกลุ่มค้าปลีก, ห้างสรรพสินค้า (CPN, CENTEL, AOT)
    • มาตรการแก้หนี้ครัวเรือนจะส่งผลดีต่อกลุ่มการเงินที่มีคุณภาพสินทรัพย์ดี (MTC, TIDLOR)
  4. กลุ่มปันผลสูง กระแสเงินสดสม่ำเสมอ:
    • ได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นตลาดทุนใหม่ เช่น โครงการ TISA (Thailand Individual Investment Account) ซึ่งจะหนุนกลุ่มหุ้นพื้นฐานดีอย่างธนาคารและสื่อสาร (KTB, SCB)

หุ้นเด่นภายใต้การลดดอกเบี้ย

การลดดอกเบี้ยหลัก ๆ จะหนุนกลุ่ม Rate Sensitive (อัตราดอกเบี้ยอ่อนไหว) เช่น Finance (การเงิน), Yield Play (ตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้เอกชน), และ ICT (กลุ่มที่มีภาระหนี้เยอะ) เนื่องจากได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย) และมีฟื้นฐานกำไรที่ยังแข็งแกร่ง แต่ในกลุ่ม Finance ต้องระวังเรื่อง Asset Quality (คุณภาพสินทรัพย์) และการก่อตัวของ NPL Formation (หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้) โดยหุ้นเด่นที่แนะนำ คือ GULF (GPC)

กลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยง

หลักทรัพย์บัวหลวงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในกลุ่ม อสังหาริมทรัพย์ และ ยานยนต์ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่คาดว่าจะฟื้นตัวช้าและได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาระ หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง

]]>
1548809
“บลจ.กสิกรไทย” เปิดเกมรุกการลงทุน จัดงานใหญ่แห่งปี “Know The Markets Summit 2025” ชวนเตรียมพอร์ตรับความผันผวน รู้ก่อน… ก็พร้อมก่อน https://positioningmag.com/1542823 Fri, 17 Oct 2025 09:19:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1542823

ในปีที่ผ่านมาประเทศไทยต้องเจอกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันอยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้งแผ่นดินไหว ตึกถล่ม ถนนทรุด รวมไปถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก ทั่วโลกเองก็เจอกับความท้าทายเช่นกัน ทั้งจากปัจจัยสงคราม ภาษี ความขัดแย้งทางการค้า เรียกได้ว่าทุกปัจจัยส่งผลต่อเศรษฐกิจ และการลงทุน จึงเป็นคำถามที่หลายคนต้องการคำตอบอย่างมาก ในสภาวะความผันผวนรุนแรงเช่นนี้ ควรลงทุนอะไรที่จะสร้างความมั่นคง และยั่งยืนในระยะยาวได้

ด้วยเหตุนี้เอง บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด หรือ บลจ.กสิกรไทย จึงได้จัดงานสัมมนาการลงทุนครั้งใหญ่แห่งปี Know The Markets Summit 2025: Core Stability Amidst Market Volatilityพร้อมชวนพันธมิตรระดับโลก J.P. Morgan Asset Management มาร่วมถ่ายทอดมุมมองเศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุนปี 2026

โดยธีมในการจัดงานครั้งนี้เชื่อมโยงกับเกมกีฬาฟุตบอล ยิ่งในสถานการณ์ที่มีความผันผวน ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเราเตรียมความพร้อม ฝึกซ้อม วางแผน วางกลยุทธ์ให้ดี ก็พร้อมเผชิญทุกสถานการณ์ เหมือนกีฬาฟุตบอล ถ้ามีการฝึกซ้อม และวางกลยุทธ์อย่างดี ไม่ว่าจะเจอคู่แข่งเก่งแค่ไหนก็จะเอาชนะได้ การลงทุนก็เช่นกัน ถ้ามีการจัดพอร์ต วางแผนการลงทุนอย่างดีเพื่อตั้งรับ แล้วหาโอกาสรุกที่เหมาะสม ก็สามารถสร้างผลกำไรอย่างยั่งยืน


ผนึกพันธมิตรระดับโลก J.P. Morgan Asset Management 

บลจ.กสิกรไทยยังคงสานต่อการเป็นพันธมิตรกับ J.P. Morgan Asset Management เป็นความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในการยกระดับการจัดสรรสินทรัพย์ทั่วโลก โดยอาศัยองค์ความรู้จากทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีเครือข่ายอยู่ทั่วโลกผ่านมุมมองการลงทุนเชิงลึก Know The Marketsผสานกับบทวิจัย KAsset Capital Market Assumptions(KCMA) ซึ่งเป็นผลงานที่เกิดจากความมุ่งมั่นทุ่มเทในการทำงานร่วมกันของทีมผู้เชี่ยวชาญกว่า 30 คน จาก 4 ทีมบริหารการลงทุนหลักจากทั้ง 2 บริษัท

เน้นการจัดพอร์ตแบบ Core-Satellite Portfolio ช่วยสร้างสมดุลระหว่างความมั่นคงและโอกาสในการสร้างผลตอบแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อยอดสู่ Retirement Solutions มุ่งเป็นผู้นำด้านกองทุนผสมทั้งกองทุนรวมและกองทุนเพื่อการเกษียณ


วางหมาก Multi Asset 2.0 รับความผันผวนในตลาด

วิน พรหมแพทย์, CFA ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า

“สำหรับกลยุทธ์การลงทุน Multi-Asset 2.0 ซึ่งเป็นแนวทางการกระจายการลงทุนที่พัฒนาขึ้นเพื่อรองรับความไม่แน่นอนภายใต้บริบทของความผันผวนทางเศรษฐกิจและการเงินทั่วโลก

โดยเน้นการใช้ข้อมูลเชิงลึกในการตัดสินใจลงทุนภายใต้การบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม และการปรับพอร์ตตามสภาวะตลาดที่เน้นการจัดสรรสินทรัพย์อย่างยืดหยุ่นและหลากหลาย ทั้งในด้านภูมิภาค อุตสาหกรรม และประเภทสินทรัพย์ อาทิ หุ้น ตราสารหนี้ สินทรัพย์ทางเลือก และเงินสด รวมถึงล่าสุดได้เพิ่มสินทรัพย์นอกตลาด (Private Asset) เพื่อเพิ่มศักยภาพการเติบโตให้กับพอร์ตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว”

โดยได้แนะนำ 4 หมวดหลักของสินทรัพย์ทางเลือก ได้แก่ Private Equity, Private Credit, Real Assets (transport & infrastructure) และอสังหาริมทรัพย์ โดยสินทรัพย์แต่ละประเภทมีบทบาทที่แตกต่างกันในการกระจายความเสี่ยงและเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ต

บลจ.กสิกรไทย ยังคงแนะนำการจัดพอร์ตลงทุนแบบ Core-Satellite Portfolio เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความมั่นคงและโอกาสในการสร้างผลตอบแทน โดยเน้นสัดส่วน Core 80% และ Satellite 20% สำหรับ Core Portfolio ประกอบด้วยกลุ่มกองทุน K-WealthPLUS Series ได้แก่ K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP และ K-WPULTIMATE ที่ผสมผสานสินทรัพย์หลากหลายประเภททั่วโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมด้วยกองทุนตราสารหนี้ทั่วโลก K-GDBOND และกองทุนหุ้นทั่วโลก K-GSELECT และ K-GPIN เพื่อเสริมความมั่นคง

ในขณะที่ Satellite Portfolio เป็นส่วนที่เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนได้เลือกลงทุนตามธีมที่น่าสนใจ ซึ่งประกอบไปด้วยกองทุน K-PROPI, K-INDIA, K-CHINA, K-ATECH, K-GPEQ-UI และ K-GPC-UI เพื่อกระจายความเสี่ยงอย่างรอบด้าน


อ่านเกมทิศทางเศรษฐกิจปี 2026 

สำหรับไฮไลท์ในงานสัมมนาครั้งนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องมุมมองเศรษฐกิจในปี 2025 และมองทิศทางของเศรษฐกิจโลกในปี 2026 ที่เปรียบเหมือน “โค้ช” ในเกมฟุตบอล ที่ช่วยให้เราประเมินการลงทุนได้ โดยยังเน้นย้ำถึงความแข็งแกร่งของตลาดหุ้นสหรัฐฯ แม้ในปี 2025 เศรษฐกิจโดยรวมจะเริ่มชะลอตัว โดยได้รับแรงหนุนจากการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยี และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งยังคงเป็นกลุ่มที่มีความต้องการสูง และมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตของกำไรต่อหุ้น โดยเฉพาะบริษัทชั้นนำอย่าง Nvidia และ Apple ที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง

การเริ่มต้นวัฏจักรลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ส่งผลเชิงบวกต่อความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน แต่การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงกระจุกตัวในกลุ่มเทคโนโลยี

จึงมีความจำเป็นต้องกระจายความเสี่ยงผ่านการลงทุนในหลากหลายประเภทสินทรัพย์ เพิ่มตราสารหนี้โลก หรือกองทุนที่เน้น Income  เข้ามาในพอร์ต รวมถึงพิจารณาตลาดหุ้นในเอเชียที่ยังมีศักยภาพเติบโต โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีในอินเดีย และไต้หวัน

ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เช่น ยุโรป และญี่ปุ่น เจอแรงกดดันจากเศรษฐกิจในประเทศ และการส่งออกที่ชะลอตัวลงจากเรื่องภาษีนำเข้า และปัจจัยกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐยังดูโดดเด่นสำหรับการลงทุน


K-WealthPLUS Series โชว์ผลงานสุดปัง

กองทุน K-WealthPLUS Series สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างสม่ำเสมอ โดยมีผลตอบแทนอยู่ในอันดับต้นๆ เมื่อเทียบกับคู่แข่ง อีกทั้งยังมีความผันผวนต่ำ สะท้อนถึงประโยชน์ของการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย

โดยตั้งแต่ต้นปี, K-WPBALANCED ให้ผลตอบแทน +4.9%, K-WPSPEEDUP +5.7%,K-WPULTIMATE +7.0% และระหว่างทางในช่วงการประกาศกำแพงภาษีของทรัมป์ K-WealthPLUS Series ปรับตัวลดลงน้อยกว่าหุ้นโลก (MSCI ACWI) อย่างมีนัยสำคัญ โดย K-WPBALANCED : -3.8%, K-WPSPEEDUP : -9.5%, K-WPULTIMATE : -12.1%, เทียบกับ MSCI ACWI -16.3%

สำหรับงาน Know The Markets Summit 2025 ที่จัดขึ้นในครั้งนี้ บลจ.กสิกรไทยได้แสดงถึงความสำคัญของการสร้างเสถียรภาพในพอร์ตการลงทุน ท่ามกลางสภาวะตลาดที่เต็มไปด้วยความผันผวน เปรียบเสมือนการเล่นฟุตบอลที่ต้องรักษาเกมรับให้แข็งแรง เพื่อเปิดโอกาสสู่เกมรุกในจังหวะที่เหมาะสม

ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่  https://www.kasikornbank.com/k_43coOv3

 

  • ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้ยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต/ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน

 

 

]]>
1542823
ลงทุนในจีนกับ K-CHINNO25A-UI กองทุน Private Equity ใหม่จาก KBank เจาะตลาดจีนโดยตรง เน้นกลุ่มเทคฯ แห่งอนาคต https://positioningmag.com/1527231 Tue, 24 Jun 2025 09:30:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1527231

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมานี้ ประเทศจีนได้รับการพูดถึงในมุมมองที่หลากหลาย มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วขึ้นแท่นประเทศมหาอำนาจ เปลี่ยนภาพลักษณ์จากโรงงานของโลก เป็นประเทศแห่งนวัตกรรม นอกจากเรื่องเทคโนโลยีที่ได้รับการพูดถึงไปทั่วโลกแล้ว เรื่อง “การลงทุน” ก็เป็นเรื่องที่หลายคนให้ความสนใจ ด้วยศักยภาพ และเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ด้วยเหตุนี้เองการลงทุนในตลาดประเทศจีนจึงเป็นโอกาสทองที่น่าสนใจ


มองหา ของดีราคาถูก” กับโอกาสลงทุนใน Private Equity

ในภาวะเศรษฐกิจผันผวน Private Equity (หุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์) เป็นทางเลือกการกระจายความเสี่ยงที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในจีน การลงทุนในบริษัทที่ยังไม่จดทะเบียนทำให้ได้ “ของดีในราคาถูก” โดยเฉพาะในจีนยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง AI, eVTOL และพลังงานสะอาด การเข้าซื้อสินทรัพย์ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวเช่นนี้ สามารถต่อรองราคาเข้าลงทุน ในราคาถูกกว่าราคาสินทรัพย์ จากการลงทุนแบบ Secondary หรือการลงทุนในตลาดรอง ที่ซื้อขายผ่านบริษัทหลักทรัพย์ หรือธนาคารพาณิชย์ และอาจจะยิ่งเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่น่าดึงดูดใจมากกว่าตลาดทั่วไป


รู้จัก K-CHINNO25A-UI ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (กองทุนรวมที่เสนอขายเฉพาะผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษเท่านั้น)

ตอนนี้โอกาสในการลงทุนในประเทศจีนมาถึงแล้ว ล่าสุด “กสิกรไทย” ได้เปิดตัวกองทุนใหม่ K-CHINNO25A-UI ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (กองทุนรวมที่เสนอขายเฉพาะผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษเท่านั้น) สำหรับการลงทุนใน Private Equity ของจีนโดยเฉพาะ

จุดเด่นสำคัญของกองทุนนี้ก็คือ ความเชี่ยวชาญของผู้จัดการกองทุนหลักจากกสิกร วิชั่น เซี่ยงไฮ้ หรือ KVPE เป็นบริษัทลูกของธนาคารกสิกรไทย และพันธมิตรระดับโลก Stepstone Group (China) ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน Private Equity มีประสบการณ์ในตลาดจีนกว่า 15 ปี

กองทุน K-CHINNO25A-UI ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (กองทุนรวมที่เสนอขายเฉพาะผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษเท่านั้น) กำหนดเปิดเสนอขายครั้งเดียว ในระหว่างวันที่ 18 – 30 มิถุนายน 2568 เริ่มต้นลงทุน 500,000 บาท โดยกองทุนจะเรียกเก็บเงินลงทุนครั้งเดียว (Single Call) และกองทุนมีอายุประมาณ 8 ปี 2 เดือน โดยมีนโยบายลงทุนผ่านกองทุนหลัก Kasikorn Vision Private Fund I (Shanghai) Limited Partnership ที่เน้นลงทุนใน 3 ด้านคือ

1) อุตสาหกรรมหลักที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาระยะยาวของจีน ได้แก่ AI, Digitalization, Energy Transition และ Biotech & Healthtech

2) ตลาดรอง (Secondaries) และ/หรือ ลงทุนโดยตรง (Direct Investments)

3) บริษัทที่มีช่วงของธุรกิจที่มีกำไรเป็นบวก (Late Stage) หรือมีศักยภาพในการเติบโตสูง (Growth Stage)

เจาะลึกการลงทุนในจีนยุคใหม่

จีนมีการพัฒนานวัตกรรมที่หลากหลายจนเทียบเท่าฝั่งตะวันตก ที่เห็นได้ชัดก็คืออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า มีผู้เล่นใหญ่อย่าง BYD, MG หรือ GWM ที่เริ่มบุกตลาดในหลายประเทศทั่วโลก รวมไปถึงนวัตกรรม AI ที่ล่าสุด DeepSeek ได้สร้างเสียงฮือฮาได้ไม่แพ้กัน

ทำไมจีนถึงน่าลงทุนในวันนี้? คำตอบก็คือ จีนไม่ใช่ประเทศที่เน้นแรงงานราคาถูกอีกต่อไป แต่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Innovation-Driven Economy) โดยมีปัจจัยสนับสนุนมากมาย

  • บุคลากรด้าน STEM จำนวนมาก: จีนผลิตบัณฑิตผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมกว่า 3.5 ล้านคนต่อปี
  • Supply Chain ครบวงจร: มีเครือข่ายครอบคลุม 666 อุตสาหกรรม ทำให้เกิดการทดลอง และผลิตได้รวดเร็ว
  • เงินทุนจากรัฐ: รัฐบาลประกาศลงทุนกว่า 1 ล้านล้านหยวนสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง ด้วยระยะเวลาการลงทุน 20 ปี
  • ตลาดบริโภคขนาดใหญ่: ประชากรจีนกว่า 1.4 พันล้านคน พร้อมเปิดรับนวัตกรรมใหม่ ด้วยกำลังการบริโภค ภายในประเทศ กว่า 44.5% ของ GDP

การลงทุนในนวัตกรรมจีน ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจีน เป็นลงทุนบน new core growth engine ของประเทศ และมีศักยภาพสูง เพราะจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีนโยบายที่สนับสนุนการพัฒนานวัตกรรม STEM Talent ที่มากกว่าสหรัฐอเมริกาถึง 4 เท่า ประกอบกับความสมบูรณ์แบบของ Supply Chain และตลาดภายในประเทศที่แข็งแกร่ง


KVPE ผู้เปิดประตูสู่การลงทุนในจีนอย่างมืออาชีพ

การลงทุนตลาดประเทศจีนเพียบพร้อมด้วยศักยภาพต่างๆ มากมาย แต่อาจจะมีข้อจำกัดบางประการ ทั้งเรื่องภาษา หรือระเบียบต่างๆ ถ้ามีผู้เชี่ยวชาญโดยตรง หรือการลงทุนผ่านผู้จัดการกองทุนอย่าง KVPE ก็สามารถช่วยนักลงทุนไปได้ไม่น้อย

KVPE หรือ Kasikorn Vision (Shanghai) Private Fund Management บริษัทลูกของธนาคารกสิกรไทยที่ตั้งอยู่ในเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เป็นผู้จัดการกองทุน Private Equity ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในตลาดจีน

KVPE ได้รับโควต้า Qualified Foreign Limited Partner (QFLP) มูลค่า 1,500 ล้านหยวน ซึ่งอนุญาตให้ลงทุนในจีนได้โดยตรง พร้อมกับจุดเด่นที่มีทีมงานมืออาชีพที่มีประสบการณ์ในจีนยาวนาน และมีการวิเคราะห์ตลาดอย่างใกล้ชิด

โดยที่ KVPE มุ่งเน้นการลงทุนในเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูง และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกในการประเมิน Exit Certainty ของแต่ละบริษัท เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน ซึ่งธนาคารกสิกรไทยมีประสบการณ์ดำเนินธุรกิจในจีนมากว่า 30 ปี จึงการันตีความมืออาชีพในการลงทุนได้อย่างแน่นอน

สำหรับกองทุน K-CHINNO25A-UI ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (กองทุนรวมที่เสนอขายเฉพาะผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษเท่านั้น) เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน เหมาะสำหรับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษที่สามารถถือครองได้เป็นเวลาประมาณ 8 ปี 2 เดือน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนที่สนใจสามารถลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บาท ผ่าน Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย และบลจ.กสิกรไทย โดยติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนได้ตามช่องทางดังกล่าว หรือ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888

– ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (กองทุนรวมสำหรับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษเท่านั้น)

– กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อนมากกว่ากองทุนทั่วไป ผู้ลงทุนไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนนี้ในช่วงเวลา 8 ปี 2 เดือน ดังนั้น หากมีปัจจัยลบที่กระทบการลงทุนผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจํานวนมาก และกองทุนนี้ไม่ถูกจํากัดความเสี่ยงด้านการลงทุนเช่นเดียวกับกองทุนรวมทั่วไปจึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่รับผลขาดทุนระดับสูงได้เท่านั้น

​​- กองทุนนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน​

-บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิงเท่านั้น และไม่ถือเป็นคำแนะนำการลงทุนแต่อย่างใด รวมทั้งไม่รับประกันเงินต้นหรือผลตอบแทนใด ๆ

ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน

]]>
1527231
‘คนทำงาน’ ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินเท่าไร? เพื่อรับยุคเศรษฐกิจตกต่ำ และอะไร ๆ ก็ไม่แน่นอน https://positioningmag.com/1520122 Thu, 01 May 2025 09:25:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1520122 ก่อนหน้านี้ทาง ‘สมาคมนักวางแผนการเงินไทย’ ได้เตือนให้คนไทยต้องมีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 6-12 เดือน เพื่อรับมือกับยุคแห่งความไม่แน่นอน จากความผันผวนทางเศรษฐกิจ สงครามการค้า แถมโดนภาษีทรัมป์มา กระหน่ำ ซึ่งกระทบกับการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึง ‘ไทย’ ที่ปีนี้คาดการณ์ว่า จะโตไม่ถึง 2.0% และมูดีส์ ได้ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของไทยลงสู่มุมมอง ‘เชิงลบ’ จากเดิมที่มี ‘เสถียรภาพ’

 

คำถามคือ แล้วคนทำงานอย่างเรา ๆ ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินเท่าไร เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น

 

เงินสำรองคืออะไร

 

เงินสำรองฉุกเฉิน คือ เงินที่สะสมไว้เพื่อใช้ในเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือสถานการณ์ที่ไม่ได้คาดการณ์มาก่อน ซึ่งเงินส่วนนี้ต้องมี ‘สภาพคล่องสูง-เบิกถอนได้ง่าย-เอามาใช้ได้อย่างรวดเร็ว’ ได้แก่ บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ บัญชีเงินฝากออมทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือกองทุนรวมตลาดเงิน ฯลฯ

 

อย่างไรก็ตามเงินสำรองฉุกเฉินไม่จำเป็นต้องเป็น ‘เงิน’ เท่านั้น อาจเป็นทรัพย์สินในการลงทุนระดับความเสี่ยงต่ำๆ ประเภทกองทุนตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้เอกชน ฯลฯ

 

ส่วนความสำคัญของเงินสำรองฉุกเฉินนั้น ถือเป็นหนึ่งในกองเงินที่สำคัญและมีประโยชน์มากสำหรับตัวเราเองและครอบครัว เนื่องจากจะช่วยให้คลี่คลายปัญหาความเดือดร้อนเรื่องเงินในสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างไร้กังวล

 

นอกจากนี้แล้วยังช่วยควบคุมการใช้จ่ายไม่จำเป็นได้และวางแผนทางการเงินได้ดีขึ้น เช่น เมื่อต้องหักเงินบางส่วนไปสะสมเป็นเงินสำรองฉุกเฉิน จะทำให้เราคิดและไตร่ตรองในการใช้เงินที่เหลืออยู่มากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินไม่คาดฝัน ก็มีเงินใช้โดยไม่ต้องไปหยิบยืมคนอื่นหรือก่อหนี้เพิ่มเติมนั่นเอง

 

แล้วเงินสำรองฉุกเฉินต้องมีเท่าไรถึงจะพอ?

 

ทางกสิกรไทยแนะนำว่า นอกจากอาชีพแล้ว จำเป็นต้องนำค่าใช้จ่ายรายเดือนตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคลมาคิดประกอบด้วย  

 

กลุ่มอาชีพข้าราชการ และรัฐวิสาหกิจ : เป็นกลุ่มที่มีความมั่นคงในหน้าที่การงานและมีโอกาสตกงานต่ำ ทำให้ในการสะสมเงินสำรองสำหรับคนกลุ่มนี้เงินเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายรายเดือนเผื่อในอนาคตสัก 2-4 เดือน ก็เพียงพอแล้ว

 

ตัวอย่างเช่น ได้เงินเดือน 40,000 บาท มีค่าใช้จ่ายต่อเดือนรวม 20,000 บาท การเก็บเงินสำรองฉุกเฉินควรมี 40,000-80,000 บาท

 

กลุ่มอาชีพพนักงานเอกชน : กลุ่มที่มีเงินเดือนที่ค่อนข้างสูง มีความมั่นคง แต่เพื่อป้องกันการตกงานในอนาคต หรือต้องเผชิญหน้ากับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว จนอาจทำให้เกิดภาวะความไม่มั่นคงในหน้าที่การงาน จำเป็นต้องสะสมเงินสำรองฉุกเฉิน 3-6 เดือนเป็นอย่างน้อย

 

ตัวอย่างเช่น หากมีรายได้ต่อเดือน 60,000 บาท แต่สัดส่วนค่าใช้จ่ายรายเดือนอยู่ที่ 30,000 บาท ต้องมีการเก็บเงินสำรองฉุกเฉินอยู่ที่ 90,000-180,000 บาท

 

กลุ่มอาชีพอิสระ หรือ ฟรีแลนช์ : เป็นกลุ่มคนที่มีอัตราความเสี่ยงสูงที่สุด เนื่องจากมีความไม่มั่นคงในอาชีพการงานมากกว่าสองกลุ่มแรก และมีความไม่แน่นอนในรายได้ หากต้องการสะสมเงินสำรองฉุกเฉินจำเป็นจะต้องวางแผนสำรองเงินอย่างน้อย 6-12 เดือน เพื่อป้องกันการหางานยาก และสถานการณ์ที่ยากเกินจะคาดเดาในอนาคต

 

ตัวอย่างเช่น กรณีมีรายได้ต่อเดือน 30,000 บาท และมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนราว 15,000 บาท การเก็บเงินสำรองต้องอยู่ที่ 90,000-180,000 บาท เพื่อให้สามารถรองรับกับสถานการณ์ฉุกเฉิน และภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน

 

อย่างไรก็ตาม จำนวนเดือนของการวางแผนสำรองเงินดังกล่าวอาจจะเพียงพอสำหรับการใช้จ่ายแค่ตัวเราเองเท่านั้น ยังไม่รวมถึงคนในครอบครัวของเรา ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยไม่ว่าจะอาชีพไหน ควรต้องมีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 6-12 เดือน

 

นอกจากการเก็บเงินสำรองไว้ใช้จ่ายยามฉุกเฉินหรือเกิดเหตุไม่คาดฝันแล้ว บรรดาคนทำงาน ควรต้องกระชับพื้นที่การใช้จ่าย ลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง และพยายามอย่าก่อหนี้เพิ่มเติม รวมถึงควรเพิ่มทักษะต่าง ๆ เพื่อหารายได้เพิ่มเติม และกระจายความเสี่ยงในหลายสินทรัพย์ด้วย

]]>
1520122
เทคนิคเลือกแหวนเพชรสุดหรูให้คุ้มค่า สมราคาฉบับปี 2025 https://positioningmag.com/1515661 Fri, 21 Mar 2025 05:00:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1515661

แหวนเพชรไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องประดับ แต่เป็นการลงทุนในสิ่งที่สะท้อนถึงความหรูหราและคุณค่า ความสำคัญในการเลือกแหวนเพชรที่เหมาะสมสำหรับปี 2025 ไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงแค่ราคา แต่ยังเกี่ยวข้องกับการพิจารณาคุณภาพ วัตถุดุที่ใช้ และการออกแบบที่ประณีต ทุกองค์ประกอบมีส่วนในการสร้างมูลค่าให้กับแหวนเพชรที่คุณจะสวมใส่และเก็บรักษาในระยะยาว

  1. ทำความเข้าใจกับหลักการ 4C: มาตรฐานการเลือกแหวนเพชรสุดหรู

แหวนเพชร ที่มีคุณภาพสูงสุดต้องพิจารณาจากหลักการ 4C ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลในการประเมินคุณภาพเพชร และมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเลือกแหวนที่มีความหรูหราคุ้มค่า

  • Carat (กะรัต): เพชรที่มีน้ำหนักมากจะให้ความรู้สึกถึงความหรูหราและอลังการ คุณสามารถเลือกแหวนที่เพชรมีน้ำหนักที่ตรงตามความต้องการ ทั้งในแง่ของงบประมาณและความพิเศษที่คุณมองหา

  • https://anantajewelry.com/pub/media/wysiwyg/Website-Assets-Carat.jpg
  • Color (สี): เพชรที่ไร้สีจัดเป็นเพชรที่มีความหรูหราในระดับสูงสุด เพชรระดับสี D-F จะมีความ
  • https://anantajewelry.com/pub/media/wysiwyg/Website-Assets-Clarity.jpg
  • Cut (การเจียระไน): การเจียระไนที่ประณีตมีผลโดยตรงต่อความเป็นประกายของเพชร การเลือกเพชรที่มีการเจียระไนสมบูรณ์แบบ (Excellent)
  • เป็นประกายและให้ความรู้สึกที่สะอาดบริสุทธิ์

  • https://anantajewelry.com/pub/media/Color.jpg
  • Clarity (ความใส): ความใสของเพชรที่ปราศจากตำหนิ (FL) หรือมีตำหนิเล็กน้อย (VVS1-VVS2) จะเพิ่มความหรูหราให้แหวนเพชร ซึ่งยากที่จะมองเห็นด้วยตาเปล่า

  1. เลือกแหวนเพชรที่มาพร้อมใบรับรองคุณภาพ

ในการเลือก แหวนเพชร ที่เป็นสินค้าหรูหรา ใบรับรองจากสถาบันที่เชื่อถือได้ เช่น GIA (Gemological Institute of America) จะเป็นสิ่งสำคัญในการยืนยันคุณภาพของเพชร ไม่เพียงแต่เป็นการยืนยันว่าคุณได้รับเพชรที่มีคุณค่าตามมาตรฐาน แต่ยังเพิ่มความมั่นใจในมูลค่าของแหวนเพชรในระยะยาวอีกด้วย

  1. การออกแบบที่ประณีต: สัญลักษณ์ของความหรูหรา

แหวนเพชรที่สวยงามและหรูหราไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงแค่คุณภาพของเพชร แต่การออกแบบที่พิถีพิถันก็เป็นอีกปัจจัยที่สำคัญ แหวนที่ผ่านการออกแบบจากช่างผู้เชี่ยวชาญจะมีความพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการฝังเพชรอย่างละเอียดหรือการเลือกตัวเรือนที่เหมาะสม เช่น ทองคำขาว หรือแพลตตินัม ทั้งหมดนี้ช่วยเพิ่มความหรูหราและความเป็นเอกลักษณ์ให้กับแหวนเพชรที่คุณเลือก

  1. มองหาคุณค่าที่แท้จริงในแหวนเพชร

การเลือก แหวนเพชร จากร้านที่เน้นสินค้าระดับหรูหราจะทำให้คุณมั่นใจได้ในคุณภาพและความยั่งยืน โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาโปรโมชั่นหรือส่วนลด การเลือกแหวนเพชรที่มีคุณภาพสูงจากวัสดุที่ดีที่สุดและการออกแบบที่ไม่ซ้ำใครจะเพิ่มคุณค่าให้กับแหวน ไม่เพียงแค่ในแง่ของมูลค่าทางการเงิน แต่ยังรวมถึงคุณค่าทางจิตใจที่คุณสามารถส่งต่อให้กับคนรุ่นหลังได้


การเลือก แหวนเพชร ที่หรูหราและมีคุณค่าควรพิจารณาจากองค์ประกอบหลักทั้ง 4C ใบรับรองคุณภาพ การออกแบบที่ประณีต และความยั่งยืนที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาโปรโมชั่น การตัดสินใจที่ดีในปี 2024 จะช่วยให้คุณได้แหวนเพชรที่สะท้อนถึงความเป็นตัวตนและคุณค่าที่แท้จริงของเครื่องประดับชิ้นนี้

Ref: คุณสามารถเลือกดู แหวนเพชร จากร้าน Ananta Jewelry ได้ที่นี่ https://anantajewelry.com/jewelry/all-categories/rings.html ซึ่งมีคอลเลกชันแหวนเพชรที่ผ่านการออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน และคัดเลือกเพชรคุณภาพสูงเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่มองหาความหรูหราและคุณค่าอย่างแท้จริง

]]>
1515661
“บลจ.กสิกรไทย” เปิดตัวบทวิจัย “KAsset Capital Market Assumptions” ขุมทรัพย์ข้อมูลแห่งใหม่ ตัวช่วยการลงทุนในอนาคต https://positioningmag.com/1509023 Mon, 03 Feb 2025 09:23:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1509023

ในยุคปัจจุบันประเทศไทยเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้างต่างๆ เช่น ภาวะสังคมผู้สูงอายุ ภาวะหนี้ครัวเรือนสูง ซึ่งส่งผลต่อโอกาสและความเสี่ยงต่อผลตอบแทนการลงทุนในตลาดเงินทั้งของไทย และของโลก ซึ่งการลงทุนในประเทศไทยเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว

ในขณะเดียวกันผู้ลงทุนต่างพยายามมองหาโอกาสทางการลงทุน เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับพอร์ตของตัวเอง แต่ข้อจำกัดอย่างนึงที่พบเห็นได้บ่อยๆ นั่นคือ เมื่อปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงิน จะได้ชุดมุมมองการลงทุนในระยะสั้นกลับมาเท่านั้น  ทำให้ไม่กล้าตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงขึ้น หรือ สินทรัพย์ต่างประเทศ

KAsset เป็นบลจ.แรกในไทยที่มองเห็นโอกาส และความต้องการของตลาดเป็นอย่างดี จึงได้จัดทำบทวิจัยอย่างเจาะลึก ถือเป็นการตอกย้ำถึงความเชี่ยวชาญในการมองแนวโน้มตลาดระยะยาวได้ชัดเจนกว่าบลจ.อื่นๆ สร้างความแตกต่างและเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งเลยก็ว่าได้ ​​

KAsset จึงเปิดตัวบทวิจัย “KAsset Capital Market Assumptions” (KCMA) ประจำปี 2568 เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ภายใต้ความร่วมมือกับ J.P. Morgan Asset Management  เป็นผลงานที่เกิดจากความมุ่งมั่นทุ่มเทในการทำงานร่วมกันของทีมผู้เชี่ยวชาญกว่า 30 คน จาก 4 ทีมบริหารการลงทุนหลักทั้งจากบลจ.กสิกรไทย และ J.P. Morgan Asset Management

บทวิจัย KCMA จัดทำขึ้นมาให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุนไทยโดยเฉพาะ โดยต่อยอดมาจากบทวิจัย”Long-Term Capital Market Assumptions” (LTCMAs) ของJ.P. Morgan Asset Management ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลมาอย่างยาวนาน  ทั้งนี้ บทวิจัย KCMA เป็นชุดข้อมูลที่ครอบคลุมและละเอียดมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศไทย โดยนำเสนอมุมมองเชิงลึกทั้งในมิติของแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ผลตอบแทน และความเสี่ยงของสินทรัพย์กว่า 100 ประเภทในระยะเวลา 10-15 ปีข้างหน้า ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุน โดยเฉพาะผู้ลงทุนสถาบัน ผู้จัดการกองทุน หรือที่ปรึกษาทางการเงิน ที่ต้องการข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำ ได้นำบทวิจัยนี้ไปใช้ต่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในสายอาชีพของตัวเอง

ในส่วนของ KAsset เองก็ได้นำข้อมูลจากบทวิจัยนี้มาใช้บริหารกองทุน Multi-asset portfolio เช่น กองทุนในกลุ่ม K-WealthPLUS Series รวมถึงการนำมาใช้ในการวางแผนสินทรัพย์ให้กับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ตามกลุ่มช่วงอายุของสมาชิก (Life Path Solution) โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาวอย่างยั่งยืน

เรียกได้ว่าบทวิจัยชิ้นนี้เป็นก้าวสำคัญบทใหญ่ของวงการการลงทุนในประเทศไทย ที่มีการผนึกกำลังของกูรูแถวหน้าของเมืองไทย ที่มีความแข็งแกร่งด้านการลงทุนทั้งใน และต่างประเทศ ด้วยข้อมูลเชิงลึกนี้สามารถใช้เป็นแผนที่นำทางสำหรับนักลงทุนในปัจจุบัน มองไปถึงแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคตระยะยาวได้อย่างแน่นอน

 

]]>
1509023
รู้จัก orbix INVEST ผู้ช่วยมือโปรของคริปโตเนียน https://positioningmag.com/1490901 Thu, 19 Sep 2024 11:50:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1490901

ในยุคปัจจุบันเป็นโลกแห่งการลงทุนมีการเปิดกว้างมากมาย ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การลงทุนแบบดั้งเดิม โลกดิจิทัลเข้ามามีบทบาท และเป็นเครื่องมือในการสร้างความมั่งคั่งได้ด้วยเช่นกัน การเกิดขึ้นของ “สินทรัพย์ดิจิทัล” จึงเป็นโอกาสสำคัญของนักลงทุนรุ่นใหม่ แต่จะลงทุนอย่างไรให้ปลอดภัย คือความท้าทายอย่างที่สุด


ทำความรู้จัก orbix INVEST จิ๊กซอว์ตัวใหม่

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล หรือที่หลายๆ คนเรียกกันง่ายๆ ว่าคริปโตฯ มีการเติบโตขึ้นอย่างมหาศาล ข้อมูลจาก CoinGecko พบว่า ในปี 2566 มูลค่าตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่ที่ 1,600 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าในปี 2567 จะมีมูลค่าอยู่ที่ 2.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ มีการเติบโตถึง 140,000% สะท้อนว่าภาพรวมของตลาดยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ในประเทศไทยมีการประเมินว่ามีผู้ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมากกว่า 4 ล้านราย แสดงให้เห็นว่าในตลาดนี้ยังมีนักลงทุนที่ให้ความสนใจ และยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก ทั้งนักลงทุนอาชีพ ไปจนถึงนักลงทุนหน้าใหม่ โดยความต้องการของคนกลุ่มนี้ก็คือ แพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ ไว้ใจได้

กลุ่มธุรกิจการเงินของธนาคารกสิกรไทย จึงเปิดตัวบริษัทลูก “ยูนิต้า แคปิทัล” ก่อตั้งขึ้นเพื่อดูแลบริการให้ครอบคลุมระบบนิเวศด้านสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Ecosystem) มากขึ้น ล่าสุดได้เปิดตัว ออร์บิกซ์ อินเวสท์  (orbix INVEST) ผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Fund Manager) เป็นทางเลือกใหม่ในการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลสำหรับนักลงทุน โดยก่อนหน้านี้ยูนิต้า แคปิทัลมีการเปิดให้บริการ ออร์บิกซ์ (orbix) ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล, ออร์บิกซ์ เทคโนโลยี (orbix TECHNOLOGY) ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีบล็อคเชนของประเทศ และออร์บิกซ์ คัสโทเดียน (orbix CUSTODIAN) เพื่อรองรับการประกอบธุรกิจผู้ให้บริการรับฝากสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งอยู่ระหว่างการเตรียมเพื่อรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจ

orbix INVEST ได้เปิดให้บริการเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หลังจากได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลจากกระทรวงการคลัง ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เมื่อเดือนมกราคม 2567

เรียกได้ว่า orbix INVEST เป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์ที่สำคัญในการขยายขอบเขตบริการเพื่อเติมเต็มระบบนิเวศด้านสินทรัพย์ดิจิทัล และเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุน ด้วยการนำเสนอกลยุทธ์จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การจัดการของบริษัท รวมถึงพัฒนาแอปพลิเคชันให้ใช้งานง่าย ภายใต้แนวคิด Strategist for Kryptonian ผู้ช่วยมือโปรของคริปโตเนียน


มั่นใจได้มาตรฐาน เพราะผู้ช่วยมือโปร

orbix INVEST วางจุดยืนเป็นผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Fund Manager) หรือเรียกได้ว่าเป็นบุคคลซึ่งเข้าจัดการเงินทุน หรือแสดงต่อบุคคลทั่วไปว่าพร้อมจะรับจัดการเงินทุนให้แก่บุคคลอื่น เพื่อแสวงหาประโยชน์จากสินทรัพย์ดิจิทัล โดยกระทำเป็นทางค้าปกติ แต่ไม่รวมถึงการจัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลในลักษณะที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด

ซึ่งเชื่อถือได้ เพราะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) orbix INVEST ทำหน้าที่ในการคัดเลือกสินทรัพย์ ออกแบบ รวมทั้งบริหารกลยุทธ์ และบริหารความเสี่ยงของกลยุทธ์จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัล ช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างมูลค่าให้กับพอร์ตลงทุนได้ ใช้งานง่ายผ่านแอปพลิเคชั่น

ถ้าถามว่าการลงทุนในรูปแบบ Digital Asset Fund Manager ผ่าน orbix INVEST มีความพิเศษจากการลงทุนประเภทอื่นอย่างไร ต้องบอกว่าการลงทุนในยุคปัจจุบันไม่เพียงแต่อยู่ในตลาดหุ้น พันธบัตร หรืออสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่ยังมีสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets) ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น การกระจายการลงทุนมาลงทุนใน Digital Asset Fund นั้นมีประโยชน์หลายอย่าง เนื่องจากสินทรัพย์ดิจิทัลกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในระบบการเงินของโลก มีมูลค่า และสามารถเก็บได้ในระยะยาว

อีกทั้งการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลก็ง่ายขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก เพราะมีผู้เชี่ยวชาญค่อยดูแลจัดการให้ แถมยังติดตามการลงทุนได้ง่ายเพียงแค่ปลายนิ้ว ช่วยเพิ่มโอกาสของพอร์ตการลงทุนให้มากขึ้นกว่าเดิม

กระจายความเสี่ยงอย่างสมดุล

การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร และบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากแบ่งสัดส่วนมาลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลประมาณ 1-5% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด ก็เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนโดยรวมได้อย่างมีนัยสำคัญเลยทีเดียว

เพราะสินทรัพย์ดิจิทัลมักมีการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่สัมพันธ์กับสินทรัพย์อื่นๆ เช่น หุ้นและพันธบัตร ดังนั้น การกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ดิจิทัลจะช่วยปรับสมดุลพอร์ตและลดความผันผวนได้ แถมยังเปิดโอกาสให้พอร์ตมีศักยภาพในการทำผลตอบแทนและมีแนวโน้มการเติบโตที่สูงในระยะยาว

การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างพอร์ตที่สมดุลและมีโอกาสรับผลตอบแทนสูงขึ้น ทำให้นักลงทุนสามารถเติบโตในตลาดการเงินยุคใหม่ได้


ฟังก์ชันสุดล้ำจาก orbix INVEST

ฟังก์ชั่นหลักของ orbix INVEST ก็คือ สามาถเลือกลงทุนกลยุทธ์จัดการเงินทุนได้ตามความเสี่ยงและเป้าหมายการลงทุน โดยที่ orbix INVEST มีแบบประเมินความเสี่ยงที่ช่วยให้ผู้ลงทุนทราบความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ และเข้าใจเป้าหมายการลงทุนของตนเอง เพื่อให้นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในกลยุทธ์จัดการเงินทุนได้อย่างเหมาะสม

ทาง orbix INVEST มีกลยุทธ์จัดการเงินทุนหลากหลาย และแนะนำไว้ในแอปพลิเคชัน เพื่อให้ตามทันเทรนด์การลงทุนในตลาด และเลือกลงทุนได้ตามความสนใจ

นักลงทุนสามารถเข้าถึงรายละเอียดของกลยุทธ์การลงทุน รวมถึงติดตามความเคลื่อนไหวของราคา สัดส่วนการลงทุน ได้ ผ่านแอปพลิเคชัน orbix INVEST ที่ทำให้มีข้อมูลครบถ้วนและสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ

ลงทุนกับ orbix INVEST

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เชื่อได้ว่าต้องมีนักลงทุนที่สนใจลงทุนกับ orbix INVEST อย่างแน่นอน เพราะทั้งสะดวก ปลอดภัย และเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนกับการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล สามารถทำตามขั้นตอนดังนี้

  1. ดาวน์โหลด แอปพลิเคชัน orbix INVEST มีให้ดาวน์โหลดทั้ง App Store และ Play Store
  2. การเตรียมตัวก่อนการเปิดบัญชี
  • เตรียมบัตรประชาชน ข้อมูลบนบัตรและรวมถึงเลข laser หลังบัตร
  • อยู่ในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอสำหรับการถ่ายภาพ
  • ไม่สวมแว่นตาหรือสิ่งปิดบังใบหน้าในขณะทำการยืนยันตัวตน
  1. หลังจากนั้นลงทะเบียนโดยยืนยันตัวตนผ่านทาง K Plus หรือยืนยันตัวตนรูปแบบดิจิทัล (NDID) กรอกข้อมูลส่วนตัว และทำแบบทดสอบประเมินความเสี่ยง รวมถึงผูกบัญชีรับเงิน เมื่อเจ้าหน้าที่อนุมัติเปิดบัญชีภายใน 1-2 วันทำการ จึงสามารถทำการเพิ่มทุน/ลดทุนได้

หมายเหตุ * คริปโทเคอร์เรนซี และโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุน ให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

]]>
1490901
“อินเดีย” – “อินโดนีเซีย” มาแรงในหมู่นักลงทุน หลังปัจจัย “โครงสร้างประชากร” มีผลสำคัญต่อการตัดสินใจ https://positioningmag.com/1475280 Mon, 27 May 2024 12:27:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1475280 สองประเทศในเอเชียอย่าง “อินเดีย” และ “อินโดนีเซีย” กำลังเนื้อหอม! หลังจากนักลงทุนหันมามองปัจจัยด้าน “โครงสร้างประชากร” เป็นเรื่องสำคัญในการตัดสินใจลงทุน

ตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่าง “อินเดีย” และ “อินโดนีเซีย” ที่มีจำนวนประชากรเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีแนวโน้มจะได้ประโยชน์จากการตัดสินใจของนักลงทุน เนื่องจากปัจจัยด้านโครงสร้างประชากรเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในการตัดสินใจ ตามข้อมูลจาก Fidelity International และ BlackRock Investment Institute

นักลงทุนกำลังมุ่งลงทุนไปที่สองประเทศเกิดใหม่ในเอเชีย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคาดว่ารัฐบาลจะมีการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ

อีกทั้งอินเดียและอินโดนีเซียบังเอิญมีการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ในปีนี้ และรัฐบาลใหม่ของทั้งสองประเทศแสดงจุดยืนว่ามีความทะเยอทะยานที่จะเปลี่ยนตัวเองเป็น “มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ” โดยมีโครงสร้างประชากรคนหนุ่มสาวเป็นจุดแข็งหลัก

ภาพจาก Unsplash

สองประเทศนี้กลายเป็นประเทศที่โดดเด่นขึ้นมาในห้วงเวลาที่เพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกันมีปัญหาเรื่องสังคมผู้สูงอายุ รวมถึงประเทศ “จีน” ด้วย

อินเดีย กลายเป็นประเทศที่เอาชนะจีนได้ในเรื่องจำนวนประชากรมาตั้งแต่กลางปี 2023 กลายเป็นหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์

ขณะที่การวิเคราะห์ของ BlackRock ฉายภาพให้เห็นความเกี่ยวเนื่องกันในทางบวกระหว่างจำนวนประชากรวัยทำงานที่เติบโตขึ้นของประเทศหนึ่งกับการเติบโตของราคาหุ้นในตลาดหุ้น ส่วน Fidelity มองว่าภาคธุรกิจการเงินจะเป็นธุรกิจหลักที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตของประชากร เพราะทุกคนต้องการผลิตภัณฑ์การเงินไม่ว่าจะเป็นองค์กรหรือผู้บริโภคทั่วไปก็ตาม

Photo : Shutterstock

“แรงงานของอินเดียกับอินโดนีเซียยังเป็นหนุ่มสาว โครงสร้างประชากรของทั้งสองประเทศนี้โดดเด่นกว่าเพื่อนบ้านที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด” เอียน แซมสัน ผู้จัดการกองทุนของ Fidelity ในสิงคโปร์กล่าว “ทุกบริษัทไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ต่างก็ต้องการบริการทางการเงิน นี่คือเหตุว่าทำไมราคาหุ้นของกลุ่มธนาคารถึงมักจะโตสอดคล้องไปกับจีดีพีประเทศในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา”

จำนวนประชากรในอินเดียและอินโดนีเซียจะเติบโตขึ้นอย่างน้อย 10% นับจากปีนี้ไปจนถึงปี 2040 ตามการคาดการณ์ของธนาคารโลก (World Bank) แตกต่างจากจีนที่คาดว่าจำนวนประชากรจะลดลงเกือบ 4%

แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าจำนวน คือการเปลี่ยนโครงสร้างประชากรในกลุ่มวัยทำงานซึ่งหมายถึงคนวัย 15-64 ปี ในกรณีนี้จีนมีโครงสร้างประชากรวัยทำงานลดลงต่อเนื่องมาหลายปี ขณะที่อินเดียกลายเป็นประเทศที่มีคนหนุ่มสาวมากที่สุดในหมู่ประเทศที่เป็นประเทศหลักทางเศรษฐกิจ

ฌอน บัววีน ผู้นำกลุ่มนักวางกลยุทธ์จาก BlackRock Investment Institute วิเคราะห์ว่า การเพิ่มสัดส่วนกลุ่มคนวัยทำงานที่เร็วขึ้นมักจะสอดคล้องกับการเติบโตของผลกำไรบริษัทในอนาคต และเสริมด้วยว่ามีปัจจัยอื่นๆ ที่มีผล ได้แก่ การย้ายถิ่นของแรงงาน การมีส่วนร่วมของแรงงานมากขึ้น และระบบออโตเมชัน

ภาพจาก Unsplash

ปัจจุบันดัชนี Nifty 50 (ดัชนีรวมหุ้น 50 บริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นอินเดีย) มีการซื้อขายกันในเป็นสถิติใหม่ และเตรียมจะเข้าสู่ช่วงการเติบโตต่อเนื่อง 9 ปีหากเทรนด์การซื้อขายยังรักษาระดับไว้ได้แบบนี้ ส่วนดัชนี Jakarta Composite Index (JCI) ของอินโดนีเซียก็เพิ่งจะทำราคาแตะสถิติสูงสุดไปเมื่อเดือนมีนาคม 2024

นักวิเคราะห์ยังบอกด้วยว่า หลังจากนี้ทั้งสองประเทศยังมีงานที่ต้องปฏิรูปเศรษฐกิจประเทศ โดยการลดความยุ่งยากในการกำกับควบคุมโดยรัฐ กระตุ้นให้เกิดความยืดหยุ่นในตลาดงาน และอำนวยความสะดวกให้กับการลงทุนจากต่างประเทศ ถึงจะทำให้ประเทศเหล่านี้ได้รับแรงส่งจากโครงสร้างประชากรที่ดีของตนเอง

นักวิเคราะห์มองว่า มีความก้าวหน้าเกิดขึ้นบ้างแล้วในการสร้างเสริมเศรษฐกิจ แต่ก็ยังมีอะไรต้องทำอีกมาก

ปราโบโว ซูเบียนโต ผู้ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนต่อไปของอินโดนีเซีย และจะเข้าดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคมนี้ ประกาศว่า ตนตั้งเป้าจะทำให้จีดีพีของประเทศเติบโตปีละ 8% แม้ว่าสถิติที่ผ่านมาของประเทศจะต่ำกว่านั้นมากก็ตาม

ส่วนในอินเดียนั้นยังอยู่ระหว่างเลือกตั้งที่จะไปสิ้นสุดวันที่ 1 มิถุนายนนี้ ซึ่งต้องจับตาดูว่า นเรนทรา โมดิ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันจะชนะเลือกตั้งสมัยที่ 3 หรือไม่และชนะด้วยสัดส่วนเท่าไหร่ เพราะหากชนะด้วยสัดส่วนที่เฉียดฉิวอาจจะทำให้แผนปฏิรูปประเทศของเขาเผชิญกับความยุ่งยากและไม่เป็นผลดีต่อตลาดเงินตลาดทุน

“การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศหนึ่งๆ จะมีผลต่อต้นทุนการอุดหนุนค่ารักษาพยาบาลและเกษียณอายุ โดยในประเทศพัฒนาแล้วมักจะมีต้นทุนเรื่องสวัสดิการสังคมเหล่านี้สูงกว่าประเทศกำลังพัฒนา” ซานเจย์ ชาห์ ผู้อำนวยการแผนกตราสารหนี้ที่ HSBC Global Asset Management กล่าว “ในประเทศกำลังพัฒนา ภาระการจ่ายเงินเกษียณอายุให้ประชาชนมักจะต่ำกว่าและมีสิทธิประโยชน์ให้น้อยกว่า ซึ่งแปลว่าภาระต่อการใช้งบประมาณประเทศในส่วนนี้ก็จะน้อยกว่าเช่นกัน” ชาห์กล่าว

Source

]]>
1475280
3 ทริคควรรู้ ก่อนเริ่มต้นลงทุน https://positioningmag.com/1465189 Tue, 05 Mar 2024 16:41:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1465189

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO จาก Jitta Wealth

ในโลกที่หมุนเร็วอย่างทุกวันนี้ การเข้าถึงเรื่องของการเงินการลงทุนแทบไม่มีอุปสรรคใดมาขวางได้ ผมเชื่อว่าผู้บริโภคหลายคนก็มีความสนใจและมองหาโอกาสลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีหรือที่เรียกว่า ‘ให้เงินทำงาน’

และแม้ว่าจะมีแอปพลิเคชันใหม่ๆ ออกมามากมายให้เลือกลงทุน แต่หลายคนก็ยังจดๆ จ้องๆ เพราะยังมีความรู้สึกลังเล กล้าๆ กลัวๆ ไม่แน่ใจว่าจะลงทุนอะไร อย่างไรดี สินทรัพย์ใด จะเหมาะสมกับความเสี่ยงที่เรารับได้จริงๆ หรือลงทุนเมื่อไร ให้ผลตอบแทนคุ้มค่า

ก็ไม่แปลกนะครับขึ้นชื่อว่าการลงทุน เราทุกคนอยากเห็นผลตอบแทนจากเงินที่นำไปลงทุน มากกว่าความเสียหายหรือเงินที่ลงทุนไปสูญเปล่า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเราเองมีความพร้อมแค่ไหน และควรเอาเงินส่วนไหนมาลงทุนให้เหมาะสมและไม่เสี่ยงมากเกินไป เพื่อไม่ให้กระทบกับความมั่นคงในชีวิตการเงิน รวมไปถึงความมั่นคงของครอบครัวในอนาคต

วันนี้ผมอยากชวนทุกท่านมาเช็คความพร้อมก่อนการลงทุนกันด้วยวิธีง่ายๆ ลองทำความเข้าใจดูก่อนได้ครับ

Photo : Shutterstock

ข้อที่ 1: อย่าเพิ่งเริ่มลงทุน ถ้ายังออมเงินไม่เป็น

ในชีวิตของเราแทบทุกคน ย่อมจะมีเหตุการณ์หนึ่งที่ทุกคนจะต้องเจอเหมือนกัน คือเมื่อวันหนึ่งวันนั้นมาถึง วันที่พวกเราจะต้องเลิกทำงาน หรือที่เรียกว่าเกษียณอายุนั่นเอง บั้นปลายชีวิตแต่ละคนแตกต่างกันไปแน่นอนครับ เพราะความรู้และการเตรียมความพร้อมที่แตกต่างกัน

บางคนเตรียมตัวดี มีเงินเก็บไว้ใช้ก็ไม่ลำบาก แต่บางคนกลับไม่มีเลย ผมเชื่อว่าอย่างหลังเนี่ย หลายคนกลัวว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง จริงไหมครับ ผมไม่อยากเห็นคุณเอาแต่กลัวนะครับ ก่อนอื่น​ก่อนจะเริ่มต้นลงทุน ผมอยากให้คุณลองจัดระเบียบการเงินให้เป็นก่อน

เริ่มที่การดูแลกระแสเงินสด (cashflow)ให้เป็นบวกก่อนนะครับ

กระแสเงินสดหรือจะเรียกว่าสภาพคล่องที่มาในรูปแบบของเงินเก็บก่อนนะครับ เพราะถ้าคุณเริ่มต้นจากกระแสเงินสดติดลบ​ สภาพคล่องตึงตัว การลงทุนนั้นจะกลายเป็นการพนันทันที เพราะเราจะลงทุนด้วยความรู้สึกว่าอยากได้กำไรเร็วๆ กำไรเยอะๆ โดยไม่สนปัจจัยอื่นๆ เลย

แล้วคุณจะต้องทำอย่างไรให้มีเงินเก็บ…

คำตอบเดียวคือ ‘เก็บ’ สร้างวินัยให้กับการออมเงินเท่านั้นครับ

อาจจะตั้งระบบตัดจ่ายอัตโนมัติเช่น 10% ของรายได้ ไปเก็บไว้ในบัญชีเงินฝากดิจิทัลดอกเบี้ยสูง หรือฝากประจำก็ได้ หรือแบ่งเงินเป็นสัดส่วนตั้งแต่ต้นเมื่อมีรายได้เข้ามา แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ‘ขอแค่ให้เริ่ม‘ เท่านั้นครับ หลักการนี้คือเรื่องของ ‘วินัย’ ที่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออมเงินหรือการลงทุนก็ต้องใช้หลักการนี้เช่นเดียวกัน

Photo : Shutterstock

ข้อที่ 2:  อย่าเพิ่งลงทุนถ้ายังไม่มี ‘ความรู้’

เพราะว่าความรู้ (Education) เป็นตัวเร่งให้เราได้รู้จักตัวเอง วางเป้าหมายปลายทาง และเรียนรู้เครื่องมือที่จะพาไปถึงเป้าหมายได้อย่างถูกต้องและไม่หลงทาง ยิ่งถ้าหากคุณสามารถทำความเข้าใจธรรมชาติของเครื่องมือ คุณก็จะลงทุนได้แบบไม่ต้องกังวล

เหมือนอย่างตลาดหุ้น ในระยะสั้นย่อมมีความผันผวน เหวี่ยงขึ้น เหวี่ยงลงเป็นระยะ แต่เมื่อคุณถอยออกมามองภาพใหญ่ มองระยะยาวจะเห็นได้ว่า ตลาดหุ้นมักจะเป็นขาขึ้นมากกว่าขาลงเสมอๆ

แต่อย่าเป็นเด็กเรียนมากไปนะครับ บางคนมีความเชื่อว่า ก่อนจะลงทุนได้ก็ต้องมีความรู้เรื่องธุรกิจก่อน ถึงจะเริ่มต้นลงทุนได้ แต่ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องรู้ทั้งหมดก็เริ่มต้นได้ครับ เพราะถ้าต้องรู้ทั้งหมด คุณก็จะไม่มีวันได้ลงทุนอย่างแน่นอน ค่อยๆ ลงทุนไปพร้อมๆ กับการเรียนรู้น่าจะดีกว่าครับ

ข้อที่ 3: มองการลงทุนให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

ลงทุนทั้งที ต้องรู้สึกเป็นหุ้นส่วน มองว่าคุณเป็นเจ้าของหุ้นหรือธุรกิจนั้นๆ ให้คิดว่าคุณจะทำอย่างไรให้ธุรกิจที่เราลงทุนเติบโต มีรายได้ดี สร้างกำไรให้กับคุณ และอะไรส่งผลกระทบกับธุรกิจของคุณบ้าง มากกว่าการหวังแค่เสี่ยงโชค แบบซื้อหุ้นแล้วจะอธิษฐานให้ธุรกิจเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ

ก่อนจะเลือกลงทุนในสักบริษัทคุณจะต้องเข้าใจ 4 สิ่งนี้ด้วยกัน

  1. มีความรู้พื้นฐานด้านการเงินพอที่จะอ่านงบการเงินเป็น
  2. รู้จักสินค้าและโมเดลธุรกิจของบริษัทที่เราลงทุน
  3. เข้าใจความเสี่ยงของบริษัท
  4. รู้จักปัจจัยภายนอกทั้งการเมือง เศรษฐกิจ หรือสภาพสังคมไว้บ้าง
Property investment and mortgage financial concept.

ซึ่งเดี๋ยวนี้ ยิ่งมีเทคโนโลยีเข้ามา ทำให้การลงทุนนั้นง่ายกว่าเดิม อย่างเช่นงบการเงินย้อนหลัง ที่คุณสามารถดูได้บนเว็บไซต์ต่างๆ ที่มีให้เลือกมากมาย และบางแห่งสามารถเปิดดูได้ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถืออย่างของ Jitta.com เองก็มีข่าวสารข้อมูลของบริษัททั่วโลกให้คุณเข้ามาดูได้อย่าง real-time ช่วยให้คุณเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายมากขึ้นและสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วทันเวลา

เท่านี้คุณก็มีพื้นฐาน​ความรู้และเครื่องไม้เครื่องมือเพียงพอที่จะเลือกได้แล้วว่าคุณจะลงทุนในกิจการของบริษัทใดบ้าง ซึ่งหลังจากเลือกและลงทุนไปแล้ว สิ่งต่อไปที่คุณต้องมีคือ ‘วินัย’ ลงทุนไปเรื่อยๆ ไม่เดาตลาดหุ้น และต้องทบทวนและปรับพอร์ตให้เป็นระบบ

‍‍สุดท้ายแล้ว เวลาที่ดีที่สุดในการลงทุนก็คือ ‘วันนี้’ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนจะสายเกินไป เพราะฤกษ์ดีคือเลิกรอนะครับ ส่วนความกลัว ผมบอกได้เลยว่ามันกำจัดง่ายมาก ด้วยการลงมือทำและเรียนรู้ไปกับมันด้วยสติครับ

ขอให้ทุกท่านมีความสุขและประสบความสำเร็จในโลกการลงทุนนะครับ

]]>
1465189
LGT มองเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ถดถอย อาจเห็นลดดอกเบี้ยช่วงกลางปี แนะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นอินเดีย-ญี่ปุ่น https://positioningmag.com/1459194 Wed, 17 Jan 2024 11:22:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1459194 นักยุทธศาสตร์การลงทุนของแอลจีที LGT ไพรเวทแบงก์กิ้งจากลิกเตนสไตน์ ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ถดถอย อาจเห็นลดดอกเบี้ยช่วงกลางปี ขณะเดียวกันกลยุทธ์การลงทุนในปีนี้เขาได้แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นอินเดีย-ญี่ปุ่น

สเตฟาน โฮเฟอร์ หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนของแอลจีที (LGT) ไพรเวทแบงก์กิ้ง ภูมิภาคเอเชีย ได้กล่าวถึงเศรษฐกิจโลกปี 2024 ในเชิงบวก โดยเฉพาะเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างสหรัฐอเมริกานั้นเขาคาดว่าจะไม่ถดถอย เพียงแต่จะเติบโตชะลอตัวลง หลังจากที่เศรษฐกิจได้เติบโตอย่างร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา จนทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องประกาศขึ้นดอกเบี้ย

สำหรับในปีนี้ LGT มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวแบบ Soft Landing เพื่อหลีกเลี่ยงเศรษฐกิจถดถอย และถ้าหากสถานการณ์เป็นไปตามนี้ Fed จะประสบความสำเร็จในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่สูงโดยไม่ทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย

โดย LGT คาดว่า Fed จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในช่วงเดือนมิถุนายน ขณะที่ GDP ของสหรัฐอเมริกาในปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ 2% และตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ จะกลับมาอยู่ที่ 2% ได้ในช่วงไตรมาส 3

ในส่วนของเศรษฐกิจญี่ปุ่น LGT คาดการณ์ว่าธนาคารกลางของญี่ปุ่นจะปรับนโยบายการเงินเข้มงวดขึ้นในปีนี้ และเงินเยนญี่ปุ่นคาดว่าจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกัน สเตฟาน มองว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นได้หลุดพ้นสภาวะเงินฝืดซึ่งกินเวลายาวนานถึง 25 ปีได้

ทางด้านของเศรษฐกิจอินเดีย LGT คาดว่า GDP จะโตได้มากถึง 6% จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็น ถนน สะพาน ทางรถไฟ ท่าเรือ และสนามบิน สเตฟานยังมองว่าถ้าหากอินเดียไม่ลงทุนกับสิ่งเหล่านี้ก็ไม่สามารถที่จะเป็นประเทศที่ส่งออกเหมือนกับจีน หรือแม้แต่ไทยได้

ข้อมูลจาก LGT

สำหรับจีน LGT คาดการณ์ว่า GDP จะเติบโตได้ 5% แต่ปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์จะยังคงอ่อนแอต่อเนื่องไปถึงปี 2025 หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนของ LGT มองว่าราคาบ้านในปักกิ่งลดลงไวมาก เขามองว่าสถานการณ์นั้นเหมือนกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสวิตเซอร์แลนด์ช่วงยุค 1990

LGT ยังมองว่าเศรษฐกิจยุโรปในปี 2023 ที่ผ่านมาซึ่งเกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในเยอรมนีและอิตาลี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อส่งออกจากจีน อย่างไรก็ดีตัวเลขอัตราว่างงานในยูโรโซนถือว่าต่ำ ในปี 2024 นี้คาดว่า GDP จะกลับมาเติบโตได้ปานกลางจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป

ปิดท้ายด้วยเศรษฐกิจไทย LGT มองว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 3% ได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการลงทุนระหว่างประเทศในภาคอุตสาหกรรมของไทย ขณะเดียวกันดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นโดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความคาดหวังต่อการผ่อนคลายทางการคลังที่สำคัญ (Digital Wallet) ที่อาจเกิดขึ้นในปีนี้

ขณะที่กลยุทธ์การลงทุนในปี 2024 นั้น LGT คาดการณ์ว่านักลงทุนจะนิยมลงทุนในพันธบัตรมากกว่าหุ้นและเงินสดในช่วงครึ่งแรกของปี เนื่องจากระดับผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้เอกชนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงอยู่ในระดับสูง แต่เมื่ออัตราดอกเบี้ยเริ่มลดลงในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าเงินทุนระหว่างประเทศจะไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้น ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิ

LGT ยังแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินเดีย ขณะที่อุตสาหกรรมที่ชอบคือ กลุ่มบริการด้านการสื่อสาร กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการแพทย์ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย และแนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงลดน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มสาธารณูปโภค กลุ่มพลังงาน กลุ่มวัสดุ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น

]]>
1459194