การลงทุน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 19 Sep 2024 10:38:10 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 รู้จัก orbix INVEST ผู้ช่วยมือโปรของคริปโตเนียน https://positioningmag.com/1490901 Thu, 19 Sep 2024 11:50:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1490901

ในยุคปัจจุบันเป็นโลกแห่งการลงทุนมีการเปิดกว้างมากมาย ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การลงทุนแบบดั้งเดิม โลกดิจิทัลเข้ามามีบทบาท และเป็นเครื่องมือในการสร้างความมั่งคั่งได้ด้วยเช่นกัน การเกิดขึ้นของ “สินทรัพย์ดิจิทัล” จึงเป็นโอกาสสำคัญของนักลงทุนรุ่นใหม่ แต่จะลงทุนอย่างไรให้ปลอดภัย คือความท้าทายอย่างที่สุด


ทำความรู้จัก orbix INVEST จิ๊กซอว์ตัวใหม่

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล หรือที่หลายๆ คนเรียกกันง่ายๆ ว่าคริปโตฯ มีการเติบโตขึ้นอย่างมหาศาล ข้อมูลจาก CoinGecko พบว่า ในปี 2566 มูลค่าตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่ที่ 1,600 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าในปี 2567 จะมีมูลค่าอยู่ที่ 2.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ มีการเติบโตถึง 140,000% สะท้อนว่าภาพรวมของตลาดยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ในประเทศไทยมีการประเมินว่ามีผู้ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมากกว่า 4 ล้านราย แสดงให้เห็นว่าในตลาดนี้ยังมีนักลงทุนที่ให้ความสนใจ และยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก ทั้งนักลงทุนอาชีพ ไปจนถึงนักลงทุนหน้าใหม่ โดยความต้องการของคนกลุ่มนี้ก็คือ แพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ ไว้ใจได้

กลุ่มธุรกิจการเงินของธนาคารกสิกรไทย จึงเปิดตัวบริษัทลูก “ยูนิต้า แคปิทัล” ก่อตั้งขึ้นเพื่อดูแลบริการให้ครอบคลุมระบบนิเวศด้านสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Ecosystem) มากขึ้น ล่าสุดได้เปิดตัว ออร์บิกซ์ อินเวสท์  (orbix INVEST) ผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Fund Manager) เป็นทางเลือกใหม่ในการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลสำหรับนักลงทุน โดยก่อนหน้านี้ยูนิต้า แคปิทัลมีการเปิดให้บริการ ออร์บิกซ์ (orbix) ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล, ออร์บิกซ์ เทคโนโลยี (orbix TECHNOLOGY) ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีบล็อคเชนของประเทศ และออร์บิกซ์ คัสโทเดียน (orbix CUSTODIAN) เพื่อรองรับการประกอบธุรกิจผู้ให้บริการรับฝากสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งอยู่ระหว่างการเตรียมเพื่อรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจ

orbix INVEST ได้เปิดให้บริการเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หลังจากได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลจากกระทรวงการคลัง ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เมื่อเดือนมกราคม 2567

เรียกได้ว่า orbix INVEST เป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์ที่สำคัญในการขยายขอบเขตบริการเพื่อเติมเต็มระบบนิเวศด้านสินทรัพย์ดิจิทัล และเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุน ด้วยการนำเสนอกลยุทธ์จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การจัดการของบริษัท รวมถึงพัฒนาแอปพลิเคชันให้ใช้งานง่าย ภายใต้แนวคิด Strategist for Kryptonian ผู้ช่วยมือโปรของคริปโตเนียน


มั่นใจได้มาตรฐาน เพราะผู้ช่วยมือโปร

orbix INVEST วางจุดยืนเป็นผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Fund Manager) หรือเรียกได้ว่าเป็นบุคคลซึ่งเข้าจัดการเงินทุน หรือแสดงต่อบุคคลทั่วไปว่าพร้อมจะรับจัดการเงินทุนให้แก่บุคคลอื่น เพื่อแสวงหาประโยชน์จากสินทรัพย์ดิจิทัล โดยกระทำเป็นทางค้าปกติ แต่ไม่รวมถึงการจัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลในลักษณะที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด

ซึ่งเชื่อถือได้ เพราะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) orbix INVEST ทำหน้าที่ในการคัดเลือกสินทรัพย์ ออกแบบ รวมทั้งบริหารกลยุทธ์ และบริหารความเสี่ยงของกลยุทธ์จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัล ช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างมูลค่าให้กับพอร์ตลงทุนได้ ใช้งานง่ายผ่านแอปพลิเคชั่น

ถ้าถามว่าการลงทุนในรูปแบบ Digital Asset Fund Manager ผ่าน orbix INVEST มีความพิเศษจากการลงทุนประเภทอื่นอย่างไร ต้องบอกว่าการลงทุนในยุคปัจจุบันไม่เพียงแต่อยู่ในตลาดหุ้น พันธบัตร หรืออสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่ยังมีสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets) ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น การกระจายการลงทุนมาลงทุนใน Digital Asset Fund นั้นมีประโยชน์หลายอย่าง เนื่องจากสินทรัพย์ดิจิทัลกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในระบบการเงินของโลก มีมูลค่า และสามารถเก็บได้ในระยะยาว

อีกทั้งการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลก็ง่ายขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก เพราะมีผู้เชี่ยวชาญค่อยดูแลจัดการให้ แถมยังติดตามการลงทุนได้ง่ายเพียงแค่ปลายนิ้ว ช่วยเพิ่มโอกาสของพอร์ตการลงทุนให้มากขึ้นกว่าเดิม

กระจายความเสี่ยงอย่างสมดุล

การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร และบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากแบ่งสัดส่วนมาลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลประมาณ 1-5% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด ก็เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนโดยรวมได้อย่างมีนัยสำคัญเลยทีเดียว

เพราะสินทรัพย์ดิจิทัลมักมีการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่สัมพันธ์กับสินทรัพย์อื่นๆ เช่น หุ้นและพันธบัตร ดังนั้น การกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ดิจิทัลจะช่วยปรับสมดุลพอร์ตและลดความผันผวนได้ แถมยังเปิดโอกาสให้พอร์ตมีศักยภาพในการทำผลตอบแทนและมีแนวโน้มการเติบโตที่สูงในระยะยาว

การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างพอร์ตที่สมดุลและมีโอกาสรับผลตอบแทนสูงขึ้น ทำให้นักลงทุนสามารถเติบโตในตลาดการเงินยุคใหม่ได้


ฟังก์ชันสุดล้ำจาก orbix INVEST

ฟังก์ชั่นหลักของ orbix INVEST ก็คือ สามาถเลือกลงทุนกลยุทธ์จัดการเงินทุนได้ตามความเสี่ยงและเป้าหมายการลงทุน โดยที่ orbix INVEST มีแบบประเมินความเสี่ยงที่ช่วยให้ผู้ลงทุนทราบความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ และเข้าใจเป้าหมายการลงทุนของตนเอง เพื่อให้นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในกลยุทธ์จัดการเงินทุนได้อย่างเหมาะสม

ทาง orbix INVEST มีกลยุทธ์จัดการเงินทุนหลากหลาย และแนะนำไว้ในแอปพลิเคชัน เพื่อให้ตามทันเทรนด์การลงทุนในตลาด และเลือกลงทุนได้ตามความสนใจ

นักลงทุนสามารถเข้าถึงรายละเอียดของกลยุทธ์การลงทุน รวมถึงติดตามความเคลื่อนไหวของราคา สัดส่วนการลงทุน ได้ ผ่านแอปพลิเคชัน orbix INVEST ที่ทำให้มีข้อมูลครบถ้วนและสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ

ลงทุนกับ orbix INVEST

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เชื่อได้ว่าต้องมีนักลงทุนที่สนใจลงทุนกับ orbix INVEST อย่างแน่นอน เพราะทั้งสะดวก ปลอดภัย และเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนกับการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล สามารถทำตามขั้นตอนดังนี้

  1. ดาวน์โหลด แอปพลิเคชัน orbix INVEST มีให้ดาวน์โหลดทั้ง App Store และ Play Store
  2. การเตรียมตัวก่อนการเปิดบัญชี
  • เตรียมบัตรประชาชน ข้อมูลบนบัตรและรวมถึงเลข laser หลังบัตร
  • อยู่ในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอสำหรับการถ่ายภาพ
  • ไม่สวมแว่นตาหรือสิ่งปิดบังใบหน้าในขณะทำการยืนยันตัวตน
  1. หลังจากนั้นลงทะเบียนโดยยืนยันตัวตนผ่านทาง K Plus หรือยืนยันตัวตนรูปแบบดิจิทัล (NDID) กรอกข้อมูลส่วนตัว และทำแบบทดสอบประเมินความเสี่ยง รวมถึงผูกบัญชีรับเงิน เมื่อเจ้าหน้าที่อนุมัติเปิดบัญชีภายใน 1-2 วันทำการ จึงสามารถทำการเพิ่มทุน/ลดทุนได้

หมายเหตุ * คริปโทเคอร์เรนซี และโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุน ให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

]]>
1490901
“อินเดีย” – “อินโดนีเซีย” มาแรงในหมู่นักลงทุน หลังปัจจัย “โครงสร้างประชากร” มีผลสำคัญต่อการตัดสินใจ https://positioningmag.com/1475280 Mon, 27 May 2024 12:27:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1475280 สองประเทศในเอเชียอย่าง “อินเดีย” และ “อินโดนีเซีย” กำลังเนื้อหอม! หลังจากนักลงทุนหันมามองปัจจัยด้าน “โครงสร้างประชากร” เป็นเรื่องสำคัญในการตัดสินใจลงทุน

ตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่าง “อินเดีย” และ “อินโดนีเซีย” ที่มีจำนวนประชากรเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีแนวโน้มจะได้ประโยชน์จากการตัดสินใจของนักลงทุน เนื่องจากปัจจัยด้านโครงสร้างประชากรเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในการตัดสินใจ ตามข้อมูลจาก Fidelity International และ BlackRock Investment Institute

นักลงทุนกำลังมุ่งลงทุนไปที่สองประเทศเกิดใหม่ในเอเชีย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคาดว่ารัฐบาลจะมีการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ

อีกทั้งอินเดียและอินโดนีเซียบังเอิญมีการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ในปีนี้ และรัฐบาลใหม่ของทั้งสองประเทศแสดงจุดยืนว่ามีความทะเยอทะยานที่จะเปลี่ยนตัวเองเป็น “มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ” โดยมีโครงสร้างประชากรคนหนุ่มสาวเป็นจุดแข็งหลัก

ภาพจาก Unsplash

สองประเทศนี้กลายเป็นประเทศที่โดดเด่นขึ้นมาในห้วงเวลาที่เพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกันมีปัญหาเรื่องสังคมผู้สูงอายุ รวมถึงประเทศ “จีน” ด้วย

อินเดีย กลายเป็นประเทศที่เอาชนะจีนได้ในเรื่องจำนวนประชากรมาตั้งแต่กลางปี 2023 กลายเป็นหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์

ขณะที่การวิเคราะห์ของ BlackRock ฉายภาพให้เห็นความเกี่ยวเนื่องกันในทางบวกระหว่างจำนวนประชากรวัยทำงานที่เติบโตขึ้นของประเทศหนึ่งกับการเติบโตของราคาหุ้นในตลาดหุ้น ส่วน Fidelity มองว่าภาคธุรกิจการเงินจะเป็นธุรกิจหลักที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตของประชากร เพราะทุกคนต้องการผลิตภัณฑ์การเงินไม่ว่าจะเป็นองค์กรหรือผู้บริโภคทั่วไปก็ตาม

Photo : Shutterstock

“แรงงานของอินเดียกับอินโดนีเซียยังเป็นหนุ่มสาว โครงสร้างประชากรของทั้งสองประเทศนี้โดดเด่นกว่าเพื่อนบ้านที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด” เอียน แซมสัน ผู้จัดการกองทุนของ Fidelity ในสิงคโปร์กล่าว “ทุกบริษัทไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ต่างก็ต้องการบริการทางการเงิน นี่คือเหตุว่าทำไมราคาหุ้นของกลุ่มธนาคารถึงมักจะโตสอดคล้องไปกับจีดีพีประเทศในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา”

จำนวนประชากรในอินเดียและอินโดนีเซียจะเติบโตขึ้นอย่างน้อย 10% นับจากปีนี้ไปจนถึงปี 2040 ตามการคาดการณ์ของธนาคารโลก (World Bank) แตกต่างจากจีนที่คาดว่าจำนวนประชากรจะลดลงเกือบ 4%

แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าจำนวน คือการเปลี่ยนโครงสร้างประชากรในกลุ่มวัยทำงานซึ่งหมายถึงคนวัย 15-64 ปี ในกรณีนี้จีนมีโครงสร้างประชากรวัยทำงานลดลงต่อเนื่องมาหลายปี ขณะที่อินเดียกลายเป็นประเทศที่มีคนหนุ่มสาวมากที่สุดในหมู่ประเทศที่เป็นประเทศหลักทางเศรษฐกิจ

ฌอน บัววีน ผู้นำกลุ่มนักวางกลยุทธ์จาก BlackRock Investment Institute วิเคราะห์ว่า การเพิ่มสัดส่วนกลุ่มคนวัยทำงานที่เร็วขึ้นมักจะสอดคล้องกับการเติบโตของผลกำไรบริษัทในอนาคต และเสริมด้วยว่ามีปัจจัยอื่นๆ ที่มีผล ได้แก่ การย้ายถิ่นของแรงงาน การมีส่วนร่วมของแรงงานมากขึ้น และระบบออโตเมชัน

ภาพจาก Unsplash

ปัจจุบันดัชนี Nifty 50 (ดัชนีรวมหุ้น 50 บริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นอินเดีย) มีการซื้อขายกันในเป็นสถิติใหม่ และเตรียมจะเข้าสู่ช่วงการเติบโตต่อเนื่อง 9 ปีหากเทรนด์การซื้อขายยังรักษาระดับไว้ได้แบบนี้ ส่วนดัชนี Jakarta Composite Index (JCI) ของอินโดนีเซียก็เพิ่งจะทำราคาแตะสถิติสูงสุดไปเมื่อเดือนมีนาคม 2024

นักวิเคราะห์ยังบอกด้วยว่า หลังจากนี้ทั้งสองประเทศยังมีงานที่ต้องปฏิรูปเศรษฐกิจประเทศ โดยการลดความยุ่งยากในการกำกับควบคุมโดยรัฐ กระตุ้นให้เกิดความยืดหยุ่นในตลาดงาน และอำนวยความสะดวกให้กับการลงทุนจากต่างประเทศ ถึงจะทำให้ประเทศเหล่านี้ได้รับแรงส่งจากโครงสร้างประชากรที่ดีของตนเอง

นักวิเคราะห์มองว่า มีความก้าวหน้าเกิดขึ้นบ้างแล้วในการสร้างเสริมเศรษฐกิจ แต่ก็ยังมีอะไรต้องทำอีกมาก

ปราโบโว ซูเบียนโต ผู้ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนต่อไปของอินโดนีเซีย และจะเข้าดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคมนี้ ประกาศว่า ตนตั้งเป้าจะทำให้จีดีพีของประเทศเติบโตปีละ 8% แม้ว่าสถิติที่ผ่านมาของประเทศจะต่ำกว่านั้นมากก็ตาม

ส่วนในอินเดียนั้นยังอยู่ระหว่างเลือกตั้งที่จะไปสิ้นสุดวันที่ 1 มิถุนายนนี้ ซึ่งต้องจับตาดูว่า นเรนทรา โมดิ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันจะชนะเลือกตั้งสมัยที่ 3 หรือไม่และชนะด้วยสัดส่วนเท่าไหร่ เพราะหากชนะด้วยสัดส่วนที่เฉียดฉิวอาจจะทำให้แผนปฏิรูปประเทศของเขาเผชิญกับความยุ่งยากและไม่เป็นผลดีต่อตลาดเงินตลาดทุน

“การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศหนึ่งๆ จะมีผลต่อต้นทุนการอุดหนุนค่ารักษาพยาบาลและเกษียณอายุ โดยในประเทศพัฒนาแล้วมักจะมีต้นทุนเรื่องสวัสดิการสังคมเหล่านี้สูงกว่าประเทศกำลังพัฒนา” ซานเจย์ ชาห์ ผู้อำนวยการแผนกตราสารหนี้ที่ HSBC Global Asset Management กล่าว “ในประเทศกำลังพัฒนา ภาระการจ่ายเงินเกษียณอายุให้ประชาชนมักจะต่ำกว่าและมีสิทธิประโยชน์ให้น้อยกว่า ซึ่งแปลว่าภาระต่อการใช้งบประมาณประเทศในส่วนนี้ก็จะน้อยกว่าเช่นกัน” ชาห์กล่าว

Source

]]>
1475280
3 ทริคควรรู้ ก่อนเริ่มต้นลงทุน https://positioningmag.com/1465189 Tue, 05 Mar 2024 16:41:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1465189

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO จาก Jitta Wealth

ในโลกที่หมุนเร็วอย่างทุกวันนี้ การเข้าถึงเรื่องของการเงินการลงทุนแทบไม่มีอุปสรรคใดมาขวางได้ ผมเชื่อว่าผู้บริโภคหลายคนก็มีความสนใจและมองหาโอกาสลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีหรือที่เรียกว่า ‘ให้เงินทำงาน’

และแม้ว่าจะมีแอปพลิเคชันใหม่ๆ ออกมามากมายให้เลือกลงทุน แต่หลายคนก็ยังจดๆ จ้องๆ เพราะยังมีความรู้สึกลังเล กล้าๆ กลัวๆ ไม่แน่ใจว่าจะลงทุนอะไร อย่างไรดี สินทรัพย์ใด จะเหมาะสมกับความเสี่ยงที่เรารับได้จริงๆ หรือลงทุนเมื่อไร ให้ผลตอบแทนคุ้มค่า

ก็ไม่แปลกนะครับขึ้นชื่อว่าการลงทุน เราทุกคนอยากเห็นผลตอบแทนจากเงินที่นำไปลงทุน มากกว่าความเสียหายหรือเงินที่ลงทุนไปสูญเปล่า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเราเองมีความพร้อมแค่ไหน และควรเอาเงินส่วนไหนมาลงทุนให้เหมาะสมและไม่เสี่ยงมากเกินไป เพื่อไม่ให้กระทบกับความมั่นคงในชีวิตการเงิน รวมไปถึงความมั่นคงของครอบครัวในอนาคต

วันนี้ผมอยากชวนทุกท่านมาเช็คความพร้อมก่อนการลงทุนกันด้วยวิธีง่ายๆ ลองทำความเข้าใจดูก่อนได้ครับ

Photo : Shutterstock

ข้อที่ 1: อย่าเพิ่งเริ่มลงทุน ถ้ายังออมเงินไม่เป็น

ในชีวิตของเราแทบทุกคน ย่อมจะมีเหตุการณ์หนึ่งที่ทุกคนจะต้องเจอเหมือนกัน คือเมื่อวันหนึ่งวันนั้นมาถึง วันที่พวกเราจะต้องเลิกทำงาน หรือที่เรียกว่าเกษียณอายุนั่นเอง บั้นปลายชีวิตแต่ละคนแตกต่างกันไปแน่นอนครับ เพราะความรู้และการเตรียมความพร้อมที่แตกต่างกัน

บางคนเตรียมตัวดี มีเงินเก็บไว้ใช้ก็ไม่ลำบาก แต่บางคนกลับไม่มีเลย ผมเชื่อว่าอย่างหลังเนี่ย หลายคนกลัวว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง จริงไหมครับ ผมไม่อยากเห็นคุณเอาแต่กลัวนะครับ ก่อนอื่น​ก่อนจะเริ่มต้นลงทุน ผมอยากให้คุณลองจัดระเบียบการเงินให้เป็นก่อน

เริ่มที่การดูแลกระแสเงินสด (cashflow)ให้เป็นบวกก่อนนะครับ

กระแสเงินสดหรือจะเรียกว่าสภาพคล่องที่มาในรูปแบบของเงินเก็บก่อนนะครับ เพราะถ้าคุณเริ่มต้นจากกระแสเงินสดติดลบ​ สภาพคล่องตึงตัว การลงทุนนั้นจะกลายเป็นการพนันทันที เพราะเราจะลงทุนด้วยความรู้สึกว่าอยากได้กำไรเร็วๆ กำไรเยอะๆ โดยไม่สนปัจจัยอื่นๆ เลย

แล้วคุณจะต้องทำอย่างไรให้มีเงินเก็บ…

คำตอบเดียวคือ ‘เก็บ’ สร้างวินัยให้กับการออมเงินเท่านั้นครับ

อาจจะตั้งระบบตัดจ่ายอัตโนมัติเช่น 10% ของรายได้ ไปเก็บไว้ในบัญชีเงินฝากดิจิทัลดอกเบี้ยสูง หรือฝากประจำก็ได้ หรือแบ่งเงินเป็นสัดส่วนตั้งแต่ต้นเมื่อมีรายได้เข้ามา แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ‘ขอแค่ให้เริ่ม‘ เท่านั้นครับ หลักการนี้คือเรื่องของ ‘วินัย’ ที่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออมเงินหรือการลงทุนก็ต้องใช้หลักการนี้เช่นเดียวกัน

Photo : Shutterstock

ข้อที่ 2:  อย่าเพิ่งลงทุนถ้ายังไม่มี ‘ความรู้’

เพราะว่าความรู้ (Education) เป็นตัวเร่งให้เราได้รู้จักตัวเอง วางเป้าหมายปลายทาง และเรียนรู้เครื่องมือที่จะพาไปถึงเป้าหมายได้อย่างถูกต้องและไม่หลงทาง ยิ่งถ้าหากคุณสามารถทำความเข้าใจธรรมชาติของเครื่องมือ คุณก็จะลงทุนได้แบบไม่ต้องกังวล

เหมือนอย่างตลาดหุ้น ในระยะสั้นย่อมมีความผันผวน เหวี่ยงขึ้น เหวี่ยงลงเป็นระยะ แต่เมื่อคุณถอยออกมามองภาพใหญ่ มองระยะยาวจะเห็นได้ว่า ตลาดหุ้นมักจะเป็นขาขึ้นมากกว่าขาลงเสมอๆ

แต่อย่าเป็นเด็กเรียนมากไปนะครับ บางคนมีความเชื่อว่า ก่อนจะลงทุนได้ก็ต้องมีความรู้เรื่องธุรกิจก่อน ถึงจะเริ่มต้นลงทุนได้ แต่ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องรู้ทั้งหมดก็เริ่มต้นได้ครับ เพราะถ้าต้องรู้ทั้งหมด คุณก็จะไม่มีวันได้ลงทุนอย่างแน่นอน ค่อยๆ ลงทุนไปพร้อมๆ กับการเรียนรู้น่าจะดีกว่าครับ

ข้อที่ 3: มองการลงทุนให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

ลงทุนทั้งที ต้องรู้สึกเป็นหุ้นส่วน มองว่าคุณเป็นเจ้าของหุ้นหรือธุรกิจนั้นๆ ให้คิดว่าคุณจะทำอย่างไรให้ธุรกิจที่เราลงทุนเติบโต มีรายได้ดี สร้างกำไรให้กับคุณ และอะไรส่งผลกระทบกับธุรกิจของคุณบ้าง มากกว่าการหวังแค่เสี่ยงโชค แบบซื้อหุ้นแล้วจะอธิษฐานให้ธุรกิจเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ

ก่อนจะเลือกลงทุนในสักบริษัทคุณจะต้องเข้าใจ 4 สิ่งนี้ด้วยกัน

  1. มีความรู้พื้นฐานด้านการเงินพอที่จะอ่านงบการเงินเป็น
  2. รู้จักสินค้าและโมเดลธุรกิจของบริษัทที่เราลงทุน
  3. เข้าใจความเสี่ยงของบริษัท
  4. รู้จักปัจจัยภายนอกทั้งการเมือง เศรษฐกิจ หรือสภาพสังคมไว้บ้าง
Property investment and mortgage financial concept.

ซึ่งเดี๋ยวนี้ ยิ่งมีเทคโนโลยีเข้ามา ทำให้การลงทุนนั้นง่ายกว่าเดิม อย่างเช่นงบการเงินย้อนหลัง ที่คุณสามารถดูได้บนเว็บไซต์ต่างๆ ที่มีให้เลือกมากมาย และบางแห่งสามารถเปิดดูได้ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถืออย่างของ Jitta.com เองก็มีข่าวสารข้อมูลของบริษัททั่วโลกให้คุณเข้ามาดูได้อย่าง real-time ช่วยให้คุณเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายมากขึ้นและสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วทันเวลา

เท่านี้คุณก็มีพื้นฐาน​ความรู้และเครื่องไม้เครื่องมือเพียงพอที่จะเลือกได้แล้วว่าคุณจะลงทุนในกิจการของบริษัทใดบ้าง ซึ่งหลังจากเลือกและลงทุนไปแล้ว สิ่งต่อไปที่คุณต้องมีคือ ‘วินัย’ ลงทุนไปเรื่อยๆ ไม่เดาตลาดหุ้น และต้องทบทวนและปรับพอร์ตให้เป็นระบบ

‍‍สุดท้ายแล้ว เวลาที่ดีที่สุดในการลงทุนก็คือ ‘วันนี้’ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนจะสายเกินไป เพราะฤกษ์ดีคือเลิกรอนะครับ ส่วนความกลัว ผมบอกได้เลยว่ามันกำจัดง่ายมาก ด้วยการลงมือทำและเรียนรู้ไปกับมันด้วยสติครับ

ขอให้ทุกท่านมีความสุขและประสบความสำเร็จในโลกการลงทุนนะครับ

]]>
1465189
LGT มองเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ถดถอย อาจเห็นลดดอกเบี้ยช่วงกลางปี แนะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นอินเดีย-ญี่ปุ่น https://positioningmag.com/1459194 Wed, 17 Jan 2024 11:22:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1459194 นักยุทธศาสตร์การลงทุนของแอลจีที LGT ไพรเวทแบงก์กิ้งจากลิกเตนสไตน์ ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ถดถอย อาจเห็นลดดอกเบี้ยช่วงกลางปี ขณะเดียวกันกลยุทธ์การลงทุนในปีนี้เขาได้แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นอินเดีย-ญี่ปุ่น

สเตฟาน โฮเฟอร์ หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนของแอลจีที (LGT) ไพรเวทแบงก์กิ้ง ภูมิภาคเอเชีย ได้กล่าวถึงเศรษฐกิจโลกปี 2024 ในเชิงบวก โดยเฉพาะเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างสหรัฐอเมริกานั้นเขาคาดว่าจะไม่ถดถอย เพียงแต่จะเติบโตชะลอตัวลง หลังจากที่เศรษฐกิจได้เติบโตอย่างร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา จนทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องประกาศขึ้นดอกเบี้ย

สำหรับในปีนี้ LGT มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวแบบ Soft Landing เพื่อหลีกเลี่ยงเศรษฐกิจถดถอย และถ้าหากสถานการณ์เป็นไปตามนี้ Fed จะประสบความสำเร็จในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่สูงโดยไม่ทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย

โดย LGT คาดว่า Fed จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในช่วงเดือนมิถุนายน ขณะที่ GDP ของสหรัฐอเมริกาในปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ 2% และตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ จะกลับมาอยู่ที่ 2% ได้ในช่วงไตรมาส 3

ในส่วนของเศรษฐกิจญี่ปุ่น LGT คาดการณ์ว่าธนาคารกลางของญี่ปุ่นจะปรับนโยบายการเงินเข้มงวดขึ้นในปีนี้ และเงินเยนญี่ปุ่นคาดว่าจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกัน สเตฟาน มองว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นได้หลุดพ้นสภาวะเงินฝืดซึ่งกินเวลายาวนานถึง 25 ปีได้

ทางด้านของเศรษฐกิจอินเดีย LGT คาดว่า GDP จะโตได้มากถึง 6% จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็น ถนน สะพาน ทางรถไฟ ท่าเรือ และสนามบิน สเตฟานยังมองว่าถ้าหากอินเดียไม่ลงทุนกับสิ่งเหล่านี้ก็ไม่สามารถที่จะเป็นประเทศที่ส่งออกเหมือนกับจีน หรือแม้แต่ไทยได้

ข้อมูลจาก LGT

สำหรับจีน LGT คาดการณ์ว่า GDP จะเติบโตได้ 5% แต่ปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์จะยังคงอ่อนแอต่อเนื่องไปถึงปี 2025 หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนของ LGT มองว่าราคาบ้านในปักกิ่งลดลงไวมาก เขามองว่าสถานการณ์นั้นเหมือนกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสวิตเซอร์แลนด์ช่วงยุค 1990

LGT ยังมองว่าเศรษฐกิจยุโรปในปี 2023 ที่ผ่านมาซึ่งเกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในเยอรมนีและอิตาลี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อส่งออกจากจีน อย่างไรก็ดีตัวเลขอัตราว่างงานในยูโรโซนถือว่าต่ำ ในปี 2024 นี้คาดว่า GDP จะกลับมาเติบโตได้ปานกลางจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป

ปิดท้ายด้วยเศรษฐกิจไทย LGT มองว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 3% ได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการลงทุนระหว่างประเทศในภาคอุตสาหกรรมของไทย ขณะเดียวกันดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นโดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความคาดหวังต่อการผ่อนคลายทางการคลังที่สำคัญ (Digital Wallet) ที่อาจเกิดขึ้นในปีนี้

ขณะที่กลยุทธ์การลงทุนในปี 2024 นั้น LGT คาดการณ์ว่านักลงทุนจะนิยมลงทุนในพันธบัตรมากกว่าหุ้นและเงินสดในช่วงครึ่งแรกของปี เนื่องจากระดับผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้เอกชนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงอยู่ในระดับสูง แต่เมื่ออัตราดอกเบี้ยเริ่มลดลงในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าเงินทุนระหว่างประเทศจะไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้น ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิ

LGT ยังแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินเดีย ขณะที่อุตสาหกรรมที่ชอบคือ กลุ่มบริการด้านการสื่อสาร กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการแพทย์ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย และแนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงลดน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มสาธารณูปโภค กลุ่มพลังงาน กลุ่มวัสดุ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น

]]>
1459194
InnovestX แนะนำกลยุทธ์การลงทุนปี 2024 เน้นแนว VI ให้เป้า SET Index ในช่วง 1,650-1,700 จุด https://positioningmag.com/1458912 Wed, 17 Jan 2024 01:45:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1458912 บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ (InnovestX) แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในปี 2024 คือ “A Year of Value Investing” โดยให้เหตุผลจากตลาดหุ้นไทยนั้นมีหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่ามาก และเป็นโอกาสดีในการลงทุนระยะยาว ขณะเดียวกันก็แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุนไปยังต่างประเทศเนื่องจากมีทางเลือกที่หลากหลายกว่า

InnovestX แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในปี 2024 คือ “A Year of Value Investing” หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อว่า VI ซึ่งป็นโอกาสดีในการลงทุนระยะยาว ขณะเดียวกันก็แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุนเไปยังต่างประเทศด้วย เนื่องจากมีสินทรัพย์ทางเลือกที่หลากหลายกว่า

สำหรับมุมมองเศรษฐกิจโลก InnovestX มองว่า เศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้ว สหรัฐฯ ยุโรป กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 และจะทำให้ธนาคารกลางของสหรัฐฯ (Fed) ลดดอกเบี้ย 1% ในครึ่งปีแรก ในขณะที่เศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วยแรงหนุนจากการผ่อนคลายนโยบายการเงิน แต่ยังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างโดยเฉพาะเงินฝืด

ในส่วนของเศรษฐกิจไทยในปี 2024 ทาง InnovestX มองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่าง Digital Wallet เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้ โดยคาดว่า GDP ไทยจะเติบโตได้มากถึง 4.1% อย่างไรก็ดีถ้าหากมาตรการนี้ไม่ผ่าน คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 3.2% เท่านั้น

ขณะเดียวกันในปีนี้ InnovestX ยังมองว่ายังเป็นปีที่ตลาดหุ้นโลกและไทยยังคงมีความผันผวน ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นจาก 3 ปัจจัย ได้แก่

  1. ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจเกิดภาวะถดถอยในช่วงครึ่งปีแรก ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่จะลดลงเร็วตามที่ตลาดการเงินกำลังคาดหรือไม่ โดยหากเป็นไปตามคาดจะส่งผลต่อดีต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่และตลาดหุ้นไทย (การลดลงช้ากว่าคาดอาจทำให้ตลาดหุ้นผิดหวัง) ด้านเศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างที่เป็นอุปสรรคสำคัญทำให้การเติบโตชะลอตัวลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ผ่านมา ขณะที่นโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่นจะเริ่มหยุดนโยบายผ่อนคลายเมื่อไร ซึ่งจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่นและตลาดอัตราแลกเปลี่ยน และยังรวมถึงความคืบหน้าของโครงการ Digital Wallet ว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายของรัฐบาลหรือไม่
  2. เรื่อง Geopolitics ถือเป็นปัจจัยที่จะสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินเพิ่มขึ้นบางช่วงเวลา เนื่องจากมีโอกาสกระทบต่อเศรษฐกิจโดยผ่านทั้งทางเงินเฟ้อ หากความขัดแย้งกระทบต่อราคาพลังงานและอาหาร รวมถึงการขนส่งสินค้า
  3. ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและภัยธรรมชาติ ซึ่งเรื่องดังกล่าวคาดการณ์ได้ยากแต่ไม่ควรมองข้าม

สำหรับเป้าหมายของ SET Index ในปี 2024 ทาง InnovestX คาดการณ์ว่าจะอยู่ในช่วง 1,650-1,700 จุด โดยจุดเข้าซื้อที่สำคัญอยู่ที่ 1,400-1,450 จุด

นอกจากนี้ InnovestX ยังแนะนำให้นักลงทุนกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังต่างประเทศ เนื่องจากยังมีความสำคัญ และยังเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน เนื่องจากมีสินทรัพย์ทางเลือกที่หลากหลายกว่า แม้ว่าจะมีนโยบายการเก็บภาษีซึ่งสร้างความกังวลให้กับตลาดก็ตาม

]]>
1458912
มารู้จักกับ ‘orbix’ กระดานเทรดสินทรัพย์ดิจิทัล ชูจุดเด่น ง่าย ปลอดภัย สมาร์ท ตอบโจทย์ทางเลือกการลงทุน https://positioningmag.com/1455750 Sat, 16 Dec 2023 09:50:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1455750

หลาย ๆ คนอาจเคยซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นบิตคอยน์ (Bitcoin) หรือแม้แต่อีเธอเรียม (Ethereum) รวมถึงเหรียญต่าง ๆ แต่ในช่วงที่ผ่านมา หลายแพลตฟอร์มนั้นเกิดปัญหาจนต้องปิดตัวลง ทำให้นักลงทุนหลายคนได้รับผลกระทบไม่น้อย

แต่จะดีกว่าไหมถ้าหากแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นผู้บริการในประเทศไทย ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลทั้งจากธนาคารแห่งประเทศไทย (BoT) รวมถึง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อที่จะปกป้องผลประโยชน์ของลูกค้า รวมถึงมาตรฐานในการจัดการองค์กรที่ดี

วันนี้ Positioning จะพามาทำความรู้จักกับออร์บิกซ์ (orbix) ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) ที่เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่ามีจุดเด่นอะไรที่จะทำให้นักลงทุนหรือผู้ที่สนใจลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลเริ่มใช้งานครั้งแรก

คุณชาญวิทย์ รุ่งเรืองลดา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออร์บิกซ์ เทรด จำกัด ได้กล่าวว่า ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยมีโอกาสที่จะเติบโตสอดคล้องกับทิศทางการลงทุนตลาดโลก จากข้อมูลของ ก.ล.ต. พบว่า มูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยเดือนตุลาคม 2566 อยู่ที่ประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปี 2566 เป็นต้นมา สินทรัพย์ดิจิทัลกลุ่มที่ได้รับความนิยมสูงสุดสามารถให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน

เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนที่จะเกิดขึ้น บริษัทได้เปิดตัว orbix เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับการพัฒนาด้วยแนวคิด “สู่ประสบการณ์ใหม่ของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าได้เข้าถึงบริการด้านสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใช้งานง่ายและมีการเพิ่มความปลอดภัย และยังมีทีมงานให้บริการช่วยเหลือลูกค้าทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง

สำหรับ orbix เป็น Digital Asset Exchange โดยชูจุดเด่นในการสร้างความมั่นใจ ปลอดภัย ให้กับผู้ใช้งาน คุณชาญวิทย์ยังกล่าวว่าอยากให้ผู้ใช้งานวางใจได้ สบายใจได้ และยังปกป้องสินทรัพย์ลูกค้า รวมถึงส่งมอบประสบการณ์ที่ง่ายและปลอดภัย

ขณะที่มุมมองของ ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์  รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ได้กล่าวถึงการเปิดตัว orbix นั้นเปรียบเหมือนกับสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และเหมือนเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านไปยังยุค Future of wealth ที่ต้องใช้เวลา และความระมัดระวัง และมองว่าจากตัวเลขของธนาคารกสิกรไทยนั้นจะเห็นว่าลูกค้าคนไทยหาผู้ให้บริการ Digital Asset Exchange ที่ไว้ใจได้ เพราะถ้าผู้ให้บริการเกิดมีปัญหาขึ้นมาก็จะส่งผลกระทบต่อความมั่งคั่งของลูกค้าเองด้วย ดร.กรินทร์ ยังมองว่ากับการลงทุนของธนาคารกสิกรไทยกับ orbix เป็นการลงทุนพอประมาณ และมองถึงระยะยาว

คุณชาญวิทย์ รุ่งเรืองลดา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออร์บิกซ์ เทรด จำกัด

3 จุดเด่นของ orbix

1.ง่าย โดยแพลตฟอร์มซื้อขายของ orbix ได้รับการออกแบบให้ใช้งานง่าย โดยได้ทีม Beacon Interface จาก KBTG ที่ได้รางวัล Red Dot Awards เข้ามาช่วยดีไซน์ในการใช้งาน ทำให้ลูกค้าใช้งานง่าย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องซื้อ-ขาย-โอนเหรียญ สามารถสมัครใช้งานง่ายได้ด้วยตนเอง ทุกที่ ทุกเวลา โดยสำหรับลูกค้าทั่วไปสามารถสมัครใช้งานและยืนยันตัวตนผ่าน NDID และสำหรับลูกค้าธนาคารกสิกรไทย สามารยืนยันตัวตนด้วย K +

2.ปลอดภัย ความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญในโลกของสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา มีการโจรกรรมและการหลอกลวงจากเหล่ามิจฉาชีพในสินทรัพย์ดังกล่าวเป็นจํานวนมาก ทำให้ orbix จึงพัฒนาฟีเจอร์ Wallet Lock ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยด้วยระบบการล็อกกระเป๋าสองชั้น เป็นการช่วยป้องกันการถอนเหรียญ โดยลูกค้าสามารถตั้งค่าเปิด-ปิด Wallet Lock ได้ด้วยตนเอง และยังเป็นรายแรกในประเทศไทยที่ยืนยันการถอนเหรียญด้วยการสแกนใบหน้า (Face Scan) ด้วย

3.สมาร์ท orbix นั้นมีเครื่องมือและข้อมูลที่ช่วยตัดสินเรื่องการลงทุนได้อย่างแม่นยำขึ้น โดยฟังก์ชันน่าสนใจได้แก่ Price Alert ตั้งเตือนราคาโดยไม่ต้องเฝ้าจอ ทำให้ไม่พลาดทุกโอกาสการซื้อขาย โดยสามารถเลือกเหรียญที่ต้องการให้แจ้งเตือนได้ด้วยตนเอง รวมถึง orbix Balance ระบบช่วยคำนวณต้นทุนเหรียญแบบอัตโนมัติ ทำให้รู้กำไรขาดทุนทุกเหรียญ โดยไม่ต้องเสียเวลาคำนวณ ซึ่งจะสามารถเริ่มใช้งานได้ภายในเดือนธันวาคม 2566


มาตรฐานการดูแลกิจการที่ดี เพื่อผลประโยชน์ของลูกค้า

นอกจากในเรื่องของการใช้งานแล้ว สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการดูแลกิจการที่ดี ในเรื่องนี้นั้น คุณชาญวิทย์ กล่าวว่า orbix นั้นมีระบบงานต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับเกณฑ์ของผู้กำกับดูแลไม่ว่าจะเป็น ก.ล.ต. และ BoT ซึ่งบริษัทนั้นให้ความสำคัญในส่วนนี้มาก

ขณะเดียวกัน orbix เองยังมีการนำโครงสร้างการบริหารและมาตรฐานจากต่างประเทศมาใช้ เช่น มาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูลระดับโลก ISO 27001 และ ISO 27701  ในการดูแลความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า รวมถึงการให้ความสำคัญกับความเสี่ยงในระดับเดียวกับสถาบันการเงิน ทำให้ลูกค้ามั่นใจได้

คุณชาญวิทย์ยังกล่าวถึงการเป็นผู้ให้บริการที่ดีนั้นต้องมีความรับผิดชอบของลูกค้า และเมื่อเป็นกระดานซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเอง ก็ต้องมีเกณฑ์ในการคัดเลือกเหรียญที่มีคุณภาพ แพลตฟอร์มต้องสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า รวมถึงทั่งความเสถียร เพื่อลูกค้าใช้งานได้


เทรนด์ของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล

คุณชาญวิทย์ ยังได้กล่าวถึงข้อมูลของ Chain Analysis ว่าประเทศไทยติดอันดับ 10 ของโลก Digital Asset Adoption Index ซึ่งอันดับของไทยนำหน้า อังกฤษ หรือแคนาดา รวมถึงจีนด้วยซ้ำ ทำให้ตลาดในประเทศน่าสนใจ เขายังมองว่ากำลังเกิดสิ่งนี้ทั่วโลกคือ ตอนนี้หน่วยงานด้านการกำกับดูแลวางกติกาให้กับผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งนั้น

นอกจากนี้เขายังมองเห็นเทรนด์อีกอย่างคือ สถาบันการเงินให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลด้วยเช่นกัน อย่างกองทุน ETF ที่มี Bitcoin เป็นสินทรัพย์ ซึ่งอนาคตนั้นจะทำให้มีการนำสินทรัพย์มาประยุกต์ใช้งานมากขึ้น ขณะเดียวกันจะเห็นว่าผู้เล่นใหม่ ๆ เข้าตลาดมากขึ้น กรอบกติกาชัดเจนมากขึ้น และในปีหน้ายังมี Bitcoin Halving จะทำให้การขยายตัวของตลาดเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าอาจแตกต่างกับอดีตที่มีความหวือหวา แต่จะมีความเติบโตอย่างยั่งยืนมากขึ้น กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออร์บิกซ์ เทรด จำกัด ยังเชื่อว่า ทำอย่างไรให้ลูกค้าได้รับความปลอดภัย และสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดี เน้นใช้งานง่าย ไม่เพียงจากคำแนะนำของลูกค้าที่ส่งตรงถึง orbix ในอนาคตยังตั้งใจที่จะส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งานรายอื่น ๆ อีกเช่นกัน

พบ​ orbix​ ได้ที่​งาน​ Money Expo, Hall 7 ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์  วันที่​ 14-17​ธันวาคม​ 2566 ตั้งแต่เวลา​ 10:00-20:00 น.

คำเตือน สินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

]]>
1455750
วัยรุ่นจีนหันมาลงทุนในทองคำมากขึ้น มองเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง เงินมีน้อยก็ซื้อเก็บได้ https://positioningmag.com/1454514 Wed, 06 Dec 2023 05:51:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1454514 สภาวะเศรษฐกิจในประเทศจีนที่แม้ว่า GDP จะเติบโต แต่อัตราการว่างงานที่ยังเพิ่มสูงขึ้น ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังกลายเป็นขาลง รวมถึงควาไม่แน่นอนในด้านต่างๆ ส่งผลทำให้วัยรุ่นในประเทศจีนเริ่มหันมาลงทุนในทองคำมากยิ่งขึ้น

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวว่า วัยรุ่นในประเทศจีนเองเริ่มหันมาสนใจลงทุนในทองคำมากขึ้น หลังจากสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เป็นใจ นอกจากนี้แหล่งการลงทุนสำคัญของชาวจีนอย่างอสังหาริมทรัพย์ที่เคยสร้างรายได้อย่างงดงามกำลังอยู่ในสภาวะขาลงอย่างเต็มตัว

สาเหตุสำคัญที่ทำให้วัยรุ่นจีนหันมาซื้อทองคำเก็บอีกครั้ง เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจในประเทศจีนไม่เป็นใจ แม้ว่าตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจจีนยังไปต่อได้ อย่างไรก็ดีตัวเลขอัตรการว่างงานของวัยรุ่นจีนในเดือนมิถุนายนนั้นสูงถึง 21.3% ทำให้ท้ายที่สุดทางการจีนต้องยกเลิกการประกาศตัวเลขดังกล่าว

ปัจจัยความไม่แน่นอนดังกล่าว รวมถึงสภาวะภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ราคาลดลงเมื่อเทียบกับในอดีต ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในประเทศจีนก็ยังมีระดับต่ำเตี้ยเรี่ยดินเมื่อเทียบกับในหลายประเทศ ยิ่งส่งผลทำให้วัยรุ่นจีนหันมาลงทุนในทองคำมากขึ้น

Chow Tai Fook บริษัทผู้ค้าเครื่องประดับและอัญมณี ได้ออกรายงานสำรวจชาวจีนในการซื้อสินค้าประเภทดังกล่าวเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา 70% ของผู้ที่มีอายุ 18-40 ปี นั้นพบว่ามีความต้องการซื้อเครื่องประดับที่ทำจากทองคำ ซึ่งปกติแล้วผู้ที่มักจะซื้อทองคำส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัย

Kent Wong กรรมการผู้จัดการของ Chow Tai Fook กล่าวว่า บริษัทพบว่าวัยรุ่นอายุ 18-24 ปีเริ่มมีการซื้อทองคำ ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความแปลกใจให้กับบริษัท

Linda Liu อายุ 26 ปี ซึ่งเป็นพนักงานบริษัทผลิตยาในกรุงปักกิ่ง ได้กล่าวว่า การซื้อทองทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น และสำหรับในงานแต่งงานของเธอเอง เธอต้องการเครื่องประดับที่ทำจากทองคำมากกว่าเพชรด้วยซ้ำ ขณะเดียวกันเธอเองยังกังวลถึงสภาวะตลาดแรงงานในประเทศจีนที่มีความไม่แน่นอนด้วย

นอกจากนี้ตามแพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมในประเทศจีน วัยรุ่นเริ่มมีการพูดคุยถึงการลงทุนในทองคำ เนื่องจากแม้จะมีรายได้น้อยก็ยังสามารถซื้อทองคำเพียงไม่กี่กรัมได้

ประเทศจีนถือเป็นตลาดสำคัญในการซื้อขายทองคำ ซึ่งราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นสูงขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานั้น และล่าสุดได้ทำราคาสูงสุดใหม่เมื่อวันจันทร์ (4 ธันวาคม) ที่ผ่านมา ยิ่งทำให้ความคึกคักในการลงทุนทองคำเพิ่มสูงขึ้น

]]>
1454514
คุยกับ 2 ผู้บริหาร GCAP Gold กับมุมมองราคาทองคำ ทำไมถึงยังเป็นสินทรัพย์น่าลงทุนระยะยาวได้ https://positioningmag.com/1452197 Sun, 19 Nov 2023 07:52:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1452197 Positioning พาไปคุยกับ 2 ผู้บริหารของบริษัท จีแคป จำกัด หรือ GCAP Gold ที่จะมาเปิดเผยถึงพฤติกรรมการลงทุนทองคำของคนไทย ปัจจัยอะไรที่ทำให้ราคาทองคำขึ้น-ลง การปรับตัวของบริษัทจากที่เป็นผู้ทองคำรายใหญ่ของไทยได้หันมาเปิดบริการออมทองคำด้วย

วลีที่เราอาจเคยได้ยินบ่อยอย่างมีเงินเค้านับเป็นน้อง มีทองเค้านับเป็นพี่ จะเห็นได้ว่าคนไทยกับทองคำมีความสัมพันธ์มาเป็นระยะเวลานานแล้ว แม้ว่าเวลาผ่านไปทองคำถือเป็นสินทรัพย์อันดับต้นๆ ที่คนไทยให้ความนิยมในการลงทุน ต่อจากการเก็บออมเงินในธนาคาร

แต่หลายคนสงสัยไม่น้อยว่าปัจจัยทำให้ราคาทองคำขึ้นลงในปัจจุบันมีอะไรบ้าง นอกจากนี้ถ้าอยากจะเริ่มออมทองคำนั้นต้องทำอย่างไรบ้าง

Positioning พูดคุยกับ ธนพิศาล คูหาเปรมกิจ ประธานกรรมการบริหารของ GCAP Gold รวมถึง ชัยวัฒน์ สามัคคีนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GCAP GOLD ซึ่งเป็น 2 ผู้บริหารรุ่นใหม่ของบริษัท ในหลากหลายมุมมองเกี่ยวกับทองคำรวมถึงธุรกิจของบริษัท

ชัยวัฒน์ สามัคคีนิชย์ – ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GCAP GOLD (ภาพจากบริษัท)

วิวัฒนาการของการลงทุนทองคำ และปัจจัยขึ้นลงของราคาทองคำ

ธนพิศาล และ ชัยวัฒน์ กล่าวว่าปัจจุบันการลงทุนในทองคำปัจจุบันมีวิวัฒนาการเพิ่มขึ้นเยอะมาก มีหลายผลิตภัณฑ์หลายๆ นักลงทุนสามารถลงทุนในหลายช่องทางได้ และมองว่าตอบโจทย์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ การซื้อทองคำแทง ตลาดซื้อขายล่วงหน้าทองคำ หรือแม้แต่การลงทุนซื้อทองคำแบบซื้อราคาเฉลี่ย (DCA) ที่สามารถออมทองคำได้ตั้งแต่ไม่กี่กรัม จนถึงมูลค่าหลายบาท

2 ผู้บริหารของ GCAP Gold ยังมองว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนลงทุนในทองคำคือ ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์สำคัญในโลก คนจะมองว่าอะไรที่เซฟสุด ซึ่งทองคำเป็นสินทรัพย์หนึ่งที่เป็นคำตอบดังกล่าว

ธนพิศาล ยังกล่าวว่า เวลาโลกเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ราคาทองคำกลายเป็นกระชากขึ้นและไม่เคยกลับมาที่เดิมเลย และเขายังให้มุมมองว่าหลังเหตุการณ์ 9/11 ที่สหรัฐอเมริกามุมมองของนักลงทุนกับทองคำเปลี่ยนไปอย่างมาก เขายังให้ความเห็นว่าตอนนี้ค่าเงินบาทอ่อนค่า เมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา และมองว่าค่าเงินบาทจะอยู่ระดับนี้ 

ขณะเดียวกับ 2 ผู้บริหารมองว่าช่วงเศรษฐกิจถดถอย คนจะสนใจทองคำมากขึ้น ยิ่งมีข่าวสารน่ากังวล ราคาทองคำมักจะมีราคาขึ้น

ขณะที่ชัยวัฒน์ ได้กล่าวถึงปัจจัยราคาทองคำว่า ตอนนี้ตลาดทองคำเดายากมาก แต่เขาเชื่อว่าระยะยาวราคาทองคำน่าจะขึ้นแน่ๆ ขณะเดียวกันทิศทางราคาทองคำมีช่วงที่ราคาซึมๆ ก็มี ไม่ได้มองว่าจะขึ้นตลอด มันมีช่วงเวลาของมัน

ชัยวัฒน์ยังกล่าวเสริมว่า ตอนนี้ตลาดถือว่าเงียบมาก ตอนนี้นักลงทุนเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่ขึ้น ตลาดหุ้นก็ขึ้น เขายังมองว่าปีหน้าตลาดสหรัฐฯ จะซบเซาหรือไม่ ต้องดูสภาวะดัชนีค่าเงินดอลลาร์ ถ้าหากดัชนีอ่อนค่าลงอาจไปราคาทองคำอาจกลับมาได้

ธนพิศาล คูหาเปรมกิจ – ประธานกรรมการบริหารของ GCAP Gold (ภาพจากบริษัท)

คนไทยกับการออมทอง

ชัยวัฒน์มองว่าคนไทยชินกับการออมทองมานานแล้ว ตั้งแต่ทองคำในอดีตมีราคาที่ถูกมากสามารถซื้อทองคำสลึงนึงได้ง่ายๆ แต่ปัจจุบันทองคำสลึงนึงถือว่าแพงมาก คนเริ่มศึกษาว่าทำไมทองคำถึงราคาขึ้น คนไทยมีวินัยออมทองคำ โดยลงทุนทีละเล็กละน้อย โดยเขาสังเกตว่าในช่วงของโควิดคนไทยเอาทองคำที่เก็บออมไว้มาขายเยอะมาก

เขายังชี้ว่าคนไทยมีพฤติกรรมออมมานานแล้ว ปัจจุบันวัยรุ่นก็ออมทองคำมากขึ้น นอกจากนี้คนไทยเองยังซื้อ Gift Card ทองคำให้มอบให้คนที่รัก หรือแม้แต่พ่อแม่ด้วย

เขายังชี้ว่าทองคำในฐานะสินทรัพย์อาจไม่หวือหวาเหมือนหุ้น แต่ทองมีความเสี่ยงแต่ไม่มากเท่า มองว่าในกรณีที่แย่สุดราคาของทองคำจะไม่ลดลงมาเหลือ 0 บาทเหมือนหุ้นรวมถึงตราสารหนี้ที่หลายคนมองว่ามีความปลอดภัยก็ยังมีโอกาสไม่ได้รับเงินต้นคืน

นอกจากนี้ทองคำสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ไว เขายังชี้ว่าพฤติกรรมของคนไทยชอบซื้อทองคำรูปพรรณ แต่ชัยวัฒน์ก็แนะนำว่าถ้าหากจะลงทุนแล้ว แนะนำให้เป็นทองคำแท่งเนื่องจากจะเสียค่าธุรกรรมน้อยกว่า และตลาดมีสภาพคล่องมากกว่า

ผู้บริหารของ GCAP Gold มองว่าควรจะลงทุนทองคำในรูปแบบเงินบาทจะปลอดภัยสุด – ภาพจาก Shutterstock

ชัยวัฒน์ อยากจะแนะนำเพื่อการออม มองว่าซื้อหรือลงทุนในทองคำแบบเป็นเงินบาทจะปลอดภัยสุด เขามองว่าการที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าเหมือนกับมีคนถือหางให้ ทำให้ราคาทองคำที่อยู่ในรูปสกุลเงินบาทไม่เหวี่ยงมากเมื่อเทียบกับราคาทองคำในรูปแบบสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากนี้ ชัยวัฒน์มองว่าพื้นฐานเศรษฐกิจไทยเองไม่แย่ แต่ในระยะยาวแล้วเขาเองให้มุมมองว่าค่าเงินบาทของไทยจะอ่อนค่าในระยะยาวจากโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยเอง โอกาสค่าเงินบาทระยะยาวโอกาสแข็งค่าน้อยมาก เขาชี้ว่าราคาทองคำในรูปเงินบาทตอนนี้น่าจะขึ้นไปเรื่อยๆ

ในช่วงที่ผ่านมานั้น 2 ผู้บริหารมองว่าพฤติกรรมอีกอย่างของคนไทยคือถ้าหากเศรษฐกิจดีคนก็ซื้อทองคำไว้ เศรษฐกิจที่ไม่ดีคนซื้อน้อยลง แต่ปัญหาคือจะปรับตัวได้กับราคาทองคำที่แพงได้หรือเปล่า ถ้าคนปรับตัวกับราคาทองที่ยืนราคาได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร นอกจากนี้คนชอบโทรมาถามที่บริษัทตอนที่ราคาทองคำนั้นแพงที่สุด

สำหรับเรื่องการออมทองคำนั้น ทั้ง 2 อยากให้ออมทองกับบริษัทที่มีความมั่นคง แนะนำให้ดูคู่ค้าว่าเป็นใคร ต้องดูให้ดี และต้องระวังการโดนหลอกจากมิจฉาชีพด้วย เช่น หลอกว่าลงทุนในราคาทองคำถูกกว่า 20% แต่รับเงินปีหน้า แบบนี้ถือว่าโดนหลอก เป็นต้น

ผู้บริหารของ GCAP Gold ชี้ว่าปัจจัยที่น่าติดตามมองในปี 2024 คือเรื่องของค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา – ภาพจาก Shutterstock

ธุรกิจของ GCAP Gold

2 ผู้บริหารรุ่นใหม่ของ GCAP Gold ได้กล่าวว่าบริษัทประกอบธุรกิจซื้อขายทองคำแท่ง และเป็นผู้เล่นรายใหญ่ 1 ใน 5 ของตลาดทองคำในประเทศไทย และมีโรงหล่อทองคำที่ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ ปัจจุบันธุรกิจบริษัทมีทั้งค้าปลีกโดยส่งทองคำให้ตามร้านทอง รวมถึงดูแลรายย่อย จากปริมาณการค้าทองเพิ่มมากขึ้น ตามเทรนด์ราคา

ชัยวัฒน์ ได้กล่าวว่าปัจจุบันทองคำนั้น มีแหล่งที่มาหลักๆ คือมาจากประเทศออสเตรเลียซึ่งมีเหมืองทองคำกับโรงหล่อทองคำ รวมถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นแหล่งรวมโรงหล่อทองคำ ทั้ง 2 นั้นถือเป็นแหล่งสำคัญของทองคำของโลก

ทั้ง 2 ผู้บริหารยังกล่าวว่า GCAP Gold ให้ความสำคัญกับลูกค้า คำไหนคำนั้น ทำธุรกิจตรงไปตรงมาเหมือนกับสมัยรุ่นของคุณปู่ ซึ่งทำให้ธุรกิจในปัจจุบันนั้นคงอยู่ได้

สำหรับการเปลี่ยนแปลงธุรกิจนั้น ชัยวัฒน์กล่าวว่า สมัยคุณพ่อ คือธุรกิจทองคำสมัยนั้นจะทำในสิ่งที่ทุกคนถนัด คือใครถนัดนำเข้าก็นำเข้า ใครถนัดส่งออกก็ส่งออก และสมัยก่อนการสั่งซื้อทองคำยังไม่มาก ก็มีคนช่วยจดคำสั่งซื้อ แต่เวลาผ่านไปก็นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยมากขึ้น ทำให้รับคำสั่งซื้อ-ขาย ได้มาก

นอกจากนี้บริษัทขยายเข้ามาในธุรกิจออมทองคำมาเป็นเวลา 7-8 ปีแล้ว มีลูกค้าออมทองคำกับบริษัทมากถึง 4,000 กว่าราย

2 ผู้บริหารยังกล่าวว่าตอนนี้ได้ทำแอปพลิเคชันตัวใหม่ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า มองว่าคนสนใจทองคำมากกว่านี้ เพื่อเตรียมรับลูกค้า และรองรับปริมาณธุรกรรมที่มากขึ้น ภายใน 3 ปีน่าจะโตได้อีกเท่าตัว และตอนนี้ราคาทองคำขยับตลอด บริษัทต้องดูแลลูกค้า ตลาดเปลี่ยนไป ราคาผันผวนมาก มองปัจจัยดังกล่าวเป็นนทั้งโอกาสและการปรับตัว

]]>
1452197
ล้างอาถรรพ์ให้โลกลงทุน พอกันทีกับพอร์ตต้องคำสาป https://positioningmag.com/1449647 Mon, 30 Oct 2023 13:20:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1449647

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

ช่วงใกล้วันฮาโลวีนแบบนี้ นักลงทุนอาจจะกำลังสัมผัสกับเรื่องหลอนๆ ในโลกการลงทุน หรือความลี้ลับบางอย่างที่ทำให้เราไม่ว่าจะลงทุนอย่างไร พอร์ตก็แดงวนไป  ทำอย่างไรก็ไม่กำไรอยู่ดี 

คิดไปคิดมา คุณเป็นนักลงทุนที่ต้องคำสาป หรือพอร์ตคุณกำลังต้องคำสาปกันแน่ แล้วเราจะล้างอาถรรพ์ที่แฝงอยู่กับพอร์ตลงทุนได้อย่างไรกัน

วันนี้ผมจะชวนมาร่วมไขปริศนาเกี่ยวกับอาถรรพ์ และเรื่องราวของ ผี วิญญาณ และคำสาป พร้อมวิธีป้องกัน ที่อาจจะทำให้การลงทุนของคุณไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป..

โลกนี้อาจมีสิ่งลึกลับที่มองไม่เห็น… เข้ามามีบทบาทกับชีวิต หรือแม้กระทั่งการลงทุนโดยที่คุณไม่รู้ตัว…

วิญญาณ อาถรรพ์ และคำสาป เป็นเรื่องราวที่อยู่คู่กับวัฒนธรรมของมนุษย์เรามาอย่างยาวนานครับ ไม่ว่าจะเป็นทวีปใด หรือมุมไหนของโลก ล้วนต้องมีเรื่องลึกลับ หาคำตอบไม่ได้ ไปจนถึงสยองขวัญจนไม่อยากหาคำตอบเป็นส่วนประกอบเสมอ

ในโลกการลงทุนก็มีเรื่องน่ากลัวเช่นนี้อยู่เหมือนกันครับ… แต่มันจะเป็นไปในลักษณะไหน ผมจะพาคุณเปิดสัมผัสที่หก แล้วเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ไปพร้อมๆ กันครับ

ยินดีที่ (ไม่) รู้จัก ‘ผี’

ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2554 คำว่า ‘ผี’ มีไว้ใช้เรียกคนที่ตายไปแล้ว และหมายถึง สิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสภาพลึกลับ มองไม่เห็นตัว แต่อาจจะปรากฏเหมือนมีตัวตนได้ อาจให้คุณหรือโทษ มีทั้งดีและร้าย

หลายคนในที่นี้คงได้รับการสะกดจิตมาตั้งแต่เริ่มจำความได้ ว่าผีคือสิ่งที่น่ากลัว ​หลายคนบนโลกนี้กลัวผี ทั้งที่บางคนอาจจะไม่เคยเห็นหรือสัมผัสด้วยซ้ำ…

ไม่ใช่แค่คนไทยที่พูดถึงเรื่องผีๆ เราจะเห็นได้ว่า ‘ผี’ มีลักษณะแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรมครับ อย่างทางฝั่งยุโรปผีจะมีลักษณะเป็นปีศาจไล่ฆ่าคน เช่น ปีศาจสับหัว (The Headless Horseman) ที่เป็นบุรุษขี่ม้าสีดำและไม่มีหัว ไล่สังหารผู้คนโดยการตัดศีรษะ

Etf
Photo : Shutterstock

ทางฝั่งเอเชีย ผีมักมาในลักษณะของวิญญาณที่มีความคับแค้นใจจากการเสียชีวิตอันน่าเศร้า มักไปสิงร่างคน หรือกระตุ้นจิตใจให้ทำเรื่องไม่ดี ไปจนถึงขั้นพรากชีวิตของคนที่ถูกเล่นงาน

ในโลกการลงทุนก็มีวิญญาณหลอนที่คอยมาสร้างความหวาดกลัวให้กับนักลงทุนเป็นระยะครับ ไม่ว่าจะเป็น วิญญาณ “ข่าวร้าย” วิญญาณ “เงินเฟ้อ” วิญญาณ “เงินฝืด” วิญญาณ “ดอกเบี้ย” วิญญาณ “ภาษี”​ เผลอๆ อาจจะน่ากลัวกว่าเจอผีจริงๆ เสียอีกนะครับ

เพราะถ้ามีวิญญาณเหล่านี้เข้ามาเมื่อไหร่ เมื่อคุณเปิดดูพอร์ต คุณอาจจะมีความรู้สึกขนหัวลุก เหมือนมีลมเย็นๆ พัดผ่านหลังคอให้เย็นวาบ ส่วนบางคนที่จิตอ่อน คุณอาจได้ยินเสียงกระซิบที่คอยบอกว่า ขาย ขาย ขาย ขาย…

และวิญญาณเหล่านี้ มักเป็นตัวแทนของความทรงจำที่เลวร้าย แม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะเป็นอดีตไปแล้ว แต่ความทรงจำยังคงติดอยู่กับเรื่องราว และคอยตามหลอกหลอนเราอยู่เรื่อยไป

ใครที่เคยติดดอยหรือขายหมูสักครั้ง จะซื้อจะขายหุ้นแต่ละทีคงเสียวสันหลังไม่น้อยเลยใช่ไหมครับ

ไสยศาสตร์และการลงทุน

ที่ร้ายแรงกว่าการมีวิญญาณมาล่อลวงจิตใจ คือคุณก้าวเข้าสู้ด้านมืดด้วยตัวเอง…โดยการลงทุนใน ‘หุ้นผีบอก’

‘ผีบอก’ เป็นคำที่เรามักได้ยินในบริบทของ ‘ยาผีบอก’ ครับ สูตรยาที่ไม่มีที่มาที่ไป มีเพียงสรรพคุณเลิศเลอ

ตลาดหุ้นที่ขับเคลื่อนด้วย ‘ความหวัง’ นี่เองจึงเป็นบ่อเกิดของ ‘หุ้นผีบอก’ ครับ

หุ้นที่ไม่มีที่มาที่ไปแน่ชัดสักเท่าไหร่ แต่กลับถูกพูดถึงต่อๆ กันในวงกว้างว่ามีโอกาสจะทำกำไรได้เท่านั้นเท่านี้ ซึ่งพอมีการยืนยันจากหลายปากหลายเสียง ก็ทำให้ข่าวหุ้นตัวนั้นดูน่าเชื่อถือขึ้นมาเสียอย่างนั้น

Photo : Shutterstock

พอข่าวเรื่องหุ้นตัวนี้เริ่มมีการกระจายออกไปมากเข้า คนที่ได้รับข่าวหลังๆ จะรู้สึกว่ามันน่าเชื่อถือ เพราะถูกยืนยันมาจากหลายๆ แหล่ง ทั้งที่จริงๆ แล้วมันมาจากแหล่งเดียวนั่นแหละครับ

หากโชคดีผีผลักก็จะได้กำไร แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นผีซ้ำด้ามพลอย พากันขาดทุนเป็นแถบๆ

การลงทุนแบบไม่มีหลักการ หวังพึ่งแต้มบุญ และหวังว่าหุ้นผีบอกที่ลงไปจะต้องทำกำไรแน่ๆ มักจบด้วยการบาดเจ็บขาดทุนจนต้องออกจากตลาดไป

และหากคุณถลำลึกวนเวียนอยู่แต่กับหุ้นผีบอก หรือลงทุนแบบพึ่งดวง ก็อาจทำให้พอร์ตของคุณติดอาถรรพ์สีแดง ทำยังไงก็ไม่กำไรสักที

ล้อมสายสิญจน์ รดน้ำมนต์ให้พอร์ตลงทุน

ใจเย็นๆ นะครับ อย่าเพิ่งรีบแต่งตัวเตรียมไปหาหมอผี หรือหมอธรรมะที่ไหน เพราะวิธีแก้ คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง

วันนี้ผมมีวิธีแก้อาถรรพ์มาบอกครับ…

หาก วิญญาณร้าย มาทำให้จิตใจที่แข็งแกร่งของคุณหวั่นไหว คอยมากระซิบให้คุณขายหุ้นดีๆ ทิ้ง เพราะแค่ราคาผันผวนจากภาวะตลาด หรือฉุดรั้งไม่ให้คุณลงทุน จริงๆ แล้วอาจมาจากจิตใต้สำนึกของคุณเองก็ได้ครับ

เมื่อต้องเลือก ย่อมเกิดความลังเล และความกลัวขึ้นมาเป็นเรื่องธรรมดา น้ำมนต์ที่เราจะใช้ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกลครับ สามารถใช้น้ำสะอาดสำหรับล้างหน้า หรือน้ำเย็นๆ สักแก้วมาดื่มสักหน่อย

เรียกสติของตัวเองกลับมาให้มากที่สุดครับ หยุดคิดและวิเคราะห์ให้รอบคอบถึงโอกาสและความเสี่ยง สิ่งที่จะได้และอาจต้องเสียไป หากคุณตัดสินใจลงมือทำอะไรสักอย่าง เช่น การขายหุ้นในพอร์ต

Photo : Shutterstock

จากนั้นค่อยเสริมด้วยหลักการลงทุนดีๆ ที่จะทำให้คุณมองเห็นวิธีการ และมุมมองที่กว้างมากขึ้น

ส่วนวิธีแก้อาถรรพ์พอร์ตจาก หุ้นผีบอก คือเริ่มจากปรับเปลี่ยนนิสัยการลงทุนครับ จากที่เอาแต่เฝ้าติดตามข่าวอย่างเดียว เปลี่ยนเป็นคอยศึกษาพื้นฐานของกิจการควบคู่ไปด้วยครับ

หลีกเลี่ยงเหตุผลในการซื้อขายหุ้นที่ว่า ‘ใครๆ ก็บอกอย่างนั้น’

แค่นี้หุ้นผีบอกก็ทำอะไรคุณไม่ได้แล้วครับ

คาถานักลงทุนระยะยาว ไล่พอร์ตแดงไปจากชีวิต

การลงทุน ต้องมีสติ มีเหตุและผล

การลงทุน ต้องเข้าใจ มีเหตุและผล

การลงทุน ต้องมองไกล มีเหตุและผล

คำภีร์หรือบทสวดอาจไม่ได้เท่าสติ ความรู้ และหลักการลงทุนที่ดีครับ

]]>
1449647
เดอะวิสดอมกสิกรไทย ชวนกูรูสายวีไอ เฟ้นกลยุทธ์ลงทุนช่วงตลาดผันผวน ดอกเบี้ยขาขึ้น https://positioningmag.com/1433968 Wed, 14 Jun 2023 10:00:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1433968

ภายใต้สภาวะตลาดหุ้นไม่เป็นใจ ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนจากธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาได้ประกาศขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรง และรวดเร็ว ทำให้สินทรัพย์หลายประเภทเกิดความผันผวนอย่างมาก ขณะเดียวกันตลาดหุ้นไทยเองก็ได้รับผลดังกล่าวด้วยเช่นกัน และยังรวมถึงปัจจัยสำคัญก็คือการเลือกตั้งในช่วงที่ผ่านมา

คำถามที่น่าสนใจก็คือ ในช่วงนี้เราควรจะลงทุนอะไรดี?

Positioning ได้รวบรวมแนวความคิดจากกูรูชื่อดังอย่าง คุณเฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ ซึ่งเป็นนายกสมาคมนักลงทุน เน้นคุณค่า (ประเทศไทย) หรือที่เรารู้จักดีคือไทยวีไอ (Thai VI) คุณทิวา ชินธาดาพงศ์ เซียนหุ้นสายวีไอชื่อดังของเมืองไทย รวมถึง คุณวีระพล บดีรัฐ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายพัฒนาการให้คำปรึกษาลูกค้า ของธนาคารกสิกรไทย เข้าร่วมให้ความรู้ ในงาน THE WISDOM WEALTH DECODED EXCLUSIVE DINNER TALK ที่บริการเดอะวิสดอม ธนาคารกสิกรไทย จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยการเชิญนักการเงิน ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมาแลกเปลี่ยนมุมมองและโอกาสการลงทุนในช่วงสถานการณ์สำคัญๆ


การเมืองส่งผลกระทบลงทุนระยะสั้น

คุณเฉลิมเดช ได้กล่าวถึงคำตอบในงานนี้อาจไม่เหมือนที่เคยได้ยินมาก่อน เนื่องจากตัวเขาเองเป็นนักลงทุนสายวีไอ ที่เน้นการลงทุนระยะยาว ทำให้แนวคิดการลงทุนอาจแตกต่างกับนักลงทุนทั่วไป โดยดูได้จากจำนวนสมาชิกของสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) นั้นมีสมาชิกเพียงแค่ 10,000 คน เทียบกับจำนวนของบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ 500,000 กว่าบัญชี

นายกสมาคมไทยวีไอ ยังได้ชี้ถึงหลักการของการลงทุนแนวเน้นคุณค่าว่าเหมือนกับนักธุรกิจ คือดูธุรกิจเป็นหลัก หาธุรกิจที่ดี มีหนี้น้อย มีกระแสเงินสด แตกต่างกับนักลงทุนทั่วไปที่ดูกราฟเป็นหลัก ขณะเดียวกันก็มองการลงทุนเหมือนกับการทำธุรกิจเป็นระยะยาวสิบปีขึ้นไป เขาชี้ว่าการเมืองไม่ได้สร้างผลกระทบต่อการลงทุน ไม่ว่าจะมีการรัฐประหาร หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และเชื่อว่าประเทศไทยไม่ว่าจะพรรคการเมืองไหนมา ก็ไม่ต้องตกใจ  เพราะธุรกิจก็ต้องเดินหน้าทำต่อไป

ถ้ามองระยะสั้นนโยบายการเมืองก็อาจกระทบกับบริษัทบ้าง แต่ภาพใหญ่การเปลี่ยนแปลงนั้นค่อยเป็นค่อยไป อย่าไปมองข่าวสารแล้วตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากเกินไป ต้องพิจารณาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปได้หรือไม่ หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และเชื่อว่าประเทศไทยไม่ว่าจะพรรคการเมืองไหนมา ก็ไม่ต้องตกใจ  เพราะธุรกิจก็ต้องเดินหน้าทำต่อไป

ถ้ามองระยะสั้นนโยบายการเมืองก็อาจกระทบกับบริษัทบ้าง แต่ภาพใหญ่การเปลี่ยนแปลงนั้นค่อยเป็นค่อยไป อย่าไปมองข่าวสารแล้วตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากเกินไป ต้องพิจารณาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปได้หรือไม่

คุณเฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ – นายกสมาคมนักลงทุน เน้นคุณค่า (ประเทศไทย)

ท่องเที่ยวไทย แหล่งรายได้ของประเทศไทย

คุณเฉลิมเดช มองว่า ประเทศไทย มีอุตสาหกรรมหลักคือภาคการท่องเที่ยว และภาคการท่องเที่ยวยังเกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมอื่นไม่ว่าจะเป็นโรงแรม สปา หรือแม้แต่สนามบิน โดยประเทศไทยได้รับความนิยมต่อเนื่องเพราะระยะทางการบินราว 6 ชั่วโมงเท่านั้น ถือว่าใกล้เคยงกับประเทศอื่น เช่น ญี่ปุ่น จีน อินเดีย ทำให้การท่องเที่ยวยังเป็นแหล่งสร้างรายได้ที่สำคัญของประเทศไทย โดยถ้าเทียบกับ GDP นั้น ถือว่าสูงมาก


ตลาดหุ้นจีนและสหรัฐอเมริกายังน่าสนใจ

“เซียนมี่”หรือคุณทิวา ชินดาพงศ์ เซียนหุ้นชื่อดังของเมืองไทย มองว่าตลาดจีนมีอนาคต หากมองภาพการลงทุนในระยะยาวๆ โดยเปรียบตลาดหุ้นจีนเหมือนตลาดหุ้นอเมริกาเมื่อ 40 ปีที่แล้ว หากพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มจำนวนของมหาเศรษฐี แผนการเพิ่มชนชั้นกลางของรัฐบาลจีน หรือแม้แต่จีนมีคนที่จบการศึกษาด้าน STEM (Science, Technology, Engineering และ Mathematics) สาขาละ 4.6 ล้านคนต่อปี

คุณทิวา มองว่า ปัจจัยดังกล่าวเป็นแรงส่งเศรษฐกิจจีนเติบโตแบบก้าวกระโดด และคาดว่าจะไปอยู่ในจุดที่อเมริกายืนอยู่ในอีก 10 ปีข้างหน้าได้ แต่ในการเข้าลงทุนสำหรับตลาดที่ใหญ่อย่างจีนนั้น ต้องอาศัยจังหวะและกลยุทธ์ที่ดี เนื่องจากหุ้นจีนนั้นเวลาขึ้นก็ขึ้นแรง เวลาลงก็ลงลึกกว่าที่คิด จึงควรศึกษาเป้าหมายของผู้บริหาร ความสามารถทางการแข่งขัน กลยุทธ์ที่จะนำพาธุรกิจเติบโตในระยะยาว

คุณทิวา ชินดาพงศ์ เซียนหุ้นชื่อดังของเมืองไทย แลกเปลี่ยนมุมมองกับ คุณวีระพล บดีรัฐ – ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายพัฒนาการให้คำปรึกษาลูกค้า ธนาคารกสิกรไทย

ขณะที่หุ้นสหรัฐอเมริกาดัชนีฟื้นตัวขึ้นจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Meta, NVIDIA, Microsoft, Tesla, Google  ที่ออกมาตรการรัดเข็มขัดปลดพนักงานทั่วโลก เพื่อลดต้นทุนให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ปีนี้คาดว่าจะเกิดเศรษฐกิจถดถอย

แต่คุณทิวามองว่าในรอบนี้เป็นเศรษฐกิจถดถอยที่สามารถควบคุมได้ และผู้เล่นรายใหญ่มองข้ามช็อตไปยังศึกเลือกตั้ง ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าแล้ว เขามองว่าอเมริกาจึงนับเป็นอีกตลาดที่น่าสนใจ แต่ต้องตัดสินใจเข้าตลาดให้ถูกจังหวะและถูกกลุ่มอุตสาหกรรมด้วย


ลงทุนในสิ่งที่ตัวเองรู้

คุณเฉลิมเดช ได้ชี้ว่า การลงทุนลองคิดว่าเหมือนเราใส่เงินลงทุนในธุรกิจหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโรงงาน แล้วคิดว่าเงินที่ลงทุนไปนั้นจะได้กำไรกลับมาเท่าไหร่ ภายในระยะเวลาที่ต้องการ ซึ่งเขาชี้ว่าการลงทุนแบบวีไอก็คิดแบบนักธุรกิจเช่นกัน แค่ดูหุ้นทั้งตลาดหุ้น และมองว่ามีธุรกิจไหนที่มองแล้วเข้าใจ มองระยะยาวว่าลงทุนอะไรที่จะได้กำไรหรือไม่ ถ้าหากคาดการณ์ถูกเราก็จะได้ตังค์ แต่ถ้าคาดการณ์ผิดก็เสียเงิน ไม่ต่างอะไรกับการทำธุรกิจ จำนวนหุ้นในตลาดหุ้นไทยมีราวๆ 800 บริษัท ก็เท่ากับ 800 ธุรกิจ ทำให้เลือกได้ว่าจะลงทุนตัวไหน ตัวไหนระยะยาวจะมีกำไร เพราะท้ายที่สุดหุ้นจะขึ้นได้ก็เพราะบริษัทเหล่านี้มีกำไร และยังรวมถึงลงทุนในราคาที่เหมาะสม

เขาได้ยกตัวอย่างหุ้นเครื่องสำอางที่เคยลงทุนจากมูลค่าบริษัทหลักร้อยล้านบาททุกวันนี้บริษัทมีมูลค่าตลาดถึงหนึ่งหมื่นล้านบาท ภายในระยะเวลา 15 ปี และมองว่าเครื่องสำอางของไทยไม่แพ้กับเครื่องสำอางแบรนด์ดัง ของต่างประเทศ

นายกสมาคมนักลงทุน เน้นคุณค่า (ประเทศไทย) ยังได้กล่าวว่าแนวทางการลงทุนแบบวีไอก็เปรียบเหมือนกับลูกค้าเดอะวิสดอมที่ทำธุรกิจประสบความสำเร็จเช่นกัน สำหรับการดูวิธีว่าบริษัทที่เราลงทุนจะประสบความสำเร็จหรือไม่เขาได้ชี้ว่าต้องดูว่าบริษัทมีความสามารถในการแข่งขันแค่ไหน แต่ละธุรกิจก็ไม่เหมือนกัน โดยการหาข้อมูลจากหลายแห่ง หรือแม้แต่การถามคู่แข่ง ซัพพลายเออร์ ฯลฯ ทำให้เราจะเห็นข้อมูลลึกมากขึ้น และจะเห็นว่าบริษัทไหนเป็นผู้ชนะ

คุณเฉลิมเดชชี้ว่าถ้าหากเรารู้ในธุรกิจต่างๆ เราจะเข้าใจในอุตสาหกรรมเป็นยังไง เช่น ถ้าหากเราเป็นซัพพลายเออร์อาหารสัตว์ เราจะรู้ว่าบริษัทที่ผลิตอาหารสัตว์แต่ละรายเป็นเช่นไร ซึ่งเขาแนะนำว่าให้ลงทุนกับอุตสาหกรรมที่เรารู้ก่อน ก่อนที่จะไปลงทุนในอุตสาหกรรมอื่น


ลงทุนสไตล์ VI ยุคนี้ ต้องทำอย่างไร

สำหรับเรื่องพอร์ตการลงทุนสายวีไอนั้น คุณเฉลิมเดชได้ให้แนวคิดว่าส่วนใหญ่แล้วจะมีหุ้นจำนวนไม่มาก และหุ้น 3 ตัวที่มีสัดส่วนการลงทุนมากที่สุดนั้นจะทำผลตอบแทนให้พอร์ตการลงทุนมากที่สุด

เขายังชี้ว่าแต่ถ้าหากใครไม่ชอบลงทุน ชอบทำธุรกิจมากกว่า แล้วพอมีเหลือเงินบ้าง แนะนำให้กระจายการลงทุน ผ่านการซื้อกองทุนรวม หรือแม้แต่การลงทุนในพันธบัตร แต่เขาได้ชี้ว่าจะต้องลดความคาดหวังในการลงทุนลงมาด้วย เช่น ค่าเฉลี่ยหุ้นไทยนั้นเติบโตได้ 7-9% ต่อปี แล้วเรามีความสุขในการลงทุนหรือไม่

สำหรับการลงทุนในต่างประเทศ เขามองว่าโอกาสที่เศรษฐกิจในต่างประเทศจะถดถอยมีสูง แต่ในไทยกลับกำลังฟื้นตัวจากโควิด แต่การฟื้นตัวนั้นเป็นแบบ K-Shape ควรที่จะลงทุนในช่วงเวลาที่คนไม่สนใจ ไม่เป็นกระแส

แต่ถ้าหากลงทุนแล้วไม่เป็นตามที่คิดคุณเฉลิมเดชแนะนำให้ขาย ไม่ควรเก็บสิ่งที่แย่ๆ ในพอร์ตไว้ เพราะจะทำให้สุขภาพจิตเสีย ถ้าซื้อแล้วควรซื้อกิจการที่ดี เพราะซื้อแล้วจะขึ้นเสมอ ของห่วยไม่ควรเก็บไว้ และไม่ควรที่จะแห่ลงทุนตามคนอื่น อะไรที่คนอื่นแห่กันลงทุนก็เหมือนกับแห่ทำธุรกิจ เพราะท้ายที่สุดแล้วจะขาดทุนหมด

ในกรณีของกองทุนต่างประเทศ คุณวีระพล บดีรัฐ – ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายพัฒนาการให้คำปรึกษาลูกค้า ธนาคารกสิกรไทย แนะนำว่า กรณีของกองทุนรวมที่ลงทุนในจีน หรือกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐอเมริกา แล้วลูกค้าขาดทุนมากนั้น ถ้าหากมีสัดส่วนในการลงทุนในพอร์ตการลงทุนมากเกินไป ต่อให้สถานการณ์ดีขึ้น ก็ยังไม่ทำให้ผลตอบแทนของเรากลับมาเท่าเดิม และไม่ควรลงทุนเพิ่มเติมในสิ่งที่เรากำลังกังวลอยู่ แถมไม่มีใครการันตีให้ด้วย

นอกจากนี้คุณวีระพล ยังแนะนำให้ฟังข้อมูลหลายแหล่ง และถ้าหากมีสัดส่วนการลงทุนที่น้อยมาก ก็ค่อยๆ ซื้อเพิ่มได้ อย่าลงทุนเหมือนกับการแทงหวย และอย่าเชื่อในสิ่งที่คนอื่นบอกว่าดี ควรจะติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ถ้าอยากลงทุนแล้วประสบความสำเร็จเราจะต้องรู้ลึกในการลงทุนหรือถ้าอยากลงทุนแบบสบายใจก็ควรกระจายความเสี่ยงการลงทุนออกมาบ้าง

]]>
1433968