ฮุนได ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากเกาหลีใต้ ตั้งเป้ารุกตลาดในอาเซียนมากขึ้น โดยมองถึงการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาปมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า อย่างประเทศไทย หรือมาเลเซีย ที่เป็นผู้นำเทรนด์ในละแวกนี้ ขณะเดียวกันก็มองประเทศใหญ่อย่างอินโดนีเซียเป็นฮับสำคัญของบริษัท และยังรวมถึงประเทศอย่างอินเดียด้วย
Korea Herald รายงานข่าวว่า ฮุนได (Hyundai) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากเกาหลีใต้ ตั้งเป้ารุกตลาดในอาเซียนมากขึ้น โดยมองถึงการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาปมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้าในหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย ขณะเดียวกันก็มองประเทศใหญ่อย่างอินโดนีเซียเป็นฮับสำคัญของบริษัท
ปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้ Hyundai ต้องหันมามองตลาดในอาเซียนคือ ไทย และ มาเลเซีย ถือเป็น 2 ประเทศที่เป็นผู้นำในการเปลี่ยนจากรถยนต์ที่ใช้เครื่องสันดาปมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ขณะเดียวกันอินโดนีเซียและเวียดนามเองก็ไล่หลังตามมาติดๆ เช่นกัน
ในอินโดนีเซียซึ่งเป็นตลาดสำคัญนั้น Hyundai ได้จับมือกับ LG Energy Solution ในการวางเครือข่ายสถานีชาร์จ อย่างไรก็ดีการรุกตลาดอินโดนีเซียถือว่ามีอุปสรรคไม่น้อยเนื่องจากผู้เล่นรายใหญ่ที่ครองตลาดคือผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่น
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ Hyundai ต้องกลับมามองตลาดอาเซียน คือ การพึ่งพาตลาดรถยนต์ในประเทศจีนมากเกินไปในช่วงที่ผ่านมา ได้สร้างผลกระทบต่อบริษัทมหาศาลนับตั้งแต่ปี 2017 หลังจากที่ความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีใต้กับจีนลดระดับลงจากปัญหาที่เกาหลีใต้ได้ติดตั้งระบบป้องกันภัยขีปนาวุธ THAAD ของสหรัฐอเมริกา
สิ่งที่เกิดขึ้นส่งผลทำให้ยอดขายรถยนต์ของ Hyundai ในจีนลดลง จนทำให้ปัจจุบันบริษัทเหลือโรงงานผลิตเพียงไม่กี่โรงงานเท่านั้น และบริษัทเองยังพร้อมที่จะขายโรงงานที่มีอยู่ในประเทศจีนให้กับผู้ที่สนใจด้วย
ไม่เพียงเท่านี้ตลาดรัสเซียซึ่ง Hyundai เป็นผู้เล่นรายใหญ่ มีส่วนแบ่งการตลาดราวๆ 25% ก็พบกับปัญหาเนื่องจากรัสเซียได้บุกยูเครน ทำให้เกิดมาตรการคว่ำบาตรจากหลายประเทศ ทำให้ท้ายที่สุดบริษัทต้องตัดสินใจขายโรงงานในแดนหมีขาวซึ่งสามารถผลิตรถยนต์ได้ราวๆ 230,000 คันต่อปี ซึ่งโรงงานดังกล่าวเริ่มดำเนินกิจการในปี 2011
ความล้มเหลวใน 2 ประเทศดังกล่าว Korea Herald ได้สัมภาษณ์ผู้ที่อยู่ในแวดวงยานยนต์เกาหลีได้ชี้ว่าปัจจัยความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ดังกล่าวนั้นอยู่เหนือการควบคุมของ Hyundai และทำให้ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตยานยนต์จากเกาหลีเองจะต้องหาตลาดใหม่ๆ ทดแทน
นอกจากอาเซียนแล้ว Hyundai ยังเตรียมรุกตลาดในประเทศอินเดียเพิ่มขึ้นด้วย โดยเตรียมส่งรถยนต์หลายรุ่นเข้าสู่ตลาด เนื่องจากจำนวนประชากรที่มากถึง 1,400 ล้านคน ทำให้อินเดียกลายเป็นตลาดรถยนต์ใหญ่อันดับ 3 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา และจีน ซึ่งปัจจุบันบริษัทครองตำแหน่งเบอร์ 2 ของตลาด รองจากทาทา ซึ่งเป็นแบรนด์อินเดีย