กาแฟ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 20 Nov 2024 04:13:21 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘คัลแลน-พี่จอง’ เอฟเฟกต์! ทำแคมเปญไม่ถึงอาทิตย์ ดันยอดขาย ‘กาแฟพันธุ์ไทย’ โต 1.5 เท่า มียอดสมาชิกเพิ่ม/วัน 50% https://positioningmag.com/1499761 Tue, 19 Nov 2024 11:17:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1499761 พลังเหล่าแฟนด้อมใจฟูเป็นเหตุ โดยหลังจากกาแฟพันธุ์ไทยคว้าคัลแลนพี่จองมาทำหน้าที่พรีเซ็นเตอร์คู่แรก และส่งแคมเปญการ์ดพันธุ์ไทยใจฟูการ์ดจุ่มของทั้งคู่ออกมาเมื่อวันที่ 15 ..ที่ผ่านมา ก็ทำให้ยอดขายของกาแฟพันธุ์ไทยโต 1.5 เท่า และเพิ่มยอดสมัครสมาชิกเพิ่มขึ้น 50% ต่อวัน ซึ่งหลังจากนี้จะต่อยอดความสำเร็จด้วยการออกหนังโฆษณา ก่อนจะจัด Fan Meet ของทั้งคู่ช่วงต้นปีหน้า

เป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจของกาแฟพันธุ์ไทยเมื่อประกาศใช้กลยุทธ์พรีเซ็นเตอร์เป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งมา และเลือกสองหนุ่มยูทูปเปอร์คนดังอย่างคัลแลนพี่จองมารับหน้าที่นี้

อนันต์ รัตนมั่นคง’ Vice President of Food and Beverages Group บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย เล่าว่า

การดีลกับสองหนุ่มคนดังให้มารับหน้าที่พรีเซ็นเตอร์เกิดขึ้นเมื่อครึ่งปีที่ผ่านมา ภายใต้โจทย์ทางธุรกิจ เพื่อสร้าง Brand Awareness และขยายฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่ในกลุ่มอายุ 30 ปีลงมา ซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่และมีความน่าสนใจ จากเดิมลูกค้าหลักของกาแฟพันธุ์ไทยจะมีอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยตั้งเป้าหมาย จะเพิ่มฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่จาก 20% เป็น 30% ในปีหน้า

เราทำรีเสิร์ชมาพบว่า ผู้บริโภคมองแบรนด์เราเป็นกาแฟปั๊ม ดูเก่าแก่ เราจึงอยากปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์เราเด็กลง ให้สามารถเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้น และคัลแลนกับพี่จองทำหน้าที่นี้ได้ดี ที่สำคัญทั้งคู่เป็นแฟนของกาแฟพันธุ์ไทย เป็น Real Customer ของเราจริง ๆ และชอบดื่มอเมริกาโน่อยู่แล้ว

คัลแลนพี่จองเอฟเฟกต์

ความร่วมมือระหว่างกาแฟพันธุ์ไทย กับคัลแลนพี่จอง เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน 2567 และไปจบเดือนเมษายน 2568 ประเดิมด้วยแคมเปญการ์ดพันธุ์ไทยใจฟู การออกการ์ดจุ่มของทั้งคู่ให้บรรดาแฟนด้อมได้สะสม โดยลูกค้าที่ซื้อเมนูไทยริกาโน 3 แก้วต่อใบเสร็จ จะได้รับการ์ดพันธุ์ไทยใจฟูแบบสุ่มจากคัลแลนและพี่จอง 1 ใบ มีให้เลือกสะสม 5 แบบ และ 1 แบบซีเคร็ท    

หลังจากเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 15 .. 2567 มาถึงตอนนี้ไม่ถึงอาทิตย์ปรากฏว่านอกจากในโซเชียลจะมีกระแสพูดถึงและเอนเกจเมนต์จำนวนมากทั้งกลุ่มแฟนของกาแฟพันธุ์ไทยเดิมและกลุ่มที่ไม่ได้เป็นลูกค้าแล้ว

แคมเปญดังกล่าวยังสามารถทำให้ยอดขายของกาแฟพันธุ์ไทยเติบโตขึ้น 1.5 เท่า และมียอดสมัครสมาชิก MAX Card บัตรสมาชิกที่ใช้สะสมแต้ม เพื่อสร้างลอยัลตี้ โปรแกรมกับลูกค้าในเครือ PTG เพิ่มขึ้น 50% ต่อวัน

ความสำเร็จที่เกิดขึ้น อนันต์บอกว่าเกินคาด และเตรียมต่อยอดความสำเร็จจากพรีเซ็นเตอร์คู่นี้ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย อย่างในระยะอันใกล้นี้ได้เตรียมปล่อยหนังโฆษณาชุดใหม่ของกาแฟพันธุ์ไทยที่มีคัลแลนกับพี่จองร่วมแสดงออกมา และจะมีการจัด Fan Meet ของทั้งคู่ประมาณช่วงต้นปีหน้า

หลายคนถามว่า แฟนด้อมที่ไม่ดื่มกาแฟ แต่มาซื้อพันธุ์ไทยเพราะอยากได้การ์ด เมื่อหมดแคมแปญอาจทำให้ลูกค้ากลุ่มนี้จะหายไป และการเติบโตของเราจะไม่ยั่งยืน แต่เรามั่นใจในรสชาติและคุณภาพของกาแฟเรา บวกกับการทำมาร์เก็ตติ้งที่ได้มาจากการวิเคราะห์ข้อมูลจากบัตรสมาชิก เราเชื่อมั่นจะดึงพวกเขากลับมาเป็นลูกค้าได้อย่างแน่นอน

เดินหน้าลบภาพกาแฟในปั้ม

นอกจากจะใช้พลังแฟนด้อมใจฟูมาลบภาพกาแฟในปั๊ม ที่ดูเก่าแก่ และแบรนด์มีอายุ เพื่อพิชิตใจลูกค้าคนรุ่นใหม่แล้ว กาแฟพันธุ์ไทยยังมีการวางกลยุทธ์เพื่อขยายฐานลูกค้าดังกล่าวสำหรับสร้างการเติบโตไว้ 

1. การเร่งขยายสาขาในตัวเมือง โดยเฉพาะเขต CBD (Central Business District) รวมไปถึงโลเคชั่นในสถานศึกษาและตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ซึ่งตามแผนกาแฟพันธุ์ไทยตั้งเป้าจะมีสาขารวมในปี 2567 อยู่ที่ 1,282-1,300 แห่ง และครบ 2,000 แห่งในปี 2568 จากปัจจุบันมีสาขากว่า 1,200 แห่ง ก่อนจะเพิ่มเป็น 5,000 สาขาในปี 2570

2. การเพิ่มโปรดักส์ในกลุ่ม Specialty Coffee เพื่อให้ภาพของกาแฟพันธุ์ไทยมีวาไรตี้และจับกลุ่มลูกค้าได้หลากหลาย รวมถึงสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบและนิยมดื่มกาแฟประเภทนี้มากขึ้น อย่างล่าสุดได้เปิดตัวกาแฟดริปคอลเลกชั่นใหม่ที่ได้ร่วมมือกับ 10 นักสร้างสรรค์กาแฟไทย ภายใต้โจทย์ดริปสร้างชีวิตไม่รู้จบ

3. ขยายโปรดักส์ในกลุ่ม Non coffee ไม่ว่าจะเป็นชาไทยโกโก้และเมนูอื่นๆ ที่ไม่มีส่วนผสมของกาแฟให้มากขึ้นเพื่อสร้างความรู้จักและกระตุ้นให้เกิดการทดลองดื่มจากกลุ่มลูกค้าที่ไม่ดื่มกาแฟ

4. การมุ่งทำมาร์เก็ตติ้งในรูปแบบต่าง ๆ โดยในส่วนนี้จะใช้ข้อมูลจาก MAX Card ที่ปัจจุบันมีฐานสมาชิกราว ๆ ล้านใบ วิเคราะห์เจาะลึก Customer Journey ของลูกค้าตั้งแต่เพศ อายุ การใช้จ่าย พฤติกรรมและความชอบ เพื่อนำมากำหนดกลยุทธ์ตลอดจนแคมเปญการตลาดให้เหมาะสมและตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทางผู้บริหารกาแฟพันธุ์ไทยเชื่อมั่นว่า จากการกลยุทธ์ทั้งหมดเมื่อจบปี 2567 กาแฟพันธุ์ไทยจะมีรายได้กว่า 2,000 ล้านบาท

ขณะที่ภาพรวมของตลาดกาแฟในไทยประเมินไว้ว่า จะมีการเติบโตประมาณ 10% คิดเป็นมูลค่าตลาดกว่า 60,000 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดกาแฟในบ้าน 33,000 ล้านบาท และตลาดกาแฟนอกบ้านกว่า 27,000 ล้านบาท

]]>
1499761
‘คาลเท็กซ์’ เตรียมปูพรม ‘กาแฟชาวดอย’ ในปั๊ม ปักเป้า 200 สาขาใน 5 ปี เอาใจลูกค้าคอกาแฟครบทุกพื้นที่ https://positioningmag.com/1494969 Fri, 18 Oct 2024 04:43:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1494969 คาลเท็กซ์ เดินเกมรุกธุรกิจร้านค้าปลีกในสถานีบริการน้ำมัน จับมือกับ บริษัทในเครืออโรม่า กรุ๊ป เจ้าของแบรนด์กาแฟชาวดอย สู้ศึกร้านกาแฟในสถานีบริการน้ำมัน โดยเร่งส่ง “กาแฟชาวดอย” ลงสนามชูจุดคัดสรรเมล็ดกาแฟจากแหล่งวัตถุดิบคุณภาพ รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ตามแบบฉบับกาแฟชาวดอยในราคามิตรภาพ โดยตั้งเป้า 5 ปี ขยายร้านกาแฟชาวดอยให้ได้ 200 สาขาในปั๊มคาลเท็กซ์ทั่วไทย

นางสาวสมปรารถนา เจิมศิริวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการลงทุนและพัฒนาธุรกิจค้าปลีก บริษัท สตาร์ ฟูเอลส์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (SFL) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) (SPRC) และเป็นผู้ได้รับสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการประกอบธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงภายใต้ ชื่อคาลเท็กซ์ในประเทศไทย เปิดเผยว่า “บริษัทฯ เร่งผลักดันธุรกิจให้เติบโตได้ ตามแผนในทุกด้าน เราเพิ่มความเข้มข้นในการขยายเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันและธุรกิจค้าปลีกที่ไม่ใช่น้ำมัน (Non-Oil) ในสถานีบริการน้ำมัน เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ในประเทศให้มากยิ่งขึ้น

ปัจจุบันเรามีจำนวนสถานีบริการ น้ำมันคาลเท็กซ์ ทั่วประเทศประมาณ 528 แห่ง และมีร้านค้าปลีกครอบคลุมประมาณ 80% ของทั้งเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนร้านค้าให้ครอบคลุม 85% ของทั้งเครือข่าย สถานีบริการ น้ำมันคาลเท็กซ์ภายในปี 2568 เราตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาผลิตภัณฑ์และ บริการที่ดีเยี่ยมอยู่เสมอ เพื่อให้ลูกค้าของเราได้รับประสบการณ์น่าจดจำในทุก ๆ โอกาส”

“การขยายความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจร้านค้าปลีกที่หลากหลายเป็นสิ่งที่เรามุ่งเน้น เพื่อช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับสถานีบริการน้ำมันให้ครบวงจร โดยในการเปิดให้บริการร้านกาแฟชาวดอยในสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ บริษัทฯ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับ บริษัท เค.วี.เอ็น.อิมปอร์ตเอกซ์ปอร์ต (1991) จำกัด (K.V.N.) ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์กาแฟชาวดอย และเป็นบริษัทในเครืออโรม่า กรุ๊ป ที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมกาแฟแบบครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำและเป็นผู้ผลิตกาแฟคั่วบดรายใหญ่ของประเทศไทย อีกทั้งยังมีทีมผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาธุรกิจ พร้อมศูนย์ฝึกอบรมชาวดอยโดยเฉพาะ เราจึงมั่นใจว่าร้านกาแฟชาวดอยในสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์จะสามารถส่งมอบประสบการณ์ทั้งในด้านเครื่องดื่มคุณภาพเยี่ยม รสชาติที่เข้มข้นเป็นเอกลักษณ์ และบริการที่ได้มาตรฐาน ให้แก่ลูกค้าระหว่างการเดินทางได้เป็นอย่างดี”

“ล่าสุด เราได้ยกระดับความร่วมมือในการเปิดให้บริการร้านกาแฟชาวดอยในสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ เพื่อขยายจำนวนร้านกาแฟชาวดอยในสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ รวมทั้งการทำแคมเปญร่วมกันในอนาคต เพื่อสร้างโอกาสในการขยายฐานผู้บริโภคเพื่อนำไปสู่การเติบโตของเครือข่ายร้านค้าปลีกในสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ โดยร้านกาแฟถือว่าเป็นร้านค้าในสถานีบริการน้ำมันที่ยังคงเป็นที่ต้องการของลูกค้าที่ใช้บริการและยังมีแนวโน้มในการเติบโตอย่างต่อเนื่องนางสาวสมปรารถนา กล่าว

นางสาวสมปรารถนา เจิมศิริวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการลงทุนและพัฒนาธุรกิจค้าปลีก บริษัท สตาร์ ฟูเอลส์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (SFL) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) (SPRC)

ด้าน นายกิจจา วงศ์วารี กรรมการบริหารกลุ่มบริษัทในเครืออโรม่ากรุ๊ป ซึ่งมี K.V.N. เป็นบริษัทในเครือ ที่เป็นเจ้าของ แบรนด์กาแฟชาวดอย กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า “กาแฟชาวดอยเติบโตเคียงคู่วงการกาแฟไทยมามากกว่า 20 ปี ปัจจุบันกาแฟชาวดอยมีสาขาในประเทศไทยรวมกว่า 250 สาขา ทั้งในและนอกสถานีบริการน้ำมัน ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศโดยมีจุดเด่นในเรื่องของรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ เรามีความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจเนื่องด้วยกลุ่มธุรกิจของเราดำเนินงานครอบคลุมตั้งแต่การคัดสรรเมล็ดกาแฟจากแหล่งที่มีคุณภาพ คั่วตามสูตรเฉพาะของกาแฟชาวดอย การผลิตและจัดจำหน่ายวัตถุดิบตัวอื่น เช่น ชา โกโก้ ให้กับเฟรนไชส์ของชาวดอย ไปจนถึงการจัดตั้งสถาบันสอนพัฒนาธุรกิจร้านกาแฟ และระบบแฟรนไชส์ที่มีมาตรฐาน

ส่งผลให้แบรนด์กาแฟชาวดอยมีการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์เพื่อให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน ทั้งนี้กาแฟชาวดอยให้ความสำคัญในเรื่องรสชาติกาแฟ จึงมีการพัฒนาสูตรและเครื่องมือการชงกาแฟที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทุกๆ สาขา จึงทำให้มั่นใจได้ว่าลูกค้าจะได้รับกาแฟและการบริการที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทุกแก้ว ตามแบบฉบับแบรนด์กาแฟชาวดอย”

นายกิจจา วงศ์วารี กรรมการบริหารกลุ่มบริษัทในเครืออโรม่ากรุ๊ป

การได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับ คาลเท็กซ์ นับได้ว่าเป็นอีกก้าวที่สำคัญของแบรนด์กาแฟชาวดอย ในการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับแบรนด์กาแฟชาวดอย เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกัน เพราะคาลเท็กซ์เป็นแบรนด์น้ำมันระดับโลก ที่มีชื่อเสียงด้านผลิตภัณฑ์น้ำมันคุณภาพ เราเชื่อมั่นว่าการเป็นพันธมิตรกันนี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพและเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจให้แก่ร้านกาแฟชาวดอยและแก่สถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์”

ปัจจุบันร้านกาแฟชาวดอย เปิดให้บริการภายในสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์แล้ว 38 แห่งทั่วประเทศ และตั้งเป้าขยายให้ได้ 200 สาขาทั่วประเทศ ภายใน 5 ปี เพื่อให้ครอบคลุมความ ต้องการของผู้บริโภคในทุกกลุ่มและทุกพื้นที่ โดยหลังจากนี้ ร้านกาแฟชาวดอยจะเน้นเปิดให้บริการในสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์มากขึ้น ลูกค้าที่ใช้บริการในสถานีน้ำมันคาลเท็กซ์ ก็จะได้สัมผัสกับรูปแบบร้านกาแฟชาวดอยที่มีบรรยากาศและการตกแต่งร้านให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าในสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์แต่ละพื้นที่

นอกจากนี้ ยังมีรูปแบบ Chao Doi Full Flavoured ที่เน้นความพิเศษจากแต่ละแหล่งที่มาของกาแฟของไทยและต่างประเทศ รวมถึงมีเมนูกาแฟและเครื่องดื่มที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถจับคู่กับเมนูเบเกอรี่และอาหารเพื่อเพิ่มอรรถรส นอกจากนี้เรายังได้รังสรรค์เมนูเครื่องดื่มใหม่สุดพิเศษ โดยจะมีจำหน่ายเฉพาะร้านกาแฟชาวดอยในสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์เท่านั้น

“อโรม่า กรุ๊ป และบริษัทในเครือ มุ่งมั่นอย่างไม่หยุดยั้งในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อรองรับความต้องการของตลาด ตอบรับกระแสความต้องการบริโภคกาแฟในไทยเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับสถิติที่พบว่า คนไทยมีการบริโภคกาแฟเพิ่มสูงขึ้นในแต่ละปี ประกอบกับธุรกิจร้านกาแฟในสถานีบริการน้ำมันยังได้รับความนิยม แต่มีการแข่งขันสูง ทำให้เราต้องมีแผนรองรับในการปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลง ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างและพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟไทยอย่างยั่งยืนและสร้างสรรค์” นายกิจจา กล่าวปิดท้าย

]]>
1494969
Luckin Coffee ยังเบียดเอาชนะ Starbucks ในจีนได้ หลังใช้กลยุทธ์ราคา เน้นขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง https://positioningmag.com/1477017 Sat, 08 Jun 2024 11:28:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1477017 สถานการณ์ของเชนร้านกาแฟในจีนอย่าง Luckin Coffee ที่เคยตั้งเป้าหมายว่าคู่แข่งรายสำคัญคือ Starbucks และเคยเป๋ไปพักใหญ่หลังจากเหตุการณ์ฉาวในการปลอมแปลงยอดขาย แต่ล่าสุดหลังจากที่เปลี่ยนผู้ถือหุ้นรายใหญ่ มีการปรับทีมงานบริหาร ล่าสุดเหมือนว่าทุกอย่างจะกำลังไปได้สวย

สำนักข่าว Bloomberg ได้รายงานถึงเชนร้านกาแฟอย่าง Luckin Coffee ที่มีข่าวฉาวในการปลอมแปลงยอดขายจนทำให้บริษัทถูกถอดออกจากกระดานซื้อขายหุ้นในสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 2020 แต่ล่าสุดสถานการณ์ของบริษัทนั้นดีขึ้นจากหลายปัจจัยด้วยกัน

การกลับมาของเชนร้านกาแฟรายดังกล่าวไม่ใช่เรื่องของความบังเอิญแต่อย่างใด แต่มาจากหลายปัจจัย เช่น เรื่องของการเปลี่ยนทีมผู้บริหาร ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ที่ทำให้เชนร้านกาแฟจากจีนรายนี้นั้นกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง จากการอัดฉีดเม็ดเงินกว่า 240 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2021 ทำให้บริษัทสามารถเดินหน้าในเรื่องธุรกิจได้อย่างสะดวก

ขณะเดียวกันบริษัทก็ได้ใช้กลยุทธ์เรื่องราคาเป็นหลักเช่นกัน โดยราคากาแฟขนาดไซส์เท่ากัน Starbucks จะอยู่ที่ราวๆ 33 หยวน ขณะที่ Luckin Coffee ราคาอยู่ที่ 11 หยวน ขณะที่ Cotti ซึ่งเป็นคู่แข่งรายสำคัญนั้นราคาจะอยู่ที่ 9.9 หยวน

ไม่เพียงเท่านี้เมนูของบริษัทเองก็ถือว่าดึงดูดลูกค้าไม่ว่าจะเป็นเมนูกาแฟอย่างลาเต้ที่ใส่นมมะพร้าว ซึ่งเมนูดังกล่าวในบางสาขานั้นครองยอดขายมากถึง 70% ในปี 2021 นอกจากนี้ยังมี ชานมไข่มุก หรือเมนูอื่นๆ ซึ่งเชนร้านกาแฟรายนี้พยายามที่จะเพิ่มเติมเพื่อที่จะดึงดูดลูกค้ามากขึ้น

สำหรับเมนูที่แปลกและสร้างกระแสให้กับบริษัทนั้นก็คือเมนูกาแฟใส่นม แต่มีการเพิ่มเหล้าจากบริษัทเหมาไถ (Moutai) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเหล้ารายใหญ่ของจีน และเมนูดังกล่าวถือว่าขายดีเช่นกัน

ปัจจุบัน Luckin Coffee นั้นมีสาขามากกว่า 18,500 สาขา และยังมีการขยายสาขาเพิ่มอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ในช่วงเดือนมิถุนายนปี 2023 ที่ผ่านมา บริษัทมีกำไรไปแล้วกว่า 678 ล้านหยวน

คู่แข่งรายสำคัญอย่าง Starbucks นั้นผู้บริหารเองยังได้กล่าวถึงคู่แข่งที่อยู่ในประเทศจีนนั้นได้ใช้สงครามราคา แต่ก็มองว่าเรื่องดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องชั่วคราวเท่านั้น อย่างไรก็ดีในการรายงานผลประกอบการนั้นจะเห็นได้ว่าในไตรมาส 1 ของปี 2024 นี้เชนร้านกาแฟจากสหรัฐอเมริกากลับมียอดขายในจีนลดลง 6%

อย่างไรก็ดีราคาหุ้นของ Luckin Coffee ที่ซื้อขายนอกตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกานั้นยังถือว่ามีราคาต่ำกว่าจุดสูงสุดที่เคยทำไว้อยู่ที่ราวๆ 63% ซึ่งถือว่ายังเป็นหนทางที่เชนร้านกาแฟรายนี้ยังต้องฝ่าฝันอุปสรรค หรือแม้แต่ต่อสู้กับคู่แข่งหลายราย เพื่อที่จะทำกำไรให้ได้มากกว่าเดิม และมีราคาหุ้นกลับมาสูงกว่าเดิม

]]>
1477017
CFO ของ Starbucks เผย ‘บริษัทไม่มีแผนลดราคาสินค้า’ แม้ยอดขายทั่วโลกจะลดลงก็ตาม https://positioningmag.com/1471751 Thu, 02 May 2024 05:21:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471751 ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ของ Starbucks เชนร้านกาแฟรายใหญ่ ได้กล่าวว่าบริษัทไม่มีแผนลดราคาสินค้าของบริษัท แม้ว่าผลประกอบการในไตรมาสที่ผ่านมาจะลดลงก็ตาม ขณะเดียวกันบริษัทก็เร่งแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าวเช่นกัน

ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) ของ Starbucks เชนร้านกาแฟรายใหญ่ กล่าวว่าบริษัทไม่มีแผนลดราคาสินค้าของบริษัท ซึ่งเชนร้านกาแฟจากสหรัฐฯ รายนี้กำลังพบกับความท้าทายหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องใหญ่อย่างสภาวะเศรษฐกิจที่ส่งผลทำให้ผู้บริโภคหลายรายลดการจับจ่ายใช้สอย

Rachel Ruggeri ซึ่งเป็น CFO ของ Starbucks ได้กล่าวกับ Yahoo Finance ว่า “บริษัทไม่มีแผนลดราคาสินค้า” และชี้ว่ารายได้ของบริษัทที่ลดลงในผลประกอบการในไตรมาสล่าสุดของบริษัทลดลงเนื่องจากลูกค้าที่ไม่ใช่ขาประจำของบริษัทได้ลดค่าใช้จ่ายลง

รายงานผลประกอบการล่าสุดของ Starbucks นั้น CFO รายนี้ยังได้กล่าวถึง ไตรมาสที่ผ่านมาถือเป็นไตรมาสที่ยากลำบาก และบริษัทได้เรียนรู้จากเรื่องดังกล่าวและปรับโฟกัสของบริษัทให้เฉียบคมมากขึ้น และยังรวมถึงการแก้ปัญหาการสั่งสินค้าผ่านแอปฯ ของบริษัท หรือแม้แต่การแก้ปัญหาในเรื่องของ Supply Chain

ขณะที่ CEO ของบริษัทอย่าง Laxman Narasimhan ได้ชี้ว่าไตรมาสที่ผ่านมาสภาวะต่างๆ ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแรงกดดันจากผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าลดลง

ผลประกอบการไตรมาสล่าสุดของ Starbucks นั้นรายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ 8,600 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 1% โดยยอดขายในสหรัฐอเมริกาลดลง 3% ขณะที่จีนยอดขายของ Starbucks ลดลง 6% แม้ว่าบริษัทจะมีการออกโปรโมชั่นในแดนมังกรเพื่อกระตุ้นยอดขายแล้วก็ตาม

รายได้จากสหรัฐอเมริกาและจีนคิดเป็น 61% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท ขณะที่เหลือเป็นรายได้จากทั่วโลก และปัจจุบันเชนร้านกาแฟรายนี้มีสาขาทั้งหมด 38,951 สาขา

นอกจากนี้ในผลประกอบการล่าสุดของบริษัท ยังถือว่าเป็นผลประกอบการที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นต้นมาอีกด้วย

ยอดขายที่ลดลงทั่วโลกของ Starbucks ยังส่งผลทำให้ราคาหุ้นของบริษัทตกลงไม่น้อยกว่า 10% เนื่องจากรายได้ กำไรของบริษัท นั้นแย่กว่าเหล่านักวิเคราะห์จากหลายสถาบันการเงินคาดไว้

ที่มา – Yahoo Finance

]]>
1471751
‘จีน’ จากดินแดนแห่ง ‘ชา’ สู่ประเทศที่มีสาขา ‘แบรนด์ร้านกาแฟ’ แตะ 5 หมื่นสาขา มากที่สุดในโลกแซงหน้าอเมริกา! https://positioningmag.com/1455606 Thu, 14 Dec 2023 07:01:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1455606 ถือเป็นอะไรที่น่าสนใจเหมือนกันที่ ‘จีน’ ประเทศที่ขึ้นชื่อในด้านการบริโภค ‘ชา’ และถือเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมของคนจีน แต่ปัจจุบันจีนได้แซงหน้าสหรัฐอเมริกาในฐานะตลาดที่มีสาขา แบรนด์ร้านกาแฟ มากที่สุดในโลก

ตามรายงานของ World Coffee Portal เปิดเผยว่า จำนวนแบรนด์ร้านกาแฟในประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลกอย่าง จีน เพิ่มขึ้น +58% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา โดยมีสาขารวมมากถึง 49,691 แห่ง แบรนด์ที่มีสาขาทั่วโลกอย่าง Starbucks ได้เปิดสาขาใหม่เพิ่ม 785 สาขา ในช่วงเวลาดังกล่าว รวมแล้วมีกว่า 6,000 สาขา โดยปัจจุบัน Starbucks ถือเป็นแบรนด์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสอง รองจาก Luckin Coffee ร้านกาแฟสตาร์ทอัพสัญชาติจีนที่มีสาขากว่า 13,000 สาขา

“คอกาแฟชาวจีนมากกว่า 90% ที่ทำการสำรวจ ดื่มกาแฟร้อนทุกสัปดาห์ ในขณะที่ 64% ดื่มกาแฟเย็นอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และผู้บริโภคเกือบ 90% ที่ทำแบบสำรวจ จะไปเยี่ยมชมหรือสั่งอาหารจากร้านกาแฟอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง”

ปัจจุบัน จีนได้กลายเป็นมหาอำนาจของอุตสาหกรรมกาแฟระดับโลก แม้ว่าจะต้องเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจมากมายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็ตาม โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมาแบรนด์อย่าง Starbucks ได้ทุ่มเงินมากกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้าง ‘สตาร์บัคส์ ไชน่า คอฟฟี่ อินโนเวทีฟ อินดัสเทรีย พาร์ค’ (Starbucks China Coffee Innovation Industrial Park) นิคมอุตสาหกรรมด้านกาแฟขนาดใหญ่ในภาคตะวันออกของจีน โดยพึ่งเปิดตัวในเดือนกันยายนที่ผ่านมา

การลงทุนดังกล่าวถือเป็นการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยทำมา สำหรับศูนย์ผลิตและจำหน่ายกาแฟนอกสหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน ประเทศจีนเป็นหนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญที่สุดของ Starbucks มายาวนาน โดยทำหน้าที่เป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกและเป็นตลาดต่างประเทศชั้นนำ โดย Starbucks ได้ตั้งเป้าเปิดร้าน 9,000 สาขา ในจีนภายในปี 2025

]]>
1455606
กาแฟสำเร็จรูปอาจมีราคาแพงขึ้น สาเหตุจากผลผลิตในบราซิลเก็บเกี่ยวได้น้อยลงเกือบ 20% https://positioningmag.com/1455176 Tue, 12 Dec 2023 03:38:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1455176 ราคากาแฟสำเร็จรูปนั้นมีโอกาสที่จะปรับตัวสูงขึ้นได้ สาเหตุสำคัญมาจากเมล็ดกาแฟพันธุ์โรบัสต้านั้นเก็บเกี่ยวได้น้อยลง จากปัญหาสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง ซึ่งก่อนหน้านี้ผลผลิตในประเทศเวียดนามเองก็เก็บเกี่ยวได้น้อยลงเช่นกัน

สำนักข่าว Bloomberg รายงานข่าวว่า ราคากาแฟสำเร็จรูปนั้นมีโอกาสที่จะปรับตัวสูงขึ้นได้ สาเหตุสำคัญมาจากเมล็ดกาแฟพันธุ์โรบัสต้านั้นเก็บเกี่ยวได้น้อยลง จากปัญหาสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เมล็ดกาแฟพันธุ์โรบัสต้านั้นเก็บเกี่ยวได้น้อยลงในบราซิลคือสภาวะอากาศที่แห้งแล้ง ปริมาณฝนที่ตกน้อยลง รวมถึงอุณหภูมิที่สูงมากขึ้น โดยสหกรณ์ Espirito Santo ซึ่งถือเป็นแหล่งปลูกกาแฟพันธุ์โรบัสต้าแหล่งใหญ่แห่งหนึ่งในประเทศบราซิลคาดว่าจะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตน้อยลงเกือบ 20% จากที่เคยคาดการณ์ไว้

แม้ว่าเกษตรกรในสหกรณ์ Espirito Santo จะพยายามทำให้ต้นกาแฟนั้นมีน้ำหล่อเลี้ยงดิน เพื่อไม่ให้ดินแห้งเกินไป แต่อากาศที่แห้งแล้งส่งผลทำให้อุณหภูมิสูงมากขึ้น ทำให้ต้นกาแฟพันธุ์โรบัสต้านั้นตายลง ขณะเดียวกันในละแวกสหกรณ์เองเริ่มมีการจำกัดการใช้น้ำ เพื่อป้องกันการขาดแคลนน้ำ ยิ่งทำให้สถานการณ์ดูแย่ลงไปอีก

ก่อนหน้านี้ไม่ใช่แค่ในประเทศบราซิลที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง แต่เวียดนามซึ่งเป็นแหล่งผลิตกาแฟโรบัสต้ารายใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เองนั้นเก็บเกี่ยวผลผลิตได้น้อยสุดในรอบ 4 ปีเช่นกัน

นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาราคาเมล็ดกาแฟพันธุ์โรบัสต้าที่ซื้อขายล่วงหน้ามีราคาปรับสูงขึ้นถึง 42% ส่งผลทำให้ต้นทุนในการผลิตกาแฟนั้นปรับตัวเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันราคาน้ำตาลซึ่งถือเป็นอีกส่วนผสมหลักที่สำคัญของกาแฟสำเร็จรูปก็มีราคาเพิ่มขึ้น ซึ่งสร้างความเสี่ยงที่ราคากาแฟสำเร็จรูปนั้นมีโอกาสปรับเพิ่มสูงขึ้นตาม

]]>
1455176
‘พันธุ์ไทย’ ไม่เป็นเบอร์ 2 แต่ขอเป็นเบอร์ 1.1! พร้อมเพิ่ม ‘กาแฟดริป-แคปซูล’ เจาะตลาดโฮมคอฟฟี่ https://positioningmag.com/1452449 Mon, 20 Nov 2023 07:00:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1452449 ตลาดกาแฟเมืองไทยนับวันยิ่งดุเดือด เพราะมีผู้เล่นหน้าเก่าหน้าใหม่ขยายสาขาแข่งกันเยอะกว่าร้านสะดวกซื้อเสียอีก และ กาแฟพันธุ์ไทยก็ถือเป็นอีกแบรนด์ที่เร่งขยายสาขา พร้อมหาโปรดักส์ใหม่ ๆ เข้ามาดึงดูดผู้บริโภคให้ ติด รสกาแฟของแบรนด์ให้ได้

ตลาดกาแฟ 6 หมื่นล้าน ในบ้านโตกว่านอกบ้าน

แต่ละปีผู้บริโภคไทยบริโภคกาแฟกันหนักถึงปีละ 7 หมื่นตัน เฉลี่ยประมาณ 300 แก้ว/คน/ปี ถึงอย่างนั้น ถ้าเทียบกับตลาดในยุโรปที่บริโภคเฉลี่ย 600-700 แก้ว/คน/ปี แปลว่าตลาดยังมีโอกาสเติบโต ขณะที่ภาพรวมของตลาดกาแฟเมืองไทยในปีที่ผ่านมา มีมูลค่าอยู่ที่ 60,000 ล้านบาท แบ่งเป็น

  • กาแฟนอกบ้าน 27,000 ล้านบาท เติบโต 9.5%
  • กาแฟในบ้าน รวมกาแฟสำเร็จรูป 33,000 ล้านบาท เติบโต 12%

“เมื่อ 4-5 ปีก่อนคนไทยดื่มกาแฟเฉลี่ย 180 แก้ว/คน/ปี แต่ตอนนี้เพิ่มมาเกือบเท่าตัว แสดงให้เห็นว่าคนไทยดื่มกาแฟมากขึ้นโดยเฉพาะ Gen Z และสิ่งที่เป็นตัวเร่งให้ตลาดโฮมคอฟฟี่ให้เติบโตคือ โควิด ที่ทำให้คนอยู่บ้านมากขึ้น เขาก็ชงกาแฟกินเอง และตอนนี้หลายคนยังทำงานแบบไฮบริด ทำให้คนยังชินกับพฤติกรรมเดิมอยู่” พิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี อธิบาย

ออกกาแฟดริป และแคปซูล

จากพฤติกรรมและการเติบโตของตลาดโฮมคอฟฟี่ พันธุ์ไทยก็ออกสินค้ากลุ่มนี้เพื่อสร้างรายได้ใหม่ ๆ โดยล่าสุด ได้เปิดตัว ซีรีส์ 9 กาแฟดริปรักษ์โลกพันธุ์ไทย โดยนำ 9 นักสร้างสรรค์กาแฟไทยมาสร้างสรรค์กลิ่นและรสชาติในแบบฉบับของตัวเอง โดยจะวางจำหน่ายถึง 31 เมษายน 2567 เท่านั้น หลังจากนี้จะมีซีรีส์ใหม่ ๆ ทำเป็นลิมิเต็ดตามช่วงเวลาเพื่อดึงดูดผู้บริโภค

“เราเคยนำร่องนำกาแฟดริปรูปแบบซองที่เป็นสเปเชียลเบลนด์ 2 รสที่เบลนด์จากกาแฟไทยและต่างชาติ ก่อนจะทำ ซีรีส์ 9 กาแฟดริปรักษ์โลกพันธุ์ไทย ซึ่งสาเหตุที่เราจำหน่ายแบบจำกัดเพราะวัตถุดิบมีจำกัด เราเลยต้องทำเป็นลิมิเต็ดซีรีส์ ระยะเวลาประมาณ 3-5 เดือน”

เบื้องต้น กาแฟดริปจะ จำหน่ายเฉพาะในสาขาเท่านั้น เพราะมีข้อจำกัดด้านปริมาณ ทำให้ไม่สามารถขยายไปสู่ช่องทางการจำหน่ายอื่น ๆ ได้ แต่ในช่วงไตรมาส 1 ปีหน้า พันธุ์ไทยมีแผนจะออก กาแฟแคปซูล ซึ่งจะมีจำหน่ายผ่าน อีคอมเมิร์ซ ด้วย จากเดิมอีคอมเมิร์ซของพันธุ์ไทยจะจำหน่ายสินค้าอื่น ๆ ที่ไม่ใช่กาแฟ เช่น แก้วน้ำ แต่เมื่อกาแฟแคปซูลเข้ามา ทางพันธุ์ไทยจะเน้นที่อีคอมเมิร์ซมากขึ้น เพราะมองว่าแบรนด์มีความพร้อม

“เมื่อก่อนเครื่องชงกาแฟแบบแคปซูลมีราคาเป็นหมื่น แต่ตอนนี้ 3,000 บาทก็ซื้อได้ จนทำให้กาแฟแคปซูลเป็นเซกเมนต์ที่เติบโตมากที่สุดในตลาดเพราะชงง่าย ซึ่งเราเห็นการเติบโตตรงนี้เลยมีแผนจะออกกาแฟแบบแคปซูล”

ทั้งนี้ สินค้ากาแฟดริปรูปแบบซองและกาแฟแคปซูล พันธุ์ไทยมองว่าจะมีสัดส่วนรายได้ประมาณ 5-10% ของแบรนด์ นอกจากนี้ยังจะช่วยเพิ่มความถี่ในการเข้าร้านพันธุ์ไทยอีกด้วย

ต้องเร่งขยายสาขาก่อนโดนแย่งทำเลทอง

สิ้นไตรมาส 3 ร้านกาแฟพันธุ์ไทยมี 756 สาขา และคาดว่าสิ้นปีจะขยายครบ 1,000 สาขา และในปีหน้า พันธุ์ไทยวางแผนขยายอีก 800 สาขา รวมเป็น 1,800 สาขา และเพิ่มเป็น 5,000 สาขา ภายใน 5 ปี (2571) โดยจะขยายนอกสถานีปั๊มน้ำมันพีทีเป็นหลัก และจะมีทั้งขยายเองและแฟรนไชส์ ปัจจุบันสัดส่วนของสาขาที่ขยายเองคิดเป็นสัดส่วน 70% แฟรนไชส์ 30% แต่ในปีหน้าและอนาคตคาดว่าสัดส่วนแฟรนไชส์เพิ่มเป็น 40%

พิทักษ์ ย้ำว่า พันธุ์ไทยต้อง เร่งขยายสาขา เพราะความสะดวกก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคจะเลือกเข้าร้าน ดังนั้น พันธุ์ไทยต้องขยายให้เร็ว ไม่เช่นนั้น พื้นที่ไพรม์แอเรีย จะถูกคู่แข่งแย่ง นอกจากนี้พันธุ์ไทยมีแผนขยายที่ประเทศลาว 5 สาขาในปีนี้ และปีหน้าจะเปิดเพิ่มอีก 10 สาขา

“เราไม่อยากให้คนบอกว่า อร่อยแต่หาที่กินไม่ได้ บริการดีแต่หาปั๊มไม่เจอ เราเลยต้องเร่งขยายสาขาเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่าย ซึ่งวันนี้เรามั่นใจว่ามีครบทุกจังหวัด และจากนี้ต้องมีครบ 848 อำเภอทั่วไทย”

มั่นใจสิ้นปีรายได้แตะ 1,700 ล้านบาท

นอกจากกลยุทธ์การขยายสาขา อีกกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้รายได้ของกาแฟพันธุ์ไทยปีนี้แตะ 1,700 ล้านบาท เติบโต 80% ก็คือ บัตร Max Card ที่จำหน่ายในราคาใบละ 599 บาท โดย พิทักษ์ อธิบายว่า บัตร Max Card สร้างการเติบโตให้กับกาแฟพันธุ์ไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยในปีนี้ยอดขาย Same Store เติบโตได้ถึง 30% โดยคาดว่าภายในสิ้นปีจำนวนสมาชิกบัตร Max Card จะครบ 1 แสนราย

“รายได้ทุก ๆ 100 บาทมาจากบัตร Max Card 30% เพราะสิทธิประโยชน์ที่เราให้ เช่น ลดราคากาแฟ 50% ทำให้ผู้บริโภครู้สึกคุ้มค่า เกิดการซื้อซ้ำ เพิ่มความถี่ และ Max Card จะเป็นจุดสำคัญที่แย่งลูกค้าจากคู่แข่ง”

ไม่เป็นเบอร์ 1 ก็ต้องเป็นเบอร์ 1.1

ปัจจุบัน ตลาดกาแฟนอกบ้านแบ่งได้ 3 กลุ่ม ได้แก่ แมสราคา 50-80 บาท มีผู้เล่นรายใหญ่ประมาณ 4-5 แบรนด์ ตามด้วย พรีเมียม ราคา 90-100 บาทขึ้นไป  และสุดท้าย สเปเชียลตี้ สำหรับพันธุ์ไทยแข่งขันในตลาดแมส โดยมีคู่แข่งหลัก ๆ อยู่ 2 แบรนด์ ซึ่งเป็นแบรนด์จากปั๊มน้ำมันเหมือนกัน

สำหรับเบอร์ 1 ในตลาดก็คือ คาเฟ่อเมซอน ที่มีสาขากว่า 4,065 สาขา ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม พันธุ์ไทยมั่นใจว่าจะ ขึ้นเป็นเบอร์ 2 ในปีหน้า โดยมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 10-12% ซึ่งต้องยอมรับว่า แม้ตลาดกาแฟนอกบ้านยังเติบโตได้ 9.5% ต่อปี แต่การจะขึ้นเป็นเบอร์ 2 ของตลาดก็ต้องไป แย่งแชร์คนอื่น ดังนั้น การเร่งขยายสาขาจึงสำคัญมากเพื่อให้เทียบกับเบอร์ 1

“เราต้องเป็นเบอร์ 1 เพราะไม่มีใครจำเบอร์ 2 ได้ ดังนั้น จะทำอะไรก็ต้องฝันให้ไกล เป็นเบอร์ 1 ไม่ได้ก็ไม่ยอมเป็นเบอร์ 2 ต้องเป็นเบอร์ 1.1 ถ้าเขามีส่วนแบ่งตลาด 55% เราก็ต้องมี 45%พิทักษ์ ทิ้งท้าย

]]>
1452449
The Coffee Club เปิดโมเดล Coffee Subscription จ่าย 590 บาท/เดือน ซื้อเครื่องดื่มได้ 10 แก้ว https://positioningmag.com/1451475 Mon, 13 Nov 2023 04:59:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1451475 หากพูดถึงร้าน กาแฟ แน่นอนว่าเป็นตลาดสุดหิน เพราะตลาดกาแฟนอกบ้านมูลค่า 2.7 หมื่นล้านบาท หรือ ร้านคาเฟ่ต่าง ๆ นั้นมีจำนวนมหาศาลและมีการแข่งขันดุเดือด ขณะที่ The Coffee Club แบรนด์ร้านกาแฟในเครือไมเนอร์ที่อยู่ในตลาดมานาน 13 ปี กับภารกิจ เข้าถึงคนไทย ให้มากขึ้น

พิษโควิดทำสาขาหายเกือบครึ่ง

ย้อนไปก่อนช่วงที่ COVID-19 จะระบาด The Coffee Club เคยมีสาขามากกว่า 70 สาขา และลูกค้ากว่า 80% เป็น ชาวต่างชาติ ดังนั้น เมื่อการระบาดของโควิดทำให้นักท่องเที่ยวไม่สามารถเข้ามาในประเทศไทย ทำให้ The Coffee Club ต้องปิดสาขาไปเกือบครึ่ง โดยปัจจุบันเหลือสาขาเพียง 40 สาขา เท่านั้น

ซึ่งการขาดหายไปของกลุ่มลูกค้าหลัก ทำให้ The Coffee Club ต้องหันมาเพิ่มสัดส่วน ลูกค้าคนไทย มากขึ้น เพราะถ้ายังเน้นที่ชาวต่างชาติเหมือนเดิมอาจมีความเสี่ยง และคนที่เข้ามารับภารกิจหินนี้ก็คือ นงชนก สถานานนท์ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ คอฟฟี่ คลับ ภายใต้การดำเนินการของบริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ลูกหม้อเครือไมเนอร์ที่ดูแลด้านการตลาดของ ซิซซ์เล่อร์ ที่เข้ามารับภารกิจนี้ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2021

อยู่ไทยมานาน 13 ปี แต่คนไทยไม่ค่อยรู้จัก

ปัจจุบัน The Coffee Club สามารถเพิ่มสัดส่วนลูกค้าไทยเป็น 35% แล้ว แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ก็ไม่ใช่ง่าย โดย นงชนก อธิบายว่า อุปสรรคสำคัญในการเพิ่มลูกค้าคนไทยก็คือ การรับรู้ เพราะแม้ว่าแบรนด์ The Coffee Club จะอยู่ในไทยมานาน 13 ปี แต่กลับไม่ได้สื่อสารกับคนไทยอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ จำนวนสาขาก็ไม่ได้มีมากเหมือนกับหลาย ๆ แบรนด์ในตลาดด้วยเลยอาจไม่สามารถสร้างการจดจำได้ นอกจากนี้ แบรนด์เองก็ ไม่ได้มีงบโฆษณามาก

ดังนั้น นงชนก จึงต้องพยายาม มัดใจลูกค้าตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้าร้าน เพื่อให้กลับมาอีกครั้ง รวมถึงต้อง บอกต่อ ทำให้การทำ CRM (Customer Relationship Management) โดยใช้ แอปพลิเคชัน The Coffee Club เป็นเครื่องมือสร้าง Awareness โดยจะแจ้งเตือนข่าวสารโปรโมชันต่าง ๆ ได้ลูกค้าที่เป็นกลุ่มลูกค้าได้โดยตรง

“เรามองว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่เวลาเข้าร้านกาแฟคือ เน้นสะดวก ดังนั้น เราจึงโฟกัสที่เฉพาะคนที่อยู่ใกล้ร้านในรัศมี 1-5 กิโลเมตร ซึ่งหากเราทำโฆษณาบนโซเชียลฯ อาจมีลูกค้าเข้าถึงเยอะ แต่อาจมีลูกค้าไม่กี่คนที่อยู่ใกล้กับ The Coffee Club”

ลูกค้าต้องโหลดแอป 100%

นอกจากสิทธิประโยชน์เพื่อจูงใจลูกค้าให้โหลดแอปพลิเคชัน ไม่ว่าจะเป็นการได้กาแฟฟรี 1 แก้วเมื่อโหลดแอปพลิเคชันและสมัครสมาชิก, การสะสมคะแนน อีกจุดสำคัญคือ พนักงาน ซึ่งจะมีการเทรนด์ให้เชิญชวนลูกค้าให้ดาวน์โหลดแอปฯ โดยมีโจทย์คือ ลูกค้าที่เข้าร้านต้องโหลดแอปฯ 100%

จนปัจจุบัน The Coffee Club มีฐานสมาชิกที่ดาวน์โหลดแอปฯ 150,000 ราย เพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีสมาชิกเพียง 25,000 ราย และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จำนวนสมาชิกจะเพิ่มเป็น 170,000 ราย

“เราไม่ได้มีงบการตลาดมาก เราเลยต้องพลิกมุมคิดใหม่แบบกลับหัว โดยใช้ลอยัลตี้โปรแกรมสร้างการรับรู้ ใช้อาหารเป็นต้นทุน ซึ่งเราหวังว่าถ้า The Coffee Club สามารถสร้างยอดขายสัดส่วน 30-40% ในลูกค้ากลุ่มนี้ได้ ก็จะมีรายได้ที่แน่นอนจากลูกค้าประจำ”

นงชนก สถานานนท์ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ คอฟฟี่ คลับ

โมเดลซับสคริปชั่นเพิ่มความถี่การเข้าร้าน

ไม่ใช่แค่คนไทยรู้จัก The Coffee Club น้อย แต่ความถี่ในการเข้าร้านก็น้อย โดยลูกค้าทั่วไปจะมีความถี่ในการเข้าร้านเฉลี่ยเพียง ปีละ 2 ครั้ง ส่วนลูกค้าที่เป็นสมาชิกจะมีความถี่เฉลี่ย 5 ครั้ง/ปี ทำให้ นงชนก จึงทดลองทำโมเดล ซับสคริปชั่น (Subscription) เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกถึงความคุ้มค่า และเพิ่มความถี่ในการเข้าร้าน โดยได้ลองทำ 3 ราคา ได้แก่

  • 5 แก้ว 390 บาท/เดือน
  • 10 แก้ว 590 บาท/เดือน
  • 15 แก้ว 790 บาท/เดือน

หลังจากทำมาได้ประมาณ 6 เดือน The Coffee Club มีลูกค้าที่สมัครซับสคริปชั่นประมาณ 4,000-5,000 คน และส่วนใหญ่จะต่อสมัครต่อเนื่องทุกเดือน โดยลูกค้ากลุ่มนี้จะมีความถี่ในการใช้บริการประมาณ 8 ครั้ง/เดือน เลยทีเดียว และประมาณ 3 ใน 8 ครั้ง ลูกค้าจะ สั่งเมนูอื่นเพิ่ม เฉลี่ย 300 บาท/ครั้ง ดังนั้น ก็เท่ากับเพิ่มโอกาสในการขายให้กับ The Coffee Club อีกด้วย

“ราคากาแฟเราเฉลี่ย 130 บาท/แก้ว แต่ซับสคริปชั่นตก 59 บาท/แก้ว ดังนั้น ลูกค้าที่ชอบความคุ้มค่าก็จะสมัคร ซึ่งเราไม่ได้หวังยอดขาย แต่เราหวังให้ลูกค้าติดเรา เราพบว่าจะมี 3-4 ครั้ง ที่ลูกค้าจะทานในร้าน และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเฉลี่ย 390 บาท/ครั้ง เท่ากับว่าเราได้ราคาต่อมื้อเพิ่ม และเมื่อลูกค้าคุ้นเคยกับเรา เขาก็จะบอกต่อ”

ทั้งนี้ รูปแบบซับสคริปชั่นจะเป็นการสมัครแบบเดือนต่อเดือน แต่ในอนาคตมีแผนจะพัฒนาให้เป็นการสมัครแบบอัตโนมัติเพื่อไม่ให้ลูกค้าต้องมาที่สาขาในทุก ๆ เดือน เพิ่มความสะดวกให้ลูกค้า

เพิ่มเมนูใหม่รวมถึงเมนูเพื่อสุขภาพ

อีกจุดเด่นของ The Coffee Club ก็คือ อาหาร โดยฉพาะ อาหารเช้า ซึ่งในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี The Coffee Club ก็มีการเพิ่มเมนูใหม่อีกกว่า 10 เมนูเพื่อเพิ่มความวาไรตี้ อาทิ สปาเก็ตตี้ไส้กรอกผัดพริกแห้ง, สปาเก็ตตี้หมูกรอบผัดขี้เมา และสปาเก็ตตี้ต้มยำกุ้ง รวมถึงเพิ่ม เมนูเพื่อสุขภาพ ที่กำลังเป็นเทรนด์มาแรง อาทิ เมนูแพลนท์เบส, เครื่องดื่มน้ำตาลต่ำ นอกจากนี้ The Coffee Club ยัง ยกเครื่องเล่มเมนูใหม่ ที่ออกแบบให้ง่ายต่อการใช้งานยิ่งขึ้น

“ชื่อแบรนด์เราคือ Coffee มันมีข้อดีคือ คนรู้ว่าเราขายกาแฟแน่ ๆ แต่คนไม่รู้ว่าเราขายอาหารด้วย ดังนั้น เราอยากให้คนจำเราในฐานะกาแฟและอาหารเช้าอร่อย เพราะลูกค้า 20-25% เป็นลูกค้าอาหารเช้า นี่คือจุดแข็งของเรา”

ยังไม่กลับไป 70 สาขาเท่าเดิม

ในส่วนของการขยายสาขา ปีนี้ The Coffee Club มีสาขาใหม่ 4 สาขา เป็นสาขาใหญ่ 3 สาขา เล็ก 1 สาขา โดย นงชนก กล่าวว่า ปีหน้าจะยังขยายสาขาใหม่ประมาณ 4-5 สาขา โดยจะเน้นในพื้นที่สำนักงานออฟฟิศและโรงพยาบาล ส่วนการเปิดในห้างสรรพสินค้าอาจยังไม่มีแผน เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านเวลา ซึ่งอาจทำให้ขายอาหารเช้าที่เป็นจุดแข็งไม่ได้

นอกจากนี้ The Coffee Club ได้เริ่มทดลองเปิด สาขา 24 ชั่วโมง เพื่อรองรับลูกค้านักท่องเที่ยวที่โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท 55 หรือซอยทองหล่อ โดยถ้าได้รับการตอบรับดีอาจขยายไปเปิดสาขาในจังหวัดท่องเที่ยวภาคใต้ เช่น ภูเก็ต

“เราคงไม่เร่งเปิดสาขาให้มาก ๆ เพราะเราไม่ต้องการที่จะไปแข่งกับแบรนด์ใหญ่ แต่เป็นจุดนัดพบของคนไทย อยากให้เน้นคุณภาพอาหาร บริการ ทำให้ลูกค้ามาแล้วได้ประสบการณ์ มีความสุข ไม่ต้องเติบโตโฉ่งฉ่าง แต่ยังสร้างการเติบโตได้ และคงไม่เน้นเปิดร้านทุกห้าง แต่จะเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมจริง ๆ”

]]>
1451475
‘Starbucks’ โชว์รายได้ Q4/2023 เหนือความคาดหมาย พร้อมเล็งขยายสาขาเพิ่ม 1.7 หมื่นแห่งภายในปี 2573 https://positioningmag.com/1450594 Fri, 03 Nov 2023 07:08:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1450594 เชนร้านกาแฟรายใหญ่ของโลกอย่าง สตาร์บัคส์ (Starbucks) โชว์ผลงานไตรมาส 4 ประจำปีงบประมาณ (ก.ค.-ก.ย.) ที่ทำได้เหนือความคาดหมายของนักวิเคราะห์ โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะการขยายสาขาใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง

สตาร์บัคส์ ได้เปิดเผยผลประกอบการช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน โดยมีรายได้แตะ 9.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโต +11% ซึ่งเกินความคาดหมายของนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะทำรายได้ 9.3 พันล้านดอลลาร์ โดยหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้สตาร์บัคส์เติบโตเหนือความคาดหมายมาจากการ เปิดร้านใหม่ จำนวน 816 แห่ง ในไตรมาสดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันสตาร์บัคส์มีจำนวนสาขามากกว่า 38,000 แห่งทั่วโลก

นอกจากนี้ บริษัทได้มีการรีโนเวตสาขาอย่างต่อเนื่อง อย่างในอเมริกาเหนือที่มีอยู่ยังช่วยเพิ่มยอดขายและทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ บริษัทได้ใช้งบรีโนเวตรวมกว่า 450 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในส่วนของรายได้จากสาขาเดิม (ที่เปิดอย่างน้อยหนึ่งปี) เพิ่มขึ้น +8% ซึ่งเกินกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 6.8% โดยเฉพาะสาขาในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 8% และมีจำนวนลูกค้าเข้าร้านค้าเพิ่มขึ้น 2% นอกจากนี้ผู้บริโภคใช้เวลาในร้านนานขึ้น

ขณะที่ยอดขายสาขาในประเทศ จีน ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่เป็น อันดับสอง ของบริษัท เพิ่มขึ้น +2% มีลูกค้าเข้าร้านเพิ่มขึ้น +4% แต่ผู้บริโภคใช้เวลาในร้านน้อยลง อย่างไรก็ตาม สตาร์บัคส์ยังคงให้ความสำคัญกับตลาดจีน โดยเตรียมขยายสาขาจาก 6,500 สาขา เป็น 9,000 สาขา ภายในสิ้นปี 2568 ส่วนสาขาทั่วโลก บริษัทมีแผนจะขยายเพิ่มอีก 17,000 สาขา เป็น 55,000 สาขา ภายในปี 2573

]]>
1450594
สตาร์ทอัพสหรัฐฯ ไอเดียดี เตรียมเปิดตัวกาแฟไร้เมล็ด ลดการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อปลูกต้นกาแฟ https://positioningmag.com/1446831 Thu, 05 Oct 2023 07:35:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1446831 Atomo Coffee สตาร์ทอัพจากสหรัฐอเมริกา เตรียมเปิดตัวกาแฟไร้เมล็ด โดยผลิตมาจากส่วนประกอบหลายชนิต มีรสชาติแทบจะเหมือนกาแฟทุกประการ โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวผลิตเพื่อลดการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อปลูกต้นกาแฟ รวมถึงลดปัญหาโลกร้อน

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวว่า Atomo Coffee สตาร์ทอัพจากเมืองซีแอตเทิล สหรัฐอเมริกา เตรียมที่จะเปิดตัวกาแฟไร้เมล็ด โดยจุดประสงค์หลักคือลดการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อการปลูกต้นกาแฟ หลังความต้องการกาแฟเพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนผสมของกาแฟไร้เมล็ดที่บริษัทผลิตออกมานั้นประกอบไปด้วยน้ำมันสะกัดจากดอกทานตะวัน อินทผลัม กาเฟอีน ฟีนูกรีกหรือลูกซัดที่สกัดเอาไขมันออกไป เป็นต้น ซึ่งรสชาตินั้นผู้ผลิตได้กล่าวว่าแทบเหมือนกาแฟเกือบทุกประการ เนื่องจากผลิตโดยใช้โครงสร้างทางเคมีที่คล้ายกัน

Andy Kleitsch ซึ่งเป็น CEO และผู้ร่วมก่อตั้งของ Atomo Coffee ได้กล่าวว่า “กาแฟทำให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่าในแต่ละวัน โดยในแต่ละวันมีการตัดไม้ทำลายป่า 10 เท่าของขนาดของ Central Park ใน New York ซึ่งถือเป็นอัตราที่น่าตกใจ

การตัดไม้ทำลายป่าถือเป็นสาเหตุสำคัญอันดับ 2 ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามหลังจากการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงประเภทฟอสซิล และจากการศึกษาพบว่าภายในปี 2050 พื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งที่ใช้ปลูกกาแฟในปัจจุบันอาจไม่สามารถผลิตเม็ดกาแฟออกมาได้เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ไม่เพียงเท่านี้ ปริมาณฝนที่ตกหนักจากสภาวะโลกร้อนก็ส่งผลทำให้การเก็บเกี่ยวเมล็ดกาแฟนั้นทำได้ลดลง ส่งผลทำให้เมล็ดกาแฟมีราคาแพงมากขึ้น

นอกจากนี้บริษัทกล่าวว่ากาแฟไร้เมล็ดของบริษัทช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 93% และใช้น้ำน้อยกว่ากาแฟทั่วไปถึง 94%

โดยผลิตภัณฑ์กาแฟไร้เมล็ดของบริษัทจะเจาะไปยังกลุ่มลูกค้าร้านกาแฟเป็นหลักก่อน และบริษัทกำลังเจรจากับบริษัทผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่ของโลกบางรายในการผลิตสินค้าเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดหลังจากนี้

Atomo Coffee ได้รับเงินลงทุนมากถึง 51.6 ล้านเหรียญสหรัฐ และนักลงทุนบางส่วนเคยเป็นนักลงทุนผู้อยู่เบื้องหลังบริษัทอย่าง Beyond Meat ด้วย โดยนักลงทุนเหล่านี้หวังว่ากาแฟไร้เมล็ดจากผู้ผลิตรายนี้จะได้รับความนิยมในท้ายที่สุด

]]>
1446831