กาแฟ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 14 Dec 2023 13:36:36 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘จีน’ จากดินแดนแห่ง ‘ชา’ สู่ประเทศที่มีสาขา ‘แบรนด์ร้านกาแฟ’ แตะ 5 หมื่นสาขา มากที่สุดในโลกแซงหน้าอเมริกา! https://positioningmag.com/1455606 Thu, 14 Dec 2023 07:01:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1455606 ถือเป็นอะไรที่น่าสนใจเหมือนกันที่ ‘จีน’ ประเทศที่ขึ้นชื่อในด้านการบริโภค ‘ชา’ และถือเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมของคนจีน แต่ปัจจุบันจีนได้แซงหน้าสหรัฐอเมริกาในฐานะตลาดที่มีสาขา แบรนด์ร้านกาแฟ มากที่สุดในโลก

ตามรายงานของ World Coffee Portal เปิดเผยว่า จำนวนแบรนด์ร้านกาแฟในประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลกอย่าง จีน เพิ่มขึ้น +58% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา โดยมีสาขารวมมากถึง 49,691 แห่ง แบรนด์ที่มีสาขาทั่วโลกอย่าง Starbucks ได้เปิดสาขาใหม่เพิ่ม 785 สาขา ในช่วงเวลาดังกล่าว รวมแล้วมีกว่า 6,000 สาขา โดยปัจจุบัน Starbucks ถือเป็นแบรนด์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสอง รองจาก Luckin Coffee ร้านกาแฟสตาร์ทอัพสัญชาติจีนที่มีสาขากว่า 13,000 สาขา

“คอกาแฟชาวจีนมากกว่า 90% ที่ทำการสำรวจ ดื่มกาแฟร้อนทุกสัปดาห์ ในขณะที่ 64% ดื่มกาแฟเย็นอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และผู้บริโภคเกือบ 90% ที่ทำแบบสำรวจ จะไปเยี่ยมชมหรือสั่งอาหารจากร้านกาแฟอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง”

ปัจจุบัน จีนได้กลายเป็นมหาอำนาจของอุตสาหกรรมกาแฟระดับโลก แม้ว่าจะต้องเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจมากมายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็ตาม โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมาแบรนด์อย่าง Starbucks ได้ทุ่มเงินมากกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้าง ‘สตาร์บัคส์ ไชน่า คอฟฟี่ อินโนเวทีฟ อินดัสเทรีย พาร์ค’ (Starbucks China Coffee Innovation Industrial Park) นิคมอุตสาหกรรมด้านกาแฟขนาดใหญ่ในภาคตะวันออกของจีน โดยพึ่งเปิดตัวในเดือนกันยายนที่ผ่านมา

การลงทุนดังกล่าวถือเป็นการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยทำมา สำหรับศูนย์ผลิตและจำหน่ายกาแฟนอกสหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน ประเทศจีนเป็นหนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญที่สุดของ Starbucks มายาวนาน โดยทำหน้าที่เป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกและเป็นตลาดต่างประเทศชั้นนำ โดย Starbucks ได้ตั้งเป้าเปิดร้าน 9,000 สาขา ในจีนภายในปี 2025

]]>
1455606
กาแฟสำเร็จรูปอาจมีราคาแพงขึ้น สาเหตุจากผลผลิตในบราซิลเก็บเกี่ยวได้น้อยลงเกือบ 20% https://positioningmag.com/1455176 Tue, 12 Dec 2023 03:38:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1455176 ราคากาแฟสำเร็จรูปนั้นมีโอกาสที่จะปรับตัวสูงขึ้นได้ สาเหตุสำคัญมาจากเมล็ดกาแฟพันธุ์โรบัสต้านั้นเก็บเกี่ยวได้น้อยลง จากปัญหาสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง ซึ่งก่อนหน้านี้ผลผลิตในประเทศเวียดนามเองก็เก็บเกี่ยวได้น้อยลงเช่นกัน

สำนักข่าว Bloomberg รายงานข่าวว่า ราคากาแฟสำเร็จรูปนั้นมีโอกาสที่จะปรับตัวสูงขึ้นได้ สาเหตุสำคัญมาจากเมล็ดกาแฟพันธุ์โรบัสต้านั้นเก็บเกี่ยวได้น้อยลง จากปัญหาสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เมล็ดกาแฟพันธุ์โรบัสต้านั้นเก็บเกี่ยวได้น้อยลงในบราซิลคือสภาวะอากาศที่แห้งแล้ง ปริมาณฝนที่ตกน้อยลง รวมถึงอุณหภูมิที่สูงมากขึ้น โดยสหกรณ์ Espirito Santo ซึ่งถือเป็นแหล่งปลูกกาแฟพันธุ์โรบัสต้าแหล่งใหญ่แห่งหนึ่งในประเทศบราซิลคาดว่าจะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตน้อยลงเกือบ 20% จากที่เคยคาดการณ์ไว้

แม้ว่าเกษตรกรในสหกรณ์ Espirito Santo จะพยายามทำให้ต้นกาแฟนั้นมีน้ำหล่อเลี้ยงดิน เพื่อไม่ให้ดินแห้งเกินไป แต่อากาศที่แห้งแล้งส่งผลทำให้อุณหภูมิสูงมากขึ้น ทำให้ต้นกาแฟพันธุ์โรบัสต้านั้นตายลง ขณะเดียวกันในละแวกสหกรณ์เองเริ่มมีการจำกัดการใช้น้ำ เพื่อป้องกันการขาดแคลนน้ำ ยิ่งทำให้สถานการณ์ดูแย่ลงไปอีก

ก่อนหน้านี้ไม่ใช่แค่ในประเทศบราซิลที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง แต่เวียดนามซึ่งเป็นแหล่งผลิตกาแฟโรบัสต้ารายใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เองนั้นเก็บเกี่ยวผลผลิตได้น้อยสุดในรอบ 4 ปีเช่นกัน

นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาราคาเมล็ดกาแฟพันธุ์โรบัสต้าที่ซื้อขายล่วงหน้ามีราคาปรับสูงขึ้นถึง 42% ส่งผลทำให้ต้นทุนในการผลิตกาแฟนั้นปรับตัวเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันราคาน้ำตาลซึ่งถือเป็นอีกส่วนผสมหลักที่สำคัญของกาแฟสำเร็จรูปก็มีราคาเพิ่มขึ้น ซึ่งสร้างความเสี่ยงที่ราคากาแฟสำเร็จรูปนั้นมีโอกาสปรับเพิ่มสูงขึ้นตาม

]]>
1455176
‘พันธุ์ไทย’ ไม่เป็นเบอร์ 2 แต่ขอเป็นเบอร์ 1.1! พร้อมเพิ่ม ‘กาแฟดริป-แคปซูล’ เจาะตลาดโฮมคอฟฟี่ https://positioningmag.com/1452449 Mon, 20 Nov 2023 07:00:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1452449 ตลาดกาแฟเมืองไทยนับวันยิ่งดุเดือด เพราะมีผู้เล่นหน้าเก่าหน้าใหม่ขยายสาขาแข่งกันเยอะกว่าร้านสะดวกซื้อเสียอีก และ กาแฟพันธุ์ไทยก็ถือเป็นอีกแบรนด์ที่เร่งขยายสาขา พร้อมหาโปรดักส์ใหม่ ๆ เข้ามาดึงดูดผู้บริโภคให้ ติด รสกาแฟของแบรนด์ให้ได้

ตลาดกาแฟ 6 หมื่นล้าน ในบ้านโตกว่านอกบ้าน

แต่ละปีผู้บริโภคไทยบริโภคกาแฟกันหนักถึงปีละ 7 หมื่นตัน เฉลี่ยประมาณ 300 แก้ว/คน/ปี ถึงอย่างนั้น ถ้าเทียบกับตลาดในยุโรปที่บริโภคเฉลี่ย 600-700 แก้ว/คน/ปี แปลว่าตลาดยังมีโอกาสเติบโต ขณะที่ภาพรวมของตลาดกาแฟเมืองไทยในปีที่ผ่านมา มีมูลค่าอยู่ที่ 60,000 ล้านบาท แบ่งเป็น

  • กาแฟนอกบ้าน 27,000 ล้านบาท เติบโต 9.5%
  • กาแฟในบ้าน รวมกาแฟสำเร็จรูป 33,000 ล้านบาท เติบโต 12%

“เมื่อ 4-5 ปีก่อนคนไทยดื่มกาแฟเฉลี่ย 180 แก้ว/คน/ปี แต่ตอนนี้เพิ่มมาเกือบเท่าตัว แสดงให้เห็นว่าคนไทยดื่มกาแฟมากขึ้นโดยเฉพาะ Gen Z และสิ่งที่เป็นตัวเร่งให้ตลาดโฮมคอฟฟี่ให้เติบโตคือ โควิด ที่ทำให้คนอยู่บ้านมากขึ้น เขาก็ชงกาแฟกินเอง และตอนนี้หลายคนยังทำงานแบบไฮบริด ทำให้คนยังชินกับพฤติกรรมเดิมอยู่” พิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี อธิบาย

ออกกาแฟดริป และแคปซูล

จากพฤติกรรมและการเติบโตของตลาดโฮมคอฟฟี่ พันธุ์ไทยก็ออกสินค้ากลุ่มนี้เพื่อสร้างรายได้ใหม่ ๆ โดยล่าสุด ได้เปิดตัว ซีรีส์ 9 กาแฟดริปรักษ์โลกพันธุ์ไทย โดยนำ 9 นักสร้างสรรค์กาแฟไทยมาสร้างสรรค์กลิ่นและรสชาติในแบบฉบับของตัวเอง โดยจะวางจำหน่ายถึง 31 เมษายน 2567 เท่านั้น หลังจากนี้จะมีซีรีส์ใหม่ ๆ ทำเป็นลิมิเต็ดตามช่วงเวลาเพื่อดึงดูดผู้บริโภค

“เราเคยนำร่องนำกาแฟดริปรูปแบบซองที่เป็นสเปเชียลเบลนด์ 2 รสที่เบลนด์จากกาแฟไทยและต่างชาติ ก่อนจะทำ ซีรีส์ 9 กาแฟดริปรักษ์โลกพันธุ์ไทย ซึ่งสาเหตุที่เราจำหน่ายแบบจำกัดเพราะวัตถุดิบมีจำกัด เราเลยต้องทำเป็นลิมิเต็ดซีรีส์ ระยะเวลาประมาณ 3-5 เดือน”

เบื้องต้น กาแฟดริปจะ จำหน่ายเฉพาะในสาขาเท่านั้น เพราะมีข้อจำกัดด้านปริมาณ ทำให้ไม่สามารถขยายไปสู่ช่องทางการจำหน่ายอื่น ๆ ได้ แต่ในช่วงไตรมาส 1 ปีหน้า พันธุ์ไทยมีแผนจะออก กาแฟแคปซูล ซึ่งจะมีจำหน่ายผ่าน อีคอมเมิร์ซ ด้วย จากเดิมอีคอมเมิร์ซของพันธุ์ไทยจะจำหน่ายสินค้าอื่น ๆ ที่ไม่ใช่กาแฟ เช่น แก้วน้ำ แต่เมื่อกาแฟแคปซูลเข้ามา ทางพันธุ์ไทยจะเน้นที่อีคอมเมิร์ซมากขึ้น เพราะมองว่าแบรนด์มีความพร้อม

“เมื่อก่อนเครื่องชงกาแฟแบบแคปซูลมีราคาเป็นหมื่น แต่ตอนนี้ 3,000 บาทก็ซื้อได้ จนทำให้กาแฟแคปซูลเป็นเซกเมนต์ที่เติบโตมากที่สุดในตลาดเพราะชงง่าย ซึ่งเราเห็นการเติบโตตรงนี้เลยมีแผนจะออกกาแฟแบบแคปซูล”

ทั้งนี้ สินค้ากาแฟดริปรูปแบบซองและกาแฟแคปซูล พันธุ์ไทยมองว่าจะมีสัดส่วนรายได้ประมาณ 5-10% ของแบรนด์ นอกจากนี้ยังจะช่วยเพิ่มความถี่ในการเข้าร้านพันธุ์ไทยอีกด้วย

ต้องเร่งขยายสาขาก่อนโดนแย่งทำเลทอง

สิ้นไตรมาส 3 ร้านกาแฟพันธุ์ไทยมี 756 สาขา และคาดว่าสิ้นปีจะขยายครบ 1,000 สาขา และในปีหน้า พันธุ์ไทยวางแผนขยายอีก 800 สาขา รวมเป็น 1,800 สาขา และเพิ่มเป็น 5,000 สาขา ภายใน 5 ปี (2571) โดยจะขยายนอกสถานีปั๊มน้ำมันพีทีเป็นหลัก และจะมีทั้งขยายเองและแฟรนไชส์ ปัจจุบันสัดส่วนของสาขาที่ขยายเองคิดเป็นสัดส่วน 70% แฟรนไชส์ 30% แต่ในปีหน้าและอนาคตคาดว่าสัดส่วนแฟรนไชส์เพิ่มเป็น 40%

พิทักษ์ ย้ำว่า พันธุ์ไทยต้อง เร่งขยายสาขา เพราะความสะดวกก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคจะเลือกเข้าร้าน ดังนั้น พันธุ์ไทยต้องขยายให้เร็ว ไม่เช่นนั้น พื้นที่ไพรม์แอเรีย จะถูกคู่แข่งแย่ง นอกจากนี้พันธุ์ไทยมีแผนขยายที่ประเทศลาว 5 สาขาในปีนี้ และปีหน้าจะเปิดเพิ่มอีก 10 สาขา

“เราไม่อยากให้คนบอกว่า อร่อยแต่หาที่กินไม่ได้ บริการดีแต่หาปั๊มไม่เจอ เราเลยต้องเร่งขยายสาขาเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่าย ซึ่งวันนี้เรามั่นใจว่ามีครบทุกจังหวัด และจากนี้ต้องมีครบ 848 อำเภอทั่วไทย”

มั่นใจสิ้นปีรายได้แตะ 1,700 ล้านบาท

นอกจากกลยุทธ์การขยายสาขา อีกกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้รายได้ของกาแฟพันธุ์ไทยปีนี้แตะ 1,700 ล้านบาท เติบโต 80% ก็คือ บัตร Max Card ที่จำหน่ายในราคาใบละ 599 บาท โดย พิทักษ์ อธิบายว่า บัตร Max Card สร้างการเติบโตให้กับกาแฟพันธุ์ไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยในปีนี้ยอดขาย Same Store เติบโตได้ถึง 30% โดยคาดว่าภายในสิ้นปีจำนวนสมาชิกบัตร Max Card จะครบ 1 แสนราย

“รายได้ทุก ๆ 100 บาทมาจากบัตร Max Card 30% เพราะสิทธิประโยชน์ที่เราให้ เช่น ลดราคากาแฟ 50% ทำให้ผู้บริโภครู้สึกคุ้มค่า เกิดการซื้อซ้ำ เพิ่มความถี่ และ Max Card จะเป็นจุดสำคัญที่แย่งลูกค้าจากคู่แข่ง”

ไม่เป็นเบอร์ 1 ก็ต้องเป็นเบอร์ 1.1

ปัจจุบัน ตลาดกาแฟนอกบ้านแบ่งได้ 3 กลุ่ม ได้แก่ แมสราคา 50-80 บาท มีผู้เล่นรายใหญ่ประมาณ 4-5 แบรนด์ ตามด้วย พรีเมียม ราคา 90-100 บาทขึ้นไป  และสุดท้าย สเปเชียลตี้ สำหรับพันธุ์ไทยแข่งขันในตลาดแมส โดยมีคู่แข่งหลัก ๆ อยู่ 2 แบรนด์ ซึ่งเป็นแบรนด์จากปั๊มน้ำมันเหมือนกัน

สำหรับเบอร์ 1 ในตลาดก็คือ คาเฟ่อเมซอน ที่มีสาขากว่า 4,065 สาขา ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม พันธุ์ไทยมั่นใจว่าจะ ขึ้นเป็นเบอร์ 2 ในปีหน้า โดยมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 10-12% ซึ่งต้องยอมรับว่า แม้ตลาดกาแฟนอกบ้านยังเติบโตได้ 9.5% ต่อปี แต่การจะขึ้นเป็นเบอร์ 2 ของตลาดก็ต้องไป แย่งแชร์คนอื่น ดังนั้น การเร่งขยายสาขาจึงสำคัญมากเพื่อให้เทียบกับเบอร์ 1

“เราต้องเป็นเบอร์ 1 เพราะไม่มีใครจำเบอร์ 2 ได้ ดังนั้น จะทำอะไรก็ต้องฝันให้ไกล เป็นเบอร์ 1 ไม่ได้ก็ไม่ยอมเป็นเบอร์ 2 ต้องเป็นเบอร์ 1.1 ถ้าเขามีส่วนแบ่งตลาด 55% เราก็ต้องมี 45%พิทักษ์ ทิ้งท้าย

]]>
1452449
The Coffee Club เปิดโมเดล Coffee Subscription จ่าย 590 บาท/เดือน ซื้อเครื่องดื่มได้ 10 แก้ว https://positioningmag.com/1451475 Mon, 13 Nov 2023 04:59:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1451475 หากพูดถึงร้าน กาแฟ แน่นอนว่าเป็นตลาดสุดหิน เพราะตลาดกาแฟนอกบ้านมูลค่า 2.7 หมื่นล้านบาท หรือ ร้านคาเฟ่ต่าง ๆ นั้นมีจำนวนมหาศาลและมีการแข่งขันดุเดือด ขณะที่ The Coffee Club แบรนด์ร้านกาแฟในเครือไมเนอร์ที่อยู่ในตลาดมานาน 13 ปี กับภารกิจ เข้าถึงคนไทย ให้มากขึ้น

พิษโควิดทำสาขาหายเกือบครึ่ง

ย้อนไปก่อนช่วงที่ COVID-19 จะระบาด The Coffee Club เคยมีสาขามากกว่า 70 สาขา และลูกค้ากว่า 80% เป็น ชาวต่างชาติ ดังนั้น เมื่อการระบาดของโควิดทำให้นักท่องเที่ยวไม่สามารถเข้ามาในประเทศไทย ทำให้ The Coffee Club ต้องปิดสาขาไปเกือบครึ่ง โดยปัจจุบันเหลือสาขาเพียง 40 สาขา เท่านั้น

ซึ่งการขาดหายไปของกลุ่มลูกค้าหลัก ทำให้ The Coffee Club ต้องหันมาเพิ่มสัดส่วน ลูกค้าคนไทย มากขึ้น เพราะถ้ายังเน้นที่ชาวต่างชาติเหมือนเดิมอาจมีความเสี่ยง และคนที่เข้ามารับภารกิจหินนี้ก็คือ นงชนก สถานานนท์ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ คอฟฟี่ คลับ ภายใต้การดำเนินการของบริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ลูกหม้อเครือไมเนอร์ที่ดูแลด้านการตลาดของ ซิซซ์เล่อร์ ที่เข้ามารับภารกิจนี้ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2021

อยู่ไทยมานาน 13 ปี แต่คนไทยไม่ค่อยรู้จัก

ปัจจุบัน The Coffee Club สามารถเพิ่มสัดส่วนลูกค้าไทยเป็น 35% แล้ว แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ก็ไม่ใช่ง่าย โดย นงชนก อธิบายว่า อุปสรรคสำคัญในการเพิ่มลูกค้าคนไทยก็คือ การรับรู้ เพราะแม้ว่าแบรนด์ The Coffee Club จะอยู่ในไทยมานาน 13 ปี แต่กลับไม่ได้สื่อสารกับคนไทยอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ จำนวนสาขาก็ไม่ได้มีมากเหมือนกับหลาย ๆ แบรนด์ในตลาดด้วยเลยอาจไม่สามารถสร้างการจดจำได้ นอกจากนี้ แบรนด์เองก็ ไม่ได้มีงบโฆษณามาก

ดังนั้น นงชนก จึงต้องพยายาม มัดใจลูกค้าตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้าร้าน เพื่อให้กลับมาอีกครั้ง รวมถึงต้อง บอกต่อ ทำให้การทำ CRM (Customer Relationship Management) โดยใช้ แอปพลิเคชัน The Coffee Club เป็นเครื่องมือสร้าง Awareness โดยจะแจ้งเตือนข่าวสารโปรโมชันต่าง ๆ ได้ลูกค้าที่เป็นกลุ่มลูกค้าได้โดยตรง

“เรามองว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่เวลาเข้าร้านกาแฟคือ เน้นสะดวก ดังนั้น เราจึงโฟกัสที่เฉพาะคนที่อยู่ใกล้ร้านในรัศมี 1-5 กิโลเมตร ซึ่งหากเราทำโฆษณาบนโซเชียลฯ อาจมีลูกค้าเข้าถึงเยอะ แต่อาจมีลูกค้าไม่กี่คนที่อยู่ใกล้กับ The Coffee Club”

ลูกค้าต้องโหลดแอป 100%

นอกจากสิทธิประโยชน์เพื่อจูงใจลูกค้าให้โหลดแอปพลิเคชัน ไม่ว่าจะเป็นการได้กาแฟฟรี 1 แก้วเมื่อโหลดแอปพลิเคชันและสมัครสมาชิก, การสะสมคะแนน อีกจุดสำคัญคือ พนักงาน ซึ่งจะมีการเทรนด์ให้เชิญชวนลูกค้าให้ดาวน์โหลดแอปฯ โดยมีโจทย์คือ ลูกค้าที่เข้าร้านต้องโหลดแอปฯ 100%

จนปัจจุบัน The Coffee Club มีฐานสมาชิกที่ดาวน์โหลดแอปฯ 150,000 ราย เพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีสมาชิกเพียง 25,000 ราย และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จำนวนสมาชิกจะเพิ่มเป็น 170,000 ราย

“เราไม่ได้มีงบการตลาดมาก เราเลยต้องพลิกมุมคิดใหม่แบบกลับหัว โดยใช้ลอยัลตี้โปรแกรมสร้างการรับรู้ ใช้อาหารเป็นต้นทุน ซึ่งเราหวังว่าถ้า The Coffee Club สามารถสร้างยอดขายสัดส่วน 30-40% ในลูกค้ากลุ่มนี้ได้ ก็จะมีรายได้ที่แน่นอนจากลูกค้าประจำ”

นงชนก สถานานนท์ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ คอฟฟี่ คลับ

โมเดลซับสคริปชั่นเพิ่มความถี่การเข้าร้าน

ไม่ใช่แค่คนไทยรู้จัก The Coffee Club น้อย แต่ความถี่ในการเข้าร้านก็น้อย โดยลูกค้าทั่วไปจะมีความถี่ในการเข้าร้านเฉลี่ยเพียง ปีละ 2 ครั้ง ส่วนลูกค้าที่เป็นสมาชิกจะมีความถี่เฉลี่ย 5 ครั้ง/ปี ทำให้ นงชนก จึงทดลองทำโมเดล ซับสคริปชั่น (Subscription) เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกถึงความคุ้มค่า และเพิ่มความถี่ในการเข้าร้าน โดยได้ลองทำ 3 ราคา ได้แก่

  • 5 แก้ว 390 บาท/เดือน
  • 10 แก้ว 590 บาท/เดือน
  • 15 แก้ว 790 บาท/เดือน

หลังจากทำมาได้ประมาณ 6 เดือน The Coffee Club มีลูกค้าที่สมัครซับสคริปชั่นประมาณ 4,000-5,000 คน และส่วนใหญ่จะต่อสมัครต่อเนื่องทุกเดือน โดยลูกค้ากลุ่มนี้จะมีความถี่ในการใช้บริการประมาณ 8 ครั้ง/เดือน เลยทีเดียว และประมาณ 3 ใน 8 ครั้ง ลูกค้าจะ สั่งเมนูอื่นเพิ่ม เฉลี่ย 300 บาท/ครั้ง ดังนั้น ก็เท่ากับเพิ่มโอกาสในการขายให้กับ The Coffee Club อีกด้วย

“ราคากาแฟเราเฉลี่ย 130 บาท/แก้ว แต่ซับสคริปชั่นตก 59 บาท/แก้ว ดังนั้น ลูกค้าที่ชอบความคุ้มค่าก็จะสมัคร ซึ่งเราไม่ได้หวังยอดขาย แต่เราหวังให้ลูกค้าติดเรา เราพบว่าจะมี 3-4 ครั้ง ที่ลูกค้าจะทานในร้าน และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเฉลี่ย 390 บาท/ครั้ง เท่ากับว่าเราได้ราคาต่อมื้อเพิ่ม และเมื่อลูกค้าคุ้นเคยกับเรา เขาก็จะบอกต่อ”

ทั้งนี้ รูปแบบซับสคริปชั่นจะเป็นการสมัครแบบเดือนต่อเดือน แต่ในอนาคตมีแผนจะพัฒนาให้เป็นการสมัครแบบอัตโนมัติเพื่อไม่ให้ลูกค้าต้องมาที่สาขาในทุก ๆ เดือน เพิ่มความสะดวกให้ลูกค้า

เพิ่มเมนูใหม่รวมถึงเมนูเพื่อสุขภาพ

อีกจุดเด่นของ The Coffee Club ก็คือ อาหาร โดยฉพาะ อาหารเช้า ซึ่งในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี The Coffee Club ก็มีการเพิ่มเมนูใหม่อีกกว่า 10 เมนูเพื่อเพิ่มความวาไรตี้ อาทิ สปาเก็ตตี้ไส้กรอกผัดพริกแห้ง, สปาเก็ตตี้หมูกรอบผัดขี้เมา และสปาเก็ตตี้ต้มยำกุ้ง รวมถึงเพิ่ม เมนูเพื่อสุขภาพ ที่กำลังเป็นเทรนด์มาแรง อาทิ เมนูแพลนท์เบส, เครื่องดื่มน้ำตาลต่ำ นอกจากนี้ The Coffee Club ยัง ยกเครื่องเล่มเมนูใหม่ ที่ออกแบบให้ง่ายต่อการใช้งานยิ่งขึ้น

“ชื่อแบรนด์เราคือ Coffee มันมีข้อดีคือ คนรู้ว่าเราขายกาแฟแน่ ๆ แต่คนไม่รู้ว่าเราขายอาหารด้วย ดังนั้น เราอยากให้คนจำเราในฐานะกาแฟและอาหารเช้าอร่อย เพราะลูกค้า 20-25% เป็นลูกค้าอาหารเช้า นี่คือจุดแข็งของเรา”

ยังไม่กลับไป 70 สาขาเท่าเดิม

ในส่วนของการขยายสาขา ปีนี้ The Coffee Club มีสาขาใหม่ 4 สาขา เป็นสาขาใหญ่ 3 สาขา เล็ก 1 สาขา โดย นงชนก กล่าวว่า ปีหน้าจะยังขยายสาขาใหม่ประมาณ 4-5 สาขา โดยจะเน้นในพื้นที่สำนักงานออฟฟิศและโรงพยาบาล ส่วนการเปิดในห้างสรรพสินค้าอาจยังไม่มีแผน เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านเวลา ซึ่งอาจทำให้ขายอาหารเช้าที่เป็นจุดแข็งไม่ได้

นอกจากนี้ The Coffee Club ได้เริ่มทดลองเปิด สาขา 24 ชั่วโมง เพื่อรองรับลูกค้านักท่องเที่ยวที่โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท 55 หรือซอยทองหล่อ โดยถ้าได้รับการตอบรับดีอาจขยายไปเปิดสาขาในจังหวัดท่องเที่ยวภาคใต้ เช่น ภูเก็ต

“เราคงไม่เร่งเปิดสาขาให้มาก ๆ เพราะเราไม่ต้องการที่จะไปแข่งกับแบรนด์ใหญ่ แต่เป็นจุดนัดพบของคนไทย อยากให้เน้นคุณภาพอาหาร บริการ ทำให้ลูกค้ามาแล้วได้ประสบการณ์ มีความสุข ไม่ต้องเติบโตโฉ่งฉ่าง แต่ยังสร้างการเติบโตได้ และคงไม่เน้นเปิดร้านทุกห้าง แต่จะเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมจริง ๆ”

]]>
1451475
‘Starbucks’ โชว์รายได้ Q4/2023 เหนือความคาดหมาย พร้อมเล็งขยายสาขาเพิ่ม 1.7 หมื่นแห่งภายในปี 2573 https://positioningmag.com/1450594 Fri, 03 Nov 2023 07:08:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1450594 เชนร้านกาแฟรายใหญ่ของโลกอย่าง สตาร์บัคส์ (Starbucks) โชว์ผลงานไตรมาส 4 ประจำปีงบประมาณ (ก.ค.-ก.ย.) ที่ทำได้เหนือความคาดหมายของนักวิเคราะห์ โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะการขยายสาขาใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง

สตาร์บัคส์ ได้เปิดเผยผลประกอบการช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน โดยมีรายได้แตะ 9.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโต +11% ซึ่งเกินความคาดหมายของนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะทำรายได้ 9.3 พันล้านดอลลาร์ โดยหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้สตาร์บัคส์เติบโตเหนือความคาดหมายมาจากการ เปิดร้านใหม่ จำนวน 816 แห่ง ในไตรมาสดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันสตาร์บัคส์มีจำนวนสาขามากกว่า 38,000 แห่งทั่วโลก

นอกจากนี้ บริษัทได้มีการรีโนเวตสาขาอย่างต่อเนื่อง อย่างในอเมริกาเหนือที่มีอยู่ยังช่วยเพิ่มยอดขายและทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ บริษัทได้ใช้งบรีโนเวตรวมกว่า 450 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในส่วนของรายได้จากสาขาเดิม (ที่เปิดอย่างน้อยหนึ่งปี) เพิ่มขึ้น +8% ซึ่งเกินกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 6.8% โดยเฉพาะสาขาในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 8% และมีจำนวนลูกค้าเข้าร้านค้าเพิ่มขึ้น 2% นอกจากนี้ผู้บริโภคใช้เวลาในร้านนานขึ้น

ขณะที่ยอดขายสาขาในประเทศ จีน ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่เป็น อันดับสอง ของบริษัท เพิ่มขึ้น +2% มีลูกค้าเข้าร้านเพิ่มขึ้น +4% แต่ผู้บริโภคใช้เวลาในร้านน้อยลง อย่างไรก็ตาม สตาร์บัคส์ยังคงให้ความสำคัญกับตลาดจีน โดยเตรียมขยายสาขาจาก 6,500 สาขา เป็น 9,000 สาขา ภายในสิ้นปี 2568 ส่วนสาขาทั่วโลก บริษัทมีแผนจะขยายเพิ่มอีก 17,000 สาขา เป็น 55,000 สาขา ภายในปี 2573

]]>
1450594
สตาร์ทอัพสหรัฐฯ ไอเดียดี เตรียมเปิดตัวกาแฟไร้เมล็ด ลดการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อปลูกต้นกาแฟ https://positioningmag.com/1446831 Thu, 05 Oct 2023 07:35:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1446831 Atomo Coffee สตาร์ทอัพจากสหรัฐอเมริกา เตรียมเปิดตัวกาแฟไร้เมล็ด โดยผลิตมาจากส่วนประกอบหลายชนิต มีรสชาติแทบจะเหมือนกาแฟทุกประการ โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวผลิตเพื่อลดการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อปลูกต้นกาแฟ รวมถึงลดปัญหาโลกร้อน

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวว่า Atomo Coffee สตาร์ทอัพจากเมืองซีแอตเทิล สหรัฐอเมริกา เตรียมที่จะเปิดตัวกาแฟไร้เมล็ด โดยจุดประสงค์หลักคือลดการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อการปลูกต้นกาแฟ หลังความต้องการกาแฟเพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนผสมของกาแฟไร้เมล็ดที่บริษัทผลิตออกมานั้นประกอบไปด้วยน้ำมันสะกัดจากดอกทานตะวัน อินทผลัม กาเฟอีน ฟีนูกรีกหรือลูกซัดที่สกัดเอาไขมันออกไป เป็นต้น ซึ่งรสชาตินั้นผู้ผลิตได้กล่าวว่าแทบเหมือนกาแฟเกือบทุกประการ เนื่องจากผลิตโดยใช้โครงสร้างทางเคมีที่คล้ายกัน

Andy Kleitsch ซึ่งเป็น CEO และผู้ร่วมก่อตั้งของ Atomo Coffee ได้กล่าวว่า “กาแฟทำให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่าในแต่ละวัน โดยในแต่ละวันมีการตัดไม้ทำลายป่า 10 เท่าของขนาดของ Central Park ใน New York ซึ่งถือเป็นอัตราที่น่าตกใจ

การตัดไม้ทำลายป่าถือเป็นสาเหตุสำคัญอันดับ 2 ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามหลังจากการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงประเภทฟอสซิล และจากการศึกษาพบว่าภายในปี 2050 พื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งที่ใช้ปลูกกาแฟในปัจจุบันอาจไม่สามารถผลิตเม็ดกาแฟออกมาได้เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ไม่เพียงเท่านี้ ปริมาณฝนที่ตกหนักจากสภาวะโลกร้อนก็ส่งผลทำให้การเก็บเกี่ยวเมล็ดกาแฟนั้นทำได้ลดลง ส่งผลทำให้เมล็ดกาแฟมีราคาแพงมากขึ้น

นอกจากนี้บริษัทกล่าวว่ากาแฟไร้เมล็ดของบริษัทช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 93% และใช้น้ำน้อยกว่ากาแฟทั่วไปถึง 94%

โดยผลิตภัณฑ์กาแฟไร้เมล็ดของบริษัทจะเจาะไปยังกลุ่มลูกค้าร้านกาแฟเป็นหลักก่อน และบริษัทกำลังเจรจากับบริษัทผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่ของโลกบางรายในการผลิตสินค้าเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดหลังจากนี้

Atomo Coffee ได้รับเงินลงทุนมากถึง 51.6 ล้านเหรียญสหรัฐ และนักลงทุนบางส่วนเคยเป็นนักลงทุนผู้อยู่เบื้องหลังบริษัทอย่าง Beyond Meat ด้วย โดยนักลงทุนเหล่านี้หวังว่ากาแฟไร้เมล็ดจากผู้ผลิตรายนี้จะได้รับความนิยมในท้ายที่สุด

]]>
1446831
กาแฟดี สตอรี่ดีที่ทรูคอฟฟี่ รสชาติที่คืนผืนป่า ลิ้มรสเรื่องราวคืนผืนป่า ผ่านไร่กาแฟที่พลิกเขาหัวโล้นให้กลับมาสมบูรณ์ https://positioningmag.com/1418835 Sat, 11 Feb 2023 04:00:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1418835

ดื่มด่ำกาแฟ ที่ไม่ใช่แค่รสชาติ แต่ยังได้เสพ เรื่องราวจากผืนป่าที่สมบูรณ์บ้านสบขุ่น จังหวัดน่าน ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นภูเขาหัวโล้น ได้พลิกกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ด้วยการปลูกไร่กาแฟ ที่ทรูคอฟฟี่พัฒนาเพื่อคืนผืนป่า 2,148 ไร่ และคืนพื้นที่ทำกินให้กับชุมชน 117 ครัวเรือน เพราะต้นกาแฟ จะเจริญเติบโตได้ดี เมื่อปลูกใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ โดยใช้กาแฟเป็นพืชนำ เพื่อทำให้พืชชนิดอื่นขึ้นตาม เติมเต็มพื้นที่ป่าเดิม สร้างรายได้ให้เกษตรกรในพื้นที่จากการเก็บผลผลิตกาแฟ ร่วมกับการฟื้นฟูป่า

อยากรู้กันแล้วล่ะสิ ว่ารสชาติของกาแฟที่คืนผืนป่าเป็นยังไง ทรูคอฟฟี่ครีเอทมาให้ Reforested Coffee  รสละมุนที่เข้าถึงง่าย บรรจุทุกหยดที่สกัดจากธรรมชาติมาลงขวด Sob khun Cold Brew ให้ มีให้เลือกทั้งสองรสชาติ Black กลมกล่อม ไม่ขม และไม่เปรี้ยวจนเกินไป และ White เพิ่มความละมุนจากนมได้อีกนิด

ผ่านทุกขั้นตอนการสกัดเพื่อดึงเอกลักษณ์จากเมล็ดกาแฟบ้านสบขุ่นให้ออกมามากที่สุด ตั้งแต่การ Process กาแฟแบบ Honey Process นำเมล็ดมาหมักกับเนื้อกาแฟ ทำให้เมล็ดดูดซึมความหวานของเนื้อเข้าไป ส่งผลให้กลิ่น และรสชาติของกาแฟมีความหวานหอมคล้ายกลิ่นน้ำผึ้ง คั่วในระดับกลางเพื่อดึงเอาความหวาน และนำมาสกัดเย็นเพื่อรักษาเอกลักษณ์ของเมล็ดกาแฟบ้านสบขุ่นที่ให้ Taste Notes : Nutty, Milk, Chocolate และ Caramel ดื่มได้รสนุ่มนวล กลมกล่อม ไม่ขมติดคอ

ดื่มรสชาติ และสตอรี่ดีๆ ของ Sob khun Cold Brew เย็นสดชื่นได้ทั้ง แบบ Black และ White ได้ที่ทรูคอฟฟี่ 30 สาขาทั่วกรุงเทพ หรือสั่ง Delivery ที่ https://linktr.ee/truecoffee แต่ละสาขามีจำนวนจำกัดเท่านั้น อย่าลืมไปลองกาแฟรสนุ่ม แล้วยังได้คืนผืนป่าให้ธรรมชาติกันนะคะ

รายชื่อ 30 สาขาที่ให้คุณลิ้มลอง Reforested Coffee Sob khun Cold Brew ได้แล้ว

Central Ladprao

Central Bangna

TAYAN

TRUE TOWER

Siam Square Soi3

Thonglor

Siam Paragon Fl.3 Urbanpark

PATTARA BUILDING

Siam Square Soi2

Chamchuri Square1

Bangkok Pattana

Center Point of Siam Square

Bangna Tower

Mega Bangna

Central World Fl.4

Central Embassy

CP Tower Silom

Emquartier

CP Food Siriraj

Central Westgate

AIA Sathorn Tower

Central East Ville

TrueTower Fl.28

True Digital Park Flagship

True Digital Park Office Lobby 1 Fl.

True Digital Park Office 6 Fl.

True Space Icon Siam

Future Rangsit

Central Pinklao

Queen Sirikit National Convention Centre

]]>
1418835
‘องค์การกาแฟนานาชาติ’ เชื่อผู้บริโภคจะ ‘ดื่มกาแฟนอกบ้าน’ น้อยลงเพราะพิษเศรษฐกิจ! https://positioningmag.com/1403955 Tue, 11 Oct 2022 05:09:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1403955 ในช่วงที่ผ่านมา หลายคนน่าจะเห็นข่าวการปรับขึ้นราคา ‘กาแฟ’ จากเชนใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น All Café ในเซเว่น, อเมซอน, อินทนิล ยังไม่รวมแบรนด์เล็กแบรนด์ย่อยที่คงจะเริ่มปรับราคาเนื่องจาก วัตถุดิบ ที่แพงขึ้น แน่นอนว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้เป็นแค่ไทยแต่เกิดขึ้นทั่วโลก

วานูเซีย โนกิเอรา ผู้อำนวยการบริหารขององค์การกาแฟนานาชาติ (ICO) ประเมินว่า จากปัญหาราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะ เมล็ดกาแฟ ประกอบกับปัญหาเงินเฟ้อและความเสี่ยงจากภาวะถดถอยของเศรษฐกิจ ส่งผลให้ผู้บริโภคกาแฟทั่วโลก เลือกจะดื่มกาแฟที่บ้านมากกว่าร้านกาแฟและร้านอาหาร

ปัจจุบัน ซัพพลายเชนกาแฟจากต่างประเทศไม่สามารถตอบสนองความต้องการที่มหาศาลได้ เนื่องจากผลผลิตกาแฟทั่วโลกที่ลดลงในปี 2021-2022 เนื่องจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

“เรามีปัญหาสภาพอากาศมากมายในภูมิภาคที่มีการผลิตชั้นนำ ดังนั้น แม้ว่าราคากาแฟจะสูงขึ้น แต่ผู้ปลูกก็ไม่สามารถผลิตสินค้าได้มากอย่างที่ต้องการ เนื่องจากปัญหาสภาพอากาศ”

ผลผลิตรวมของกาแฟในปี 2021-2022 แตะที่ 167.2 ล้านกระสอบ (กระสอบละ 60 กิโลกรัม) ลดลง 2.1% จาก 170.83 ล้านกระสอบในปี 2020 ตามสถิติของ ICO ขณะที่ การบริโภคกาแฟทั่วโลกเพิ่มขึ้น 3.3% เป็น 170.3 ล้านกระสอบ ทั้งนี้ ตั้งแต่มีการระบาดของ COVID-19 การบริโภคภายในบ้านเริ่มเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่การบริโภคจากร้านกาแฟและร้านอาหารลดลง อย่างไรก็ตาม โดยเฉลี่ยการบริโภคกาแฟทั่วโลกยังทรงตัว

“ฉันไม่คิดว่าจะมีผลกระทบในแง่ของปริมาณการดื่มกาแฟ แต่ในพื้นที่การดื่มกาแฟและคุณภาพอาจได้รับผลกระทบ เพราะผู้คนจะลดคุณภาพของสิ่งที่พวกเขาดื่มและเปลี่ยนที่ที่พวกเขาดื่ม โดยเฉพาะผู้ผลิตกาแฟชนิดพิเศษอาจได้รับผลกระทบมากที่สุด”

วานูเซีย ย้ำว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมกาแฟ และทาง ICO กำลังทำงานเพื่อสร้างกองทุนเพื่อการฟื้นฟูควบคู่ไปกับการเป็นพันธมิตรกับองค์กรอื่น ๆ รวมถึงธนาคาร เพื่อหาพื้นที่การผลิตกาแฟที่ทนต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น

Source

]]>
1403955
เจาะแผน ‘กาแฟพันธุ์ไทย’ ที่ได้ ‘บุ๋ม บุณย์ญานุช’ ช่วยปั้นแบรนด์กับโจทย์ใหญ่ ‘เติบโต’ นอกปั๊มพีที https://positioningmag.com/1400899 Tue, 20 Sep 2022 07:30:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1400899 หากพูดถึง ปั๊มพีที เชื่อว่าหนึ่งในสิ่งที่หลายคนน่าจะจดจำได้ก็คือ กาแฟพันธุ์ไทย ซึ่งปีนี้ก็ถือว่าครบรอบ 10 ปี พอดิบพอดี อีกทั้งแบรนด์ก็เพิ่งจะทำกำไรได้หมาด ๆ ในช่วงไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา ทำให้ พิทักษ์ รัชกิจประการ ซีอีโอและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) ไม่รอช้าที่จะดันให้กาแฟพันธุ์ไทยเติบโตนอกปั๊ม พร้อมดึง บุ๋ม บุณย์ญานุช บุญบำรุงทรัพย์ อดีตนักการตลาดมือทองแห่ง บาร์บีคิว พลาซ่า มาเป็นที่ปรึกษาด้านแบรนด์ดิ้งให้กับแบรนด์

โควิด จุดเปลี่ยนของกาแฟพันธุ์ไทย

จากจุดเริ่มต้นที่ต้องการมีร้านกาแฟสำหรับให้บริการลูกค้าที่มาใช้บริการปั๊มน้ำมันพีที 10 ปีผ่านไปร้านกาแฟพันธุ์ไทย ก็มีสาขากว่า 500 สาขา และเริ่มทำ กำไร ได้ในช่วงไตรมาส 4 ที่ผ่านมา โดยมีสิ่งที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญก็คือ COVID-19 ที่ทำให้แบรนด์เริ่มให้บริการแบบเดลิเวอรี่ในปี 2564 เป็นครั้งแรก ทำให้แบรนด์เห็นโอกาสที่จะเติบโตนอกปั๊มมากขึ้น

“ที่ผ่านมา กาแฟพันธุ์ไทยส่วนใหญ่อยู่ในปั๊ม ยอดขายหลักจึงต้องพึ่งพาการเดินทาง แต่โควิดมาคนไม่กล้าออกจากบ้าน หลายบริษัทให้ทำงานที่บ้านเกือบ 100% เราถึงได้มีเดลิเวอรี่ และทุกวันนี้เดลิเวอรี่ก็ยังเติบโต” พิทักษ์ รัชกิจประการ กล่าว

ถึงเวลาสร้างแบรนด์ในรอบ 10 ปี

แม้ว่าจะเป็นแบรนด์ที่อยู่มานานนับ 10 ปี แต่ส่วนใหญ่ก็จะอยู่แต่ในปั๊มพีที ดังนั้น จึงไม่ได้สร้างแบรนด์อย่างจริงจังมากนัก ทำให้ พิทักษ์ จึงตัดสินใจที่จะดึง บุ๋ม บุณย์ญานุช บุญบำรุงทรัพย์ อดีตนักการตลาดมือทองแห่ง บาร์บีคิว พลาซ่า ที่เพิ่งลาออกมาหมาด ๆ มาเป็น ที่ปรึกษาด้านแบรนด์ดิ้ง ให้กับกาแฟพันธุ์ไทย ควบคู่กับการ ขยายสาขานอกปั๊ม

“ที่ผ่านมาเราแทบไม่ได้สร้างแบรนด์เลย แต่จากผลสำรวจของนิตยสารหนึ่งจัดให้เราอยู่อันดับ 4 ในด้าน Brand Awareness ตามหลังคาเฟ่อเมซอน สตาร์บัคส์ อินทนิล เช่นเดียวกับด้านจำนวนสาขาและรายได้ก็อยู่ Top 4 เช่นกัน”

โดยในครึ่งปีหลังนี้จะเริ่ม refresh แบรนด์ใหม่ โดยมีแนวคิดที่จะทำให้แบรนด์กาแฟพันธุ์ไทย เป็นแบรนด์กาแฟของ คนไทยพันธุ์ใหม่ นอกจากนี้ ได้ทุ่มงบกว่า 20 ล้านบาท ส่งแคมเปญ เวลาเป็นไท ที่จะสื่อสารถึงกลุ่ม คนทำงาน พร้อมกับลบภาพการ กินกาแฟเพื่อทำงาน แต่สามารถกินเพื่อพักผ่อนก็ได้

“โจทย์เราคือ คนที่ไม่เคยกินมาก่อนเลย จะทำยังไงให้เขามาลอง เพราะถ้าลูกค้าไม่ได้เติมน้ำมัน เขาก็ไม่มีวันได้ชิม ดังนั้น การขยายสาขานอกปั๊มจึงเป็นสิ่งสำคัญ พร้อมกันนี้เราก็ต้องเริ่มสร้างแบรนด์ สร้างอแวร์เนส ทำให้คนรู้จัก โดยจะเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่และวัยทำงานเป็นหลัก” บุณย์ญานุช บุญบำรุงทรัพย์ กล่าว

ขายแฟรนไชส์เร่งโตก้าวกระโดด

ปัจจุบัน กาแฟพันธุ์ไทยมีกว่า 500 สาขา โดย 70% อยู่ในปั๊มพีที โดยที่ผ่านมาแต่ละปีมีการขยายสาขาประมาณ 50-60 สาขา ดังนั้น หนึ่งในกลยุทธ์ที่จะขยายสาขาให้ได้อย่างก้าวกระโดดก็คือโมเดล แฟรนไชส์ ซึ่งพิทักษ์ตั้งเป้าที่จะขยายให้ถึง 1,500 สาขา ภายในปี 2566 โดยจะเน้นที่ทำเลนอกปั๊มเน้นย่านธุรกิจ แหล่งชุมชน และแหล่งท่องเที่ยว โดยต้องการให้อย่างน้อย 1 อำเภอ มี 1 สาขา ทั้งนี้ คาดว่าสัดส่วนสาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะคิดเป็น 50% ภาคอีสาน 15% และภาคอื่น ๆ ภาคละ 8%

“ในอีก 3 ปีจากนี้ เราตั้งใจจะขยายให้ได้ปีละ 1,000 สาขา และเราต้องการเพิ่มสัดส่วนของแฟรนไชส์จาก 40-45% ในปัจจุบันเป็น 80% ภายในปี 2570 ที่เหลืออีก 20% เป็นสาขาที่บริหารเองสำหรับศึกษาอินไซต์ของลูกค้า เพื่อนำมาปรับปรุงสินค้าและบริการ”

ทั้งนี้ สำหรับการลงทุนแฟรนไชส์ร้านกาแฟพันธุ์ไทยเริ่มต้นที่ 1.25 ล้านบาท ไม่รวมค่าสมัครแรกเข้า 1.5 แสนบาท และค่าธรรมเนียมรายเดือนเพิ่มเติม โดยบริษัทมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาและแนะนำในเรื่องของการบริหารจัดการร้าน, วัตถุดิบต่าง ๆ รวมถึงการควบคุมคุณภาพและรสชาติของเครื่องดื่มและอาหารภายในร้าน นอกจากนี้ บริษัทยังมีธนาคารที่เป็นพาร์ตเนอร์สำหรับพิจารณาสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษเพื่อการลงทุน รวมถึงช่วยจัดหาที่ดินทำเลสำหรับคนที่ไม่มีทำเลที่ตั้งอีกด้วย

พัฒนาสินค้าใหม่และลอยัลตี้โปรแกรมมัดใจลูกค้า

แม้ว่าการขยายสาขาจะช่วยทำให้แบรนด์เติบโตจริง แต่อีกหนึ่งส่วนที่ต้องสร้างการเติบโตก็คือ ยอดขายภายในร้าน โดยการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิมในช่วงครึ่งปีแรกสูงถึง 20% ดังนั้น อีกกลยุทธ์ของกาแฟพันธุ์ไทยคือ การ ออกสินค้าใหม่ อย่างล่าสุดก็มี ไทย ดีย์ เสริฐ ซึ่งเป็นขนมไทยดื่มได้ เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างโอกาสการเติบโตจากสินค้าอื่น ๆ ที่ไม่ใช่กาแฟอีกด้วย

“ตอนนี้ยอดขายของร้านกาแฟพันธุ์ไทย 90-95% เป็นกาแฟ แต่เราต้องการจะดันสินค้าอื่น ๆ ในกลุ่ม Non-Coffee มากขึ้น เพราะต้องยอมรับว่าการบริโภคก็กาแฟก็มีข้อจำกัด ดังนั้น ในอนาคตเราอยากจะเพิ่มรายได้สัดส่วนสินค้าอื่น ๆ เป็น 20%”

อีกกลยุทธ์คือ ลอยัลตี้โปรแกรม ผ่านบัตรสมาชิก Max Card และล่าสุดได้เพิ่มบัตร Max Plus ที่จะวางจำหน่ายในราคา 599 บาท สำหรับใช้เป็นส่วนลดค่าน้ำมันและกาแฟพันธุ์ไทย โดยปัจจุบันทั้ง 2 บัตรมีสมาชิกรวมกว่า 18.5 ล้านคน ซึ่งบัตรดังกล่าวจะเพื่อใช้วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า

นอกจากนี้ เดลิเวอรี่ ก็ยังเป็นส่วนที่ยังเน้นต่อไป เพราะในปี 2564 ช่องทางเดลิเวอรี่สามารถเติบโตได้ถึง 4 เท่า ซึ่งจากนี้ แบรนด์จะใช้ช่องทางเดลิเวอรี่เพื่อเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงแบรนด์ รวมถึงเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์และการมองเห็นให้มากขึ้น

ตั้งเป้าโต 50% ต่อเนื่อง 5 ปี

ในช่วงครึ่งปีแรกรายได้ของกาแฟพันธุ์ไทยเติบโตเท่าตัวจาก 240 ล้านเป็น 480 ล้านบาท และในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาส 3 สามารถทำรายได้ไปได้ถึง 230 ล้านบาท ดังนั้น คาดว่าภายในสิ้นปีกาแฟพันธุ์ไทยจะมีรายได้ 1,200 ล้านบาท หรือเติบโต 120% จากครึ่งปีแรก

สำหรับรายได้ของกาแฟพันธุ์ไทยในปีหน้าคาดว่าจะปิดที่ 2,400 ล้านบาท หรือเติบโตเท่าตัวจากปีนี้ และภายใน 5 ปีจากนี้ คาดว่าบริษัทจะรักษาการเติบโตได้ที่ 50% ต่อปี

สำหรับภาพรวม ตลาดกาแฟนอกบ้าน พิทักษ์มองว่ายังมีโอกาสเติบโต เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคไทยบริโภคกาแฟเฉลี่ย 300 แก้วต่อคนต่อปี ขณะที่ญี่ปุ่นบริโภคอยู่ที่ 400 แก้วต่อคนต่อปี หรือ ยุโรปที่บริโภคสูงถึง 1,000 แก้วต่อคนต่อปี โดยมูลค่าตลาดกาแฟนอกบ้านของไทยปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.7 หมื่นล้านบาท เติบโต 9.5% ต่อปี

ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้ราว 130,000 ล้านบาท แต่สัดส่วนราว 90% มาจากธุรกิจน้ำมัน แม้จะมีรายได้สูงก็จริง แต่มีความผันผวนสูงมากเช่นกัน ดังนั้น กาแฟพันธุ์ไทย เป็นแค่ ส่วนหนึ่ง ของแผนดันรายได้กลุ่ม Non-Oil เท่านั้น เพราะบริษัทกำลังศึกษาธุรกิจเกี่ยวกับ สุขภาพ ประกัน ฯลฯ เพื่อเพิ่มรายได้ใหม่ ๆ จากนี้คงต้องรอติดตามต่อไปว่าเมื่อไหร่พีทีจะคลอดธุรกิจใหม่ออกมาเขย่าตลาดอีก

]]>
1400899
เปิดอินไซต์ คนไทยสั่ง “กาแฟ” ผ่าน LINE MAN มากสุดในปี 2021 ทะลุ 6.3 ล้านแก้ว https://positioningmag.com/1369782 Fri, 07 Jan 2022 14:34:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1369782 LINE MAN เสิร์ฟสถิติ “ที่สุดแห่งปี 2021” เผยพฤติกรรมเดลิเวอรี่ของคนไทยทั้ง 77 จังหวัดตลอดทั้งปี 2021 จากผู้ใช้กว่า 5.9 ล้านคนต่อเดือน ที่สั่งจากร้านอาหารกว่า 500,000 ร้าน

“กาแฟ” แซงหน้า “ไก่ทอด”

  • “กาแฟ” ขายดีสุด! สั่งเดลิเวอรี่ทั้งปีรวมกัน 6.3 ล้านแก้ว เรียงต่อกันเท่ากับภูกระดึง 765 ภู แซงหน้า “ไก่ทอด” เมนูแชมป์เก่าปีก่อนหน้าที่มียอดสั่งเดลิเวอรี่รวมกัน 5.3 ล้านชิ้นในปี 2020
  • เมนูมาแรงช่วงคลายล็อกดาวน์สิ้นปี (ต.ค. – พ.ย. 64) “ไก่ย่าง” คว้าอันดับหนึ่งเมนูที่มียอดออร์เดอร์เติบโตสูงที่สุด ตามมาด้วย “ไก่ทอดชุบเกล็ดขนมปัง” และ “หมูปิ้ง”
  • ไรเดอร์ของ LINE MAN จัดส่งอาหารทั้งปีเป็นระยะทางรวมกัน 655 ล้านกิโลเมตร สามารถวนรอบโลกได้ถึง 16,344 รอบ
  • “ชลบุรี” “เชียงใหม่” และ “นครปฐม” จังหวัดทำเลทองที่มีร้านอาหารเดลิเวอรี่เปิดใหม่มากที่สุด

ท็อป 3 เมนู “คนละครึ่ง” ขายดีจาก 6 ภาค

  • “ข้าวผัด” เมนูโปรดคนไทย! ติดอันดับท็อป 3 เมนูคนละครึ่งสุดฮอตจากทั้ง 6 ภาค
  • “เอสเปรสโซ่เย็น” ติดอันดับเครื่องดื่มยอดฮิต
  • เมนูฮิตภาคเหนือ: ตำปูปลาร้า, ข้าวผัด, ชาเขียว
  • เมนูฮิตภาคอีสาน: ตำป่า, ชาเชียวปั่น, ข้าวผัด
  • เมนูฮิตภาคตะวันออก: เอสเปรสโซ่เย็น, ข้าวผัด, ชาเขียวปั่น
  • เมนูฮิตภาคกลาง: เอสเปรสโซ่เย็น, ข้าวผัด, ตำปูปลาร้า
  • เมนูฮิตภาคตะวันตก: ข้าวผัด, ข้าวมันไก่, เครปไส้คาว
  • เมนูฮิตภาคใต้: ข้าวผัด, ราดหน้า, ชาเย็น

ขายได้ทุกอย่างบน LINE MAN MART

  • ปี 2021 LINE MAN รุกตลาด Quick Commerce ด้วยบริการ LINE MAN MART บริการสั่งของจากซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ร้านค้ารายย่อย และร้านในตลาดสด ส่งตรงถึงบ้านรวดเร็วภายใน 30 นาที
  • สินค้ามาแรงส่งท้ายปี (ต.ค. – พ.ย. 64) ที่มียอดออร์เดอร์เติบโตสูงที่สุด ได้แก่ “หมูสามชั้นชาบู” “พวงมาลัยดอกมะลิ” และ “อาหารแมว” สะท้อนไลฟ์สไตล์คนไทยติดทำกิจกรรมที่บ้าน ทั้งทำชาบูทานกับครอบครัว ไหว้พระในบ้าน หรือการเลี้ยงแมวที่มากขึ้นช่วงโควิด-19 เปิดตลาดสั่งของส่งด่วนถึงบ้านที่อีคอมเมิร์ซแบบดั้งเดิมไม่ตอบโจทย์ความต้องการในการได้สินค้าแบบทันที
  • สินค้าที่คนไทยค้นหามากที่สุด ได้แก่ “ผักผลไม้” และ “น้ำดื่ม” นอกจากนี้ ช่วงเทศกาลลอยกระทงพบว่า “กระทง” ยังติดอันดับสินค้าที่ถูกค้นหามากที่สุดอีกด้วย
  • “ร้านของสด (ตลาดสดและร้านแผงรวมของสด)” เป็นประเภทร้านที่มียอดขายสูงสุดบน LINE MAN MART ตอบรับเทรนด์ทำอาหารกินเองที่บ้าน สั่งของสดหลากหลายถึงมือได้ทันที
  • ประเภทร้านที่มีร้านเปิดขายเป็นจำนวนมากที่สุด ได้แก่ “ร้านอาหารแห้งและอาหารแปรรูป” “ร้านอาหารเพื่อสุขภาพ” และ “ร้านขายของชำ”
]]>
1369782