คริสต์มาส – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 26 Dec 2023 04:58:39 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สร้าง Passive income แบบ Mariah Carey กับเพลง All I Want for Christmas is You https://positioningmag.com/1457181 Tue, 26 Dec 2023 04:15:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1457181

บทความโดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

อากาศหนาวๆ ที่ไม่รู้จะอยู่กับเมืองไทยได้อีกกี่วันผมก็คงตอบไม่ได้แน่ชัด แต่ที่ผมรู้แน่ๆ คืออีกไม่กี่วันเราก็จะผลัดเปลี่ยนสู่ปีใหม่แล้ว แม้ประเทศไทยจะไม่มีหิมะตก แต่หลายๆ ที่ก็ตกแต่งสนต้นใหญ่ให้รายล้อมไปด้วยดวงไฟ และของขวัญเป็นเอกลักษณ์แสดงถึงเทศกาลวันคริสต์มาส

เทศกาลที่เชื่อว่าจะมีคุณลุงตัวใหญ่ใจดีในชุดกันหนาวสีแดงคอยเอาของขวัญมาให้ และเพลงๆ หนึ่งที่คละคลุ้งไปกับกลิ่นอายของเทศกาลยามนี้คงต้องยกให้กับ All I Want for Christmas is You ของ Mariah Carey ที่ผมอยากจะหยิบมาพูดถึงในวันนี้

เพลง All I Want for Christmas is You นอกจากจะกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเทศกาลนี้ไปแล้วคุณรู้หรือไม่ครับว่าเพลงนี้ยังเป็นเพลงในตำนานที่สร้าง Passive Income ให้กับ Mariah ได้แบบตลอดชีวิตทีเดียวครับ

แค่เพลงๆ เดียวทำไมทรงพลังและสร้างรายได้เข้ากระเป๋าคุณแม่ Mariah ได้ทุกๆ ปี และที่สำคัญทำยังไงคุณถึงจะมี Passive Income ดีๆ แบบนี้บ้าง ตามผมมาครับผมจะเล่าให้ฟัง

ก่อนอื่นผมขอพูดถึง Passive Income แบบให้เข้าใจง่ายๆ ก่อนนะครับ

การมี Passive Income คือการที่เราอยู่เฉยๆ แล้วยังคงมีรายได้เข้ากระเป๋าจากการที่เราไปลงทุนหรือสร้างอะไรสักอย่างไว้ เช่น

หากคุณเป็นศิลปินคุณอาจทำเพลงแล้วเก็บค่าลิขสิทธิ์ หรือเขียนหนังสือแล้ววางขายเรื่อยๆ หากคุณเป็นนักธุรกิจก็ลงทุนแล้วจ้างคนมาบริหารดูแลอีกทอดหนึ่ง หรือจะลงทุนในอสังหาฯ แล้วปล่อยเช่าก็สามารถทำได้ครับ

หรือหากคุณเป็นนักลงทุนก็สามารถลงทุนเพื่อรับดอกเบี้ยจากตราสารหนี้ รับเงินปันผลจากหุ้น หรือลงทุนในอะไรก็ตามที่คุณไม่ต้องเสียเวลาไปดูแล แล้วปล่อยให้เงินทำงานของมันไป เป็นต้น

พอจะเห็นภาพแล้วไหมครับว่า Passive Income ทำงานอย่างไร ทีนี้ผมจะเล่าถึงจุดเริ่มต้นของเพลง All I Want for Christmas is You ที่สร้างรายได้ให้กับ Mariah แบบที่คุณอาจคาดไม่ถึง

mariah carey
Photo : Shutterstock

เพลง All I Want for Christmas is You ถูกปล่อยออกมาในปี 2537 ครับถ้านับจนถึงปัจจุบันเพลงนี้ก็มีอายุจะ 30 ปีแล้ว ซึ่งขณะนั้น Mariah เพิ่งจะโด่งดังได้ไม่นาน และมีอายุเพียง 20 ต้นๆ เท่านั้นครับ

ในขณะนั้นเธอจึงดูไม่ค่อยจะแฮปปี้เท่าไหร่ที่จะต้องทำเพลงคริสต์มาส ที่โดยปกติแล้วในเวลานั้นเพลงสำหรับวันคริสต์มาสจะถูกปล่อยออกมาจากศิลปินที่กำลังอยู่ในช่วงขาลง หรือไม่ก็มีอายุแล้ว

ในช่วงแรก Mariah ต้องการทำเพลงในอัลบั้มนี้เป็นแนวการนำเพลงเก่าๆ กลับมาคัฟเวอร์ใหม่อีกครั้ง

แต่ด้วยความอินในเทศกาล และมั่นใจว่าเพลงของเธอที่ทำออกมาจะแตกต่าง Mariah จึงได้ทำอัลบั้ม Merry Christmas ขึ้นมาใหม่ร่วมกับ Walter Afanasieff โปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงที่ภายหลังก็ได้ทำงานร่วมกันอีกหลายอัลบั้ม

เกิดเป็นเพลง All I Want for Christmas is You ที่ดังขึ้นมาทุกครั้งเมื่อถึงเทศกาลวันคริสต์มาส โดย The Economist ได้เคยประมาณการรายได้ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาของเพลงนี้ไว้กว่า 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในวงเล็บนะครับ นี่เป็นรายได้ที่นับแค่เฉพาะประเทศสหรัฐฯ เสียด้วยนะครับ

mariah carey
Photo : Shutterstock

และหากนับเฉพาะช่วงเดือนธันวาคมของทุกปี Mariah มีรายได้แค่เฉพาะจากเพลงนี้ราวๆ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็น Passive Income ที่ไม่ต้องทำอะไรไม่ต้องโพรโมตหรือทำการตลาดมากมายทุกๆ ปีเพลงนี้ก็กลับมาสร้างรายได้ให้เสมอ

สำหรับใครหลายๆ คนการที่อยู่ๆ มีเงินเข้ากระเป๋าปีละ 40 ล้านบาทคงเป็นอะไรที่ดีไม่น้อยเลยใช่ไหมครับ

แล้วจะทำยังไงในเมื่อเพลงก็แต่งไม่เป็น หรือต่อให้ทำเป็น และสร้างเพลงที่สุดยอดมากๆ ออกมาได้จริงๆ ก็ยากที่จะกลายเป็น Passive Income แบบของ Mariah

มาเปิดพอร์ตรับ Passive Income แบบ Mariah

อย่าเพิ่งถอดใจครับ Passive Income สามารถมีได้หลายวิธีเรามาลองถอดบทเรียนกันดูว่าเพลง All I Want for Christmas is You จะกลายมาเป็น Passive Income for You ได้อย่างไร

ผมขอถอดบทเรียนเรื่องนี้ดังนี้

เริ่มต้นจากการทำในสิ่งที่เราชอบหรืออะไรที่เรามีความเข้าใจและชำนาญอยู่แล้ว สิ่งที่ได้ออกมาจะเป็นผลงานที่มีคุณภาพครับ

แม้คุณจะไม่สามารถแต่งเพลงได้ แต่คุณสามารถลงทุนในสิ่งที่คุณรู้หรือเชี่ยวชาญได้ และนั่นก็จะกลายเป็น Passive Income ให้กับคุณในที่สุดครับ

และที่สำคัญคุณอาจต้องให้เวลากับมันสักหน่อย ขนาดเพลง All I Want for Christmas is You ที่แม้จะประสบความสำเร็จในทันทีแต่ก็ต้องใช้เวลากว่า 25 ปีถึงจะขึ้นเป็นอันดับ 1 ได้

การลงทุนของคุณก็เช่นกันครับ อาจต้องใช้เวลาผ่านความผันผวนของตลาดเพื่อให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ได้กลับมาช่วยสร้าง Passive Income ให้คุณในอนาคต

ผมขอถือโอกาสนี้ส่งความปรารถนาดีให้คุณทุกคนไม่ว่าโลกการลงทุนในปี 2566 ที่ผ่านมาของคุณๆจะดีหรือเลวร้ายเพียงใด ผมหวังว่าคุณจะมีความสุขไปกับช่วงเวลาอันล้ำค่านี้ และในปี 2567 ขอให้เป็นปีแห่ง Passive Investment ที่คุณจะสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นจากการลงทุนระยะยาวได้เหมือนกับเพลง All I Want For Christmas Is You ที่สร้างมูลค่าให้กับ Mariah เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ตามระยะเวลา

]]>
1457181
‘DHL’ ประเมินช่วง ‘เทศกาล’ อาจะดันยอดส่งของข้ามประเทศโต 50% https://positioningmag.com/1307904 Thu, 26 Nov 2020 15:23:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1307904 ตั้งแต่เกิดการระบาดของ COVID-19 ยอดขายของออนไลน์ทั่วโลกก็เพิ่มสูงขึ้น สำหรับประเทศไทยเองคาดว่าอีคอมเมิร์ซจะเติบโตถึง 35% มีมูลค่าสูงถึง 2.2 แสนล้านบาท และแม้ว่าในบางประเทศจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ หรือบางประเทศที่กำลังระบาดหนัก แต่แนวโน้มการช้อปออนไลน์จะยังคงดำเนินต่อไปจนถึงช่วงเทศกาลช้อปปิ้งที่กำลังใกล้เข้ามา เช่น Black Friday, Cyber Monday, 12.12, เทศกาลคริสต์มาส จนถึงตรุษจีนปีหน้า

เฮอร์เบิต วงศ์ภูษณชัย กรรมการผู้จัดการ ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ประเทศไทยและหัวหน้าภาคพื้นอินโดจีน

เฮอร์เบิต วงศ์ภูษณชัย กรรมการผู้จัดการ ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ประเทศไทยและหัวหน้าภาคพื้นอินโดจีน ระบุว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ระหว่างประเทศทั่วโลกเพิ่มขึ้น 21% ในช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายนปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดย 85% ของผู้คนทั่วโลกใช้เวลาช้อปปิ้งออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ขณะที่ 45% ของคนรุ่นมิลเลนเนียล (Millennial) ยังคงช้อปออนไลน์อย่างต่อเนื่องถึงแม้จะเป็นช่วงหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19

“การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ยอดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมาก และเรากำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเทศกาลปลายปีซึ่งจะมีความต้องการใช้บริการขนส่งสูงขึ้น ขณะที่ผู้บริโภคต้องการจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลมากขึ้นหลังจากที่ต้องเก็บตัวอยู่บ้านมานานในช่วงแพร่ระบาด ประสบการณ์การช้อปปิ้งของผู้บริโภคในปีนี้จึงเปลี่ยนไปจากเดิม การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบทั้งธุรกิจค้าปลีก B2C และธุรกิจอีคอมเมิร์ซ B2B ที่ต้องปรับตัวสู่โลกออนไลน์อย่างเต็มตัว”

และเพื่อให้การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยเฉพาะธุรกิจอีคอมเมิร์ซเป็นไปอย่างราบรื่น ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรสเองได้เสริมความแข็งแกร่งในการให้บริการ โดยระหว่างปี 2020 – 2022 บริษัทได้ลงทุน 690 ล้านยูโร เพื่อสร้างและขยายศูนย์บริการ ฮับและเกต์เวย์ในการดำเนินงานในตลาดที่สำคัญ เช่น ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เขตบริหารพิเศษฮ่องกง และเกาหลีใต้ อีกทั้งยังลงทุนมูลค่ากว่า 60 ล้านยูโร เสริมเครือข่ายทางอากาศของดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นอกจากนี้ยังซื้อเครื่องบินขนส่งสินค้าโบอิ้ง 777F แบบ Wide Body จำนวน 6 ลำ เพื่อเพิ่มเที่ยวบินระหว่างทวีปได้มากขึ้น 3,000 เที่ยวต่อปี

ปัจจุบัน ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส มีเครื่องบินขนส่ง 260 ลำทั่วโลก ครอบคลุมสนามบินกว่า 500 แห่ง โดยมีการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศให้ลูกค้ากว่า 2.7 ล้านราย คิดเป็นการขนส่งประเภทขนส่งด่วนภายในเวลาที่กำหนด (Time Definite) จำนวน 262 ล้านชิ้นต่อปี ครอบคลุม 220 ประเทศทั่วโลก

]]>
1307904
ของขวัญคริสต์มาส! “อังกฤษ” ลดกักตัวเหลือ 5 วันเมื่อกลับจาก “เยี่ยมญาติ” ช่วงเทศกาล https://positioningmag.com/1307104 Mon, 23 Nov 2020 05:13:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1307104 “อังกฤษ” ผ่อนคลายกฎระเบียบช่วงคริสต์มาส ประชาชนที่กลับจากเยี่ยมญาติในประเทศกลุ่มเสี่ยง เมื่อกลับเข้าสู่สหราชอาณาจักรจะอนุโลมลดวันกักตัวจาก 14 วันเหลือ 5 วัน คาดเริ่มบังคับใช้ 15 หรือ 16 ธันวาคมนี้ โดยนโยบายนี้เป็นไปเพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่วิกฤตหนัก และตอบสนองเสียงเรียกร้องของประชาชน

คณะรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรเคาะไฟเขียวนโยบายผ่อนคลายกฎระเบียบการกักตัว สำหรับประชาชนชาวอังกฤษที่เดินทางไปเยี่ยมญาติในกลุ่มประเทศ “สีแดง” หรือประเทศเสี่ยงต่อโรคระบาด COVID-19 จะอนุโลมให้ลดวันกักตัวจาก 14 วันเหลือ 5 วัน เมื่อกลับสู่ประเทศอังกฤษ และจะใช้การตรวจโรคแบบเร่งด่วนรู้ผลใน 1 ชั่วโมงหลังกักตัวครบ 5 วัน หากผลเป็นลบสามารถออกจากสถานที่กักตัวได้ทันที

คาดว่านโยบายนี้จะเริ่มบังคับใช้ได้เร็วที่สุดวันที่ 15 หรือ 16 ธันวาคม 2020 เพื่อให้ประชาชนที่ต้องการไปเยี่ยมญาติช่วงเทศกาลคริสต์มาสไม่ต้องกังวลกับเวลาและค่าใช้จ่ายการกักตัวที่สูงมากเมื่อกลับมา

ปี 2020 เป็นปีที่ยากลำบากสำหรับครอบครัวที่จะมาพบกันในช่วงคริสต์มาส (Photo by freestocks.org from Pexels)

ทั้งนี้ สำหรับประเทศที่อยู่ในลิสต์ประเทศปลอดภัย (Travel Corridors List) 68 ประเทศที่คนอังกฤษไปเยือนแล้วไม่ต้องกักตัวเมื่อกลับประเทศ ยังมีผลบังคับใช้เช่นเดิม โดยมีประเทศที่อยู่ในลิสต์นี้ เช่น ออสเตรเลีย ฟินแลนด์ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ รวมถึงประเทศ “ไทย” ด้วย (*ข้อมูลวันที่ 23 พ.ย. 2020)

นโยบายนี้เป็นความเคลื่อนไหวเพื่อตอบสนองกลุ่มอุตสาหกรรมการบินซึ่งเจ็บหนักมาตั้งแต่เกิดโรคระบาดขึ้น และเป็นเสียงเรียกร้องจากประชาชนบางกลุ่มด้วย โดยโพลจาก Skyscanner ที่สำรวจคน 3,500 คน พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 44% มีแนวโน้มจะเดินทางต่างประเทศ ถ้าหากกลับมาแล้วจะต้องกักตัวน้อยกว่า 14 วัน และเป็นปัจจัยอันดับ 2 ในการตัดสินใจไปเที่ยวต่างประเทศ ส่วนอันดับ 1 นั้นคือความยืดหยุ่นของการเดินทาง การจองทุกอย่างจะต้องยกเลิกได้ฟรี จึงจะกระตุ้นให้ออกท่องเที่ยว

 

เตรียมผ่อนคลายความเข้มงวดลงอีก

นอกจากนโยบายนี้แล้ว อังกฤษยังเตรียมจะผ่อนคลายระเบียบอื่นๆ เกี่ยวกับ COVID-19 ลงอีกในเดือนมกราคม 2021 โดยขณะนี้เมื่อตรวจพบผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้ติดเชื้อ (Contact Tracing) บุคคลนั้นจะต้องกักตัวในบ้านตนเอง 14 วัน แต่ปีหน้าอังกฤษจะเริ่มงดการกักตัว เปลี่ยนมาทดสอบหาเชื้อโรค COVID-19 ทุกวันติดต่อกัน 7 วันแทน ในระหว่างนั้นบุคคลเสี่ยงดังกล่าวสามารถดำเนินชีวิตได้ปกติ

การท่องเที่ยวบนเรือครุยส์ภายในประเทศของ UK คาดหวังจะได้กลับมาเปิดบริการปลายเดือนมกราคม 2021 (Photo : Pixabay)

รวมถึงนโยบายที่จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวอีกหนึ่งรายการ นั่นคือเรือครุยส์เฉพาะเส้นทางในประเทศ จะได้รับการอนุญาตให้กลับมาให้บริการได้ภายในปลายเดือนมกราคมหรือต้นเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า

สถานการณ์ COVID-19 ในสหราชอาณาจักรปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อสะสม 1.51 ล้านคน และผู้เสียชีวิต 5.5 หมื่นรายและเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการระบาดระลอกสองเมื่อเดือนตุลาคม เช่นเดียวกับประเทศส่วนใหญ่ในทวีปยุโรป แต่สถานการณ์รอบสองเริ่มดีขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นมา

ด้านการรับวัคซีนล็อตแรก คาดว่าจะทำได้เร็วที่สุดปลายเดือนธันวาคมนี้ เนื่องจากอังกฤษสั่งวัคซีนของ Pfizer-BioNTech ไว้แล้ว 40 ล้านโดส และ 10 ล้านโดสแรกน่าจะมาถึงช่วงเวลาดังกล่าว เพียงพอสำหรับฉีดให้ประชาชนกลุ่มแรก 5 ล้านคน ถ้าหากหน่วยงานด้านสาธารณสุขของอังกฤษให้การรับรองตัวยาเร็วๆ นี้

Source: Dailymail UK, Express UK, Reuters

]]>
1307104
ปี 2020 ช่างยาวนาน…Burger King ทำตลาดเชื่อมความรู้สึกลูกค้า ขอฉลอง “คริสต์มาส” ตั้งแต่เดือนนี้ https://positioningmag.com/1289774 Tue, 28 Jul 2020 10:21:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1289774 เเม้ปี 2020 จะผ่านมาได้ครึ่งทาง เเต่ก็ถือเป็นช่วงเวลา 7 เดือนที่หนักหนาสาหัสเอาการ เมื่อต้องเจอการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน คนทั่วโลกคงอยากให้วิกฤตนี้ผ่านพ้นไปไว ๆ

จากความรู้สึกของผู้บริโภคดังกล่าว กลายเป็นที่มาของเเคมเปญใหม่ของเชนฟาสต์ฟู้ดชื่อดังอย่าง Burger King ในอเมริกา ที่ต้องการ #WrapUp2020 ข้ามช่วงเวลาปีนี้ไปเร็วๆ จึงสื่อสารผ่านการตกเเต่งร้านเพื่อฉลองคริสต์มาสตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ในบางสาขาถึงขั้นมีพนักงานแต่งตัวเป็นซานต้าให้บริการลูกค้า พร้อมโปรโมตในช่องทางโซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชันของแบรนด์เป็นธีมคริสต์มาส เเละมีการลดราคาเมนูที่ลูกค้าสั่งคู่กันด้วย

เเคมเปญ “Christmas in July” (เทศกาลคริสต์มาสในเดือนกรกฎาคม) ครั้งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อส่งความปรารถนาดีและกำลังใจไปให้ผู้บริโภคที่กำลังอยู่ในช่วงลำบาก ส่งความหวังให้ก้าวไปข้างหน้าโดยวิดีโอโฆษณาตัวใหม่ก็มีการสัมภาษณ์ลูกค้าเเละรณรงค์ให้ผู้คนสวมใส่หน้ากากอนามัยด้วย

โดย Burger King เปิดเผยว่า แคมเปญนี้ได้รับผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค หลายคนต้องหยุดดูหน้าร้านไปชั่วขณะ เพราะไม่คิดว่าจะมีธีมคริสต์มาสในช่วงนี้ เเละมีรอยยิ้มเมื่อได้เห็นเกล็ดหิมะเทียมโปรยปรายลงมา

ในช่วงที่ผ่านมายอดขายของ Burger King ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ที่ต้องปิดทำการสาขาชั่วคราว เเม้จะมีทิศทางที่ดีขึ้นเเล้ว เเต่ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสในอเมริกาก็ยังพุ่งสูงต่อเนื่อง ทำให้บริโภคยังลังเลที่จะออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน  Burger King จึงต้องหันมาบุกตลาดเดลิเวอรี่เเละบริการ Drive-Thru มากขึ้น พร้อมเริ่มกระตุ้นให้ผู้คนกลับมาทานหน้าร้านไปด้วย ดังนั้นเเคมเปญการตลาดอย่าง Christmas in July ก็เป็นอีกหนึ่งการสร้างเรื่องราวที่เชื่อมโยงกับความรู้สึกลูกค้าเพื่อทำโปรโมชั่นนั่นเอง

 

ที่มา : marketingdive , adage

 

]]>
1289774
คาดคริสต์มาสปีนี้ ค้าปลีก “อังกฤษ” ลดกระหน่ำ 50% ราคาต่ำสุดในรอบ 10 ปี https://positioningmag.com/1257718 Thu, 19 Dec 2019 07:24:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1257718 สายช้อปตั้งตารอ หลังเผยผลสำรวจราคาสินค้าและเครื่องแต่งกายของห้างร้านต่างๆ ในอังกฤษในช่วงเทศกาลคริสต์มาสปีนี้ ว่าจะมีการลดกระหน่ำกว่า 50% เเละนับเป็นการลดราคาสินค้าที่ถูกที่สุดในรอบเกือบ 10 ปี

โดย Deloitte บริษัทตรวจสอบบัญชีรายใหญ่ ได้ทำการเก็บข้อมูลราคาสินค้ากว่า 800,000 รายการ จากทั้งที่วางจำหน่ายตามร้านค้าและจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์มาตั้งแต่ปี 2011 คาดการณ์ว่า จะมีการลดราคาสินค้าโดยเฉลี่ยกว่า 50% ในช่วงวันคริสต์มาสอีฟ (24 ธ.ค.) ซึ่งวิเคราะห์มาจากข้อมูลของ Springboard ผู้ให้บริการข้อมูลที่ชี้ว่า จำนวนนักช้อปปิ้งจะต่ำกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2018

“เหล่านักช้อปกำลังรอส่วนลดที่มากกว่านี้ ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ”

Deloitte ระบุว่า ส่วนลดของสินค้าในปัจจุบันอยู่ที่ 8% ถึง 78% ส่วนใหญ่เป็นสินค้าเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย แต่สุดสัปดาห์นี้อาจจะได้เห็น “a tipping point in promotions” การลดราคาครั้งใหญ่เพื่อส่งเสริมการขาย ซึ่งเป็นกระแสต่อเนื่องมาจากการลดราคาในวันแบล็กฟรายเดย์ และวันขอบคุณพระเจ้า ที่ผ่านมา ส่งผลให้ร้านค้าต้องอัดโปรโมชั่นลดราคากันอย่างหนักในช่วงก่อนวันคริสต์มาสที่จะถึงนี้

นอกจากนี้ยังคาดว่า วันหลังวันคริสต์มาสหรือที่เรียกกันว่า “Boxing Day” วันเปิดกล่องของขวัญ (26 ธ.ค.) จะมีส่วนลดของสินค้ามากขึ้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 54% อีกด้วย

การลดราคาอย่างหนักนี้ อีกมุมก็เป็นเรื่องน่ากังวลเช่นกัน โดย Natalie Berg ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าปลีก บอกว่า
“นี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของปีสำหรับผู้ค้าปลีก และก็เป็นสัญญาณของความทุกข์ยากด้วย”

เพราะความไม่แน่นอนทางการเมืองและทางเศรษฐกิจในปีนี้ ส่งผลให้ผู้บริโภคระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นอีกทั้งการลดราคาสินค้าลงอย่างหนักกลับสร้างความกังวลใจให้กับบรรดาผู้ค้าปลีกเช่นกัน ด้วยปัจจัยของจำนวนลูกค้าที่ลดลงส่งผลให้ห้างร้านรายใหญ่ก็ต่างพากันลดราคาสินค้า สร้างความลำบากให้กับผู้ค้าปลีกรายย่อยที่การลดราคาสินค้าอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจ แต่หากไม่ลดราคาตามเทรนด์ก็จะทำให้ไม่สามารถแข่งขันได้

 

ที่มา : BBC 

]]>
1257718