Fitch Rating ปรับลดอันดับเครดิตของรัสเซียจากเดิมที่ระดับ BBB สู่ระดับ B และปรับลดอันดับความน่าลงทุนเป็นระดับติดลบ (Negative) เช่นเดียวกับ Moody’s ได้ปรับลดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือของรัสเซียจากระดับ Baa3 มาอยู่ที่ B3 พร้อมประเมินว่าอาจมีการปรับลดอีกในอนาคต เเละปรับลดอันดับความน่าลงทุนสู่ ‘ระดับขยะ’ (Junk) ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในช่วงสัปดาห์นี้
“ความรุนแรงของการคว่ำบาตรจากนานาประเทศที่ตอบโต้การรุกรานยูเครนของกองทัพรัสเซีย เพิ่มความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการเงินระดับมหภาค แสดงถึงความกังวลครั้งใหญ่ต่อปัจจัยพื้นฐานด้านสินเชื่อของรัสเซีย และอาจบ่อนทำลายความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาล” Fitch ระบุ
โดยการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปที่ห้ามการทำธุรกรรมใดๆ กับธนาคารกลางของรัสเซียนั้น ส่งผลกระทบอย่างมากต่อปัจจัยพื้นฐานด้านสินเชื่อของรัสเซียมากกว่าการคว่ำบาตรครั้งก่อนๆ เพราะทำให้เงินทุนสำรองของธนาคารกลางรัสเซียที่ส่วนใหญ่อยู่ในต่างประเทศ ไม่สามารถนำมาใช้แทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนได้ ส่งผลให้ค่าเงินรูเบิลอ่อนค่าลงต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์
นักวิเคราะห์จาก JPMorgan และที่อื่นๆ ต่างมองว่า มาตรการคว่ำบาตรที่บังคับใช้กับรัสเซีย จะเพิ่มโอกาสที่รัสเซียจะผิดนัดชำระหนี้ดอลลาร์และหนี้รัฐบาลในตลาดต่างประเทศอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ
ขณะเดียวกัน ทำให้ก็ศักยภาพการเติบโตของ GDP ของรัสเซียอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด มีความเสี่ยงภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้น และยังมีโอกาสที่จะถูกคว่ำบาตรเพิ่มเติมหากสถานการณ์รุนเเรงมากขึ้น
ด้านธนาคารกลางรัสเซีย ตอบโต้ด้วยคำสั่งให้ภาคเอกชนในรัสเซีย ขายสกุลเงินต่างประเทศที่ถือครองอยู่ในอัตราส่วน 80% ของรายได้ที่ได้จากการซื้อขายสกุลเงินต่างประเทศ เเละสั่งห้ามโบรกเกอร์ที่ขายหลักทรัพย์ให้กับนักลงทุนต่างประเทศทำธุรกรรมทุกประเภทอย่างไม่มีกำหนด พร้อมประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวดเดียวสู่ระดับ 20% จากเดิม 9.5% เป็นกรณีฉุกเฉิน
ทั้งนี้ FTSE Russell เเละ MSCI ประกาศถอดหุ้นรัสเซียออกจากออกจากการคำนวณดัชนีเเล้ว
]]>
นอกจากนี้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ยังมีคำสั่งให้ภาคเอกชนในรัสเซีย ขายสกุลเงินต่างประเทศที่ถือครองอยู่ในอัตราส่วน 80% ของรายได้ที่ได้จากการซื้อขายสกุลเงินต่างประเทศ เเละสั่งให้โบรกเกอร์ห้ามชาวต่างชาติขายหลักทรัพย์ เพื่อควบคุมผลกระทบในตลาดเงิน
ค่าเงินรูเบิลแตะระดับต่ำสุดที่ 120 ต่อดอลลาร์บนแพลตฟอร์มซื้อขายสกุลเงิน EBS หลังจากประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน สั่งให้กองกำลังนิวเคลียร์ของรัสเซียอยู่ในการสถานะแจ้งเตือนพิเศษ ที่ถือเป็นสถานะการเตรียมพร้อมขั้นสูงสุด
ขณะเดียวกันประเทศตะวันตก กำหนดมาตรการคว่ำบาตรอย่างรุนแรงต่อรัสเซียมากขึ้น เช่น การตัดธนาคารกลางรัสเซียจากระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ (SWIFT) ซึ่งจะทำให้ภาคธุรกิจและบริษัทต่างๆ ของรัสเซียจะไม่สามารถทำธุรกรรมได้แบบเรียลไทม์จากบริการของ SWIFT โดยเฉพาะภาคธุรกิจด้านการเกษตรและพลังงานที่มีมูลค่าการค้าจำนวนมหาศาล
ธนาคารกลางรัสเซีย ตั้งเป้าหมายเงินเฟ้อไว้ที่ 4% และย้ำว่าจะทำทุกวิถีทางที่จำเป็นเพื่อประกันเสถียรภาพทางการเงิน อย่างการเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในระดับที่พอจะชดเชยค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้นและความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ “สิ่งนี้จำเป็นเพื่อรองรับความมั่นคงทางการเงิน และปกป้องเงินออมของประชาชนจากการเสื่อมราคา”
หลังความตึงเครียดเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเเละความกังวลเรื่องผลกระทบการคว่ำบาตร ก็ปรากฏภาพประชาชนในรัสเซียตามพื้นที่ต่างๆ ได้เข้าคิวแห่ ‘ถอนเงินสด’ ออกจากตู้ ATM ทั่วประเทศ
รัสเซียเคยมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับที่สูงกว่า 17% ในปี 2014 เมื่อครั้งรัสเซียเผนวกรวมไครเมียมาจากยูเครน
“มาตรการเหล่านี้อาจช่วยลดอารมณ์ของตลาดที่กำลังปะทุขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็บ่อนทำลายรากฐานของนโยบายการเงินรัสเซียไปด้วย” BCS Global markets กล่าว
ที่มา : Reuters
]]>