ชาวอเมริกัน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 13 Nov 2020 10:58:30 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 คนอเมริกันแห่ย้ายออกนอกประเทศ หนีการเมือง-COVID-19 “นิวซีแลนด์” จุดหมายยอดฮิต https://positioningmag.com/1305907 Fri, 13 Nov 2020 06:49:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1305907 ชาวอเมริกันต้องการย้ายออกนอกประเทศสูงขึ้น จากการเมืองภายในไม่เสถียรและการระบาดของโรค COVID-19 โดยมีจุดหมายปลายทางยอดฮิตคือ “นิวซีแลนด์” ด้วยความสามารถในการรับมือการระบาดอย่างมีประสิทธิภาพและเริ่มต้นทำธุรกิจได้ง่าย พร้อมเปิดโควตา “Golden Visa” ดึงกลุ่มนักลงทุน ปีนี้จึงได้เห็นชาวอเมริกันขอวีซ่าเข้านิวซีแลนด์ล้นทะลัก ส่วนชาวจีนที่จะย้ายมานิวซีแลนด์ลดน้อยลง

ข้อมูลจากหน่วยราชการ “นิวซีแลนด์” พบว่า สัดส่วนผู้ขอวีซ่าประเภท “Golden Visa” ในช่วงเดือนเมษายน-ตุลาคมปีนี้เปลี่ยนแปลงไป มีชาวอเมริกันขอวีซ่าเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ขอทั้งหมด จากเดิมที่มีชาวอเมริกันขอวีซ่าประเภทนี้แค่ 3% เท่านั้น

ก่อนหน้านี้ ผู้ขอวีซ่าแบบ Golden Visa ส่วนใหญ่จะเป็น “ชาวจีน” ซึ่งมีสัดส่วนถึง 43% ของผู้ขอทั้งหมด แต่ช่วงเดือนเมษายน-ตุลาคมปีนี้กลับเห็นจำนวนผู้ขอวีซ่าชาวจีนลดลงเหลือสัดส่วน 25.4%

Golden Visa ดังกล่าวนั้นเป็นวีซ่านักลงทุน คือผู้ขอวีซ่ามีสิทธิได้รับสิทธิพำนักถาวร แลกกับเม็ดเงินลงทุนก้อนใหญ่ขั้นต่ำ 3 ล้านดอลลาร์นิวซีแลนด์ (ประมาณ 62 ล้านบาท) ที่จะลงทุนในสินทรัพย์หรือกองทุนของนิวซีแลนด์ พร้อมด้วยแผนการลงทุนที่สื่อได้ว่าจะอยู่ในนิวซีแลนด์ระยะยาว อย่างไรก็ตาม โควตา Golden Visa นั้นมีให้ชาวต่างชาติเพียงปีละ 400 รายเท่านั้น

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะสถานการณ์ในสหรัฐฯ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างมากช่วง COVID-19 ทำให้มีดีมานด์จากนักลงทุนชาวอเมริกันสูงขึ้น

 

หนีการเมืองไม่เสถียร – COVID-19

“เดวิด คูเปอร์” ประธานบริษัท Malcolm Pacific Immigration ซึ่งเป็นที่ปรึกษาเอกชนด้านการอพยพย้ายถิ่นฐาน มีสำนักงานในเมืองโอ๊กแลนด์และเมืองเวลลิงตัน นิวซีแลนด์ เปิดเผยว่า ปีนี้ชาวอเมริกันต้องเจอกับ “เคราะห์ร้าย 4 เท่า” ที่ส่งให้พวกเขาตัดสินใจย้ายถิ่นฐานไปต่างประเทศ และเป็นประเทศที่ปลอดภัยในการลงทุน

ชาวอเมริกัน “แห่ซื้อปืน” ช่วงเลือกตั้งสหรัฐฯ หวั่นเกิดเหตุรุนเเรง หลังรู้ผลประธานาธิบดี

“พวกเขาบอกว่า การประท้วงของประชาชน การเมืองไม่เสถียร ไฟป่าแคลิฟอร์เนีย และ COVID-19 คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาหลังพิงฝา” คูเปอร์กล่าว “เราได้รับสายโทรฯ เข้าและอีเมลไม่ขาดสายจากคนที่ต้องการทราบว่า ตนเองจะย้ายมาอยู่ในนิวซีแลนด์ได้อย่างไร”

ไม่เพียงแต่ประเด็นใหญ่เหล่านั้นเท่านั้น ชาวอเมริกันที่ต้องการย้ายออกจากสหรัฐฯ ยังกล่าวถึงสาเหตุอื่นๆ อีกที่ทำให้พวกเขาต้องการออกนอกประเทศ เช่น การใช้ความรุนแรงของตำรวจ ฝ่ายอนุรักษนิยมเข้าครอบงำศาลฎีกา กฎหมายครอบครองปืน ความเสี่ยงที่สูงขึ้นด้านการก่อการร้ายภายในประเทศ ไปจนถึงภาวะไร้ความสามารถของประเทศในการจัดการปัญหาโลกร้อน

ข้อมูลจาก กรมสรรพากรสหรัฐฯ ระบุสอดคล้องกันว่า มีคนอเมริกันที่ละทิ้งสัญชาติหรือสิทธิพำนักถาวรเพิ่มขึ้นมากในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2020 มีคนอเมริกันทิ้งสัญชาติแล้ว 5,816 คน เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2019 ที่มี 2,072 คน เรียกว่าเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว

“โจ ไบเดน” ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนใหม่สหรัฐอเมริกาอย่างไม่เป็นทางการ โดยที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ยังคงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ (Photo : twitter @JoeBiden)

นอกจากนี้ ในคืนวันเลือกตั้งของสหรัฐฯ ข้อมูลจาก Google พบว่า การค้นหาเรื่อง “วิธีการย้ายไปนิวซีแลนด์” พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

นิวซีแลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่แทบจะปลอด COVID-19 ขณะที่สหรัฐอเมริกายังอยู่ท่ามกลางการระบาดซ้ำ มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1 แสนเคสต่อวันตั้งแต่เริ่มต้นเดือนพฤศจิกายน

 

นิวซีแลนด์ได้โอกาสดึงนักลงทุน

คูเปอร์กล่าวต่อว่า เคราะห์ร้ายในการรับมือโรคระบาดของสหรัฐฯ กลายเป็นโชคดีของนิวซีแลนด์ เมื่อเป็นดั่งสวรรค์ปลอดเชื้อ ทำให้แดนกีวีมีโอกาสดึงการลงทุนเข้าสู่ประเทศ แลกกับการได้วีซ่าพำนักระยะยาว และจะช่วยให้เศรษฐกิจในประเทศดีขึ้น

เขาเปิดเผยว่า ในจำนวนผู้ขอวีซ่านักลงทุนและรอการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีอยู่นั้น มีมูลค่าการลงทุนรวมกันประมาณ 2.8 พันล้านดอลลาร์นิวซีแลนด์แล้ว (ราว 5.77 หมื่นล้านบาท)

“ถ้ารัฐบาลตัดสินใจอนุมัติได้เร็ว จะมีเม็ดเงินก้อนหนึ่งที่เริ่มเข้าประเทศทันที” คูเปอร์กล่าว “และเมื่อนักลงทุนเข้ามาแล้วพวกเขาจะไม่กลับออกไปเร็ว ดังนั้น ในห้วงเวลาหนึ่งเราจะมีเม็ดเงินเข้ามามากกว่า 2.8 พันล้านเสียอีก”

จาซินดา อาร์เดิร์น นายกรัฐมนตรีหญิงนิวซีแลนด์ ได้นั่งตำแหน่งต่อสมัยที่สอง จากความสามารถในการรับมือโรคระบาด COVID-19 จนประชาชนให้ความไว้วางใจ (Photo : Hannah Peters/Getty Images)

นอกจากการรับมือโรคระบาด COVID-19 ที่ดีเยี่ยมของนิวซีแลนด์ ประเทศนี้ยังมีพื้นฐานที่ดีมากในการทำธุรกิจด้วยโดยรายงานการทำธุรกิจของ ธนาคารโลก จัดอันดับให้นิวซีแลนด์เป็นอันดับ 1 ประเทศที่ทำธุรกิจได้คล่องตัวที่สุดของโลกติดต่อกันเป็นปีที่สี่ และเป็นอันดับ 1 ประเทศที่เริ่มต้นธุรกิจได้ง่ายที่สุดติดต่อกันเป็นปีที่สิบสอง เนื่องจากเป็นประเทศที่มีฐานภาษีเอื้อต่อนักลงทุน มีระบบรัฐบาลและกฎหมายที่แข็งแรง มีตลาดส่งออกที่ให้ผลกำไรสูง และการขอวีซ่าที่สะดวก

 

คนจีนย้ายออกน้อยลง เพราะแดนมังกรปลอดภัยกว่า

ส่วนกรณีของชาวจีนที่ขอวีซ่าเข้านิวซีแลนด์น้อยลง “จอร์จ ชิมเมล” หัวหน้าฝ่ายอสังหาริมทรัพย์จีนบริษัท Juwai กล่าวว่า ชาวจีนลดการขอวีซ่าออกนอกประเทศเพราะการอยู่อาศัยในจีนทุกวันนี้ปลอดภัยกว่าประเทศอื่น

“ในประเทศจีน ทั้งสถานการณ์การระบาดและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจดูดีกว่าประเทศอื่นๆ ผู้ขอวีซ่าหลายรายที่ขอเลื่อนแผนออกไปก่อนมองว่า ไม่เป็นไรที่จะรอดูสถานการณ์ว่าจะคลี่คลายไปในทิศทางไหน” ชิมเมลกล่าว

อย่างไรก็ตาม ชิมเมลมองว่า นักลงทุนจีนจะกลับไปนิวซีแลนด์อีกแน่นอน เพราะเป็นประเทศที่น่าสนใจลงทุน แม้ว่าขนาดเศรษฐกิจจะเล็ก แต่เปิดโอกาสที่ดีให้กับนักลงทุนจีน โดยมีกลุ่มธุรกิจที่คนจีนสนใจคือ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เกษตรกรรม ภาคการผลิต และป่าไม้

เขายังให้ความเห็นถึงชาวอเมริกันที่กำลังแห่ขอวีซ่าไปนิวซีแลนด์ขณะนี้ว่า เชื่อว่าจะเป็นความสนใจระยะสั้นไม่เกิน 6 เดือน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ COVID-19 ในสหรัฐฯ และประธานาธิบดีคนใหม่ว่าจะทำให้วิกฤตคลี่คลายได้เร็วแค่ไหน

Source

]]>
1305907
อยู่บ้าน…กินไอศกรีม ยอดขาย Magnum และ Ben & Jerry’s ในสหรัฐฯ พุ่ง ขยายส่งเร็วผ่าน “โดรน” https://positioningmag.com/1289531 Fri, 24 Jul 2020 11:26:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1289531 ในสถานการณ์ COVID-19 เมื่อการเดินทางลำบาก ผู้คนต้องอยู่บ้านกันมากขึ้น หนึ่งในการหาความสุขเล็กๆ นั่นคือการได้กินไอศกรีม

Unilever ผู้ผลิตไอศกรีมรายใหญ่ที่สุดของโลก เปิดเผยว่า การอยู่บ้านมากขึ้นของชาวอเมริกันในช่วงครึ่งปีนี้ ทำให้ยอดขายไอศกรีมในบ้านช่วงไตรมาสที่ 2 เพิ่มขึ้นกว่า 26% มากกว่าช่วงไตรมาสแรกที่เพิ่มขึ้นราว 15% โดยเฉพาะแบรนด์ Magnum และ Ben & Jerry’s ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและแข็งเกร่ง

การที่ยอดขายไอศกรีมเเบบทานที่บ้านเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด มีส่วนช่วยชดเชยยอดขายผ่านทางร้านอาหารและร้านกาแฟที่ลดลงเกือบ 1 ใน 3 ในช่วงการระบาดของ COVID-19 เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวด

อย่างไรก็ตาม การขายไอศกรีมออนไลน์ก็มีความท้าทายอยู่ไม่น้อย เมื่อต้องเเข่งกับเวลา Unilever จึงเริ่มวางเกมขายเดลิเวอรี่มาตั้งเเต่ช่วง 3 ปีก่อน ภายใต้คอนเซ็ปต์ Ice Cream Now เเละได้รับผลตอบรับที่ดี

นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาการส่งให้ดูล้ำทันสมัย โดยช่วงเดือนก.. ที่ผ่านมา Unilever เพิ่งประกาศความร่วมมือกับ Terra Drone ผู้ให้บริการส่งสินค้าผ่านโดรนเพื่อขยายช่องทางการส่งไอศกรีม เเละได้ปรับปรุงการบริการจัดส่งผ่านความร่วมมือกับ Deliverect เเพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ที่มีฐานผู้ใช้จำนวนมากด้วย 

ในช่วงการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ยักษ์ใหญ่ด้านสินค้าอุปโภคบริโภคอย่าง Unilever ก็ได้รับผลกระทบหนักเช่นกัน เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงเเละระมัดระวังการใช้จ่ายในสินค้าฟุ่มเฟือยมากขึ้น เเต่ก็ทำให้ผู้บริโภคหันมาสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์มากขึ้น โดยยอดขายอีคอมเมิร์ซของ Unilever ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 177% 

 

ที่มา : businessinsider , bloomberg

]]> 1289531 ชาวอเมริกัน กำลังเสี่ยงไม่มี “เฟรนช์ฟรายส์” กิน ! https://positioningmag.com/1255909 Wed, 04 Dec 2019 11:22:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1255909 อากาศที่หนาวเย็นยะเยือกทางตอนเหนือของสหรัฐฯ เเละเเคนาดา อันเป็นผลมาจากพายุเฮอริเคนโดเรียน กำลังสร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับเกษตรกรผู้ปลูก “มันฝรั่ง” ส่งผลให้เกิดการขาดเเคลนในตลาด

ผู้ประกอบการต่างพากันเร่งซื้อมันฝรั่งและส่งสินค้าไปทั่วอเมริกาเหนือ เพื่อให้เฟรนซ์ฟรายส์ยังคงอยู่ในเมนูหลักของร้านอาหาร เเละเริ่มมีการกักตุนทำให้ราคา “เฟรนช์ฟรายส์” ปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย

โดยอากาศหนาวเย็นได้เข้าปกคลุมอเมริกาเหนือ ตั้งแต่ช่วงเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา สร้างความเสียหายให้พืชผลการเกษตร โดยเฉพาะ “มันฝรั่ง” ที่ถูกน้ำค้างแข็งปกคลุมทำให้ชื้นและเน่าเสีย เกษตรกรในหลายพื้นที่จำใจต้องทิ้งผลผลิตจำนวนมาก เเต่ก็มีบางพื้นที่อย่างรัฐอัลเบอร์ตาของแคนาดาและรัฐไอดาโฮของสหรัฐฯ ที่ยังพอเก็บเกี่ยวผลผลิตได้

“ต้นทุนการนำเข้าเเละส่งออกมันฝรั่งอาจเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากสหรัฐฯ ไม่สามารถส่งออกได้ในปริมาณมาก” Stephen Nicholson ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสของธนาคาร Rabobank กล่าว

ด้าน Travis Blacker ผู้อำนวยการฝ่ายอุตสาหกรรมสัมพันธ์ของคณะกรรมการมันฝรั่งของรัฐไอดาโฮ เปิดเผยว่า “ความต้องการเฟรนช์ฟรายส์กำลังเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่วัตถุดิบที่มีอยู่ไม่เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการได้”

ขณะที่สมาคมผู้ปลูกมันฝรั่งแห่งแคนาดา คาดการณ์ว่า ผลผลิตจะตกต่ำที่สุดตั้งเเต่ปี 2010 โดยมีพื้นที่ปลูกมันฝรั่งราว 12,000 ไร่ หรือ 18% ของพื้นที่เพาะปลูกในรัฐแมนิโทบา ซึ่งเป็นรัฐเพาะปลูกมันฝรั่งอันดับ 2 ของแคนาดาถูกทิ้งร้างไม่ได้รับการเก็บเกี่ยว

ในเวลาเดียวกัน รัฐอัลเบอร์ตาซึ่งเป็นพื้นที่เพาะปลูกอันดับ 3 มีพื้นที่เพาะปลูกราว 6.5% ที่ได้รับความเสียหายจากน้ำค้างแข็ง ส่วนรัฐปรินซ์เอ็ดเวิร์ดไอแลนด์ซึ่งมีพื้นที่ปลูกมันฝรั่งมากที่สุดในแคนาดา ยังไม่มีการเปิดเผยความเสียหายอย่างเป็นทางการ

กระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ ประเมินว่า ผลผลิตมันฝรั่งของสหรัฐฯ จะลดลง 6.1% ในปีนี้ ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับจากปี 2010 โดยรัฐไอดาโฮซึ่งมีพื้นที่เพาะปลูกสูงที่สุดในประเทศคาดว่าจะลดลงถึง 5.5%

ที่มา : bloomberg
ภาพ : Pixabay

]]>
1255909