ธุรกิจทวงหนี้ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 19 May 2022 04:45:47 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 หยุดเปิดคอนโด! “ออลล์ อินสไปร์” เปลี่ยนน่านน้ำ หันจับธุรกิจ “บริหารหนี้-ขายคาร์บอนเครดิต” https://positioningmag.com/1384922 Wed, 11 May 2022 10:25:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1384922 ตลาดอสังหาฯ ไม่เวิร์กอีกต่อไป “ออลล์ อินสไปร์” ขอเบรกขึ้นโครงการบ้าน-คอนโดฯ 3 ปี หันไปจับธุรกิจใหม่ บริหารสินทรัพย์ บริหารหนี้ และเปิดตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต มองเทรนด์ธุรกิจมาแรงกว่า ทำกำไรดีกว่า หวังปีนี้เทิร์นอะราวด์ มาร์เก็ตแคปเพิ่มเป็น 30,000 ล้านบาทใน 3 ปี

“ธนากร ธนวริทธิ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL เซอร์ไพรส์วงการ ขอเบรกจากวงการอสังหาริมทรัพย์ชั่วคราว และหันไปจับธุรกิจใหม่ทดแทน โดยจะมีการปรับบริษัทเป็นลักษณะโฮลดิ้งคัมพะนี ทำธุรกิจใหม่ทั้งหมด 3 ด้าน ได้แก่

1.ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (AMC) – โดยอาศัยองค์ความรู้จากการทำธุรกิจอสังหาฯ ทำให้มีทักษะการคัดเลือกสินทรัพย์ ทราบทำเลศักยภาพและผังเมืองที่อาจเป็นข้อจำกัด รวมถึงราคาตลาดที่จะขายออกได้ ทำให้กำหนดราคาประมูลซื้อได้เหมาะสม คาดจะเริ่มประมูลได้ไตรมาส 3-4/65

สาเหตุที่สนใจธุรกิจนี้ เพราะเป็นธุรกิจที่รับรู้รายได้ได้เร็วกว่าอสังหาฯ หากขายสินทรัพย์ได้จะรับรู้รายได้ทันที ไม่ต้องรอการก่อสร้าง รวมถึงได้มาร์จิ้นที่ดีกว่า จากอสังหาฯ มีมาร์จิ้นเฉลี่ย 30-40% แต่ธุรกิจ AMC จะทำได้ดีกว่านั้น

2.ธุรกิจบริหารหนี้สิน – เป็นธุรกิจต่อเนื่องจากทำธุรกิจ AMC แต่บริหารในกลุ่มหนี้ขนาดเล็ก เช่น บัตรเครดิต สินเชื่อรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ เป็นต้น

3.ธุรกิจคาร์บอนเครดิตธุรกิจใหม่ที่กำลังเป็นดาวรุ่ง เนื่องจากบริษัทผู้ซื้อในฟากตะวันตก เช่น สหภาพยุโรป, สหรัฐฯ มีการตั้งกำแพงภาษีกีดกันการค้าบริษัทผู้ผลิตที่ทำลายสิ่งแวดล้อม ทำให้บริษัทที่ไม่สามารถปรับโครงสร้างการผลิตให้ลดมลพิษได้ จะต้องอาศัยการซื้อคาร์บอนเครดิตทดแทน เพื่อให้บริษัทได้รับการรับรองเป็น Net-Zero ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์

ออลล์ อินสไปร์ เปลี่ยนธุรกิจ หยุดทำคอนโด
โมเดลการขายคาร์บอนเครดิต

ในประเทศไทยถือว่าตลาดมีดีมานด์สูงมาก เพราะไทยเป็นแหล่งอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อส่งออกหลายชนิดที่มีการปล่อยคาร์บอน เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ แบตเตอรี่ ก่อสร้าง สิ่งทอ พลาสติก แพ็กเกจจิ้ง อาหาร แต่ซัพพลายการขายคาร์บอนเครดิตยังไม่มีบริษัทที่มีใบอนุญาตที่ได้รับการยอมรับจากยุโรปและสหรัฐฯ และไม่มีตลาดกลางในการซื้อขาย

ออลล์ อินสไปร์ต้องการเข้ามาเป็นรายแรกๆ ในการจัดมาร์เก็ตเพลสเพื่อซื้อขายคาร์บอนเครดิตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อไม่ให้มีการออกใบรับรองคาร์บอนเครดิตซ้ำซ้อน และเข้าส่งเสริมให้เกิดผู้ขายคาร์บอนเครดิตมากขึ้นในไทย

“ธนากร ธนวริทธิ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL

ทั้งหมดนี้ เชื่อว่าจะทำให้ออลล์ อินสไปร์ พลิกกลับเป็นกำไรได้ในปี 2565 จากปี 2564 ที่ขาดทุน -347 ล้านบาท โดยคาดว่าปีนี้จะทำรายได้ราว 4,000-4,500 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนมาจากการขายอสังหาฯ 40% และกลุ่มธุรกิจใหม่ทั้งสามด้านอีก 60%

ส่วนเป้าหมายระยะกลาง ธนากรต้องการให้ธุรกิจใหม่ผลักดันมาร์เก็ตแคปขึ้นเป็น 30,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี

 

จอยต์เวนเจอร์กับ “พันธมิตร”

แผนงานทั้ง 3 ด้านของออลล์ อินสไปร์ จะไม่ได้เริ่มธุรกิจจากศูนย์ เพราะทั้งหมดมีดีลร่วมทุนกับบริษัทที่อยู่ในธุรกิจนั้นๆ อยู่แล้ว ในส่วนของ AMC บริษัทจะร่วมทุนกับบริษัทที่มีใบอนุญาต ซึ่งทำให้เข้าสู่ธุรกิจได้เร็ว ขณะที่พันธมิตรก็จะได้ช่องทางเครื่องมือทางการเงินของออลล์ อินสไปร์เข้าไปเสริม

ส่วนธุรกิจขายคาร์บอนเครดิต บริษัทจะร่วมกับบริษัทระดับโลกซึ่งเตรียมเข้าจดทะเบียนเข้าตลาดหุ้น NASDAQ อยู่ขณะนี้ บริษัทดังกล่าวต้องการมาเปิดสาขาย่อยในไทย ธนากรจึงมองเห็นโอกาสการร่วมทุน และทำให้ได้พันธมิตรที่มีใบรับรองการซื้อขายคาร์บอนเครดิตเป็นที่ยอมรับในตลาดสหรัฐฯ กับยุโรป เป็นแต้มต่อในประเทศไทย เพราะบริษัทที่ได้รับใบรับรองเป็นสากลในโลกมีไม่เกิน 20 แห่ง

ด้านการระดมทุนเพื่อเข้าสู่ธุรกิจใหม่ ธนากรระบุว่า จะมีการระดมทุนเพิ่มมูลค่า 1,490 ล้านบาท แบ่งเป็น 2 ช่องทางคือ 1)ออกและเสนอขายหุ้นกู้แปลงสภาพให้แก่ผู้ลงทุนเฉพาะเจาะจง (AO Fund) มูลค่า 840 ล้านบาท 2) การเสนอขายผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) มูลค่า 650 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดจะเสร็จสิ้นภายในเดือนสิงหาคม 2565 ทำให้ธุรกิจใหม่จะเดินเครื่องเต็มที่ช่วงครึ่งปีหลัง

 

สู้ไม่ไหว “อสังหาฯ” ปัจจัยลบรุมเร้า

หลังจากการปรับธุรกิจแล้ว ธนากรมองว่า ในปี 2568 บริษัทจะเปลี่ยนสัดส่วนในพอร์ตรายได้แบ่งเป็น ธุรกิจการบริหารสินทรัพย์ 30% ธุรกิจบริหารหนี้สิน 30% ธุรกิจคาร์บอนเครดิต 30% และอสังหาริมทรัพย์ 10%

ออลล์ อินสไปร์ เปลี่ยนธุรกิจ หยุดทำคอนโด

ในส่วนของธุรกิจอสังหาฯ ปัจจุบันออลล์ อินสไปร์ยังมีสต็อกขายมูลค่ารวม 5,000-6,000 ล้านบาท ที่มองว่าจะรับรู้รายได้ได้เพียงพอใน 3 ปี ทำให้จะหยุดพัฒนาโครงการใหม่ไปก่อนในช่วงนี้

“วัฏจักรตอนนี้ไม่ใช่ขาขึ้นของอสังหาฯ อาจจะต้องรอรอบไปอีก 3-5 ปี อีกอย่างคือธุรกิจนี้ความเสี่ยงสูง เมื่อเริ่มก่อสร้างแล้วหยุดไม่ได้ แต่กว่าจะได้รายได้ต้องรอสร้างเสร็จอีก 2-3 ปี ขณะที่ตลาดมีรายใหญ่ที่ได้ต้นทุนทางการเงินดีกว่า ทำให้เราต้องยอมรับว่าแข่งขันยากในภาวะนี้ รวมถึงเทรนด์ระยะยาวของสังคมไทยก็เข้าสู่ช่วงประชากรลดลง คนมีลูกน้อยลง ทำให้ดีมานด์ต่ออสังหาฯ จะไม่สูง” ธนากรกล่าวถึงปัจจัยที่ทำให้ตัดสินใจเปลี่ยนธุรกิจครั้งใหญ่

ดิ เอ็กเซล รัชดา 18 ตัวอย่างโครงการของ ออลล์ อินสไปร์ โครงการนี้ยังอยู่ระหว่างขาย

อย่างไรก็ตาม ออลล์ อินสไปร์ จะยังเก็บที่ดินไว้อีก 5-6 แปลงเพื่อรอจังหวะ และถ้าหากมีที่ดินที่น่านำมาพัฒนาเองจากการทำธุรกิจ AMC ก็จะมีการลงทุน

ออลล์ อินสไปร์นั้นเริ่มเปิดธุรกิจอสังหาฯ มาตั้งแต่ปี 2557 มีการพัฒนาโครงการรวม 17-18 โครงการตั้งแต่เปิดบริษัท ส่วนใหญ่จะเป็นการพัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ The Excel (ดิ เอ็กเซล) จับตลาดระดับกลางถึงล่าง ก่อนจะทยอยเข้าสู่ตลาดกลางถึงบน เช่น ไรส์ พหล-อินทามาระ, ไรส์ เจริญนคร, อิมเพรสชั่น เอกมัย

ธนากรกล่าวว่า ทุกโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างจะมีการก่อสร้างและขายต่อเนื่อง ยกเว้นอิมเพรสชั่น เอกมัย ที่ตัดสินใจยกเลิกโครงการแล้ว แม้ว่าจะมียอดขายถึง 60% และโครงการได้รับ EIA เรียบร้อย เพราะบริษัทมองว่าตลาดไม่เหมาะที่จะลงทุนต่อจากดีมานด์ที่ต่ำลง ขณะนี้อยู่ระหว่างคืนเงินพร้อมดอกเบี้ยให้กับผู้ซื้อทั้งหมด (***Update 19 พ.ค. 65 ออลล์ อินสไปร์ขอเรียนชี้แจงข้อมูลว่า โครงการอิมเพรสชั่น เอกมัย “ไม่ยกเลิก” โครงการ ยังมีการก่อสร้างต่อเนื่อง แต่มีการชะลอการดำเนินการ และคืนเงินให้กับผู้ซื้อตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น)

]]>
1384922
เปิดบิ๊กดีล JMART & KB เเบงก์เกาหลี นำกลยุทธ์ “ศิลปิน KPOP” เจาะสินเชื่อเเฟนคลับไทย https://positioningmag.com/1276373 Thu, 30 Apr 2020 13:00:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1276373 เเม้ในยามที่ธุรกิจกำลังสู้กับวิกฤต COVID-19 ยังมีดีลใหญ่มาสะเทือนวงการสินเชื่อไทย เมื่อ JMART เปิดทางให้ KB Kookmin Card กลุ่มธุรกิจการเงินชั้นนำของเกาหลีใต้ ลงทุนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน “JFINTECH” ได้เงินก้อนโต 3,000 ล้านต่อยอดธุรกิจ เตรียมใช้กลยุทธ์นำ “ศิลปิน KPOP” เจาะสินเชื่อเเฟนคลับเเละคนรุ่นใหม่ไทยที่กำลังเติบโตสูง

เบื้องหลังดีลใหญ่ JMART & KB

ที่มาของการร่วมทุนครั้งนี้ KB Kookmin Card  ผู้ให้บริการบัตรเครดิตการ์ด และสินเชื่อส่วนบุคคลรายใหญ่ของเกาหลีใต้ มีฐานลูกค้าจำนวน 34 ล้านราย ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ KB Financial Group ได้ขยายลงทุนมายังอาเซียน

โดยเริ่มลงทุนธุรกิจ Non-Bank เน้นสินเชื่อส่วนบุคคลใน กัมพูชา เมียนมา ลาว เวียดนามเเละอินโดนีเซียก่อน จากนั้นต้องการขยับมาไทย เพื่อตั้งให้เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค จึงเริ่มมองหาพันธมิตรกลุ่มธุรกิจนี้ โดยมี EY(Ernst & Young) บริษัทตรวจสอบบัญชีรายใหญ่ของโลกเป็นผู้ประสานงาน

อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากหาพาร์ตเนอร์ในไทยมาร่วม 2 ปีก็ได้ตัดสินใจเลือก JFINTECH เเละทำการศึกษาร่วมกันกว่า 1 ปีครึ่งก่อนจะสำเร็จเเละแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา

โดยจะดำเนินการผ่านการเพิ่มทุนจดทะเบียนในบริษัทย่อย ด้วยมูลค่า 650 ล้านบาท เป็นการเพิ่มทุนเป็น 1,112,851,210 บาท แบ่งเป็น ออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน และโอนหุ้นเดิมให้อีก 1 หุ้น รวมจำนวนหุ้นทั้งหมด 55,631,431 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (Par) หุ้นละ 10 บาท ซึ่ง JMART และบริษัทในเครือ JMT จะสละสิทธิ์การจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนใน JFINTECH

ดังนั้นการร่วมทุนครั้งนี้ ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของ JMART ใน JFINTECH เหลือ 44.2% จากเดิม 90.2% ขณะที่ JMT ถือครองหุ้นในสัดส่วน 4.8% จากเดิม 9.8% ส่วน KB Kookmin Card จะถือครองหุ้น 49.99%

เบื้องต้นคาดว่า KB จะได้เข้าจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนแล้วเสร็จภายในเดือน มิ.ย.ปีนี้ เเละเดินหน้า “เเผนต่อไป” โดยการหาสินเชื่ออื่นมาทดแทนสัญญากู้ยืมเงินผู้ถือหุ้นในปัจจุบัน ซึ่งมีรายละเอียดยอดเงินกู้ ณ สิ้นปี 2562 รวม 3,012.5 ล้านบาท เป็นยอดเงินกู้ของบริษัท จำนวน 2,717.5 ล้านบาท และยอดเงินกู้ของ JMT จำนวน 295 ล้านบาท

“ดีลครั้งนี้จะทำให้กลุ่ม JMART ได้เงินคืนรวม 3,012.5 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทแข็งแกร่งมากขึ้น”


ปั้น JFINTECH เป็น Top 5 ธุรกิจสินเชื่อ-บัตรเครดิตในไทย

ผู้บริหาร JMART บอกว่า การร่วมทุนครั้งนี้ได้รับผลประโยชน์กันเเบบ Win-Win ทั้ง 2 ฝ่าย โดย JFINTECH จะได้นำเอาความรู้และเทคโนโลยีทางการเงินของ KB เข้ามาเสริมให้กับกลุ่มบริษัทในระยะยาว ขณะที่ความแข็งแกร่งในเครือข่ายของ JFINTECH ที่มีความเชี่ยวชาญในท้องถิ่น ก็จะเป็นเหมือนแพลตฟอร์มที่ทำให้ KB ขยายธุรกิจต่อไปได้หลายมิติในอาเซียน

“JFINTECH” ตั้งเป้าจะเป็น 1 ใน 5 ผู้นำธุรกิจสินเชื่อและบัตรเครดิตในประเทศไทย โดยในช่วง 1-2 ปีแรกจะเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในบริษัท พร้อมปล่อยสินเชื่อ จากนั้นช่วงปีที่ 3-4 จะเข้าไปเจาะตลาดบัตรเครดิต เเละเปิดตัวโปรดักต์ใหม่ในกลุ่มสินเชื่อส่วนบุคคล รุกการตลาดเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ในไทย ส่วนช่วงปีที่ 5 เป็นต้นไป จะเป็นการสร้างการเติบโตเเละทำกำไรมากขึ้น”

 

โดยกลุ่ม JMART คาดว่าหลังการร่วมทุนเเล้วเสร็จจะสามารถปล่อยสินเชื่อได้ในเฟสเเรก ราว 650 ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าผู้คนจะต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้นจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

รุกการตลาด “ศิลปิน KPOP” เจาะสินเชื่อเเฟนคลับ-คนรุ่นใหม่  

เหล่าธนาคารในเกาหลีใต้ กำลังเเข่งขันกันดุเดือด ด้วยการนำ “ศิลปิน KPOP” มาเพิ่มยอดผู้ใช้เเละออกขายผลิตภัณฑ์ดีไซน์พิเศษกันคึกคัก KB Kookmin Card ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นธนาคารใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในด้านนี้ ด้วยเป็นสปอนเซอร์ให้บอยเเบนด์ชื่อดังที่มีฐานเเฟนคลับทั่วโลกอย่าง “BTS” (Bangtan Sonyeondan)

โดย KB มีการทำตลาดทั้งออฟไลน์เเละออนไลน์ที่เข้มข้น เน้นเจาะกลุ่มตลาดคนรุ่นใหม่ที่เป็น “Young Generation”

จุดเเข็งด้านการตลาดไอดอลนี้ ทำให้กลุ่ม JMART มองว่าเป็นโอกาสที่จะนำมาต่อยอดในไทย ซึ่งกระเเส KPOP กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก มีฐานเเฟนคลับเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชีย มีกำลังซื้อเเละมีการใช้จ่ายด้านไลฟ์สไตล์สูง จึงเป็นลูกค้าที่เหมาะเเก่การปล่อยสินเชื่อเเละบัตรเครดิต

ก่อนหน้านี้วงการธนาคารไทย ก็มีการนำศิลปิน KPOP มาทำตลาดเจาะกลุ่ม New Gen ที่มีกว่า 10 ล้านคนในไทยมาเเล้ว อย่างโปรเจกต์ใหญ่ KBankxBLACKPINK ของกสิกรไทยร่วมกับเกิร์ลกรุ๊ปชื่อดัง BLACKPINK ในคอนเซ็ปต์ #แค่เชื่อก็เป็นได้ ปล่อยโปรดักต์แรกเป็นบัตรเดบิตคอลเลคชั่นพิเศษที่ตั้งเป้ายอดบัตรถึง 1 ล้านใบ

อาจเป็นไปได้ว่าในอนาคตเราอาจจะได้เห็นศิลปินวง BTS หรือวงอื่นๆ มาอยู่บนบัตรของ JFINTECH ก็เป็นได้ เพราะมีฐานเเฟนคลับในไทย “เยอะมาก” อย่างไรก็ตามเเต่..ก็ต้องคอยลุ้นกันต่อไป

พับเเผนขยาย Jaymart Mobile – ธุรกิจทวงหนี้ยังสดใส 

ย้อนกลับมาคุยกันถึงธุรกิจที่น่าเป็นห่วงที่สุดในกลุ่ม JMART นั่นก็คือร้านขายมือถือเพราะ COVID-19 ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป หันไปช้อปสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น เเละมีกำลังซื้อลดลง ชะลอการใช้จ่าย

“ในปีนี้ Jaymart Mobile คงไม่ขยายสาขาในห้างสรรพสินค้าเพิ่มเติม เเละอาจปรับลดจำนวนสาขาลงด้วย”

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจในเครืออย่าง Singer ยังมีโอกาสขยายการเติบโตได้อีก เพราะไม่ต้องอยู่ในห้าง เเละจะเข้ามาเสริมช่องทางการขายของ Jaymart Mobile ได้

ขณะเดียวกัน JMART ก็ยังมีธุรกิจดาวรุ่งอยู่ในมือ เเม้ต้องเผชิญเศรษฐกิจฝืดเคือง นั่นคือ “ธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ” ของบริษัทในเครืออย่าง JMT ยังเป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากบริษัทมีพอร์ตบริหารหนี้สะสมในปัจจุบันอยู่ที่ 177,000 ล้านบาท และสามารถทยอยรับรู้รายได้จากกระแสเงินสด (Cash collection) ที่สามารถเก็บเข้ามาได้ต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 10 ปี

“ในสถานการณ์ COVID-19 จะทำให้มีเเนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในระบบเพิ่มขึ้น จึงตั้งเป้าใช้งบลงทุนซื้อหนี้เข้ามาบริหารในปีนี้ที่ 4,500 ล้านบาท สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน” สุทธิรักษ์ ตรัย
ชิรอาภรณ์ ซีอีโอของ JMT ระบุ

สำหรับภาพรวมธุรกิจ เเม่ทัพของ JMART ยืนยันว่าปีนี้ก็น่าจะเป็นปีที่ดีที่สุดอีกปีหนึ่งของบริษัท จากปีที่แล้วที่ทำกำไรได้สูงสุด ปีนี้ก็น่าจะทำสถิติกำไรสูงสุดได้อีกปีหนึ่ง โดยยังคงตั้งเป้าการเติบโตของกำไรไว้ที่ 25% รายได้เติบโต 10% เเม้จะยอมรับว่าได้รับผลกระทบจาก COVID-19 เเต่ยังบริหารจัดการต้นทุนเเละค่าใช้จ่ายได้ดี จึงคาดว่าจะยังคงทำได้ตามเป้า เเละสถานการณ์น่าจะดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง

 

]]>
1276373