ธุรกิจพลังงาน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 21 Sep 2023 07:19:04 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ดีลประวัติศาสตร์ “บางจากฯ” เข้าซื้อ “เอสโซ่” ผนวกปั๊มน้ำมัน 2,200 แห่งจำหน่าย “น้ำมัน” สูตรคุณภาพ https://positioningmag.com/1444038 Thu, 21 Sep 2023 10:00:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1444038

ประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญในธุรกิจพลังงาน เมื่อบริษัทน้ำมันสัญชาติไทย “บางจาก” เข้าซื้อกิจการ “เอสโซ่” สำเร็จ เตรียมผนวกเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันของเอสโซ่มาอยู่ภายใต้แบรนด์บางจาก ซึ่งจะทำให้บางจากมีปั๊มน้ำมันกว่า 2,200 แห่งทั่วประเทศ พร้อมเปลี่ยนมาจำหน่าย “น้ำมัน” สูตรคุณภาพที่ผลิตจากโรงกลั่นระดับโลกทั้งสองแห่ง

เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566 บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ดำเนินการชำระราคาซื้อขายหุ้นสามัญของ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จำนวน 2,283,750,000 หุ้น หรือคิดเป็น 65.99% ของจำนวนหุ้นสามัญของเอสโซ่สำเร็จ ในราคาหุ้นละประมาณ 9.8986 บาท และบางจากฯ จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ส่วนที่เหลืออีก 34.01% ของเอสโซ่ต่อไปในช่วงวันที่ 8 กันยายน – 12 ตุลาคมนี้

ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทบางจาก และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น

เหตุการณ์นี้ถือเป็นดีลครั้งใหญ่ในวงการพลังงาน เนื่องจากเป็นการเข้าซื้อกิจการที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับบางจากฯ มากยิ่งขึ้น  ที่เห็นได้ชัดคือ สถานีบริการน้ำมันบางจากที่มีอยู่เดิม 1,360 แห่ง เมื่อรวมกับสถานีบริการน้ำมันของเอสโซ่ที่มี 830 แห่ง จะทำให้บางจากฯ มีเครือข่ายปั๊มน้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นกว่า 2,200 แห่งทั่วประเทศ

รวมถึงบางจากฯ ยังได้รับสินทรัพย์ที่เป็นประโยชน์จากเอสโซ่อีกหลายรายการ เช่น โรงกลั่นน้ำมัน จ.ชลบุรี กำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน, คลังน้ำมัน 2 แห่งใน อ.ศรีราชา และ จ.ลำปาง สต๊อกน้ำมัน และโรงงานอะโรเมติกส์มีกำลังการผลิตพาราไซลีน ขนาด 500,000 ตัน เป็นต้น

แน่นอนว่าการผสานศักยภาพของสองบริษัทใหญ่ในครั้งนี้ ย่อมสร้างความความเปลี่ยนแปลงให้กับธุรกิจพลังงานไทย โดยบางจากฯ มีความเชื่อมั่นว่าการรวมพลังกันของสองบริษัทจะช่วยสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และการบริการที่ดียิ่งขึ้นแก่ผู้บริโภคตามคอนเซ็ปต์ ‘Together to Greater’ จับมือกันเพื่อพัฒนาธุรกิจให้มีศักยภาพสูงขึ้นกว่าเดิม ซึ่งผู้บริโภคจะได้เห็นการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน ดังนี้


เปลี่ยน “ปั๊มเสือ” เป็น “ปั๊มใบไม้” ขายเครือข่ายเป็น 2,200 แห่ง

หลังเข้าซื้อกิจการแล้ว บางจากฯ จะผนวกสถานีบริการน้ำมันของเอสโซ่เข้ามาในเครือข่ายอีกประมาณ 830 แห่ง โดยปั๊มเอสโซ่จะทยอย “รีแบรนด์” เป็นปั๊มบางจาก ทำให้เครือข่ายปั๊มบางจากขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 2,200 แห่ง

โดยเริ่มต้นจากปั๊มเอสโซ่ที่บริษัทดำเนินกิจการเอง 280 แห่ง สามารถเปลี่ยนแบรนด์ได้ทันทีภายในสิ้นปี 2566

ส่วนสาขาที่เหลือซึ่งมีดีลเลอร์เป็นเจ้าของ จะทยอยเจรจาสัญญาเพื่อเปลี่ยนมาใช้แบรนด์บางจากทดแทน ในส่วนนี้บางจากฯ คาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 2 ปีในการรีแบรนด์

บางจากฯ ประเมินว่า การรวมเครือข่ายปั๊มน้ำมันส่วนใหญ่นั้นทำเลที่ตั้งจะไม่ทับซ้อนกัน จึงทำให้โอกาสเข้าถึงผู้บริโภคของบางจากฯ จะครอบคลุมมากยิ่งขึ้น และในบางพื้นที่นั้นบางจากฯ จะมีโอกาสได้ขยายสาขาไปสู่ผู้บริโภคได้รวดเร็วหลังการควบรวมกิจการกับเอสโซ่ ได้แก่ ภาคเหนือซึ่งมีปั๊มเอสโซ่อยู่ 160 แห่ง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีปั๊มเอสโซ่อยู่ 130 แห่ง พื้นที่เหล่านี้เมื่อสถานีน้ำมันเปลี่ยนเป็นบางจาก ผู้บริโภคจะได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ โปรโมชัน สิทธิประโยชน์ต่างๆ จากบางจากฯ ได้สะดวกมากขึ้น ด้วยทำเลที่ตั้งเป็นปั๊มน้ำมันใกล้บ้านหรืออยู่ระหว่างทางสัญจรประจำของผู้บริโภค


“น้ำมัน” สูตรบางจาก จากโรงกลั่นระดับโลกทั้งสองแห่ง

สำหรับสูตรน้ำมันที่จะเข้าสู่หัวจ่ายของปั๊มบางจากและปั๊มเอสโซ่ที่อยู่ระหว่างรอการรีแบรนด์ จะมีการปรับเปลี่ยนเป็นน้ำมันสูตรบางจากฯ ทันที

ในแง่ของคุณภาพน้ำมัน บางจากฯ มีน้ำมันเกรดพรีเมียมทั้งแก๊สโซฮอล์และดีเซลที่ได้มาตรฐาน EURO5 มีคุณภาพสูง โดยน้ำมัน Bangchak Hi Premium 97 ได้รับเลือกจาก “บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด” ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ “ปอร์เช่” (Porsche) ให้เป็นน้ำมันถังแรก (First Fuel) ที่เติมให้กับรถยนต์ปอร์เช่ที่ออกจากศูนย์บริการในเมืองไทย

อีกทั้งโรงกลั่นน้ำมันบางจาก ยังเป็นโรงกลั่นมาตรฐานระดับโลกซึ่งเป็นรายเดียวในไทยที่ได้รับรางวัล TQA เมื่อปี 2565 และเป็นโรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกและแห่งเดียวในโลกที่ได้รับรางวัล Global Performance Excellence Award (GPEA) ระดับ World Class ในปี 2566 โดยน้ำมันที่กลั่นออกมา ทุกชนิดเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และได้มาตรฐานของกรมธุรกิจพลังงาน


ผนวกฐานลูกค้า “เอสโซ่ สไมล์ส” เข้าสู่ระบบ “บางจากกรีนไมลส์”

อีกส่วนที่บางจากฯ ให้ความสำคัญ คือการเข้าดูแลสิทธิประโยชน์ของลูกค้าสมาชิก  “เอสโซ่ สไมล์ส” ซึ่งมีฐานสมาชิกอยู่ราว 3.5 ล้านราย

โดยลูกค้าเอสโซ่ สไมล์สจะสามารถโอนย้ายคะแนนทั้งหมดมายังบัตรบางจากกรีนไมลส์ได้ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2566 จนถึง 31 สิงหาคม 2567 และหากมีการโอนคะแนนมาเป็นคะแนนบางจากกรีนไมลส์ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 จะได้รับคะแนนโบนัสพิเศษเพิ่มอีก 100 คะแนนด้วย ทั้งนี้ สำหรับลูกค้าเอสโซ่ สไมล์สที่ยังไม่โอนคะแนน จะใช้บัตรเดิมสะสมคะแนนและแลกรับส่วนลดในการเติมน้ำมันได้จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2567

สมาชิกเอสโซ่ สไมล์สโอนย้ายคะแนนไปเป็นคะแนนบางจากกรีนไมลส์ ได้ผ่านช่องทางต่างๆ ดังนี้

  • เครื่องรูดบัตร EDC ที่สถานีบริการน้ำมันเอสโซ่
  • เว็บไซต์ bcpspointconversion.com
  • ไลน์ Bangchak
  • ไลน์ Esso Smiles (ให้บริการระหว่างวันที่ 16 กันยายน – 29 พฤศจิกายน 2566)
  • Call center เอสโซ่สไมล์ส
  • เครื่องรูดบัตร EDC ที่สถานีบริการน้ำมันบางจาก (จะเปิดให้บริการระหว่างเดือนธันวาคม 2566 – เดือนสิงหาคม 2567)

สำหรับโปรโมชันร่วมกับบัตรเครดิตต่างๆ ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ที่ปั๊มบางจากและเอสโซ่จะยังคงรับสิทธิ์ตามเงื่อนไขเดิมของแต่ละธนาคารจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง ดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ของแต่ละธนาคารและ www.bcpgreenmile.com


สร้างความมั่นคงทางพลังงานให้คนไทย

ข้อมูลจากกรมการขนส่งทางบกระบุว่า กว่า 90% ของรถยนต์ในประเทศไทยปัจจุบันยังเป็นรถใช้น้ำมัน และการเปลี่ยนผ่านจากการใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลไปเป็นพลังงานสะอาดน่าจะยังใช้เวลาอีกมาก โดยพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลน่าจะยังมีความต้องการไปอีก 35-40 ปี

นั่นทำให้ความมั่นคงทางพลังงานของไทยยังเป็นสิ่งสำคัญ การที่บางจากซึ่งเป็นบริษัทของคนไทยมีความแข็งแกร่งมากขึ้นหลังซื้อกิจการเอสโซ่ เพราะมีการรับมอบสินทรัพย์สำคัญอย่างโรงกลั่น คลังน้ำมันและสต๊อกน้ำมันอีก 7.8 ล้านบาร์เรล เข้ามาเป็นของบริษัทไทย ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะทำให้ความมั่นคงทางพลังงานของไทยเพิ่มขึ้น ด้วยศักยภาพของบริษัทไทยจะสามารถตอบสนองความต้องการด้านพลังงานเพื่อดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศได้อย่างสม่ำเสมอและเพียงพอ ลดการพึ่งพิงพลังงานจากบริษัทต่างชาติ ซึ่งความมั่นคงทางพลังงานนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคนไทยทั้งประเทศต่อไปในอนาคต

]]>
1444038
รู้จัก EVme แพลตฟอร์ม ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ ครบวงจร เปิดโอกาสให้ได้ลอง พลังงานเเห่งอนาคตที่เข้าถึงได้ https://positioningmag.com/1366942 Thu, 16 Dec 2021 04:00:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1366942

การมาของ ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เมื่อเทรนด์โลกกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคพลังงานแห่งอนาคต หรือ Future Energy  ผู้บริโภคหันมาใส่ใจสิ่งเเวดล้อมมากขึ้น บริษัทต่างๆ เริ่มคำนึงถึงการเติบโตอย่างยั่งยืน รัฐบาลของหลายประเทศตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ในประเทศไทย ก็มีการตื่นตัวในเรื่องนี้มากขึ้น เห็นได้ชัดจากช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 ที่มีจำนวนผู้จดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) คันใหม่ เพิ่มขึ้นถึง 72% ค่ายรถยนต์พาเหรดทำการตลาด ภาครัฐออกนโยบายดึงดูดผู้ใช้ เหล่าธุรกิจพลังงานเดินหน้าขยายสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโต

ท่ามกลางความเคลื่อนไหวที่น่าตื่นเต้นนี้ เราได้เห็นเเววรุ่งของเเพลตฟอร์มน้องใหม่อย่าง EVme’ (อีวี มี) ที่เปิดตัวด้วยการเป็นผู้ให้บริการรถยนต์ไฟฟ้าเเบบ ครบวงจรรายแรกและรายเดียวในประเทศไทย ณ ขณะนี้

ความน่าสนใจของ EVme จุดเด่นของบริการ กลยุทธ์ที่จะมาเจาะตลาด เเละทิศทางของธุรกิจจะเป็นอย่างไร วันนี้เราจะมารู้จัก  EVme ให้มากขึ้นกัน


เป้าหมาย ‘พลังงานเเห่งอนาคต’ ที่เข้าถึงทุกคน

หลังจากโลดเเล่นในวงการเทคโนโลยีระดับโลกมายาวนาน ‘ทอม- สุวิชชา สุดใจ คว้าโอกาสท้าทายตัวเองอีกครั้ง ด้วยการมาทำหน้าที่เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีวี มี พลัส จำกัด (EVME PLUS) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

จากประสบการณ์ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ออกเเบบโครงสร้าง วางเเผนกลยุทธ์เเละบริหารจัดการผลิตภัณฑ์กับ Accenture เเละ IBM ในหลายประเทศทั้งในสหรัฐฯ เเละเอเชียเเปซิฟิก ขยับมาสายการเงินเป็นผู้บริหารระดับสูงในธนาคารอย่าง SCB เเละ KTB อยู่ในวงการฟินเทคเเละบล็อกเชน เเละก้าวสำคัญสู่ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า

เขายอมรับว่า งานนี้ ‘ไม่ง่าย’ มีความท้าทายสูง เเต่ก็มีความสนุกเเละเเรงผลักดันของการเป็นผู้บุกเบิกตลาด โดยทุกธุรกิจที่ได้ทำมาหลายอย่างนั้น สามารถนำมาต่อยอดเเละเชื่อมโยงกันได้เสมอ

“ผมหลงรักในโลกเทคโนโลยี เเละอยากพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ในเมืองไทย ให้คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่ายขึ้น”

ความตั้งใจนี้ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของกลุ่ม ปตท. ที่มีการปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง โดยการเดินหน้าพัฒนาธุรกิจพลังงานแห่งอนาคต และ New S-curve

หนึ่งในพลังงานเเห่งอนาคตที่ กลุ่ม ปตท. เร่งดำเนินการ คือ การเดินหน้าลงทุนในธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าตลอดทั้ง Value Chain ทั้งการผลิตเเบตเตอรี่ ประกอบยานยนต์ ให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้า-สลับเเบตเตอรี่ เเละบริการด้านยานยนต์ไฟฟ้าเเบบครบวงจรอย่าง  EVme

กลุ่ม ปตท. มองว่า การเข้ามาต่อยอดธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้านั้น จะช่วยส่งเสริมและสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจ ให้เกิดการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างแพร่หลายในประเทศไทย เเละจะส่งผลที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมของโลกมากขึ้น


EVme เปิดโอกาส ‘ให้ได้ลอง’ 

EVme  ดำเนินธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า ผ่านการให้บริการด้านดิจิทัลแพลตฟอร์ม เช่น บริการให้เช่ายานยนต์ไฟฟ้าในรูปแบบ B2B และ B2C บริการข้อมูลเกี่ยวกับสถานีอัดประจุไฟฟ้าและสถานีซ่อมบำรุงยานยนต์ไฟฟ้าผ่านเเอปพลิเคชัน EVme พร้อมๆ กับการหาโอกาสในผลิตภัณฑ์และบริการใหม่

“EVme วางโพสิชันเป็นเพื่อนคู่คิด เป็นที่ปรึกษาด้าน EV ทั้งเรื่องตัวรถ การชาร์จเเละการดูแลรักษา ให้กับผู้บริโภค เราเป็น Multi-brand platform ที่จะให้ข้อมูลอย่างเป็นกลางและเป็นธรรม ให้ลูกค้าสามารถเลือกใช้บริการรถ EV หลากหลายรุ่นตามความชื่นชอบ รวมทั้งสามารถซื้อได้ในราคาพิเศษ ทําให้คุณเป็นเจ้าของรถ EV ได้ง่าย และตรงใจมากยิ่งขึ้น”

คุณสุวิชชา มองว่า เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า จะเข้ามาเปลี่ยนลักษณะการเดินทางเเละพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภค

โดยสิ่งที่จะช่วยทำให้ผู้คนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น นอกจากเรื่องโครงสร้างพื้นฐานที่อำนวยความสะดวกในการใช้งานเเล้ว  ขั้นเเรกที่ต้องก้าวผ่านคือ ความกลัว‘  ซึ่ง EVme จะเข้ามาช่วยสร้างประสบการณ์ในจุดนี้ โดยการเปิดโอกาส ให้ได้เห็น ได้ใช้ ได้ลองขับก่อน

“เราเชื่อว่าตลาดจะโตมากขึ้น เมื่อคนไทยได้ลองใช้รถยนต์ไฟฟ้าจริงๆ เราต้องการเป็นเเพลตฟอร์ม EV Lifestyle ที่ทุกคนคิดถึง สร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการชาร์จ ได้ลองขับรถหลายรุ่น จากที่บ้านไปที่ทำงาน หรือขับไปเที่ยวต่างจังหวัด ซึ่งหากใครกังวลเกี่ยวกับเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า อยากศึกษา อยากรู้จักอยากทดลอง แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี  อยากให้ลองมาทําความรู้จักกับ EVme ซึ่งจะเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบ ในช่วงต้นปี 2565 นี้”


ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ทำให้การใช้รถยนต์ไฟฟ้า เป็นเรื่องง่าย

ปัจจุบัน EVme นำร่องให้บริการผ่านแอปพลิเคชัน ดาวน์โหลดได้ทันทีทาง AppStore และ Google Play โดยบนเเพลตฟอร์มจะมีรายละเอียดรถ EV หลากหลายค่าย หลากหลายรุ่นทั้ง sedan, hatchback, SUV จากฝั่งจีน ญีปุ่น เกาหลี หรือโซนยุโรปเเละอเมริกา เพื่อตอบโจทย์ทุกการใช้งานของลูกค้า เหมาะสําหรับทุกโอกาส ไม่ว่าจะเป็นนั่งคนเดียว ออกทริป รถครอบครัว หรือรถหรูในโอกาสพิเศษ

สำหรับระยะเวลาการเช่าใช้งาน จะเริ่มต้นตั้งแต่ 3 วันขึ้นไป หรือถ้าใครอยากใช้ยาวๆ เป็นรถคู่ใจประจําบ้านก็สามารถเลือกโปรเเกรม subscribe เป็นรายปีได้ด้วยเช่นกัน ในราคาเริ่มต้นไม่ถึง 4,000 บาท ซึ่งราคานี้จะรวมพรบ. ประกันภัยชั้น 1 ค่าซ่อมบํารุง พร้อม call center 24 ชม. คอยให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน เเละรถยก รถแบตเตอรี่ที่พร้อมให้บริการทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ พร้อมเชื่อมต่อเเละสามารถค้นหาจุดชาร์จตามสถานที่ต่างๆ บนเเอปพลิเคชัน

EVme กำลังเดินหน้าหารือกับพาร์ทเนอร์ในหลายธุรกิจ เพื่อเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการบริการต่างๆ ของ Ecosystem ไม่ว่าจะเป็นการซื้อประกันรถยนต์ไฟฟ้า หรือการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้า เช่นการขอสินเชื่อรถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น

“การเเข่งขันในตลาดจะมักมุ่งไปที่วิธีการให้เช่า เเต่เราต้องการนำเสนอสิ่งที่เเตกต่างจากรถยนต์สันดาปด้วย ตอนนี้เราเป็นเจ้าเดียวที่มุ่งเน้นการให้พลังงานสะอาดอย่างเเท้จริง โดยจะให้บริการ Carbon credit ทำให้ลูกค้าเห็นได้ว่าสิ่งที่เขาใช้ สิ่งที่เขาชาร์จนั้นเป็นมิตรกับสิ่งเเวดล้อม ซึ่งในประเทศไทยยังไม่มีบริการในลักษณะนี้อย่างเต็มรูปแบบเหมือน EVme”


ขับเคลื่อนประเทศสู่  Low Carbon Society

เมื่อถามถึงเเนวทางการบริหารงานของ EVme  คุณสุวิชชาบอกว่า หัวใจสำคัญคือ ‘ Agile’ การทำงานที่รวดเร็ว ตอบสนองกับลูกค้าได้ดี นำความเห็นจากลูกค้ามาปรับเปลี่ยนเเละปรับปรุงเพื่อนำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ตอบโจทย์การให้บริการที่เข้าถึงได้มากขึ้น สร้างสรรค์ฟีเจอร์ใหม่ๆ อยู่เสมอ

เเม้จะเริ่มจากทีมเล็กๆ ตามสไตล์สตาร์ทอัพ เเต่ด้วยความที่มีองค์กรใหญ่อย่าง ปตท. ให้การสนับสนุนก็มีส่วนช่วยให้ทีมสามารถดึงคนเก่งๆ ที่มีความสามารถมาร่วมงานได้อย่างต่อเนื่อง จากความน่าเชื่อถือเเละความมั่นคงด้านเงินทุน บวกกับการที่ยังเป็น business model ที่ใหม่มากในตลาดไทย

” EVme จะทําให้ทุกคนมีส่วนร่วมกับการขับเคลื่อนประเทศเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ Low Carbon Society ทําให้ทุกคนเป็นเจ้าของรถได้ง่ายขึ้น รถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นเรื่องทีทุกคนเข้าถึงได้ในชีวิตประจําวันเเละจะไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป”

ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ evme.io  เเละ  Facebook : EVme

]]>
1366942
“สิงห์ เอสเตท” เสริมแกร่ง ได้สิทธิ์ซื้อหุ้น 30% โรงงานผลิตไฟฟ้า 3 แห่ง สยายปีกจากอสังหาฯ สู่พลังงาน https://positioningmag.com/1325374 Tue, 30 Mar 2021 03:00:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1325374
กลายเป็นการขยายธุรกิจได้อย่างน่าสนใจ แต่เดิม “สิงห์ เอสเตท” ดูแลธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเครือ “สิงห์ คอร์เปอเรชั่น” ใช้งบลงทุนกว่าพันล้าน ได้สิทธิ์ซื้อหุ้น 30% ในโรงงานผลิตไฟฟ้า และความร้อนร่วม (Co-generation power plant) ขนาดใหญ่ 3 แห่ง ถือเป็นการขยายธุรกิจสู่กลุ่มที่ 4 กลุ่มพลังงาน นวัตกรรมใหม่ๆ อย่างเต็มตัว คาดจะทำให้มีรายได้ปีละ 20,000 ล้านภายใน 3 ปี

อัดงบพันล้าน ซื้อหุ้น 30% ในโรงผลิตไฟฟ้า 3 แห่ง

ก่อนหน้านี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหมวดไหน ย่อมเป็นธุรกิจขาขึ้นอยู่ตลอด ไม่ว่าจะธุรกิจโรงแรม อาคารสำนักงาน หรือที่อยู่อาศัย แต่ในช่วงที่หลายปีที่ผ่านมา ธุรกิจนี้มีการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ยิ่งเร่งปฏิกิริยาความไม่แน่นอนของธุรกิจให้มากขึ้นด้วย

การขยายธุรกิจเพื่อหาโอกาสใหม่ๆ จึงเป็นคำตอบที่สำคัญของยุคนี้ เพื่อเป็นการหาน่านน้ำใหม่ด้วย และกระจายความเสี่ยง เพื่อให้ธุรกิจยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจึงได้เห็นการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจอย่างมาก เมื่อ “สิงห์ เอสเตท” ผู้พัฒนา และลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในเครือของสิงห์คอร์เปอเรชั่น ได้ประกาศว่าได้รับสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการเข้าซื้อหุ้นสามัญ 30% ในโรงงานผลิตไฟฟ้า และความร้อนร่วม (Co-Generation Power Plant) ขนาดใหญ่ จำนวน 3 แห่ง ซึ่งมีกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้ารวมกัน 400 เมกะวัตต์ โดยเป็นสิทธิ์ซื้อที่ราคาพาร์ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้น 1,392 ล้านบาท

สำหรับโรงงานแห่งแรก เป็นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า และพลังงานความร้อนร่วม ของ บริษัท อ่างทอง เพาเวอร์ จำกัด ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ จังหวัดอ่างทอง ดำเนินการผลิตอยู่แล้ว ด้วยกำลังการผลิตอยู่ที่ 123 เมกะวัตต์

ส่วนแห่งที่ 2 และ 3 เป็นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าแห่งใหม่ที่กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง มีบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (ราชบุรี) 1 จำกัด และบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (ราชบุรี) 2 จำกัด เป็นเจ้าของใบอนุญาต ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ มีกำหนดเปิดดำเนินการในปี พ.ศ. 2566 มีกำลังการผลิตอยู่ที่โรงงานละ 140 เมกะวัตต์

การเข้าซื้อหุ้นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งจะเริ่มขึ้นเมื่อได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นของบมจ. สิงห์ เอสเตท ซึ่งมีกำหนดจัดการประชุมสามัญประจำปีในวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2564

จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการ บมจ. สิงห์ เอสเตท เปิดเผยว่า

“เราได้สิทธิ์ซื้อหุ้นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยเงื่อนไขที่น่าดึงดูดใจเป็นอย่างยิ่ง ถือเป็นหนึ่งจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะทำให้สิงห์ เอสเตท ก้าวไปสู่การเป็นหนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผลิตกระแสไฟฟ้า และให้บริการด้านวิศวกรรมอันดับต้นๆ ของประเทศไทย และเป็นส่วนหนึ่งในการเดินหน้าขยายธุรกิจของเราให้ใหญ่ขึ้น 3 เท่า เป็นบริษัทที่มีรายได้ 20,000 ล้านบาทต่อปี ภายในระยะเวลา 3 ปี”

เสริมแกร่งธุรกิจกลุ่มที่ 4

แรกเริ่มเดิมทีนั้น สิงห์ เอสเตทประกอบด้วย 3 กลุ่มธุรกิจที่เป็นแกนหลัก ประกอบไปด้วย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ธุรกิจโครงการที่พักอาศัย และธุรกิจรีสอร์ตและโรงแรม

– ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ประกอบด้วยพื้นที่อาคารสำนักงาน และพื้นที่ค้าปลีกรวม 140,000 ตารางเมตร สร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ประมาณ 15% ของรายได้ทั้งหมดในปี 2563

– โรงแรม และรีสอร์ต 39 แห่ง ใน 5 ประเทศ มีห้องพักรวมกัน 4,647 ห้อง สร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ประมาณ 24% ของรายได้ทั้งหมด

– โครงการที่พักอาศัย 23 โครงการ ประกอบด้วยที่อยู่อาศัยแนวราบ และคอนโดมิเนียม เช่น แบรนด์สันติบุรี The ESSE และแบรนด์อื่นๆ สร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ประมาณ 57% ของรายได้ทั้งหมด

ทราย ลากูน มัลดีฟส์ CURIO COLLECTION BY HILTON

แต่ในปี 2564 สิงห์ เอสเตทเตรียมก้าวสู่เฟสใหม่ของการพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มธุรกิจที่ 4 เข้ามา เป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกัน สามารถเสริมศักยภาพซึ่งกันและกันภายในเครือได้ อีกทั้งสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างสม่ำเสมอ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ยากจะคาดเดา ทั้งในประเทศและทั่วโลก

โดยกลุ่มธุรกิจที่ 4 ของสิงห์ เอสเตท เป็นธุรกิจใหม่ที่เข้ามาเติมเต็ม และส่งเสริมซึ่งกันและกันกับธุรกิจอื่นๆ อาทิ ธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า ธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ธุรกิจบริการด้านวิศวกรรม และธุรกิจบริการนวัตกรรมอื่นๆ

“เราต้องการสร้างธุรกิจนี้ให้ยิ่งใหญ่ อย่างมั่นคง และมีผลตอบแทนที่แน่นอนสม่ำเสมอ พร้อมๆ กับการสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการเติบโต โดยที่เราจะใช้ประโยชน์จากการผนึกกำลังกันของ 4 กลุ่มธุรกิจของสิงห์ เอสเตท มาเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน” นายจุตินันท์กล่าว

สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส

สร้างรายได้มั่นคงในระยะยาว

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญของการเข้าซื้อหุ้นในโรงไฟฟ้าในครั้งนี้ของสิงห์ เอสเตทก็คือ ธุรกิจนี้สามารถสร้างรายได้ในระยะยาวได้อย่างมั่นคง อีกทั้งยังไม่ต้องเริ่มธุรกิจจากศูนย์ด้วย โดยที่ไฟฟ้าเกือบ 70% ได้ถูกขายล่วงหน้าแล้ว เรียกว่าการันตีรายได้ได้อย่างแน่นอน

ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท กล่าวว่า

“ใบอนุญาตโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าที่มีขนาดกำลังการผลิตระดับนี้ ไม่ใช่สิ่งที่จะหามาได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นเราจึงรู้สึกยินดีมากเป็นพิเศษ ที่ได้รับสิทธิ์ในการเข้าเป็นผู้ถือหุ้นในโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าที่สำคัญถึง 3 แห่ง ในสัดส่วนที่ค่อนข้างมาก ซึ่งจะทำให้เรามีฐานธุรกิจที่มั่นคงในอุตสาหกรรมผลิตกระแสไฟฟ้าได้ทันที โดยไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์”

“ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สิทธิ์ในการเข้าซื้อหุ้นที่เราได้รับนั้นน่าดึงดูดใจเป็นอย่างมาก คือ การที่ไฟฟ้าจำนวน 270 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นเกือบ 70% ของกระแสไฟฟ้าที่ทั้ง 3 โรงไฟฟ้านี้จะผลิตได้รวมกันนั้น ขายได้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว และจะเป็นราคาตามที่ตกลงกันแล้วด้วย ซึ่งทำให้เรามั่นใจได้ว่า เราจะสร้างรายได้เข้ามาได้อย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน เสริมศักยภาพให้กับสิงห์ เอสเตท ในการเป็นธุรกิจที่จะสามารถเดินหน้าต่อไปได้เป็นอย่างดีในทุกสถานการณ์ (Resilient Business)”

อ่างทอง เพาเวอร์ เป็นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย ที่ทำกำไรได้โดยไม่จำเป็นต้องขายไฟให้กับผู้ใช้ทั่วไป และกระแสไฟฟ้าจำนวน 75% ของกระแสไฟฟ้าทั้งหมดที่ผลิตได้ ได้ถูกทำสัญญาซื้อโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 25 ปี การใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ช่วยลดต้นทุน และเพิ่มผลกำไรจนสูงขึ้นกว่าอัตราที่ประเมินไว้ในขั้นต้น

ทางสิงห์ เอสเตทคาดการณ์ว่า โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จะสร้างรายได้ราว 7,500 ล้านบาท ในปี 2567 เมื่อมีธุรกิจใหม่เข้ามา สามารถติดสปีดการเติบโตให้บริษัทถึง 3 เท่า สามารถมีรายได้ถึง 20,000 ล้านบาทได้ภายใน 3 ปี

]]>
1325374
PRISM เจาะลึก “Oil Demand” ความต้องการใช้น้ำมัน หลัง COVID-19 https://positioningmag.com/1311840 Sat, 26 Dec 2020 10:00:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1311840

ธุรกิจพลังงานจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป…เจาะลึก “Oil Demand” ความต้องการใช้ “น้ำมัน” หลัง COVID-19 จะกลับมาเร็ว-ช้า เเค่ไหน ต้องจับตาดูปัจจัยอะไรบ้าง ?

.

#PRISM #PTT #ปตท #OilDemand #ราคาน้ำมัน


]]>
1311840
Shaping the Future…ปรับตัวรับโลกใหม่ ฝ่าวิกฤต COVID-19 https://positioningmag.com/1311814 Thu, 24 Dec 2020 10:00:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1311814

การมาของ COVID-19 นำมาสู่การปรับตัว “รอบด้าน” ทั้งการใช้ชีวิต พฤติกรรม เทคโนโลยี สิ่งเเวดล้อม รวมไปถึงเปลี่ยนเเปลงการใช้ “พลังงาน” ในอนาคต
.
วันนี้ทีม PRISM เเห่ง ปตท. จะมาบอกเล่าถึง Shaping the Future การปรับตัวรับโลกใหม่ เพื่อฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้
.
#PRISM #PTT #ปตท #พลังงาน #COVID19


]]>
1311814
PRISM มอง “ธุรกิจพลังงาน” ผสาน Circular Economy หมุนเวียนเพื่อเปลี่ยนโลก https://positioningmag.com/1311058 Mon, 21 Dec 2020 02:00:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1311058

มารู้จัก Circular Economy เศรษฐกิจหมุนเวียน เทรนด์รักษ์สิ่งเเวดล้อมยุคใหม่

เชื่อมโยงกับธุรกิจพลังงานอย่างไรบ้าง ?

.

#PRISM #PTT #ปตท #CircularEconomy #สิ่งเเวดล้อม


]]>
1311058
ขับเคลื่อน PRISM เเห่ง ปตท. มองจุดเปลี่ยน “โลกพลังงาน” ยุคใหม่ หลังวิกฤต COVID-19 https://positioningmag.com/1308597 Mon, 07 Dec 2020 09:00:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1308597

มองอนาคต “ธุรกิจพลังงาน” หลังวิกฤต COVID-19
ราคาน้ำมันปีหน้า ทิศทางตลาดโลก ปรับเปลี่ยน…ปรับตัวอย่างไร รู้จักการทำงานของ PRISM เเห่ง ปตท. ระดมสมอง รวมพลังขับเคลื่อนองค์กร วิเคราะห์ จับกระเเสตลาดให้ก้าวทันสถานการณ์โลก พร้อมเผยกลยุทธ์นำพา ปตท. ก้าวสู่พลังงานยุคใหม่


#PTT #PRISM #ปตท. #พลังงาน #ราคาน้ำมัน #NewEnergy

 

]]>
1308597
“อังกฤษ” ลุยพลังงานสะอาด เเบน “รถยนต์น้ำมัน” ทุกประเภท ภายในปี 2030 ขยับเร็วขึ้น 10 ปี https://positioningmag.com/1306683 Wed, 18 Nov 2020 09:38:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1306683 พลังงานสะอาดคืออนาคตของโลกยุคใหม่ ล่าสุดอังกฤษประกาศเลิกใช้รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันทุกประเภท ให้ได้ภายในปี 2030 ขยับเร็วขึ้นกว่าเเผนเดิมถึง 10 ปี

การสั่งเเบนรถยนต์เชื้อเพลิงน้ำมันในสหราชอาณาจักรดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งในเเผนปฏิวัติอุตสาหกรรมสีเขียว หรือ “Green Industrial Revolution” เพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยจะมีการผลักดันให้ใช้พลังงานสะอาด อย่างพลังงานลม เเละลงทุนในพลังงานไฮโดรเจน

เดิมที Boris Johnson นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศก่อนหน้านี้ว่า จะแบนขายรถยนต์เชื้อเพลิงน้ำมันภายในประเทศให้ได้ภายในปี 2040 เเต่จากปัญหาสิ่งเเวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่รุนเเรงขึ้น ทำให้รัฐบาลต้องปรับเเผนให้เร็วตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ทางการยังอนุญาตให้รถยนต์ไฮบริดจำหน่ายในประเทศต่อไปได้ แต่ต้องหยุดขายภายในปี 2035

นักวิจารณ์ มองว่างบประมาณที่จะใช้ในเเผน Green Industrial Revolution จำนวน 4 พันล้านปอนด์ (ราว 1.6 เเสนล้านบาท) นั้นน้อยเกินไปกับความท้าทายที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนเเปลงที่เเท้จริงได้

โดยรัฐบาลหวังว่า โครงการนี้จะส่งเสริมให้มีการจ้างงานโดยรวมเพิ่มขึ้นถึง 250,000 ตำแหน่ง โดยเฉพาะทางตอนเหนือของอังกฤษและเวลส์ ที่จะมีการพัฒนาพลังงานลมอย่างเต็มที่

นอกจากนี้ รัฐบาลยังตั้งเป้าหมายว่า ในปี 2023 ชาวอังกฤษทุกครัวเรือนจะต้องได้ใช้ปั๊มความร้อน (Heat Pump) เเบบไฟฟ้า เพื่อให้ความอบอุ่นเเทนการใช้เครื่องทำความร้อนด้วยแก๊สเเบบดั้งเดิม โดยจะมีการทยอยติดตั้งปั๊มความร้อนเเเบบใหม่กว่า 600,000 เครื่องต่อปี ต่อเนื่องเรื่อยไปจนถึงปี 2028

(Photo by Zhang Peng/LightRocket via Getty Images)

อีกประเด็นสำคัญของแผนนี้ คือการลงทุน 1.3 พันล้านปอนด์ เพื่อสร้างจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เเละทุ่มเงินอุดหนุน ดึงดูดใจให้ประชาชนหันมาซื้อรถ EV เพื่อสร้างการเปลี่ยนเเปลง

เช่นเดียวกับฝรั่งเศสที่ประกาศเเผนทุ่มเงินกว่า 8,000 ล้านยูโร (ราว 2.8 เเสนล้านบาท) ฟื้นฟูอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ หวังขึ้นเป็นเบอร์ 1 ผู้ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของยุโรป

รัฐบาลฝรั่งเศสจะเเบ่งงบ 1,000 ล้านยูโร (ในวงเงิน 8,000 ล้านยูโร) มากระตุ้นให้เกิดความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าของผู้บริโภค โดยจะมอบเงินสนับสนุนจำนวน 7,000 ยูโร (ราว 2.4 เเสนบาท) ให้กับบุคคลทั่วไปที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ส่วนบริษัทที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าไปใช้ในองค์กรจะได้รับเงินสนับสนุน 5,000 ยูโร (ราว 1.7 เเสนบาท) ต่อคัน

เเละหากใครซื้อรถยนต์ไฮบริดในฝรั่งเศส จะได้รับเงินสนับสนุน 2,000 ยูโร (ราว 7 หมื่นบาท) ต่อคัน ส่วนผู้ที่จะนำรถยนต์ไปเปลี่ยนจากระบบพลังงานน้ำมันเป็นพลังงานอื่นที่ก่อมลพิษน้อยกว่า จะได้รับเงิน 3,000 ยูโร เเละถ้าใครอัพเกรดให้เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าก็จะได้รับเงิน 5,000 ยูโรเช่นกัน

อ่านต่อ : เปิดเเผนฝรั่งเศสอัดงบฟื้นอุตฯยานยนต์ หวังพลิกวิกฤตสู่เบอร์ 1 รถยนต์ไฟฟ้าเเห่งยุโรป

สหราชอาณาจักร ตั้งใจจะบรรลุเป้าหมายในการลดปล่อยมลพิษให้เป็นศูนย์ให้ได้ภายในปี 2050 เช่นเดียวกับนโยบายของโจ ไบเดนว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ

โดยไบเดนบอกว่าจะผลักดันให้อเมริกาบรรลุเป้าหมายลดการแพร่กระจายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 เเละทุ่มงบลงทุน 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในโครงการพลังงานสีเขียวให้ผลิตพลังงานสะอาดมากขึ้น เเละมองว่าการส่งเสริมสายการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะเป็นการช่วยคนชนชั้นแรงงานไปในตัวด้วย

อ่านต่อ : คำสัญญาเเละนโยบายของโจ ไบเดนประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 ทิศทางใหม่อเมริกา

ด้านผลวิจัยของ UBS ชี้รถยนต์ไฟฟ้า อาจมี “ราคา” เท่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ภายในปี 2024 หรืออีก 4 ปีข้างหน้านี้ เเละอาจมียอดขายครองสัดส่วน “ตลาดรถยนต์โลก” มากขึ้นถึง 40% ได้ในปี 2030 

UBS ธนาคารรายใหญ่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ ระบุว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลของ “แบตเตอรี่” สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจากโรงงานผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุด 7 แห่งทั่วโลก พบว่า รถยนต์ไฟฟ้า มีเเนวโน้มจะมีราคาเทียบเท่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ได้ภายในปี 2024 เนื่องจากต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่มีราคาถูกลง รวมถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีต่างๆ ช่วยให้ต้นทุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าลดลงไปอีก 

โดยคาดว่าในปี 2022 ส่วนต่างที่เเพงกว่าในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ใช้น้ำมัน จะลดลงเหลือเพียง 1,900 เหรียญสหรัฐ (ราว 60,000 บาทต่อคันและต้นทุนในการผลิตรถยนต์ทั้งสองเครื่องยนต์จะใกล้เคียงกันได้ภายในปี 2024

ถือเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมรถยนต์ ที่กำลังจะเข้าสู่ยุคเเห่งการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป (ใช้น้ำมันมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ

 

ที่มา : BBC , The Guardian

]]>
1306683
พิษไวรัสฉุดดีมานด์-ราคาน้ำมันดิ่ง ยักษ์พลังงาน Exxon Mobil ปลดพนักงาน 14,000 ตำแหน่ง https://positioningmag.com/1303872 Fri, 30 Oct 2020 09:50:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1303872 COVID-19 สะเทือนธุรกิจพลังงาน การเดินทางที่ลดลงทั่วโลก ฉุดดีมานด์น้ำมันเเละราคาดิ่งต่อเนื่อง ล่าสุดยักษ์ใหญ่เเห่งวงการอย่าง Exxon Mobil ประกาศเเผนลดพนักงานกว่า 1.4 หมื่นคน หรือราว 15 % ของพนักงานทั่วโลก ภายใน 2 ปีนี้ 

จากสถานการณ์ที่ไม่เเน่นอน ทำให้เหล่าบริษัทผู้ผลิตน้ำมัน ที่เคยมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลก ต้องหันมาลดต้นทุนขนานใหญ่ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการน้ำมันที่หดหายไป

Exxon เป็นหนึ่งในบริษัทข้ามชาติด้านพลังงานรายใหญ่ของโลกจากสหรัฐฯ ที่มีเเผนลดงบประมาณกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญไปเเล้วก่อนหน้านี้ เเละตอนนี้ตามมาด้วยการ “เลิกจ้าง” หลังต้องเผชิญผลกระทบทางการเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยคาดว่าบริษัทอาจขาดทุนต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน

ผลกระทบจาก COVID-19 ทำให้บริษัทต้องเร่งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ตราบใดที่ตลาดยังคงถูกกดดันจากโรคระบาด

โดยบริษัทมีเเผนจะปลดพนักงาน ราว 1.4 หมื่นคน หรือราว 15% ของพนักงานปัจจุบัน รวมถึงพนักงานสัญญาจ้างเเละผู้รับเหมาที่อาจจะต้องสูญเสียงานไปด้วย ซึ่งจะมีการปรับโครงสร้างหน่วยงาน การให้เกษียณอายุก่อนกำหนด เเละประเมินผลการทำงานของพนักงานรายบุคคล

ทั้งนี้ Exxon มีพนักงานประจำอยู่ทั่วโลกราว 88,300 คน ในจำนวนนี้ราว 13,300 คนเป็นพนักงานสัญญาจ้าง

การปลดพนักงานครั้งนี้ มีการประเมินว่า Exxon จะปลดพนักงานในสหรัฐฯ ประมาณ 1,900 คน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในฝ่ายธุรกิจน้ำมันและก๊าซ ที่สำนักงานใหญ่เมืองฮิวสตัน รัฐเท็กซัส

บริษัทผู้ผลิตน้ำมันทั่วโลก กำลังเผชิญผลกระทบจาก COVID-19 ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางอุปสงค์ที่ยังซบเซา ก่อนหน้านี้ RoyalDutch Shell (Shell) และ BP ได้เลิกจ้างพนักงานมากกว่า 15% ในปีนี้ เช่นเดียวกับ Chevron Corp ก็มีแผนปลดพนักงาน 4,500 – 6,750 คน คิดเป็น 10-15% ภายในปีนี้เช่นกัน

 

ที่มา : Bloomberg , Reuters 

 

]]>
1303872
เเผนเเก้เกมของ “บ้านปู” หลังกำไรลด 41% จากปีก่อน รุก EV – ทุ่มซื้อเเหล่งก๊าซในสหรัฐฯ https://positioningmag.com/1267320 Sat, 07 Mar 2020 06:41:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1267320 ในปี 2562 ที่ผ่านมา แนวโน้ม “ธุรกิจพลังงาน” สะท้อนถึงความท้าทายจากปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่างๆ ทั้งการชะลอตัวเศรษฐกิจโลก สงครามการค้า ความต้องการใช้พลังงานชะลอตัวจากปัจจัยสภาวะอากาศที่ไม่หนาวมากในข่วงฤดูหนาวของซีกโลกเหนือ และการแข็งค่าของเงินบาท

บริษัทธุรกิจพลังงานรายใหญ่ของเอเชีย-แปซิฟิกอย่าง บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU รับผลกระทบนี้ไปเต็มๆ เเม้จะยังมีกำไรถึง 2 หมื่นล้านบาท แต่ก็ลดลงกว่า 41% จากปีก่อน

โดยภาพรวมการดำเนินงานปี 2562 ของบริษัท มีรายได้จากการขายรวม 2,759 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 85,660 ล้านบาท) ลดลงจากปีก่อน 722 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 22,416 ล้านบาท) คิดเป็น 21% โดยมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) รวม 695 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 21,578 ล้านบาท) ลดลง 41% จากปีก่อนหน้า

เเละมีกำไรสุทธิก่อนผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน 75 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2,329 ล้านบาท) ลดลง 66% จากปี 2561 จากการแข็งค่าของเงินบาทอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับเหรียญสหรัฐในปีที่ผ่านมาทำให้เกิดผลขาดทุนจากการแปลงค่างบการเงินจำนวน 95 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2,950 ล้านบาท) งบการเงินรวมจึงบันทึกขาดทุนสุทธิ 20 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 621 ล้านบาท)

“ผลขาดทุน 20 ล้านเหรียญนี่ถือว่าเราทำได้ดีเเล้ว เพราะบริษัทต้องใช้บริการเงินตราต่างประเทศถึง 10 สกุล เเละเราเป็นเงินดอลลาร์ โดยปีที่ผ่านมาค่าเงินบาทไทยเเข็งค่ามาก เเละอัตราเเลกเปลี่ยนก็ผันผวน เเต่มองว่าปีนี้ค่าเงินบาทจะอ่อนตัวขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อเราเเล้ว” สมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าว

ทั้งนี้ ผู้บริหารบ้านปู มองแนวโน้มการอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทว่า เริ่มอ่อนค่าลง จากสิ้นปี 2562 อยู่ที่ 30.35 บาทต่อดอลลาร์ แต่ช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ เงินบาทเริ่มอ่อนค่าลงกว่า 1 บาทต่อดอลลาร์แล้ว ถือเป็นสัญญาณที่ดีขึ้น

ปีนี้จึงเป็นปีที่ “บ้านปู” หวังจะพลิกกลยุทธ์ “ฟื้นกำไร” ขึ้นมา เเม้ยังต้องเจอกับจากปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวเเละผลกระทบจากไวรัสโคโรนา โดยบริษัทวางเเผนดำเนินธุรกิจปี 2563 ไว้ หลักๆ 3 ด้านดังนี้

ลุยซื้อเเหล่งก๊าซฯ ในสหรัฐฯ หวัง “บาร์เนตต์” คืนทุนได้ใน 6 ปี

เมื่อเดือนธันวาคม ปี 62 บ้านปูได้ลงทุนเป็นจำนวน 770 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 23,907 ล้านบาท) เพื่อเข้าซื้อแหล่งก๊าซธรรมชาติบาร์เนตต์ในมลรัฐ เท็กซัส สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีอุปสงค์การใช้ก๊าซธรรมชาติมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาคิดเป็น 15% ของความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติรวมของประเทศ ทำให้บ้านปูขึ้นติดท็อป 20 กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติในอเมริกา

“การเข้าซื้อบาร์เนตต์ ยังมีโอกาสคืนทุนได้เร็ว โดยคาดการณ์ว่าสามารถคืนทุนให้บ้านปูได้ภายใน 6 ปี ขณะที่มีปริมาณสำรองการผลิตระยะยาวอย่างน้อย 16 ปี”

ซีอีโอบ้านปูบอกอีกว่า การเข้าซื้อกิจการแหล่งก๊าซธรรมชาติบาร์เนตต์นั้น อยู่ในช่วงเวลาและราคาที่น่าพึงพอใจ มีความเสี่ยงและมีต้นทุนการดำเนินการต่ำ ทำให้พอร์ตของบ้านปูหลากหลายขึ้น จากเดิมที่มีแหล่งก๊าซธรรมชาติ Marcellus ในพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือของมลรัฐเพนซิลเวเนียอยู่แล้ว

ทั้งนี้ ยอดขายก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ 2 แหล่งที่บ้านปูมีอยู่ทั้งบาร์เนตต์ เเละ Marcellus จะอยู่ที่ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ขณะที่ราคาขายคาดว่าจะอยู่ที่ 3-4 เหรียญต่อล้านบีทียู จากปี 2562 อยู่ที่ 1.38 เหรียญต่อล้านบีทียู

โดยบริษัทตั้งงบลงทุนปีนี้ อยู่ที่ 930 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็น สัดส่วน 90% (840 ล้านเหรียญ) จะใช้สำหรับขยายการลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ และพลังงานหมุนเวียนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตตามแผน ส่วนอีก 10% หรือ 90 ล้านเหรียญ จะใช้สำหรับซ่อมบำรุงเครื่องจักรในเหมืองถ่านหินต่างๆ เช่น ในออสเตรเลีย

พร้อมตั้งเป้าหมายจะมีกำลังผลิตถ่านหินรวม อยู่ที่ 46.7 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2562 มีกำลังผลิตรวม อยู่ที่ 45.3 ล้านตัน ขณะที่ราคาขายจะใกล้เคียงช่วงไตรมาส 3-4 ของปีก่อน อยู่ที่ประมาณ 70 เหรียญต่อตัน

ยอดขายถ่านหินของบ้านปู เเบ่งตามรายประเทศ ในปีพ.ศ. 2562

ตั้ง “บ้านปู เน็กซ์” เน้นพลังงานสะอาด รุก EV เเละแบตเตอรี่ไฟฟ้า

สำหรับบริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด ที่มีทุนจดทะเบียน 7,919 ล้านบาท แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมาจะดำเนินงานเป็นบริษัทหลัก (Flagship) ของกลุ่มบริษัทบ้านปู เพื่อมุ่งลงทุนและพัฒนาธุรกิจพลังงานสะอาด

การดำเนินธุรกิจต่างๆ เช่น ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน การให้บริการวางระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด การออกแบบและผลิตยานยนต์ไฟฟ้า การผลิตและจำหน่ายแบตเตอรี่ไฟฟ้า ระบบกักเก็บพลังงาน และระบบการจัดการเทคโนโลยีพลังงาน พัฒนาสมาร์ทโซลูชันด้านพลังงาน

“ความคืบหน้าในปี 2562 เราขยายพอร์ตธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคากับลูกค้าพรีเมียมทั่วประเทศ รวมถึงร่วมมือด้านโลจิสติกส์ทั้งการขนส่งสินค้าและพัสดุไปรษณีย์ด้วยยานยนต์ไฟฟ้า และการขยายกำลังผลิตโรงงานแบตเตอรี่ลิเธียมอิออน 1 กิกะวัตต์ต่อชั่วโมง”

เป้าหมายของ “บ้านปู เน็กซ์” ในปีพ.ศ. 2568

เล็งตลาดใหม่ อินเดีย-บังกลาเทศ

ปัจจุบันบ้านปูทำธุรกิจใน 10 ประเทศทั่วเอเชีย-แปซิฟิก โดยธุรกิจที่สร้างรายได้หลักให้บริษัทคือกลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน โดยบริษัทกำลังพิจารณาถึงตลาดที่มีศักยภาพใหม่อย่าง อินเดียและบังกลาเทศ

“ธุรกิจผลิตพลังงาน เราจะตั้งเป้าหมายการมีกำลังการผลิตรวม 5.3 กิกะวัตต์เทียบเท่า ภายในอีก 5 ปี เน้นเทคโนโลยีประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามกลยุทธ์ Greener & Smarter”

เมื่อถามถึง 3 ปัจจัยเสี่ยงของธุรกิจพลังงานในปีนี้ สมฤดีตอบว่า อันดับเเรก คือ Covid-19 เป็นปัจจัยเสี่ยงภายนอกที่ยังควบคุมได้ลำบาก เเต่เชื่อว่าเเต่ละประเทศน่าจะมีมาตรการรองรับที่ดี โดยตอนนี้ความเสี่ยงที่เชื้อเเพร่กระจายไปสู่ยุโรป ก็ส่งผลต่อความตื่นตระหนก ความคิดของนักลงทุน ส่งผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งไทย

“โรงงานเเละเหมืองถานหินของบ้านปูในจีน ยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก อาจจะมีเเค่เรื่องเเรงงาน ซึ่งตอนนี้กลับมากลับมาทำงานตามปกติเเล้ว”

ตามมาด้วยอันดับที่ 2 คือ การลดลงของราคาเเก๊สธรรมชาติเเละถ่านหิน ที่มีโดยตรงต่อรายได้ของบ้านปู เเละอันดับ 3 คือเรื่อง กำลังการผลิต “ปีที่เเล้วเราตกเป้าที่ออสเตรเลียเพราะไฟป่า เเละที่ลาวมีเเผ่นดินไหว ปีนี้เริ่มฟื้นกลับขึ้นมาเเล้ว ซึ่งเราก็ต้องมีมาตรการรองรับในจุดนี้”

“ในกรณีสถานการณ์เลวร้ายมาก เราก็มีเป้าหมายจะลดต้นทุนในเเง่ของการดำเนินงานจะสามารถรับมือได้โดยเฉพาะของบ้านปูเน็กซ์ เเละหากการระบาดดีขึ้น รัฐคงจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งการใช้พลังงานก็จะเพิ่มขึ้น
ส่วนการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในช่วงปลายปีนี้ ดีมานด์ในไตรมาส 4 ในตลาดก็น่าจะขึ้นพอสมควร”

 

*คำนวณโดยอ้างอิงอัตราเเลกเปลี่ยนที่ USD 1 : THB 31.0476 

]]>
1267320