บิล เกตส์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 09 May 2025 08:02:09 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Bill Gate ประกาศบริจาคทรัพย์สินเกือบทั้งหมดใน 20 ปี “คืนผลตอบแทนให้สังคม“ https://positioningmag.com/1521009 Fri, 09 May 2025 04:45:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1521009 หากพูดถึงมหาเศรษฐีระดับโลก ต้องมีชื่อ “Bill Gates” (บิล เกตส์) ติดโผระดับต้น ๆ ซึ่งปัจจุบัน (ณ เดือน พ.ค. 68) เขามีทรัพย์สินราว 1.08-1.13 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.9-4.1 ล้านล้านบาท

ล่าสุด เกตส์ประกาศยกทรัพย์สิน 99% ให้กับมูลนิธิ Gates Foundation ภายใน 20 ปีข้างหน้า

โดยตั้งเป้าใช้จ่ายมากกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 20 ปีข้างหน้า เพิ่มขึ้น 2 เท่าตัว จากที่เคยบริจาคมา 1 แสนล้านดอลลาร์ ในช่วง 25 ปีมานี้ เพื่อหวังแก้ไขปัญหาสุขภาพและความยากจนทั่วโลก หลังจากนั้นมูลนิธิจะปิดตัวลงอย่างถาวรในปี 2045

เกตส์ กล่าวว่า เขาได้รับแรงบันดาลใจจากบทความ The Gospel of Wealth ของ Andrew Carnegie ที่กล่าวว่า “คนที่ตายโดยยังร่ำรวยอยู่ คือคนที่ตายอย่างน่าอับอาย”

เกตส์ไม่ต้องการให้คำว่า “เขาตายทั้งที่ยังรวย” เป็นสิ่งที่คนจดจำ นำมาสู่แผนบริจาคทรัพย์สินเกือบทั้งหมดในวันนี้

ทั้งนี้ เป้าหมาย 20 ปี ของมูลนิธิจะเน้นไป 3 ส่วนหลัก ได้แก่

1.ยุติการเสียชีวิตของแม่และเด็กจากสาเหตุที่ป้องกันได้

  • ลดการตายของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีลงอีกครึ่ง
  • ส่งเสริมโภชนาการ การดูแลแม่ตั้งครรภ์ และเข้าถึงวัคซีนที่จำเป็น

2.สร้างโลกที่ปลอดจากโรคติดเชื้อร้ายแรง

  • ตั้งเป้ากำจัดโรคโปลิโอ มาลาเรีย และหัด
  • สนับสนุนนวัตกรรม เช่น ยีนบำบัด HIV และวัคซีนวัณโรคใหม่
  • ลดต้นทุนให้ยารักษาเข้าถึงได้ในประเทศยากจน

3.ยกระดับคนหลายร้อยล้านคนให้หลุดพ้นจากความยากจน

  • เน้นด้านการศึกษา โดยเฉพาะในโรงเรียนรัฐของสหรัฐฯ
  • สนับสนุนเกษตรกรรายย่อยด้วยเมล็ดพันธุ์ทนภัยแล้งและมีสารอาหารมากขึ้น
  • พัฒนาเทคโนโลยี AI และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
  • ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกรหญิง

อย่างไรก็ตาม เกตส์ มองเห็นข้อจำกัดและความท้าทาย มาจากสาเหตุหลายประการ เช่น

  • การสนับสนุนจากรัฐบาล ทั้งของสหรัฐฯ และยุโรป กำลังลดลง
  • ประเทศในแอฟริกาบางแห่งใช้งบจ่ายหนี้มากกว่างบสาธารณสุข
  • เขายืนยันว่า มูลนิธิจะยังคงช่วยเหลือประเทศยากจนให้ลุกขึ้นได้ด้วยตัวเอง

 

แม่ของ Bill Gates

เกตส์ กล่าวว่า ต้นแบบการเป็นผู้ให้ของเขาล้วนได้รับอิทธิพลมาจากคนรอบข้าง

“แม่” เป็นคนปลูกฝังแนวคิดเรื่องการ “ตอบแทนสังคม” ให้ผม เธอเชื่อว่า “เมื่อเรามีมาก เราก็มีหน้าที่มาก” และสอนให้ผมเข้าใจว่าทรัพย์สินที่ผมมี เป็นสิ่งที่ผมมีหน้าที่ดูแล ไม่ใช่ครอบครองเพื่อประโยชน์ส่วนตัว

“พ่อ” ถือเป็นผู้วางรากฐานค่านิยมของมูลนิธิ เขาเป็นคนทำงานร่วมกับคนอื่นเก่ง รอบคอบ และกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ 3 คุณสมบัตินี้ยังคงเป็นหัวใจของทุกอย่างที่เราทำจนถึงวันนี้ ทุกปี เรามีรางวัล “Bill Sr. Award” ให้กับพนักงานที่สะท้อนค่านิยมของเขามากที่สุด

“Warren Buffett” ผู้เป็นต้นแบบแห่งความใจบุญ เขาเป็นคนแรกที่บอกผมว่า คนรวยควร “ให้ทุกอย่างคืนสู่สังคม” และเขาก็ได้บริจาคให้มูลนิธิของเรามาตลอดหลายสิบปี

“Chuck Feeney” ก็เป็นฮีโร่ของผมอีกคน เขาเชื่อว่า คนรวยควรบริจาคในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ แนวคิดนี้ส่งผลต่อมุมมองเรื่องการกุศลของผมอย่างมาก

Bill Gates (ซ้าย), Warren Buffett (ขวา)

“การประกาศแผนวันนี้ คือจุดเริ่มต้นของ ‘บทสุดท้าย’ ในอาชีพของผม ซึ่งผมมาไกลจากวันที่เริ่มก่อตั้งบริษัทซอฟต์แวร์กับเพื่อนตอนเป็นเด็กนักเรียน และในปีที่ Microsoft ครบรอบ 50 ปี ผมคิดว่าเป็นช่วงเหมาะสมดีที่ผมจะฉลอง ”ด้วยการคืนทรัพยากรที่ผมหาได้จากบริษัทนั้นกลับคืนให้กับโลก“ บิล เกตส์ กล่าวทิ้งท้าย

]]>
1521009
‘บิล เกตส์’ ออกมาทำนายว่า AI กำลังจะเข้ามาทำงานหลักแทนคน https://positioningmag.com/1511519 Wed, 19 Feb 2025 11:20:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1511519 ‘บิล เกตส์’ มหาเศรษฐีโลกและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทยักษ์ใหญ่ ‘ไมโครซอฟท์’ ได้ออกมาพูดถึง AI หรือปัญญาประดิษฐ์ (อีกครั้ง) ว่า จะเข้ามาทำงานส่วนใหญ่แทนมนุษย์ และในอนาคตมนุษย์จะทำงานเพียง 2-3 วันต่อสัปดาห์

 

การแสดงความเห็นนี้เกิดขึ้นระหว่างที่เขาโปรโมต Source Code: My Beginnings หนังสือชีวประวัติเล่มใหม่ของตัวเอง ในรายการ The Tonight Show Starring Jimmy Fallon ของ ‘จิมมี่ ฟอลลอน’ (Jimmy Fallon)

 

ฟอลลอนได้ถามเกตส์ว่า ปัจจุบันใคร ๆ ก็พูดถึง AI แล้วเกตส์คิดว่า มันจะเข้ามามีบทบาทอย่างไรในอนาคต รวมถึงมีข้อดีและข้อเสียในการนำมาใช้งานอย่างไร ?

 

เกตส์ ตอบว่า AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญและพลิกโฉมรูปแบบของการทำงาน ทำให้มนุษย์ไม่จำเป็นในงานส่วนใหญ่ อาทิ ด้านการผลิต การขนส่ง และการเกษตร เป็นต้น และ AI ยังช่วยให้เข้าถึงบริการสำคัญที่ขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็น คำแนะนำทางการแพทย์และการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต ฯลฯ

 

นอกจากนี้ เขายังทำนายอีกว่า ในอนาคตมนุษย์อาจทำงานเพียง 2-3 วันต่อสัปดาห์ เพราะ AI สามารถทำงานที่ซับซ้อนแทนมนุษย์ได้มากขึ้น ทำให้เกิดคำถามสำคัญ คือ เทคโนโลยีนี้จะช่วยให้มนุษย์มีชีวิตดีขึ้น หรือจะทำให้หลายล้านคนต้องตกงาน ?

 

“ด้วย AI เป็นเรื่องใหม่และยังมีความไม่แน่นอนสูง คนจำนวนมากจึงรู้สึกกังวลกับเรื่องนี้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” เกตส์ตอบ

 

นอกจากนี้แม้ AI จะมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก แต่ยังมีกิจกรรมบางอย่างที่ยังคงต้องมีมนุษย์อยู่ เช่น กีฬา เพราะความสนุกมาจากการมีส่วนร่วมของคนจริง ๆ

 

ก่อนที่เกตส์จะปิดท้ายว่า ตัวเขาเชื่อมั่นในศักยภาพของวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม รวมถึงความก้าวหน้าทางด้านสุขภาพที่จะสามารถรักษาโรคยาก ๆ ได้ เช่น โรคอัลไซเมอร์ มาลาเรีย เอชไอวี และโปลิโอ ที่อาจถูกกำจัดได้ภายในไม่กี่ปี

 

เกตส์ยังเชื่อว่า มนุษยชาติสามารถสามารถนำเทคโนโลยีและการสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อนำมาช่วยแก้ไขการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้ แค่ขอร่วมมือและมีความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาร่วมกัน

 

]]>
1511519
‘บิล เกตส์’ วางแผน ‘บริจาคทรัพย์สินทั้งหมด’ เพื่อการกุศล https://positioningmag.com/1392849 Sun, 17 Jul 2022 07:42:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1392849 ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินมักแนะนำให้เราควรระมัดระวังในการจัดสรรเงินเพื่อไม่ให้เงินหมด แต่สำหรับมหาเศรษฐีอันดับ 4 ของโลกอย่าง บิล เกตส์ (Bill Gates) กลับมีเป้าหมายในการ บริจาคเงินให้หมด

บิล เกตส์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft ได้เปิดเผยว่า เขาได้บริจาคเงิน 2 หมื่นล้านเหรียญ หรือราว 7.3 แสนล้านบาท ให้กับมูลนิธิ Bill & Melinda Gates พร้อมกับระบุว่า เขาจะ บริจาคทรัพย์สินทั้งหมด ให้กับมูลนิธิ แม้ว่าชื่อเขาจะหลุดออกจากตำแหน่งบุคคลที่มั่งคั่นที่สุดในโลกก็ตาม

“ผมมีภาระผูกพันที่จะคืนทรัพยากรของผมสู่สังคม เพื่อบรรเทาความทุกข์ยากของผู้คน รวมถึงพัฒนาคุณภาพชีวิตของพวกเขา และผมหวังว่ามหาเศรษฐีคนอื่น ๆ จะช่วยบริจาคเพิ่มมากขึ้นข้อความที่บิล เกตส์ประกาศผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว

นับตั้งแต่ปี 1994 บิล เกตส์ และอดีตภรรยา เมลินดา เฟรนช์ เกตส์ ได้บริจาคเงินกว่า 5 หมื่นล้านเหรียญ และถ้าเขาต้องการบริจาคทรัพย์สินทั้งหมด แปลว่าเขาจะบริจาคทรัพย์สินถึง 1.13 แสนล้านเหรียญ จากการประเมินทรัพย์สินทั้งหมดในปัจจุบันของเขาโดยบลูมเบิร์ก

สำหรับมูลนิธิ Bill & Melinda Gates ได้ก่อตั้งขึ้นในปี 2000 โดยมีวัตถุประสงค์ในการค้นหาแนวทางแก้ไขปัญหาระดับโลก เช่น โรคภัยไข้เจ็บ ความยากจน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพและการศึกษา

บิล เกตส์ ระบุว่า มูลนิธิของเขาวางแผนที่จะเพิ่มการใช้จ่ายประจำปีอีกราว 50% จากประมาณ 6 พันล้านเหรียญเป็น 9 พันล้านเหรียญ ภายในปี 2026 เพื่อเป็นทุนในการวิจัยและพัฒนาในการป้องกันโรคระบาดในอนาคต บรรเทาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และลดการเสียชีวิตของเด็กจากโรคที่ป้องกันได้

“ตอนนี้เป็นที่ชัดเจนว่าความต้องการในทุกพื้นที่ที่เราทำงานมีมากขึ้นกว่าที่เคย เพราะในสมัยของเรามีวิกฤตครั้งใหญ่จำนวนมาก และเราต้องการให้ทุกคนทำมากกว่านี้ นับตั้งแต่การระบาดใหญ่ของ COVID-19 และการรุกรานยูเครนของรัสเซีย ถือเป็นการพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของโลก”

Source

]]>
1392849
Bill Gates โชว์เรซูเม่สมัยอายุ 18 เพิ่มกำลังใจมนุษย์งาน (ได้จริงไหม?) https://positioningmag.com/1392025 Sun, 10 Jul 2022 13:06:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1392025 คนทำงานหลายคนพบว่านอกจากการไปสัมภาษณ์งาน อีกส่วนที่ยากที่สุดในการหางานคือการสร้างประวัติย่อหรือเรซูเม่ในอุดมคติที่จะเปิดโอกาสในการเรียกความสนใจได้ในครั้งแรก ความสำคัญของเรซูเม่นี้ทำให้โลกตื่นเต้นมากเมื่อ Bill Gates หนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ได้ตัดสินใจเปิดเผยประวัติย่อที่ตัวเองเขียนขึ้นเมื่ออายุ 18 ปีให้ชาวเน็ตได้ชม เพื่อหวังจะสร้างแรงผลักดันให้คนทำงานทุกคนไม่ท้อแท้และมีความหวังกับอนาคตที่รออยู่ข้างหน้า

ด้วยการแชร์ประวัติย่อที่เขียนขึ้นเมื่อ 48 ปีที่แล้ว Bill Gates ต้องการบอกโลกว่าการพยายามหางานทำนั้นเป็นอย่างไรในยุคที่ Gates เพิ่งเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงก่อนที่ Gates จะลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อก่อตั้งบริษัท Microsoft อย่างเต็มตัว ถือเป็นข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจมากเกี่ยวกับการเริ่มต้นอาชีพของหนึ่งในคนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในปัจจุบัน

ไม่ว่าประวัติย่อในช่วงเริ่มต้นชีวิตของมหาเศรษฐีรายอื่นที่ประสบความสำเร็จอย่างเหลือเชื่อนั้นเป็นอย่างไร แต่ในเอกสารที่ Bill Gates เปิดเผยออกมานั้นระบุว่าเงินเดือนของหนุ่มน้อย Gates นั้นอยู่ที่ 12,000 ดอลลาร์สหรัฐ  (434,640 บาทตามค่าเงินในปัจจุบัน หรือประมาณ 300,000 บาทตามค่าเงินในเวลานั้น) ตัวเลขที่น่าประทับใจสำหรับน้องใหม่ระดับมหาวิทยาลัยทุกคนนี้ทำให้เกิดคำถามว่า การให้กำลังใจผู้คนด้วยเรซูเม่นี้ จะได้ผลดีจริงๆ ใช่ไหม?

5 ฟุต 10 นิ้ว หนัก 130 ปอนด์

นอกจากตัวเลขเงินเดือน ส่วนสูงและน้ำหนักของ Bill Gates เป็นอีกข้อมูลที่ดึงดูดใจชาวโลก เนื่องจากทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องปกติที่จะแบ่งปันรายละเอียดส่วนตัวเช่นนี้ โดยประวัติย่อของ Bill Gates ในอายุ 18 ย่าง 19 ประกาศว่าตัวเองสูง 5 ฟุต 10 นิ้ว และหนัก 130 ปอนด์ ต่อจากนั้นจึงบอกเล่าข้อมูลประวัติการทำงานโดยย่อตามธรรมเนียมปฏิบัติ

หากอ่านโดยไม่ทราบว่า Gates จะเติบโตขึ้นเป็นนักเรียนเกียรตินิยมที่ทำคะแนนได้ A ทุกวิชาในปีแรกที่วิทยาลัยฮาร์วาร์ด ก่อนจะลาออกจากวิทยาลัยในภายหลังเพื่อเริ่มต้น Microsoft เราต้องยอมรับว่าประวัติย่อนี้ให้ภาพรวมของโครงการก่อนหน้าที่ Gates ทำกับ Paul Allen ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทระดับโลกในอนาคต นั่นคือระบบที่ศึกษาการเคลื่อนที่ของทราฟฟิกคอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยเหลือ traffic engineer หรือวิศวกรผู้ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น

Gates ในวัย 66 ปีให้ความเห็นเกี่ยวกับเรซูเม่ของตัวเองไว้สั้นๆ ว่าไม่ว่าใครจะเพิ่งจบหรือเพิ่งออกจากวิทยาลัย ตัวเขาก็แน่ใจว่าประวัติย่อของหลายคนจะดูดีกว่าที่ตัวเขาเคยทำเมื่อ 48 ปีก่อนมาก ข้อความนี้สะท้อนความพยายามสร้างแรงบันดาลใจ ซึ่งไม่เพียงแต่ Bill Gates ในอนาคตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบุคคลทั่วไปที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ในเส้นทางอาชีพใด ทุกคนก็สามารถมองดูอดีตของตัวเองด้วยความหวังว่าทุกสิ่งจะคลี่คลายไปในทางดีกว่าเดิม

กำลังใจ มาหรือไป?

คำพูดของ Gates ที่ว่าประวัติการทำงานของคนยุคนี้อาจดูดีกว่าที่ตัวเขาเคยทำนั้น แม้จะแสดงออกถึงความตั้งใจเพิ่มความมั่นใจให้ “คนหนุ่มสาวหลายล้านคนทั่วโลกที่กำลังมองหางาน” แต่ความสำเร็จไม่ธรรมดาที่ William Henry Gates III ทำได้ในขณะเป็นน้องใหม่ที่ Harvard College นั้นไม่สามารถมองข้ามไปได้ ผู้ใช้โซเชียลมีเดียหลายคนจึงยกย่องประวัติย่อของ Bill Gates ว่าไม่มีที่ติ และขอบคุณ Gates ที่พยายามสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคน

ท่ามกลางกระแสขอบคุณ Gates สำหรับการแบ่งปันความทรงจำล้ำค่า ชาวเน็ตบางคนแสดงความทึ่งที่ Gates สามารถทำทุกสิ่งที่ระบุในเรซูเม่ได้ตั้งแต่ตอนเป็นเด็กปี 1 ขณะที่บางคนพูดทำนองว่า อย่าเทียบกันเลยว่าประวัติย่อของคนธรรมดาจะเป็นอย่างไรเมื่อวางคู่กับประวัติย่อของ Gates รวมถึงบางเสียงที่หันมาแซวว่า การใส่ส่วนสูงและน้ำหนักลงในเรซูเม่ของผู้คนยุคก่อน นั้นเหมือนกับการใส่ข้อมูลในแอปพลิเคชันนัดเดทของผู้คนในยุคนี้ไม่มีผิด

ที่สุดแล้ว ชาวเน็ตส่วนใหญ่แสดงความชื่นชม Bill Gates เจ้าของสัดส่วน 5 ฟุต 10 นิ้ว หนัก 130 ปอนด์ ผู้ทำเงินเดือน 3 แสนบาทในวัย 18 ปี ที่เต็มใจเผยประวัติย่อเพื่อเพิ่มกำลังใจให้มนุษย์งานแบบจริงใจเช่นนี้

ที่มา : Scoopwhoop, The Print, Economic Times, Cnet

]]>
1392025
“บิล เกตส์” เตือน COVID-19 ยังเสี่ยง แต่สถานการณ์ “เลวร้ายที่สุด” อาจรออยู่ข้างหน้า https://positioningmag.com/1386935 Tue, 31 May 2022 08:35:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1386935 หลังจากผ่านไปเกิน 2 ปีที่โควิด-19 เริ่มระบาด วันนี้ผู้คนจำนวนมากลดการป้องกันลง แต่เจ้าพ่อเทคโนโลยีอย่างบิล เกตส์ (Bill Gates) เชื่อว่าการระบาดใหญ่ยังไม่จบ และมีโอกาสที่ “สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด” จะยังรอชาวโลกอยู่ข้างหน้า

บิล เกตส์ออกมาแสดงความคิดเห็นเรื่องโควิด-19 เพื่อโปรโมตหนังสือเล่มใหม่ของตัวเองที่ชื่อ “How to Prevention the Next Pandemic” ไม่เพียงให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวไฟแนนเชียลไทมส์เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม แต่ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ (Microsoft) ยังออกมาพูดถึงโควิด-19 ในการตอบกระทู้ถามบน Reddit AMA (Ask Me Anything) ซึ่งบิล เกตส์หมั่นตั้งขึ้นมาเพื่อให้ชาวเน็ตเข้ามาถามคำถามได้ทุกเรื่องเป็นประจำทุกปี

สำหรับปีนี้ คำถามที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ถูกหยิบยกมาสนทนาอย่างคึกคัก ในช่วงเวลา 1 สัปดาห์หลังจากที่เกตส์ประกาศว่าได้ติดเชื้อโควิด-19 แล้วเรียบร้อยเพื่อแสดงความเชื่อมั่นให้ชาวโลกทราบว่ายังคงมีความเสี่ยงเหลืออยู่จากการระบาดใหญ่ครั้งนี้ เจ้าพ่อ Microsoft จึงพยายามย้ำว่าโควิด-19 ยังมีตัวแปรอื่นที่จะสร้างความปั่นป่วนทั้งในเชิงการแพร่ระบาดและการเป็นอันตรายถึงชีวิตมากขึ้น ซึ่งแม้จะดูเหมือนไม่น่าเป็นไปได้

แต่เกตส์ย้ำว่าโควิดรอบนี้ยังมีความเสี่ยงเหลืออยู่อีกไม่ต่ำกว่า 5% และที่สำคัญคือ เกตส์เชื่อว่าโลกยังมาไม่ถึงจุดที่เป็น “สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด” ของโควิด-19 เลย

ไวรัสอาจกลายพันธุ์อีกครั้ง

บิล เกตส์ ตั้งข้อสังเกตว่าไวรัสอาจกลายพันธุ์อีกครั้งหลังจากที่ตัวเลขการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับโควิดกำลังลดลง การออกมาแสดงความคิดเห็นนี้ทำให้เกิดความกังวลมากขึ้น เพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนกำลังเติบโตทั่วโลก และการแพร่กระจายของโรคคือเครื่องเตือนใจชั้นเยี่ยมว่าโควิด-19 ยังคงแฝงตัวอยู่ในสังคม

สถิติจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ระบุว่าผู้ติดเชื้อรายใหม่จากโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนกำลังเติบโตทั่วทั้งสหรัฐฯ โดยเพิ่มขึ้นเกิน 9% ในช่วงต้นพฤษภาคมทั่ว 39 รัฐในช่วงเวลานั้น ขณะที่สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2565 ถึง 27 พ.ค. 2565 พบจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่เพิ่ม 4,837 ราย ทำให้การระบาดระลอกใหม่ (ม.ค. 2565) มีผู้ติดเชื้อสะสมไปแล้ว 2,211,076 ราย โดยการระบาดระลอกใหม่ตั้งแต่เดือน ม.ค.2565 มียอดผู้เสียชีวิตสะสมในไทย 8,212 ราย และภาพรวมของการเสียชีวิตจากสถานการณ์โควิด-19 มีผู้เสียชีวิตรวม 29,910 ราย

สำหรับเกตส์ บทเรียนสำคัญจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 คือการวางแผนป้องกัน และการกำหนดมาตรการเฝ้าระวังจะสามารถช่วยให้โลกจัดการกับการระบาดใหญ่ในอนาคตได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นแนวคิดหลักของหนังสือ “How to Prevention the Next Pandemic” ที่กำลังจะออกเผยแพร่ในปลายปีนี้

หนึ่งในข้อเสนอของบิลเกตส์คือการกระตุ้นให้องค์การอนามัยโลกลุกขึ้นมาตั้งทีมเฝ้าระวังระดับโลก ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญที่จะสามารถมองเห็นภัยคุกคามด้านสุขภาพแบบใหม่ในระดับโลกได้อย่างรวดเร็ว ทีมนี้ควรจะประสานงานกับรัฐบาลทั่วโลกอย่างฉับไวเพื่อป้องกันไม่ให้ความเจ็บป่วยในอนาคตกลายเป็นโรคระบาดใหญ่ได้อีก
ไม่เอาแล้วนะแบบเดิม

เพื่อไม่ให้โลกต้องฟกช้ำในรอยเดิม เกตส์ย้ำว่าการตั้งทีมนี้จะต้องระดมทุนมหาศาลจาก WHO และประเทศสมาชิก ไม่เพียงผนึกกำลังทีมผู้เชี่ยวชาญระดับโลก รวมทั้งนักระบาดวิทยาและนักไวรัสวิทยา แต่ยังต้องจัดหาเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการระบุและควบคุมการระบาดในอนาคตในเชิงรุก

เกตส์ตั้งชื่อหน่วยงานไว้คร่าวๆ ว่า โครงการ “Global Epidemic Response and Mobilization” (GERM) ซึ่งเป็นโครงการเดียวกับแผนที่เคยประกาศก่อนหน้านี้ในการประชุม TED ปี 2022 เมื่อเดือนเมษายน เวลานั้นเกตส์ตั้งข้อสังเกตว่า WHO น่าจะต้องใช้เงินมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ต่อปีเพื่อจัดตั้งทีมรับมือระดับโลกดังกล่าว ซึ่งแม้จะมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ต้นทุนของการระบาดใหญ่ครั้งหน้าอาจจะสูงกว่านี้มากนัก

ก่อนหน้านี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าการระบาดของโควิด-19 จะทำให้เศรษฐกิจโลกเสียหายกว่า 12.5 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2567 ในขณะเดียวกัน และมีแนวโน้มว่าผู้คนทั่วโลกกว่า 6.2 ล้านคนต้องเสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 ผลจากการที่พวกเราชาวโลกไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือกับโรคระบาดนี้อย่างเหมาะสม ตามที่ WHO และเกตส์ได้กล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายรอบในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

“สำหรับผม ในนามของพลเมืองโลก มันดูบ้าไปหน่อยที่เราไม่ยอมหาบทเรียนจากโศกนาฏกรรมครั้งนี้ และจะไม่ลงทุนอะไรเลย เราจำเป็นต้องใช้เงินหลายพันล้าน เพื่อประหยัดเงินหลายล้านล้าน”

(Photo by John Lamparski/Getty Images)

นอกจากแนวคิดเรื่องการตั้งทีม GERM และข้อเสนอแนะอื่น เกตส์ยังให้น้ำหนักกับการต่อสู้เรื่องการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ และการทำให้วัคซีนเข้าถึงได้ง่ายทั่วโลก โดยเกตส์กล่าวว่าเป้าหมายส่วนตัวในปี 2022 ของเขาคือ “การทำให้แน่ใจว่า โควิด-19 เป็นโรคระบาดครั้งสุดท้าย”

และในขณะที่เกตส์ย้ำเตือนว่าอย่าเพิกเฉยต่อความเสี่ยงที่ยังคงมีอยู่ของโควิด-19 มหาเศรษฐีระดับโลกยังไม่ลืมแสดงความมองโลกในแง่ดีว่า โควิด-19 จะสามารถจัดการได้มากขึ้นในฤดูร้อนปีนี้ เพราะในที่สุด ชาวโลกส่วนใหญ่จะสามารถรักษา Covid ได้เหมือนเป็น “ไข้หวัดตามฤดูกาล”

ในกระทู้บน Reddit AMA มีผู้ตั้งคำถามเชิงว่าในเมื่อบิล เกตส์ ไม่ได้จบปริญญาทางการแพทย์ แล้วมายุ่งเกี่ยวกับวงการยาหรือวงการเพทย์ทำไม? และเพราะเหตุใด ความคิดเห็นทางการแพทย์ของบิล เกตส์จึงควรมีความสำคัญ? เกตส์ตอบว่าเพราะมูลนิธิของเขามีผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์จำนวนมาก และการรับมือกับโรคระบาดจำเป็นต้องใช้ทักษะมากมายในการดำเนินการสิ่งต่างๆ ทั้งการกำจัดโรคมาลาเรีย หรือวัคซีนและการรักษาโควิด เมื่อเกตส์ได้ฟังผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับคำแนะนำทางการแพทย์ที่เฉพาะเจาะจง ว่าระบบป้องกันการแพร่ระบาดจะต้องใช้มากกว่าแพทย์ ดังนั้น เกตส์จึงเขียนหนังสือเพื่อเริ่มการอภิปรายว่า เราชาวโลกควรต้องปฏิบัติอย่างไร

เพื่อไม่ให้สถานการณ์ “เลวร้ายที่สุด” ปรากฏตรงหน้าเรา

ที่มา :Cnbc, Geekwire

]]>
1386935
‘บิล เกตส์’ เชื่อ หากผ่าน ‘โอมิครอน’ ได้ โควิดจะเป็นแค่ ‘โรคประจำถิ่น’ https://positioningmag.com/1370280 Thu, 13 Jan 2022 05:52:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1370280 หากพูดถึง บิล เกตส์ นอกจากบทบาทของมหาเศรษฐีเจ้าของ Microsoft แล้ว บิล เกตส์ยังถือเป็นผู้ที่สนับสนุนด้านสาธารณสุขมาโดยตลอด ทำให้มีความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องเชื้อโรค เรื่องการแพทย์ การสาธารณสุขอยู่พอสมควร และล่าสุด บิล เกตส์ก็ได้ออกมาคาดการณ์ว่า หากโลกผ่านสายพันธุ์ โอมิครอน (Omicron) ไปได้ จากนี้ไป COVID-19 ก็จะเป็นแค่โรคประจำถิ่น

COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอน กำลังสร้างความปั่นป่วนให้กับโลกแทนที่สายพันธุ์เดลตาไปแล้ว แม้จะมีผลงานวิจัยออกมาระบุว่าความรุนแรงนั้นน้อยกว่า แต่ความเร็วในการระบาดนั้นเร็วกว่ามาก แต่ถึงอย่างนั้น บิล เกตส์ (Bill Gates) ก็ยังมองเห็นความหวัง

เมื่อวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา บิล เกตส์ ได้ตอบคำถามผ่าน Twitter ของ Devi Sridhar ประธานฝ่ายสาธารณสุขระดับโลกที่ University of Edinburgh โดยเขากล่าวว่า เมื่อสิ้นสุดการระบาดเวฟ (โอมิครอน) นี้ ประเทศต่าง ๆ สามารถคาดหวังถึงจำนวนผู้ป่วยที่จะลดลงอย่างมากภายในปี 2022 และโควิดจะกลายเป็นเหมือนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลมากขึ้น

บิล เกตส์ กล่าวถึงสถานการณ์ดังกล่าวใน Twitter Q&A ของเขา โดยคาดการณ์ว่า โอมิครอนจะสร้างภูมิคุ้มกันจำนวนมากอย่างน้อยก็ในปีหน้า และหากประเทศสามารถรักษาระดับภูมิคุ้มกันพร้อม ๆ กันกับการระบาดของโควิดได้ ไม่ว่าจะเกิดจากวัคซีนหรือไม่ก็ตาม การระบาดของไวรัสอาจช้าลงนานพอที่จะเปลี่ยนการแพร่ระบาดไปสู่ระยะที่กลายเป็นการระบาดเฉพาะถิ่น และเมื่อถืงเวลานั้น ประชากรโลกอาจต้องฉีดวัคซีนทุกปีเหมือนกับฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ นอกจากนี้ บิล เกตส์ยังมองว่า โอมิครอน จะไม่มีอาการรุนแรงมากเหมือนกับสายพันธุ์อื่น ๆ “สถานการณ์นี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน” แต่ไม่ใช่กับ ผู้ที่ไม่ฉีดวัคซีน

ทั้งนี้ บิล เกตส์ ไม่ใช่คนแรกที่คาดการณ์แบบเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่า การแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของ โอมิครอนแม้ว่าจะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง แต่ก็สามารถทำให้ผู้คนมี ภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ ที่จะช่วยควบคุมการระบาดของ COVID-19 ให้เข้าสู่ระยะ โรคประจำเฉพาะถิ่น ที่รุนแรงน้อยกว่ามาก

เมื่อวันที่ 10 มกราคมที่ผ่านมา สหรัฐฯ มีผู้ป่วย COVID-19 รายใหม่ถึง 1.5 ล้านราย ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ Dr. Anthony Fauci ที่ปรึกษาทางการแพทย์ชั้นนำของประธานาธิบดี Joe Biden คาดการณ์ว่า การระบาดของโอมิครอนในปัจจุบันจะถึงจุดสูงสุดภายในสิ้นเดือนมกราคมนี้

Source

]]>
1370280
“บิล เกตส์” เขียนโพสต์ถึงปี 2021 ความท้าทายคือการผลิต “วัคซีน” ให้พอแก่คนทั้งโลก https://positioningmag.com/1311936 Thu, 24 Dec 2020 10:47:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1311936 บิล เกตส์ มหาเศรษฐีระดับโลก เขียนโพสต์ส่งท้ายปีในบล็อกส่วนตัว GatesNotes เมื่อวันอังคารที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมา กล่าวถึงวิกฤตโรคระบาด COVID-19 ที่คร่าชีวิตผู้คนและส่งผลต่อเศรษฐกิจในปีนี้ กับความหวังต่อวิทยาศาสตร์ที่จะสามารถผลิต “วัคซีน” ให้เพียงพอแก่ความต้องการของคนทั้งโลกโดยเร็วที่สุดในปี 2021

“เป็นปีแห่งการทำลายล้างทุกสิ่ง” คือประโยคแรกที่ “บิล เกตส์” เขียนในโพสต์ส่งท้ายปี 2020 ปกติเกตส์มักจะสื่อสารเรื่องต่างๆ ผ่านบล็อกส่วนตัวของเขาเสมอ หลายครั้งที่เขาแนะนำหนังสือดีประจำปี แต่ปีนี้เกตส์เขียนโพสต์ยาวเหยียดถึงโลกในปี 2020 และความหวังต่อปี 2021

บิล เกตส์ เป็นมหาเศรษฐีอันดับ 4 ของโลก ตามการจัดอันดับของ Forbes ด้วยมูลค่าทรัพย์สินกว่า 1.2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งนั่นคือทรัพย์สินที่เขาเหลืออยู่หลังจากตั้งมูลนิธิร่วมกับภรรยา เมลินดา เกตส์ บริจาคหุ้นใน Microsoft และทรัพย์สินต่างๆ เข้ามูลนิธิเพื่อนำไปใช้เชิงสาธารณกุศล

โดยเฉพาะปีนี้ที่การวิจัยพัฒนาวัคซีนต้าน COVID-19 เป็นสิ่งสำคัญ มูลนิธิของบิลและเมลินดา เกตส์ บริจาคเงินไปแล้ว 420 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อวิจัย พัฒนา ผลิต และแจกจ่ายวัคซีนให้กับประเทศรายได้ต่ำและรายได้ปานกลาง

 

ข่าวดีปี 2021: วัคซีนพัฒนาเร็ว

เกตส์เขียนในโพสต์ของเขาว่า โรคระบาด COVID-19 คร่าชีวิตผู้คนไปแล้ว 1.6 ล้านคนทั่วโลก และมีผู้ติดเชื้อสะสม 73 ล้านคน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจนับล้านล้านเหรียญสหรัฐ เขายังระบุไปถึงเรื่องร้ายอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในปี 2020 ที่กระหน่ำซ้ำเติมโรคระบาดในสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นการฆาตกรรม “จอร์จ ฟลอยด์” และ “บรีออนนา เทย์เลอร์” เหตุไฟป่าครั้งใหญ่ และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ก่อกระแสปัญหาไปทั่วประเทศ

อย่างไรก็ตาม เกตส์มองว่า “มีข่าวดีรออยู่ในปี 2021” เนื่องจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ทำให้การพัฒนาวัคซีนต้านโรค COVID-19 สำเร็จและเริ่มแจกจ่ายแล้ว “มนุษยชาติไม่เคยก้าวหน้าในการป้องกันโรคใดภายในเวลาปีเดียว เหมือนอย่างความคืบหน้ากับไวรัสโคโรนาซึ่งเกิดขึ้นในปีนี้” แม้ว่าปกติวัคซีนอาจต้องใช้เวลามากถึง 10 ปีในการพัฒนา นักวิทยาศาสตร์ในปีนี้สามารถพัฒนาวัคซีน COVID-19 ขึ้นมาหลายตัว ทำให้ทุกคนควรมีความหวังต่อปี 2021 ที่จะมาถึง

เกตส์เขียนต่อไปว่า วัคซีนจาก Moderna และ Pfizer/BioNTech น่าจะ “อยู่ในระดับที่สร้างแรงกระเพื่อมในระดับโลกได้” จำนวนผู้เสียชีวิตและผู้ติดเชื้อในประเทศร่ำรวยจะเริ่มลดลงก่อน “ชีวิตจะกลับมาใกล้เคียงคำว่าปกติมากกว่าเดี๋ยวนี้”

เขายังอธิบายเชิงเทคนิกเกี่ยวกับการพัฒนาวัคซีนด้วยว่า หลักการคือการโจมตี “โปรตีน” ซึ่งเป็นส่วนประกอบสร้างหนามแหลมที่ยื่นออกมาจากตัวไวรัสโคโรนา (และเป็นที่มาของชื่อโคโรนาซึ่งแปลว่ามงกุฏ) ดังนั้น เมื่อนักวิจัยรู้ถึงวิธีการทำงานของโปรตีนตัวนี้ น่าจะมองในแง่บวกได้ว่า วัคซีนตัวอื่นที่กำลังพัฒนาบนหลักการเดียวกัน จะได้ผลเช่นกัน

 

ความท้าทาย : ผลิตวัคซีนให้พอกับคนทั้งโลก

แต่ความท้าทายต่อไปยังมีอยู่ นั่นคือ “การผลิตวัคซีนให้เพียงพอกับคนทั้งโลก” โลกเราจะต้องการวัคซีน 5,000-10,000 ล้านโดส ขึ้นอยู่กับว่าวัคซีนต้องฉีดเข็มเดียวหรือสองเข็มจึงจะมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เห็นบริบทได้ชัด เกตส์กล่าวว่า ปกติบริษัทผลิตวัคซีนทั้งโลกมีกำลังผลิตรวมกัน 6,000 ล้านโดสต่อปี สำหรับการผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดและโรคที่ต้องฉีดเพิ่มภูมิคุ้มกันตั้งแต่เด็กทั้งหลาย

vaccine covid-19 pfizer

เพื่อให้ผู้ผลิตวัคซีน COVID-19 สามารถผลิตได้มากขึ้นโดยไม่ต้องสละหยุดผลิตวัคซีนที่เราฉีดเป็นประจำ มูลนิธิของเขาได้เชื่อมโยงบริษัทวัคซีนในประเทศร่ำรวยเข้ากับผู้ผลิตวัคซีนในประเทศกำลังพัฒนา โดยทำสัญญาเรียกว่า “สัญญาแหล่งผลิตทุติยภูมิ” ผู้ผลิตเหล่านี้จะสามารถสร้างวัคซีนในราคาเข้าถึงได้ ด้วยปริมาณที่มากพอ

การทำสัญญานี้แปลกประหลาดอย่างไร เกตส์พยายามอธิบายว่า สัญญาแหล่งผลิตทุติยภูมิก็เหมือนกับบริษัท Ford ยินยอมให้โรงงานแห่งหนึ่งแก่ Honda ใช้ผลิตรถยนต์รุ่น Accord ได้เป็นการชั่วคราว ที่เกิดความแปลกประหลาดนี้ได้ เพราะความเร่งด่วนฉุกเฉินในโลกทำให้บริษัทยาต่างเล็งเห็นประโยชน์ที่ดีกว่า หากจะร่วมมือกันทำงานเช่นนี้

แล้วมูลนิธิของเกตส์เข้าสนับสนุนอะไร? กรณีตัวอย่างที่ดำเนินการแล้วเช่น Serum Institute of India หนึ่งในผู้ผลิตวัคซีนที่ใหญ่ที่สุดของโลก เริ่มผลิตวัคซีนของ AstraZeneca (AZ) แล้ว ล่วงหน้าก่อนที่วัคซีนของ AZ จะได้รับการรับรอง แต่เมื่อได้รับอนุมัติเมื่อไหร่ ประเทศรายได้ต่ำและรายได้ปานกลางจะมีวัคซีนใช้ทันที โดยมูลนิธิของเกตส์รับความเสี่ยงด้านเงินทุนไว้บางส่วน หากวัคซีนไม่ได้รับอนุมัติ บริษัท Serum จะไม่ต้องรับต้นทุนความเสียหายทั้งหมดคนเดียว

ทั้งนี้ เมลินดาและบิล เกตส์ จะอภิปรายสาธารณะอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับการบริจาคเพื่อสนับสนุนวัคซีน เพราะพวกเขาเชื่อในการร่วมรับผิดชอบจากการให้คืนความมั่งคั่งของตนกลับสู่สังคม

 

ชุดตรวจเชื้อจะ “ไม่เจ็บ” และ “เห็นผลใน 15 นาที”

เกตส์เขียนต่อว่า ความหวังอีกอย่างของปี 2021 คือ ชุดตรวจเชื้อโรค COVID-19 ด้วยการ swab ใช้สำลีแหย่ลึกในโพรงจมูกซึ่งสร้างความรู้สึกไม่สบายตัวผู้รับการตรวจ อาจจะกลายเป็นวิธีการที่ล้าสมัยในไม่ช้า เพราะองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) เพิ่งจะให้การอนุมัติชุดตรวจที่ทำเองได้ที่บ้านเมื่อสัปดาห์ก่อน วิธีการนี้ยังเป็นการ swab โพรงจมูก แต่ไม่ต้องแหย่ลึกเหมือนที่เคยทำกันมา แถมยังไม่ต้องรอผลจากแล็บด้วย

การตรวจหาเชื้อโรคระบาด COVID-19 (Photo : Shutterstock)

การวิจัยที่ให้ทุนโดยมูลนิธิของเกตส์พบว่า ชุดตรวจเองที่บ้านนี้ให้ผลแม่นยำเท่าๆ กับการตรวจแบบเก่า และมีบริษัทอีกหลายแห่งที่กำลังพัฒนาชุดตรวจที่เป็นมิตรกับผู้ใช้มากกว่าและให้ผลภายใน 15 นาที ซึ่งถ้าหากใช้โดยแพร่หลาย เกตส์มองว่าจะทำให้การแทร็กติดตามการแพร่เชื้อเร็วขึ้นอีก

เขายังสรุปในโพสต์ด้วยความท้าทายทางวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่ง (ที่เราอาจจะเริ่มลืมๆ กันไปแล้ว) คือเรื่อง “โลกร้อน” เกตส์มองว่าการเปลี่ยนตัวประธานาธิบดีเป็น “โจ ไบเดน” จะทำให้การบริหารของประเทศสหรัฐฯ มุ่งเน้นเรื่องสู้โลกร้อนมากกว่าที่เคย “สหรัฐฯ จัดสมดุลแล้วเพื่อกลับสู่ตำแหน่งผู้นำ” ในแง่ของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเขายังรอคอยการประชุม UN ในเดือนพฤศจิกายน 2021 ซึ่งจะดึงผู้นำโลกมาพูดคุยเรื่องโลกร้อนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่งานประชุมที่ปารีสในปี 2015

ปี 2021 ของเกตส์เต็มไปด้วยความหวังจากการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ และเชื่อว่าอะไรๆ จะดีขึ้นจากปี 2020 แล้วคุณล่ะ…มองเห็นความหวังในปี 2021 อย่างไร?

(อ่านโพสต์ฉบับเต็มเป็นภาษาอังกฤษของบิล เกตส์ ได้ที่นี่)

]]>
1311936
อยู่กันยาวๆ “บิล เกตส์” วิเคราะห์สภาพสังคมจาก COVID-19 จะอยู่กับเราอีกนานกว่า 1 ปี https://positioningmag.com/1272419 Thu, 09 Apr 2020 06:10:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1272419 บิล เกตส์ วิเคราะห์สถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19 ในสหรัฐฯ อาจยิงยาวไปถึงฤดูใบไม้ร่วงปีหน้าหรือราวเดือนกันยายน 2564 เพราะการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ช่วยได้ไม่สมบูรณ์จนกว่าจะมีวัคซีนรักษาโรค

บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งบริษัท Microsoft และมูลนิธิบิลและเมลินดาเกตส์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ PBS Newshour เมื่อวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมาว่า เขามองว่าสหรัฐอเมริกาจะยังไม่ปลอดภัยโดยสมบูรณ์จนกว่าจะถึงช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2564 (ราวเดือนกันยายน-พฤศจิกายน) เพราะจากความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนรักษาไวรัส COVID-19 น่าจะต้องใช้เวลาอีกมากกว่า 1 ปีกว่าจะสำเร็จ

“วัคซีนจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจนกว่าจะมีวัคซีน อะไรๆ จะยังไม่เป็นปกติอย่างแท้จริง” มหาเศรษฐีใจบุญรายนี้กล่าว “การเปิดเมืองจะทำได้ในระดับหนึ่ง แต่ความเสี่ยงของการติดเชื้อซ้ำจะยังอยู่จนกว่าเราจะระดมฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึง”

เกตส์อธิบายว่า การเว้นระยะห่างทางสังคมจะช่วยลดจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ได้ โดยวิธีการนี้มีเป้าหมายเพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อลงให้อยู่ในระดับที่สามารถติดตามผู้ใกล้ชิดที่อาจจะติดโรคจากผู้ติดเชื้อได้ทั้งหมด เพื่อนำตัวทุกคนมากักกันโรค

เขายังกล่าวถึงภาพในอนาคต 6-12 เดือนข้างหน้าว่าน่าจะใช้โมเดลประเทศจีนเป็นตัวอย่าง “พวกเขากำลังเปิดให้คนกลับไปทำงาน แต่ยังต้องสวมหน้ากากอนามัยและตรวจไข้อยู่ และยังไม่มีการจัดอีเวนต์กีฬาขนาดใหญ่ เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อซ้ำเป็นวงกว้าง” เกตส์กล่าว

ความเป็นไปได้อีกหนึ่งอย่างในการดำเนินนโยบายเปิดเมืองคือ การอนุญาตการจับกลุ่มได้แบบจำกัดอายุ

“การอนุญาตให้จัดห้องเรียนที่มีแต่คนหนุ่มสาวสัก 30 คนในนั้นอาจจะทำได้ เพราะเราน่าจะเข้าใจบทบาทการเป็นพาหะนำโรคของพวกเขามากขึ้นในอีกประมาณหนึ่งเดือนข้างหน้า การอนุญาตนี้อาจจะเกิดขึ้นจำกัดและน่าจะผ่อนปรนให้กับหนุ่มสาวมากกว่ากลุ่มผู้ใหญ่ทั่วไป” เกตส์กล่าว อย่างไรก็ตาม เขาย้ำว่าการจัดชุมนุมชนขนาดใหญ่ “ยังไม่ควรจัดขึ้นจนกว่าจะมีการปูพรมฉีดวัคซีนเสร็จสิ้น”

สำหรับ “การกลับสู่สภาวะเกือบปกติ” เขามองว่าน่าจะดูตัวอย่างได้จากบางประเทศ เช่น สวีเดน เพราะเป็นประเทศที่ไม่ได้ล็อกดาวน์ประชาชนมากนัก ทำให้ประสบการณ์ของพวกเขาน่าจะมีประโยชน์

บิล เกตส์ นั้นเป็นหนึ่งในพันธมิตรของ สถาบันวัดผลและวิวัฒนาการสุขภาพ ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยด้านสาธารณสุขระดับโลกของ University of Washington เพื่อร่วมทำความเข้าใจเกี่ยวกับ “นโยบายใดในแต่ละประเทศที่ดูจะทำงานได้ผล” กับการรับมือ COVID-19

Source

]]>
1272419
หนังสือ 5 เล่มที่มหาเศรษฐี “บิล เกตส์” เเนะนำให้คุณอ่านช่วงวันหยุดปีใหม่ https://positioningmag.com/1258799 Sat, 28 Dec 2019 03:00:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1258799 ทุกช่วงสิ้นปี “บิล เกตส์” เจ้าพ่อเทคโนโลยีผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ มหาเศรษฐีอันดับ 2 ของโลกเเละผู้เป็น “หนอนหนังสือ” จะมาเเนะนำหนังสือที่เขาชื่นชอบตลอดปีที่ผ่านมา ซึ่งเเต่ละเล่มมีความน่าสนใจเเตกต่างกันไป เรียกว่าเป็นอาหารสมองเพื่อเริ่มต้นวันใหม่ได้เป็นอย่างดี

ใครกำลังหาเเรงบันดาลใจเเละความรู้ใหม่ๆ ห้ามพลาด นี่คือหนังสือ 5 เล่มที่บิล เกตส์ อยากให้คุณอ่านในช่วงวันหยุดปีใหม่นี้ เพื่อจุดพลังไอเดียของคุณต่อไปในปีหน้า

These Truths: A History of theUnited States โดย Jill Lepore

Photo : GATES NOTES

หนังสือเล่มนี้ครอบคลุมเรื่องราวประวัติศาสตร์อเมริกามานานหลายศตวรรษเขียนโดย Jill Lepore ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และเป็น contributor ของ The New Yorker โดยเกตส์ ยกให้เป็นหนึ่งในหนังสือที่เขียนขึ้นได้อย่างดงามที่สุดเลยทีเดียว

These Truths : A History of the United States บอกเล่าถึงความขัดเเย้งต่างๆ ในอเมริกา ที่เเม้จะก่อตั้งประเทศขึ้นมาโดยใช้หลักเสรีภาพเเต่ต่อมากลับมีการใช้เเรงงานทาส โดยหนังสือเล่มนี้ได้เเบ่งปันข้อเท็จจริงที่ไม่ค่อยมีคนทราบมากนัก ซึ่งเกตส์ ยกตัวอย่างว่าในช่วงระหว่างปี 1830 ถึง ปี 2403 มีเหตุการณ์ความรุนแรงระหว่างสมาชิกสภาคองเกรส มากกว่า 100 ครั้ง

“ทำให้เห็นว่าประวัติศาสตร์อเมริกันยังมีอีกหลายเเง่มุม มากกว่าที่พวกเราเรียนในโรงเรียน เเละความจริงเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราทุกคนควรรับฟัง”

Why We Sleep: Unlocking the Power of Sleep and Dreams โดย Matthew Walker

Photo : GATES NOTES

เขาเล่าย้อนไปในสมัยที่เริ่มก่อตั้งไมโครซอฟท์ที่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ ใจจดจ่ออยู่กับการสร้างซอฟต์เเวร์ตลอดเวลาจนเเทบไม่ได้นอน เเต่หลังจากอายุเพิ่มขึ้น ตอนนี้เขารู้เเล้วว่า “คนเราไม่ควรสูญเสียเวลานอน” เเละใครก็ตามที่เชื่อว่าพวกเขาสามารถอยู่รอดได้ด้วยการนอนเพียงน้อยนิดนั่นเป็นสิ่งที่ผิด

Why We Sleep: Unlocking the Power of Sleep and Dreams เขียนโดย Matthew Walker นักวิจัยด้านการนอนหลับของมหาวิทยาลัย California-Berkeley กล่าวถึงผลกระทบของการนอนน้อยที่มีผลต่อความจำเเละความคิดสร้างสรรค์ สุขภาพเเละการทำงานของหัวใจ รวมไปถึงการทำงานของสมองเเละระบบภูมิคุ้มกัน

Growth: From Microorganisms to Megacities โดย Vaclav Smil

Photo : GATES NOTES

เกตส์มักย้ำอยู่เสมอว่า เขาเฝ้ารอหนังสือเล่มใหม่ของ Vaclav Smil เหมือนกับที่ผู้คนทั้งหลายรอหนังภาคใหม่ของสตาร์ วอร์ส เเละล่าสุดเขาก็เเนะนำหนังสือเล่มนี้ ที่มีความยาวกว่า 500 หน้า บอกเล่าเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของระบบการใช้ชีวิต ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยีเเละอารยธรรม

โดย Vaclav Smil พูดถึงข้อจำกัดในการเติบโตและความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงของวิธีที่มนุษย์ปฏิบัติต่อสิ่งแวดล้อม

“ผมไม่เห็นด้วยกับการวิเคราะห์ทั้งหมดของเขา ผมมองโลกในแง่ดีกว่าเขา ในเรื่องที่ว่าเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนในปัจจุบันสามารถนำไปใช้ได้ นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรจะพัฒนาแหล่งพลังงานใหม่ที่สะอาด” เกตส์ระบุ อย่างไรก็ตาม เขาก็เห็นว่าหนังสือเล่มนี้เป็นสุดยอดเเห่งการสังเคราะห์วิชาที่ซับซ้อน

Prepared : What Kids Need for a Fulfilled Life โดย Diane Tavenner

Photo : GATES NOTES

หนังสือเล่มนี้บอกเล่าถึง Summit Public Schools กลุ่มของโรงเรียนที่พยายามจะพลิกโฉมการศึกษารูปแบบใหม่ในห้องเรียนทั่วไป เเละคำเเนะนำต่างๆ สำหรับนักเรียน เขียนโดย Diane Tavenner ซีอีโอเเละผู้ก่อตั้งโรงเรียนที่ใช้รูปแบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง

โดยนักเรียนสามารถกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้เเละการประเมินผลด้วยตนเอง เเทนที่จะมุ่งความสำคัญไปที่คะเเนนสอบ ซึ่งเด็กๆ จะได้เรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริงในโครงการต่างๆ เเละยังมีการประชุมเเลกเปลี่ยนความเห็นกับที่ปรึกษาอย่างต่อเนื่อง

“ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปเยี่ยมโรงเรียนเเห่งหนึ่งเพื่อดูว่าพวกเขาสามารถเปลี่ยนวิสัยทัศน์นี้ให้เป็นจริงได้อย่างไร เเละก็พบว่าที่นั่นช่างเเตกต่างจากโรงเรียนที่ผมเคยเจอมาก่อน ” เกตส์เล่า โดยเขาใช้เงินหลายร้อยล้านเหรียญไปกับความพยายามที่จะเปลี่ยนเเปลงการศึกษาในสหรัฐ

An American Marriage โดย Tayari Jones

Photo : GATES NOTES

นวนิยายเล่มนี้ เกตส์ได้รับการเเนะนำมาจากลูกสาวของเขา บอกเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับสามีภรรยาผิวสีคู่หนึ่ง ในรัฐเเอตเเลนตา เมื่อผู้เป็นสามีถูกกล่าวหาว่าก่อคดีข่มขืนจนถูกตัดสินโทษจำคุก 12 ปี เเละชีวิตการเเต่งงานของพวกเขาก็ไปไม่รอด เป็นการนำเสนอให้เห็นความเจ็บปวดจากการถูกจองจำเเละการถูกตีตราจากสังคมไปตลอดชีวิต นอกจากนี้ ยังสะท้อนให้เห็นถึงระบบยุติธรรมที่ไม่ยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนผิวสี

“ถ้าคุณกำลังมองหาสิ่งที่กระตุ้นความคิด ควรอย่างยิ่งที่จะเพิ่มหนังสือเล่มนี้ลงไปในลิสต์ของคุณ”

 

ที่มา : Bill Gates solves your gift problems: Here are his top 5 books for the holidays

]]>
1258799