บริษัท เช็ค พอยท์® ซอฟต์แวร์ เทคโนโลยีส์ จำกัด ผู้ให้บริการโซลูชันชั้นด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2567 – มกราคม 2568 องค์กรต่าง ๆ ในประเทศไทยเจอการโจมตีทางไซเบอร์เฉลี่ยถึง 3,180 ครั้งต่อสัปดาห์ต่อองค์กร ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 1,843 ครั้งต่อสัปดาห์ต่อองค์กร
โดยภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่พบเจอมากที่สุดในประเทศไทย ได้แก่ การหลอกลวงทางฟิชชิ่ง และ มัลแวร์ทางธนาคาร ซึ่งภัยคุกคามทั้งสองรูปแบบนี้มีอัตราการแพร่ระบาดสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ จากรายงานของเช็ค พอยท์ อินเทลลิเจ้นซ์ (Check Point Intelligence) พบว่า เหตุการณ์แรนซัมแวร์ในประเทศไทยคิดเป็น 6% ของการโจมตีทางไซเบอร์เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 4% ขณะที่การโจมตีจากมัลแวร์ทางธนาคารคิดเป็น 9.5% เมื่อเทียบกับ 2.8% ทั่วโลก
แนวโน้มที่น่ากังวลดังกล่าวสอดคล้องกับผลการสำรวจของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เผยให้เห็นว่า ลูกค้าของธนาคารไทยสูญเสียเงินมากกว่า 60 ล้านบาท จากการฉ้อโกงทางการเงินออนไลน์ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ผู้ก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ยัง ใช้ประโยชน์จากโมเดล AI เช่น DeepSeek มากขึ้น โดยมีการนำไปใช้เพื่อขยายขอบเขตการดำเนินการ เช่น การปลอมแปลงตัวตน การโจรกรรมทางการเงิน และการหลบเลี่ยงการรักษาความปลอดภัยของธนาคาร การหลอกลวงในรูปแบบฟิชชิ่งโดยใช้เทคโนโลยี AI การใช้เสียงปลอมเพื่อหลอกลวง และการสร้างเนื้อหาลวงด้วย AI กำลังแพร่หลายอย่างมาก
ซึ่งการโจมตีเหล่านี้มีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้การขโมยข้อมูลสามารถดำเนินการได้โดยอัตโนมัติ อีกทั้งยังสามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับการฉ้อโกง และสามารถสร้างแคมเปญสแปมจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยก็มีการตื่นตัว เห็นได้จากการผลักดัน คลาวด์ เฟิร์ส (Cloud-First) ของรัฐบาลไทย โดยต้องการเปลี่ยนหน่วยงานภาครัฐทั้งหมดไปเป็นแพลตฟอร์มคลาวด์อย่างเต็มรูปแบบภายในปีนี้ เพื่อยกระดับแนวปราการป้องกันทางดิจิทัล โดย ชาญวิทย์ อิทธิวัฒนะ ผู้จัดการสาขาประจำประเทศไทย บริษัท เช็ค พอยท์ ซอฟต์แวร์ เทคโนโลยีส์ มองว่า สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการเสริมสร้างมาตรการรักษาความปลอดภัย รวมทั้งส่งเสริมให้ภาครัฐมีความคล่องตัวในการดำเนินงานมากขึ้น
ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่า ตลาดการรักษาความปลอดภัยบนคลาวด์ ในประเทศไทยจะมีอัตราการเติบโตต่อปีอยู่ที่ +25% และคาดว่าจะเติบโตถึง 17.37 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2572
]]>จากข้อมูลของ Jobsdb by SEEK ระหว่างเดือนกรกฎาคม 2566 ถึงมิถุนายน 2567 ได้ตรวจสอบประกาศรับสมัครงานมากกว่า 4.9 ล้านตำแหน่งทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ในจำนวนนี้สัดส่วน 10% หรือประมาณ 490,000 ตำแหน่ง น่าสงสัย และต้องได้รับการตรวจสอบเพิ่มเติม
โดยในช่วงเวลาเดียวกัน บริษัทได้ระงับบัญชีผู้ประกอบการที่มีความเสี่ยงสูงกว่า 1,400 ราย และลบประกาศงานปลอมมากกว่า 1,200 รายการออกจากระบบ ผ่านการตรวจสอบเชิงรุกและการแจ้งเบาะแสจากชุมชนผู้ใช้งาน
รูปแบบการหลอกลวงมักแฝงมาในลักษณะของงานที่ดูเหมือนงานที่ถูกกฎหมาย แต่แท้จริงแล้วเป็นการชักนำผู้หางานเข้าสู่กิจกรรมผิดกฎหมายโดยไม่รู้ตัว
Tom Peacock ผู้อํานวยการ BioCatch ของ Global Fraud Intelligence กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของการฉ้อโกงออนไลน์นี้ เป็นผลมาจากการที่ธนาคารได้ปรับเปลี่ยนและอัปเกรดการป้องกันการเข้ายึดบัญชีและการฉ้อโกงรูปแบบอื่นๆ ให้มีความรัดกุมขึ้น
ซึ่งจากการเก็บข้อมูลจากพฤติกรรมการใช้แอปมือถือและเว็บไซต์ในลูกค้าธนาคารเพื่อช่วยให้ธนาคารแยกแยะระหว่างลูกค้าและอาชญากร ของ BioCatch ได้พบว่า อาญชากร หรือ มิจฉาชีพ มีการตระหนักได้ว่า การโน้มน้าวให้มนุษย์ทําอะไรบางอย่างผ่านการถ่ายโอนด้วยตัวเองนั้น ง่ายกว่าการพยายามหลีกเลี่ยงการควบคุมความปลอดภัยและการป้องกันโดยเทคโนโลยี
โดย Barclays (บาร์เคลย์) และ HSBC (เอชเอสบีซี) กลุ่มธนาคารของอังกฤษที่เป็นหนึ่งในกลุ่มลูกค้าของ BioCatch ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันจากหน่วยงานกํากับดูแลและฝ่ายนิติบัญญัติฯของประเทศ มีการมุ่งเน้นการปราบปรามไปที่อันตรายที่เกิดจากการหลอกลวงทางดิจิทัลมากขึ้น ส่งผลให้ธนาคารอยู่ภายใต้แรงกดดันในการกำจัดอาชญากรออกจากแพลตฟอร์มการเงินออนไลน์ รวมถึงการชดเชยค่าเสียหายให้กับเหยื่อที่มีจำนวนมากขึ้น
ด้าน JPMorgan Chase (เจพีมอร์แกน เชส) และ Wells Fargo (เวลส์ ฟาร์โก) ผู้ให้บริการทางการเงินของอเมริกา ได้กล่าวว่า สํานักคุ้มครองทางการเงินของผู้บริโภคของอเมริกา อาจมีการลงโทษพวกเขา (กลุ่มผู้ให้บริการทางการเงิน) เนื่องจากมีความเกี่ยวเนื่องกับการชำระเงินของลูกค้าที่ชำระผ่านแอป Zelle เนื่องจากเมื่อในปี 2023 มีลูกค้าของธนาคารจำนวน 3 ราย รายงานว่า มีการทำธุรกรรมผ่านแอป Zelle และมีการตรวจสอบพบในภายหลังว่าเป็นการฉ้อโกงออนไลน์ ซึ่งรวมมูลค่าความเสียหายมากถึง 166 ล้านดอลลาร์
การเพิ่มขึ้นของการฉ้อโกงออนไลน์ มีการวิเคราะห์ว่า อาชญากรใช้กลวิธี “โน้มน้าวใจ” เพื่อโน้มน้าวให้เหยื่อทำธุรกรรมโอนเงินให้พวกเขาด้วยตัวเอง แม้การฉ้อโกงแบบนี้จะเริ่มเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 5 ปีก่อน แต่ในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา มีอัตราตัวเลขที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งแพลตฟอร์มอย่าง Zelle ช่วยให้มิจฉาชีพทำงานได้เร็วขึ้นกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ และประสบความสําเร็จในการฉ้อโกงมากขึ้นนั่นเอง
ด้านเจ้าของ Zelle อย่าง Early Warning Services แย้งว่า ในขณะที่จำนวนการทำธุรกรรมเพิ่มขึ้นในปี 2023 แต่มีรายงานว่า การหลอกลวงและการฉ้อโกงลดลงเกือบ 50% และมีจำนวนการชำระเงินส่วนน้อยเท่านั้นที่ถูกตรวจพบว่าเป็นการฉ้อโกงออนไลน์ ซึ่งการเพิ่มขึ้นของอัตราการฉ้อโกงออนไลน์ที่อ้างโดย BioCatch นั้นอาจเป็นเพียงการทำธุรกรรมที่เพิ่มขึ้น เพราะก่อนหน้านั้นธนาคารไม่สามารถระบุได้ว่า การทำธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นการฉ้อโกง เนื่องจากธุรกิจธนาคารมีกฎระเบียบที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ BioCatch ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลด้านตัวเลขปริมาณการหลอกลวงที่มีความเฉพาะ เนื่องจากมีข้อตกลงในการรักษาความลับของลูกค้า แต่ในอีกสัญญาณหนึ่งที่เกี่ยวข้องของอาชญากรรมทางไซเบอร์ ลูกค้ากลุ่มธนาคารให้ข้อมูลกั BioCatch ว่า มีการเปิดบัญชีหลอกลวง (บัญชีม้า) น้อยลง 59% แต่อาชญากรได้มุ่งเน้นไปที่การเข้ายึดบัญชีธนาคารที่มีอยู่แทน ส่งผลให้จำนวนการฉ้อโกงเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าผ่านช่องทางอื่นแทน
ที่มา : CNBC
]]>พ.ต.อ.เจษฎา บุรินทร์สุชาติ ผู้กำกับการ กลุ่มงานรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์จากกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 ที่เปิดให้มีการแจ้งอาชญากรรมทางออนไลน์พบว่า มีการแจ้งรวมกว่า 3 แสนคดี หรือเฉลี่ยกว่า 700 คดี/วัน
รูปแบบอาชญากรรมออนไลน์ สามารถแยกได้เป็น 14 ประเภท แต่ที่มีจำนวนเยอะสุดอันดับ 1 คือ การซื้อขายออนไลน์ เช่น ได้ของไม่ตรงปก คิดเป็น 40% หรือกว่า 130,000 คดี ตามด้วย
“ในแต่ละปีความเสียหายจากมิจฉาชีพในไทยมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งมิจฉาชีพก็เอาเงินไปลงทุนเทคโนโลยี และคนเพิ่มเติม ทำให้เครือข่ายมีความซับซ้อนและกระจายในหลายประเทศ ทำให้จับได้ยากขึ้น มีกลโกงรูปแบบใหม่ ๆ มากขึ้น โอกาสหลงเชื่อก็เยอะขึ้น” พ.ต.อ.เจษฎา กล่าว
เฮเซเลีย มาร์กาเรต้า ผู้จัดการฝ่ายนโยบายสาธารณะด้านนโยบายเศรษฐกิจจาก Meta ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า การป้องกันไม่ให้โฆษณาบนแพลตฟอร์มถูกใช้งานเพื่อการหลอกลวงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งแพลตฟอร์มก็ได้ กำหนดมาตรฐานการโฆษณาที่ได้รับอนุญาต และหากตรวจจับโฆษณาที่ละเมิดมาตรฐานการโฆษณา แพลตฟอร์มก็จะดำเนินการ ไม่อนุมัติ โฆษณาดังกล่าวในทันที
โดย Meta ได้ใช้ เอไอ เพื่อตรวจสอบเนื้อหาและบัญชีที่ละเมิดนโยบายของแพลตฟอร์ม โดยไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 Meta ได้เดินหน้าลบบัญชีปลอมออกกว่า 676 ล้านบัญชีทั่วโลก โดย 98.8% ถูกตรวจพบและลบออกไปโดยเอไอก่อนที่จะมีการรายงานจากผู้ใช้
นอกจากนี้ Meta ก็มี คน ที่คอยตรวจสอบ 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วัน อย่างไรก็ตาม ทาง Meta ไม่ได้เปิดเผยว่ามีเจ้าหน้าที่ที่ดูแลส่วนนี้มากน้อยเพียงใด
เฮเซเลีย ยอมรับว่า แม้บัญชีหรือโพสต์สแกมจะถูกเอไอสกัดกั้นนับล้านบัญชีแต่ก็ยังมีบางส่วนที่หลุดรอดมาได้ ซึ่งแพลตฟอร์มไม่ได้พอใจ และจะพยายามหาทางสกัดกั้นเพิ่มเติม รวมถึงอยากขอให้ ผู้ใช้งานช่วยกันรีพอร์ตบัญชีสแกม ซึ่งเพียงแค่คนเดียวรีพอร์ตทาง Meta ก็เทคแอคชั่นทันที แต่ไม่สามารถระบุระยะเวลาในการดำเนินการได้ เพราะขึ้นอยู่กับระยะเวลาการตรวจสอบ ซึ่งการตรวจสอบเบื้องต้นจะใช้เอไอ และมีมนุษย์คอยตรวจสอบอีกครั้ง
“เราพยายามเต็มที่ และต้องพยายามเพิ่ม ระบบก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบเสมอไป และต้องยอมรับว่ามิจฉาชีพพยายามหาช่องโหว่เพื่อให้หลุดรอดการตรวจสอบ เช่น ใช้สัญลักษณ์แปลก ๆ แทนพยัญชนะ ซึ่งเราก็พยายามสอนเอไอให้ฉลาดขึ้นเพื่อตรวจจับให้ได้ และใช้มนุษย์คอยตรวจซ้ำ”
ปัจจุบัน Meta มีผู้ใช้งานกว่า 3.88 พันล้านคน/เดือน มีมากกว่า 10 ล้านธุรกิจทั่วโลกใช้โฆษณาบน Meta และมากกว่า 200 ล้านธุรกิจ ใช้เทคโนโลยีของ Meta ในการทำธุรกิจ
อิง ศิริกุลบดี ผู้จัดการฝ่ายนโยบายสาธารณะประจำ Facebook ประเทศไทยจาก Meta กล่าวว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Meta ได้ร่วมทำงานใกล้ชิดกับพันธมิตรหลายภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกระทรวงดีอีเอส สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเมื่อทางหน่วยงานแจ้งข้อมูลเข้ามาก็พร้อมดำเนินการปิดกั้น
นอกจากนี้ Meta ยังสร้างการตระหนักรู้และแคมเปญการให้ความรู้ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้คนสามารถรู้เท่าทันกลลวงและรู้วิธีการรายงานเนื้อหาเข้ามาได้ อาทิ แคมเปญ #StayingSafeOnline ภายใต้โครงการ We Think Digital Thailand โครงการหลักในการเสริมทักษะดิจิทัลของ Meta โดยแคมเปญดังกล่าวได้เข้าถึงชาวไทยเป็นจำนวนกว่า 30 ล้านคนแล้วในปัจจุบัน ตั้งแต่มีการเปิดตัวในปี 2564
ปัจจุบัน ตำรวจไซเบอร์ได้เปิดสายด่วน 1441 เพื่อขอความช่วยเหลือหรือปรึกษาปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวมถึงแจ้งเบาะแสได้ทันที
]]>ธนาคารไทยพาณิชย์ มีความห่วงใยสังคมไทยและตระหนักถึงผลกระทบจากภัยทุจริตทางการเงินของมิจฉาชีพที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดนับตั้งแต่ช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงรูปแบบอยู่ตลอดเวลา โดยจากสถิติยอดแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 – 31 พฤษภาคม 2566 พบว่ามีมูลค่าความเสียหายมากกว่า 38,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นมูลค่าความเสียหายเฉลี่ยสูงถึง 74 ล้านบาท/วัน ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาธนาคารได้ดำเนินการตามมาตรการและแนวทางป้องกันภัยทางการเงิน ควบคู่กับการยกระดับความปลอดภัยของระบบตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนด พร้อมทั้งมีการสื่อสารไปยังลูกค้าเพื่อเป็นการสร้างความตระหนักรู้ด้านภัยทุจริตทางการเงิน รวมถึงภัยจากไซเบอร์ อย่างต่อเนื่อง จากมูลค่าความเสียหายที่มหาศาลที่ประชาชนต้องสูญเสียทรัพย์สิน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น และการทำธุรกรรมทางการเงินในระยะต่อไป ด้วยเหตุนี้ ธนาคารจึงเล็งเห็นว่าลูกค้ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรู้ ความเข้าใจเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภัยของมิจฉาชีพได้อย่างเท่าทันและมีประสิทธิภาพ ธนาคารจึงจัดทำโครงการ “แก้ เกม กล โกง” โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยให้คนไทย ตื่นตัว รับรู้ เข้าใจ และรู้ทันวิธีป้องกันภัยทุจริตทางการเงิน และภัยคุกคามทางไซเบอร์ด้วยตนเอง ครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับภัยจากมิจฉาชีพทั้งภาคธุรกิจ และผู้บริโภคภายใต้ 3 แกนหลัก ได้แก่ 1. อัปเดตกลโกง 2. วิธีป้องกันโกง 3. ถ้าโดนโกงแล้วต้องทำอย่างไร พร้อมทั้ง การแจ้งข่าวสาร ประกาศจากธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจที่เกี่ยวข้องกับภัยมิจฉาชีพ นอกจากนี้ ยังได้ร่วมมือกับ The Standard สำนักข่าวออนไลน์ชั้นนำของเมืองไทย พัฒนาโครงการ พร้อมร่วมจัดทำคอนเทนต์เตือนภัยมิจฉาชีพสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่เป็นประโยชน์ สร้างการรับรู้แก่ประชาชนในวงกว้างผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย อีกด้วย
โดยการจัดทำโครงการ “แก้ เกม กล โกง” ครั้งนี้ ธนาคารหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะสามารถสร้างความตระหนักแก่ภาคธุรกิจและประชาชนให้รู้เท่าทันกลโกงของมิจฉาชีพ พร้อมยืนหยัดเดินหน้ายกระดับความปลอดภัยอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยมาตรการการป้องกัน ติดตามและให้ความช่วยเหลือโดยทันทีเมื่อลูกค้ามีความเสี่ยงจากภัยทุจริตทางการเงิน ควบคู่กับการสื่อสารและเตือนภัยให้แก่สังคมไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภัยทางการเงินที่อาจสร้างความเสียหายในวงกว้างและอาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงินและองค์กรต่างๆ โดยรวม
สามารถติดตามเนื้อหาเกี่ยวกับภัยจากมิจฉาชีพทั้งภาคธุรกิจ และผู้บริโภคจากโครงการ “แก้ เกม กล โกง” ได้ที่ Social media ของธนาคารไทยพาณิชย์ และ The Standard ทุกช่องทาง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
]]>โฆษณาเชิญชวนให้มาร่วมลงทุนกับบริษัทใหญ่ๆ แพร่กระจายเต็มโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็น AMATA-อมตะ คอร์ปอเรชั่น, GULF-กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์, SANSIRI-แสนสิริ, AURORA-ร้านทองออโรร่า ฯลฯ มาพร้อมชื่อและรูปของผู้บริหารบนโฆษณาเสริมความน่าเชื่อถือ
เนื้อหาโฆษณาชวนลงทุนมุ่งเป้าไปที่คนที่สนใจด้านการเงิน การลงทุน ซื้อหุ้น ต้องการสร้างความมั่นคงทางการเงิน ด้วย “คีย์เวิร์ด” ต่างๆ เช่น
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดล้วนเป็น “เพจปลอม” จากมิจฉาชีพที่ทำเลียนแบบเพจจริงของบริษัท บางเพจสร้างมาอย่างแนบเนียนด้วยการใช้ชื่อที่เหมือนหรือคล้ายคลึงมาก และคัดลอกโพสต์จากเพจจริงมาลงในเพจปลอมของตัวเองเป็นจำนวนมากจนกลายเป็นเพจคู่แฝด ทำให้เหยื่อหลงเชื่อได้ง่ายขึ้น
Positioning รวบรวมข้อมูลจากเหยื่อหรือผู้ที่เกือบตกเป็นเหยื่อของเพจปลอมเหล่านี้ พบขั้นตอนที่มิจฉาชีพใช้ในการหลอกลวง คือ
1.เมื่อมีผู้หลงเชื่อและแสดงความสนใจ เพจปลอมจะส่งข้อความมาทักทาย และส่งลิงก์ให้แอดไลน์เพื่อคุยกับโค้ชการลงทุน
2.ในไลน์จะมีการแนะนำตนเองว่าเป็น “โค้ช” หรือ “ผู้ช่วย” ในการลงทุน โดยส่งรูปที่ตัดต่อให้เชื่อว่าเป็นพนักงานของบริษัทนั้นๆ มาด้วยเพื่อให้ตายใจ
3.“โค้ช” จะเริ่มเสนอโปรแกรมการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูง และยิ่งลงทุนมากขึ้นก็จะได้ผลตอบแทนสูงขึ้น เช่น ลงทุน 1,000 บาท ได้เงินปันผล 30% และไต่ระดับขึ้นไปถึงลงทุน 100,000 บาท ได้เงินปันผล 95% และจะจ่ายให้ทุกสัปดาห์
4.เมื่อผู้ที่สนใจตกลง “โค้ช” จะส่งเลขที่บัญชีมาให้เพื่อให้โอนเงินลงทุน สังเกตว่าชื่อบัญชีการลงทุนจะเป็นชื่อบุคคลธรรมดา
5.หลังจากผ่านไป 1 สัปดาห์ โค้ชจะแสดงผลว่าขณะนี้ได้ผลตอบแทนตามที่แจ้ง โค้ชจะชักชวนให้ลงทุนเพิ่มอีก
6.แต่ถ้าเมื่อใดที่ผู้ลงทุนต้องการจะถอนเงินออกมา จะต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้บริษัทโดยต้องโอนเงินเพิ่มเติม
7.เมื่อโอนเงินค่าคอมมิชชั่นแล้ว ผู้ลงทุนจะกลายเป็น “เหยื่อ” โดยสมบูรณ์ เพราะโค้ชของบริษัทปลอมจะไม่โอนเงินคืนให้ บล็อกไลน์ และติดต่อไม่ได้อีกเลย
เห็นได้ว่าจริงๆ แล้วรูปแบบการหลอกลวงไม่ต่างจากที่เคยมีมามากนัก แต่ที่ต่างไปคือต้นทางการชวนเหยื่อเข้ามา มีการสร้างเพจปลอมบริษัทขนาดใหญ่เพื่อความน่าเชื่อถือ สร้างตัวตนพนักงานบริษัทปลอมเพิ่มน้ำหนัก ทำให้เหยื่อตายใจได้ง่าย
เพจปลอมเหล่านี้แพร่ระบาดอย่างหนักและทุกคนมีสิทธิตกเป็นเหยื่อ ดังนั้น เราขอแนะนำวิธีจับพิรุธเพจปลอม ดังนี้
1.หากพบโฆษณาชวนลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงผิดปกติ เช่น ลงทุน 1,000 บาท รับผลตอบแทน 30%, การันตีปันผล 3-5% ทุกสัปดาห์ ให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่าเป็นมิจฉาชีพ
2.ชื่อเหมือน โลโก้เหมือน ไม่ได้แปลว่าเป็นเพจจริง!! โปรดตรวจสอบประวัติของเพจที่ลงโฆษณา
– คลิกไปที่ เกี่ยวกับ (About) > ความโปร่งใสของเพจ (Page Transparency) > ดูทั้งหมด (See All) > ประวัติ (History)
– หากเพจนั้นมีประวัติเคยเปลี่ยนชื่อจากเพจอื่น หรือเป็นเพจที่เพิ่งก่อตั้งเมื่อเร็วๆ นี้ และ/หรือแอดมินที่ดูแลเพจอาศัยอยู่ต่างประเทศ แสดงว่าเป็นเพจปลอม
3.หากมีการแจ้งให้โอนเงินลงทุนไปที่บัญชีบุคคลธรรมดา ไม่ใช่บัญชีบริษัท ไม่ควรโอนเงิน
4.ค้นหาเบอร์โทรศัพท์สำนักงานของบริษัทนั้นๆ ด้วยตนเอง เพื่อโทรฯ สอบถามเรื่องโฆษณาการลงทุน
ถ้าหากพบเบาะแสเพจปลอมหลอกลงทุนหรือถูกหลอกไปแล้ว สามารถแจ้งได้ 2 ช่องทาง คือ
ทุกวันนี้ใครๆ ก็ต้องการให้เงินทำงานและมองหาการลงทุน ทำให้มิจฉาชีพมีโอกาสแทรกตัวเข้ามาล่อตาล่อใจได้โดยง่าย ถ้าไม่อยากตกเป็นเหยื่อ ต้องเช็กให้ชัวร์ก่อนทุกครั้งว่าคุณกำลังโอนเงินไปสร้างความมั่งคั่งให้คนอื่นอยู่หรือเปล่า
อ่านเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติม
]]>ฐิตินันท์ สุทธินราพรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท Gogolook ผู้ให้บริการ Whocall แอปพลิเคชันระบุตัวตนสายเรียกเข้าที่ไม่รู้จักและป้องกันสแปมสำหรับสมาร์ทโฟน กล่าวว่า 7 ใน 10 ครั้งของข้อความ SMS ที่คนไทยได้รับเป็นข้อความสแปมและข้อความหลอกลวง หรือคิดเป็น 73% ของข้อความที่ได้รับทั้งหมด ในส่วนของยอด สายโทรศัพท์หลอกลวงพุ่งขึ้น 165% จาก 6.4 ล้านครั้งในปี 2564 เป็น 17 ล้านครั้งในปี 2565
มิจฉาชีพนิยมส่งข้อความหลอกลวงเนื่องจากสามารถเข้าถึงเหยื่อจำนวนมากด้วยต้นทุนต่ำ ข้อความ SMS ถูกใช้เป็น เครื่องมือเพื่อ “ติดต่อครั้งแรก” โดยหลอกให้เหยื่อกดลิงก์ฟิชชิ่งเพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัว เพิ่มบัญชีไลน์เพื่อหลอกให้ส่งข้อมูลหรือ โอนเงินให้ กลอุบายที่พบบ่อยได้แก่ การเสนอเงินกู้โดยมักอ้างรัฐบาลหรือธนาคาร และการให้สิทธิ์เข้าตรงเว็บพนันออนไลน์ ที่ผิดกฎหมาย คีย์เวิร์ดของข้อความหลอกลวงที่ถูกรายงานที่พบบ่อยที่สุดเช่น “รับสิทธิ์ยื่นกู้” “เครดิตฟรี” “เว็บตรง” “คุณได้รับสิทธิ์” “คุณได้รับทุนสำรองโครงการประชารัฐ” “คุณได้รับสิทธิ์สินเชื่อ” และ “คุณคือผู้โชคดี”
สำหรับประเทศไทย ถือเป็นอันดับต้น ๆ ที่มีข้อความและสายโทรเข้าหลอกลวง เฉลี่ย 33.2 ครั้งต่อปี (เพิ่มขึ้น 7%) ขณะที่ไต้หวันมี 17.5 ครั้ง (ลดลง 20%) และมาเลเซีย 16.5 ครั้ง (เพิ่มขึ้น 15%) ตัวเลขดังกล่าวตอกย้ำว่าการหลอกลวงนั้นยังคงแพร่หลายไปยังหลายประเทศ
ทั้งนี้ กลหลอกลวงใหม่ ๆ ในประเทศไทยมักเกิดขึ้นตามความสนใจและเทรนด์ต่าง ๆ อาทิ ข้อความ SMS และสายหลอกลวงที่เกี่ยวกับการปล่อยเงินกู้ หลอกส่งพัสดุเพื่อเก็บเงินปลายทาง หลอกเป็นกรมทางหลวง หลอกให้คลิกไปเล่นพนันออนไลน์ หลอกว่ามีงาน part time หลอกว่าได้รางวัลจาก TikTok และแพลตฟอร์มต่าง ๆ มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
และจากการเก็บข้อมูลพบว่า ประเทศไทยมีการรั่วไหลของเบอร์โทรศัพท์ 45% ทั้งนี้ รหัสผ่าน เบอร์โทรศัพท์ และชื่อ เป็นข้อมูลส่วนตัว ที่มีการรั่วไหลมากที่สุด ตามด้วยสัญชาติ อีเมล ที่อยู่ และวันเกิด ซึ่งข้อมูลส่วนตัวที่รั่วไหลมักเป็นด่านแรกที่มิจฉาชีพใช้เข้าถึงรายละเอียดการติดต่อเพื่อหลอกลวงเหยื่อ การรั่วไหลอาจเกิดขึ้นจาก ฐานข้อมูลขององค์กรหรือรัฐบาลถูกโจมตีทางไซเบอร์ หรือเมื่อผู้ใช้กรอกแบบสำรวจ แบบทดสอบทางจิตวิทยา หรือแบบฟอร์มในเว็บไซต์ฟิชชิ่ง
สำหรับข้อแนะนำจาก Whoscall เพื่อป้องกันตนเองจากเหล่ามิจฉาชีพ ได้แก่
จากการหลอกลวงจำนวนมาก ปัจจุบัน รัฐบาลประเทศต่าง ๆ ได้ร่างนโยบายต่อต้านการหลอกลวง และจัดตั้ง หน่วยงานพิเศษเพื่อรับมือ รวมทั้งร่วมมือกับบริษัทเอกชนและคนดังเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับกลโกงและการหลอกลวง ซึ่งในประเทศไทยได้มีการร่วมมือระหว่างภาครัฐ (สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงาน กสทช.) และภาคเอกชน (Whoscall ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น) เช่นกัน
แมนวู จู ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ Gogolook กล่าวว่า ภัยคุกคามจากการหลอกลวงที่เพิ่มขึ้นมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่อต้านการทุจริต (Anti-Fraud Prevention) จากข้อมูลของ Fortune Business Insight อุตสาหกรรมนี้คาดว่าจะมีมูลค่าถึง 129.2 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2572 ด้วยอัตราการเติบโตต่อปีที่ 22.8% จากการเพิ่มขึ้นของ เอไอแบบรู้สร้าง (Generative AI) และช่องโหว่ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลขององค์กร คาดว่าจะมีการใช้เทคโนโลยี เพื่อหลอกลวง และเกิดผลเสียทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต เพื่อต่อสู้กับการหลอกลวงที่เพิ่มขึ้น
ปัจจุบัน Gogolook กำลังร่วมมือ กับพันธมิตรหลายแห่งในประเทศไทยและทั่วโลก พัฒนาโซลูชันส์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่เพื่อจัดการกับภัยคุกคามเหล่านี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อป้องกันการหลอกลวงอย่างครอบคลุมและมอบความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้ Whoscall
]]>สถานทูตเกาหลีใต้ประจำเวียดนาม ร้องเรียนให้มีการสืบสวนประเด็นมิจฉาชีพหลอกลวงบีบให้ซื้อชุดตรวจ COVID-19 ราคาแพงที่สนามบิน โดยเป้าหมายหลักคือ “ชาวเกาหลีใต้” ที่จะบินกลับประเทศแม่ เนื่องจากก่อนหน้าวันที่ 2 กันยายน 2022 เกาหลีใต้ยังมีเงื่อนไขให้ทุกคนที่เข้าประเทศต้องแสดงผลตรวจ RT-PCR ภายใน 48 ชม.ก่อนบิน หรือผล ATK ภายใน 24 ชม.ก่อนบิน
เจ้าหน้าที่ของสถานทูตเกาหลีใต้ประจำเวียดนามได้เข้าเยี่ยมสำนักงานใหญ่ VietJet Air ในกรุงฮานอยแล้วเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (5 กันยายน 2022) เพราะการบีบให้ซื้อชุดตรวจราคาแพงจะเกิดขึ้นได้ ต้องเริ่มมาจากการที่สายการบินไม่ยอมรับผลการตรวจ COVID-19 เป็นลบที่นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้นำมาแสดง เมื่อนักท่องเที่ยวไม่ต้องการพลาดไฟลท์บิน จึงต้องยอมรับการตรวจด่วนราคาแพงที่นายหน้าในสนามบินเสนอขาย
สถานทูตฯ ยังร้องขอให้สายการบินยื่นเรื่องไปที่ฝ่ายความมั่นคงสาธารณะของเวียดนามด้วย เพื่อให้เข้าตรวจสอบการหลอกลวงของมิจฉาชีพในกรณีดังกล่าว และสถานทูตฯ ยังยื่นเรื่องไปที่ศูนย์ควบคุมการบินพลเรือนของเวียดนามด้วยอีกทางหนึ่ง
สถานทูตเกาหลีใต้ระบุว่า ชาวเกาหลีใต้จำนวนมากตกเป็นเหยื่อของการบีบขายชุดตรวจ มีการร้องเรียนของประชาชนจำนวนมากเข้ามาก่อนหน้านี้ ตามที่สถานทูตฯ แจ้ง ปรากฏว่าเป็นสายการบิน VietJet Air ที่ปฏิเสธไม่ให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่องบ่อยครั้ง
วิธีการหลอกลวงบีบขายดังกล่าว ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้กลุ่มหนึ่งที่ควรจะต้องได้ขึ้นเครื่องสายการบิน VietJet ที่สนามบินนานาชาติโหน่ยบ่าย กรุงฮานอย พวกเขามีหลักฐานผลตรวจ COVID-19 เป็นลบมาแสดง ณ เคาน์เตอร์เช็กอิน วันที่ 23 สิงหาคม 2022 แต่พวกเขากลับถูกปฏิเสธขึ้นเครื่อง
เมื่อถูกปฏิเสธขึ้นเครื่อง นายหน้าท้องถิ่นที่สนามบินจะเข้ามาประกบและขายแพ็กเกจตรวจ COVID-19 ด่วนที่สามารถรู้ผลทันขึ้นเครื่องกลับเกาหลีใต้ได้ โดยเสนอราคาสูงถึง 4 ล้านดอง บวกกับค่าตรวจอีก 1 ล้านดอง รวมทั้งหมด 5 ล้านดอง (ประมาณ 7,700 บาท) ทั้งๆ ที่ชุดตรวจลักษณะนี้ปกติขายในราคาเพียง 150,000 ดอง (ประมาณ 232 บาท)
กรณีดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในหมู่นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ โดยหลายคนตั้งข้อสงสัยว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างนายหน้าขายชุดตรวจกับสายการบินหรือไม่
ทั้งนี้ ทางสถานทูตเกาหลีใต้มีการสอบถามโดยตรงแล้วว่าสายการบินมีส่วนเกี่ยวข้องหรือเปล่า แต่ทางสายการบินปฏิเสธข้อสงสัยนี้ รวมถึงรายงานว่า สายการบินตัดสินใจไม่ให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่องหลังจากปรึกษากับหน่วยงานกักกันโรคที่สนามบินอินชอน ประเทศเกาหลีใต้แล้ว
ขณะนี้ VietJet Air ยังไม่มีความคิดเห็นหรือแถลงเพิ่มเติมต่อสื่อมวลชน
นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ถือเป็นกลุ่มสำคัญอย่างยิ่งต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวเวียดนาม เป็นกลุ่มที่เข้าสู่เวียดนามเป็นอันดับ 1 หลังจากเวียดนามเปิดการท่องเที่ยวในปีนี้
ตามที่สำนักงานสถิติทั่วไปแห่งเวียดนามรายงาน เมื่อเดือนสิงหาคม 2022 มีนักท่องเที่ยวเกาหลีเข้าสู่เวียดนาม 173,000 คน ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 3 ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าสู่เวียดนามเป็นอันดับ 2 คือชาวอเมริกันจำนวนกว่า 139,000 คน และอันดับ 3 ชาวกัมพูชา 82,000 คน
]]>คณะกรรมาธิการว่าด้วยการค้าแห่งสหพันธรัฐ หรือ FTC เปิดเผยว่า ในปี 2021 มีผู้ที่ถูกมิจฉาชีพหลอกหลวงในตลาดคริปโตถึง 4.5 หมื่นราย รวมมูลค่ากว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 3.6 หมื่นล้านบาท โดย 70% ใช้ Bitcoin เพื่อจ่ายให้กับมิจฉาชีพ ตามด้วยเหรียญสกุล Tether และ Ether ขณะที่ เหยื่อมักจะมีอายุน้อย โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 25-40 ปี มีแนวโน้มที่จะสูญเสียเงินเนื่องจากการฉ้อโกงถึง สามเท่า
ขณะที่ เกือบครึ่งหนึ่ง ของผู้ที่ออกมาแจ้งความว่าสูญเสียเงินจากการหลอกลวงคริปโตในปี2021 ระบุว่า พวกเขาถูกหลอกผ่านโพสต์ออนไลน์หรือข้อความโซเชียลมีเดีย โดยโพสต์มากกว่าครึ่งถูกเห็นบน Facebook หรือ Instagram
ทั้งนี้ การต้มตุ๋นหลอกลวงในตลาดคริปโตกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น โดยอัตราการก่ออาชญากรรมพุ่งสูงขึ้น 60 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2018 เนื่องจากนักต้มตุ๋นมีข้อได้เปรียบตรงที่ธนาคารจะไม่สามารถตรวจพบธุรกรรมที่น่าสงสัยได้เหมือนกับการเงินปกติ อีกทั้งระบบการโอนที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ และนักลงทุนมือใหม่ที่ส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยกับวิธีการทำงานของคริปโต
อย่างในเดือนกุมภาพันธ์ คณะลูกขุนใหญ่ของรัฐบาลกลางในซานดิเอโกได้ฟ้องร้องผู้ก่อตั้ง BitConnect เนื่องจากถูกกล่าวหาว่า หลอกลวงนักลงทุนเกี่ยวกับ โปรแกรมการให้กู้ยืมเงินของสกุลเงินดิจิทัล โดยอ้างว่าเทคโนโลยีที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทจะนำผลตอบแทนที่สำคัญมาสู่นักลงทุนโดยการติดตามตลาดแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล
หรืออย่างในเดือนพฤษภาคม CEO ของ Mining Capital Coin ถูกฟ้องในข้อหา “เตรียมแผนฉ้อโกงการลงทุนทั่วโลกมูลค่า 62 ล้านดอลลาร์” ซึ่งให้คำมั่นว่าจะได้รับผลตอบแทนมหาศาลจากการขุดคริปโตเคอร์เรนซีใหม่ ๆ โดยในทั้งสองกรณี นักต้มตุ๋นสัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนมหาศาลแก่นักลงทุน แต่กลับเอาเงินใส่กระเป๋าเงินดิจิทัลของพวกเขาเอง
ดังนั้น FTC เตือนว่า ควรหลีกเลี่ยงการลงทุนกับใครก็ตามที่สัญญาว่าจะ รับประกันผลตอบแทน
“ไม่มีการรับประกันว่าการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลจะสร้างรายได้ การลงทุนที่ถูกกฎหมายจะไม่บังคับให้คุณต้องซื้อสกุลเงินดิจิทัล หรือหากมีการขอให้ส่งคริปโตให้แทนการบอกรักกับคนที่เจอผ่านแอปหาคู่ นั่นถือเป็นการหลอกลวง” FTC กล่าว
]]>