มูเตลู – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 02 Sep 2024 04:56:00 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เจาะการตลาด ‘สายมู’ อะไรควร ‘Do’ อะไรต้อง ‘Don’t’ จากมุมมองของ 3 แบรนด์ที่ปังกับมูเก็ตติ้ง! https://positioningmag.com/1488252 Mon, 02 Sep 2024 03:09:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1488252 ปฏิเสธไม่ได้ว่าการ มูเตลู เป็นอะไรที่อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างช้านาน และไม่ใช่แค่มูกับศาสนาพุทธเท่านั้น แต่คนไทยเปิดรับทุกเทพ ทุกศาสตร์ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ผลสำรวจผลว่า คนไทยเกือบ 90% เชื่อเรื่องมู แต่ที่น่าสนใจกว่าก็คือ 75% ยอมจ่ายเพื่อมู! ดังนั้น แบรนด์ต่าง ๆ ก็เห็นโอกาสจากจุดนี้ในการทำการตลาด โดยเฉพาะ AIS, KBank และคารวะ โกลบอล ซึ่งทั้ง 3 แบรนด์จะมาบอกเล่าว่าการตลาดสายมู อะไร Do อะไร Don’t

ย้อนดูอินไซต์สายมูชาวไทย

อินไซต์การมูของคนไทยที่ศึกษาโดย สถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) พบว่า กว่า 88% เชื่อเรื่องการมู โดยสิ่งที่ขอเป็นอันดับ 1 ก็คือ เรื่องเงิน (44%) ตามด้วย เรื่องโชคลาภ (17%) (ซึ่งก็ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินอยู่ดี) ตามด้วยการมูเรื่อง สุขภาพ (12%) ส่วนการมูเรื่อง การงาน มีเพียง 8% เท่านั้น

แม้เชื่อเรื่องมูเหมือนกัน แต่แต่ละเจนก็มีวิธีมูต่างกัน โดย Gen X เน้นเรื่องการสวดมนต์ ไหว้พระ ทำบุญทำทาน มักขอเรื่องสุขภาพมากกว่าเจนอื่น ๆ ส่วน Gen Y จะ เปิดกว้างให้กับความศรัทธาแบบไร้ขีดจำกัด ได้ทุกศาสนา และความเชื่อ ขอแค่มอบผลลัพธ์ในสิ่งที่ตัวเองต้องการโดยเฉพาะเรื่อง การเงินและการงาน สุดท้าย Gen Z ชอบให้ blend in แบบเนียน ๆ ดังนั้น จะมูในแบบเรื่องของ แฟชั่นและสีสันในชีวิตประจำวัน เช่น ใส่เสื้อผ้าสีมงคล เครื่องประดับมงคลชิ้นเล็ก ๆ หรือตั้งวอลเปเปอร์บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ

จะทำมูเก็ตติ้งต้องจริงจัง เชื่อถือได้

สำหรับ เอไอเอส แทบจะเรียกได้ว่าเป็นแบรนด์แรก ๆ ของไทยที่ บุกเบิกการทำมูเก็ตติ้ง เพราะเรื่องของ เบอร์มงคล นั้นออกมานาน 10 ปีเต็ม โดย คณาธิป ธีรทีป หัวหน้าแผนกงานการตลาดด้านผลิตภัณฑ์และลูกค้าโพสต์เพดเอไอเอส เล่าให้ฟังว่า หนึ่งในข้อพิสูจน์ว่ามูเก็ตติ้งได้ผลก็คือ ยอดขายเบอร์มงคลตลอด 10 ปีไม่เคยตกลงเลย ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร โดยปัจจุบันมียอดขายเฉลี่ยที่เดือนละ 3 หมื่นเบอร์ รวมแล้วเอไอเอสมีรายได้กว่าปีละ 1,000 ล้านบาทจากเบอร์มงคล

โดย คณาธิป มองว่า ถ้าจะทำมูเก็ตติ้งอย่างแรกคือ ต้องเข้าใจตลาดก่อน ดังนั้น ต้องหาอินไซต์ของผู้บริโภคว่าต้องการอะไร ชอบเรื่องอะไร และต้องระลึกไว้ว่า ไม่ใช่ทุกคนที่เชื่อเรื่องมู ดังนั้น ต้องทำการตลาดให้ถูกกลุ่มเป้าหมาย และที่สำคัญ ต้องเชื่อถือได้ ดังนั้น เอไอเอสจะต้องมี อาจารย์ หรือ ผู้เชี่ยวชาญ ในศาสตร์ด้านตัวเลขจริง ๆ มาแนะนำ นอกจากนี้ จะต้องทำจริงจังเพราะการทำมูเก็ตติ้งจำเป็นต้องใช้เวลา

คณาธิป ธีรทีป หัวหน้าแผนกงานการตลาดด้านผลิตภัณฑ์และลูกค้าโพสต์เพดเอไอเอส

เช่นเดียวกับ นันท์ธร พรกุลวัฒน์ Co-Founder และ COO บริษัท คารวะ โกลบอล จำกัด ที่ย้ำเรื่อง ความถูกต้องเชื่อถือได้ ดังนั้น สินค้าของคารวะจะผ่านการ ปลุกเสก อย่างถูกต้อง รวมถึงบอกเล่าเรื่องราวขององค์เทพให้ถูกต้อง ไม่บิดเบือน แต่ก็ต้อง ยอมรับความเห็นต่าง

“จุดเริ่มต้นของเราเกิดจากเราพบว่า 8 ใน 10 ของคนเหงาขึ้น และต้องเจอกับการตัดสินใจที่ยากขึ้น ทำคนเลยหาของยึดเหนี่ยวจิตใจ ซึ่งเราอยากทำเพราะมีเครื่องประดับองค์เทพที่ใส่เป็นแฟชั่นได้ มีความโมเดิร์นใส่กับชุดประจำวันได้ เลยเกิดเป็นแบรนด์คาราวะ เพราะคนรุ่นใหม่ไม่ได้มองเรื่องมูเป็นเรื่องจริงจังขนาดนั้น แต่มีความใกล้ชิดมากขึ้น กล้าล้อเล่น แต่ก็เคารพ”

นันท์ธร พรกุลวัฒน์ Co-Founder และ COO บริษัท คารวะ โกลบอล จำกัด

เข้ากับไลฟ์สไตล์และเชื่อมโยงกับสินค้าแบรนด์

เนื่องจากการมูไม่ใช่เรื่องของคน Gen X อีกต่อไป แต่ Gen Z, Gen Y ก็สนใจเรื่องมู ดังนั้น วราพร วิริยะไชยกุล Co-Department Head – Payment and Foreign Exchange Products Management Department “KBank” มองว่า ต้องปรับให้ทันกับยุคสมัยและ ต้องเข้ากับไลฟ์สไตล์ และเชื่อมโยงกับสินค้าของแบรนด์ โดย Kbank ก็เห็นโอกาสจากการทำการตลาดสายมูโดยคอลแลปกับคารวะในการทำ บัตรเดบิตลายรวมองค์เทพ แม็กซ์พลัส กสิกรไทย ซึ่งมีจำนวนลูกค้าถึง 4-5 หมื่นใบ และลูกค้าบางคน สมัครทุกลาย เพื่อสะสม

นอกจากนี้ Kbank ยังให้วอลเปเปอร์และใบสลิปโอนเงินเป็นลายองค์เทพ เช่นเดียวกันกับเอไอเอส ที่ให้ วอลเปเปอร์ ลายเทพเมื่อซื้อเบอร์มงคล เพราะแบรนด์ควร ตามไปอยู่ในชีวิตประจำวัน อะไรที่อยู่ใกล้ตัว หรืออยู่ติดตัว

“ที่เราต้องลงมาทำเพราะมูเก็ตติ้งเป็นเทรนด์แรง แต่เราก็ต้องดูว่ามันเชื่อมโยงกับสินค้าเราหรือเปล่า ไม่ใช่กระโจนไปทุกเทรนด์  ดังนั้น คัสตอมเมอร์อินไซต์มีความสำคัญมาก เพราะต้องปรับตัวให้ทันผู้บริโภค”

วราพร วิริยะไชยกุล Co-Department Head – Payment and Foreign Exchange Products Management Department “KBank”

เสริมความมั่นใจ ไม่ใช่เสริมให้งมงาย

วราพร ย้ำว่า มูเก็ตติ้งเป็นการเล่นกับความเชื่อ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ดังนั้น แบรนด์ต้อง ไม่บิดเบือนความเชื่อ และข้อควรระวังคือ การสื่อสาร และต้องทำให้พอเหมาะพอดี โดยต้องสื่อสารให้ลูกค้าไม่เข้าใจผิด ไม่เช่นนั้นอาจ กระทบกับแบรนด์ เช่นเดียวกันกับ คณาธิป ที่เสริมว่า การตลาดสายมูต้องทำหน้าที่เป็น เครื่องยึดเหนี่ยว หรือเสริมความมั่นใจ ห้ามสัญญา

“ความท้าทายของการตลาดสายมูคือ มันละเอียดอ่อน พร้อมดราม่าได้ตลอด ดังนั้น แบรนด์ต้องอย่าทำเกินพอดี ต้องสื่อสารด้วยความระมัดระวังว่าเป็นแค่เครื่องยึดเหนี่ยว สร้างความมั่นใจ แต่อย่าไปให้คำมั่นว่าใช้แล้วรวย ใช้แล้วหายป่วย อย่าให้เกินพอดีให้ลูกค้ามองเราเป็นที่พึ่งสุดท้าย” คณาธิป เสริม

มูไทยจะกลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์

อย่างไรก็ตาม เทรนด์สายมูไม่ใช่อะไรที่มาแล้วหายไปแน่นอน โดย วราพร เชื่อว่า เทรนด์จะอยู่ยาวและ ยิ่งเข้มข้น ด้วย โดยการมูจะ ใกล้ชิดกับบุคคลมากขึ้น สามารถมูได้ทุกที่ทุกเวลา เหมือนกับที่ใช้วอลเปเปอร์เพื่อมู และต่อไปการมูจะยิ่งแมสมากขึ้น ขณะที่ นันท์ธร มองว่า การมูของไทยสามารถกลายเป็น ซอฟต์พาวเวอร์เมืองไทย เพราะเห็นว่าคนประเทศอื่น ๆ ที่มีความเชื่อเรื่องมูเริ่มมามูกับวัดไทยเยอะ นอกจากนี้มองว่า เทรนด์ต่อไปของไอเทมสายมูคือ การนำวัสดุรักษ์โลกมาใช้มากขึ้น ด้าน คณาธิป มองว่า ต่อไป เทคโนโลยี จะมีบทบาทกับการตลาดสายมูมากขึ้น และมีความ Personalized มากขึ้น

“ตอนนี้มูเก็ตติ้งก็มีการแข่งขันสูง ทั้งในธุรกิจเดียวกันและธุรกิจต่างกัน เพราะเงินผู้บริโภคมีจำกัด เขาก็ต้องพิจารณาว่าจะซื้ออะไร และการเปลี่ยนเเปลงที่มาเร็วไปเร็ว แต่ละเจนก็มีความชอบที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น เราต้องปรับให้เขากับกลุ่มเป้าหมาย และทันกระแสเพื่อให้ลูกค้าสนใจ สุดท้าย ต้องทำให้เมหาะสม พอดี ไม่ใช่สร้างความงมงาย และความน่าเชื่อถือเป็นเรื่องสำคัญวราพร ทิ้งท้าย

]]>
1488252
ต่าง Gen ก็มูต่างกัน! ล้วงลึกพฤติกรรมการ ‘มูเตลู’ ของคนไทย ที่ไม่ใช่ความงมงายแต่เป็น ‘วิถีชีวิต’ https://positioningmag.com/1466722 Tue, 19 Mar 2024 05:38:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1466722 ปฏิเสธไม่ได้ว่าการ มูเตลู เป็นอะไรที่อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างช้านาน เพราะการมูถือเป็น เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกเจนจะมูเหมือนกัน ไปดูอินไซต์การมูของคนไทยที่ศึกษาโดย สถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) ว่าแต่ละเจนมีความเชื่ออย่างไร และ แบรนด์ จะนำไปปรับใช้กับการทำการตลาดได้อย่างไรบ้าง

88% เชื่อเรื่องมู และมูเพื่อจะรวย

จากคำตอบของผู้เข้าร่วมทำแบบทดสอบกว่า 1,200 คน ทั่วประเทศไทย พบว่า กว่า 88% เชื่อเรื่องการมู และกว่า 52% มองว่า การมูเป็น เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และแม้ว่าคนไทยจะเน้นเรื่องครอบครัวเป็นศูนย์กลาง แต่ 65% ขอพรเพื่อตัวเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่คิดถึงครอบครัว แต่อาจจะมีปัญหาบางอย่าง ความปรารถนาบางสิ่งที่ไม่สามารถบอกใครได้ เลยมาขอกับการมู

ที่น่าสนใจคือ อันดับ 1 ในการขอก็คือ เรื่องเงิน (44%) ตามด้วย เรื่องโชคลาภ (17%) ซึ่งก็ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินอยู่ดี ตามด้วยการมูเรื่อง สุขภาพ (12%) ส่วนการมูเรื่อง การงาน มีเพียง 8% เท่านั้น เนื่องจากคนไทยมองว่า การทำงานเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ใช่คำตอบสำหรับการนำไปสู่ความมั่นคงทางการเงิน อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงกับผู้ชายก็มีความต้องการการมูที่ต่างกัน โดยผู้ชายมีแนวโน้มที่จะต้องการผู้รับฟัง แต่ผู้หญิงต้องการการฟันธง

“พฤติกรรมการมูสะท้อนให้เห็นถึงสภาวะเศรษฐกิจ สังคม ความเหลื่อมล้ำต่าง ๆ เขามองว่าเขาไร้ที่พึ่ง การมูเตลูจึงเป็นเสมือนครึ่งยึดยึดเหนี่ยวจิตใจ และเป็นเครื่องเสริมความมั่นใจ” กรรณ ทองศรี ผู้จัดการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ กล่าว

ต่างเจนก็มูต่างกัน

แม้ว่าจะเชื่อเรื่องมูเหมือนกัน แต่ใช่ว่าแต่ละเจนจะใช้วิธีมูเหมือน ๆ กัน โดย Gen X #มูแบบtraditional โดยคนที่อยู่ในช่วงอายุ 43 – 58 ปี เน้นเรื่องการ สวดมนต์ ไหว้พระ ทำบุญทำทาน โดยมองว่าเรื่องเหล่านี้เป็น Booster หรือเป็นตัวช่วย Top up ความพยายาม เสริมความหวังและกำลังใจให้แก่ตนเอง และด้วยช่วงอายุที่มากขึ้น ทำให้ชาว Gen X มีการมูเตลูเพื่อ ขอเรื่องสุขภาพมากกว่า เจนอื่น ๆ เพราะการมีสุขภาพที่ดี คือการเพิ่มความมั่นใจว่าชีวิตจะไม่สะดุด สามารถลุยงานและเอ็นจอยชีวิตได้อย่างเต็มที่ และยังลดความเสี่ยงในการเป็นภาระของคนรอบข้างอีกด้วย

Gen X เติบโตในช่วงเริ่มต้นทุนนิยมในไทย เน้นการยึดหลักปฏิบัติและธรรมเนียมที่มีมาแต่รุ่นก่อน และมองว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องนี้ภูมิใจ และยืนหนึ่งเรื่องความพยายาม ทำให้การมูเป็นตัวเสริมความพยายามที่ทำ” ดวงแก้ว ไชยสุริวิรัตน์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ กล่าว

Gen Y มูหมดไม่สนลูกใคร

Gen Y มีคาแรกเตอร์เฉพาะตัวคือ เปิดรับ และ ปรับตัวเก่ง โดยเปิดกว้างให้กับความศรัทธาแบบไร้ขีดจำกัด ได้ทุกศาสนาและความเชื่อ ขอแค่มอบผลลัพธ์ในสิ่งที่ตัวเองต้องการแบบเฉพาะเรื่องได้ โดย Gen Y เอง ถือเป็นช่วงอายุที่เป็นวัยสร้างตัว จึงมักได้ชื่อเล่นว่าเป็น เดอะแบก มีภาระหน้าที่ที่ต้องดูแลทั้งพ่อแม่และครอบครัวของตัวเอง ดังนั้นจึงโฟกัสกับ การเงินและการงานมากกว่าเจนอื่น เพื่อความมั่นคงและก้าวหน้าในชีวิต

“คนในช่วงอายุ 27 – 42 ปี เติบโตมาในช่วงจุดเปลี่ยนทางเศรษฐกิจที่สำคัญ อีกทั้งยังเป็นยุครอยต่อระหว่าง analog-to-digital จึงมีการเปิดรับและปรับตัวกับสิ่งใหม่ ๆ ได้เป็นอย่างดี” พร้อมพร สุภัทรวณิช รองผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนกลุยทธ์ กล่าว

Gen Z มูนะแต่ไม่ (ค่อย) แสดงออก

สำหรับการมูแบบ Gen Z จะเป็นการ blend in แบบเนียน ๆ จะไม่ใช่การใส่เครื่องรางของขลังแบบเด่น ๆ แต่จะอยู่ในรูปแบบของ แฟชั่นและสีสันในชีวิตประจำวัน ใช้เพื่อเป็น Gimmick ทั้งในด้านการซัพพอร์ตและฮีลใจนั้น ไม่ว่าจะเป็นการ ใส่เสื้อผ้าสีมงคล เครื่องประดับมงคลชิ้นเล็ก ๆ หรือตั้ง วอลเปเปอร์บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากผู้ที่อยู่ในช่วงอายุ 11 – 26 ปี เติบโตในยุคดิจิทัลพร้อมปรับเปลี่ยน เพื่อสิ่งใหม่ ๆ และเอ็นจอยชีวิตได้ทุกสถานการณ์

โดย Gen Z จะเน้นมูไปที่ การงานและการเรียน เนื่องจากคนกลุ่มนี้ยังอยู่ทั้งในวัยเรียนและกำลังก้าวเข้าสู่วัยทำงาน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในการค้นหาตัวเอง เลือกทางเดินในการมีอาชีพ และรายได้ที่มั่นคง เพื่ออนาคตที่สดใสและชีวิตที่ดีกว่าเดิม

Gen Z เน้นมูแบบ blend in เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวัน มองการมูเป็น Gimmick เป็นลูกเล่น สีสัน เสริมพลังใจและใช้เป็น Topic ในการไปคุยกับเพื่อน ๆ ได้ ไม่ใช่แค่สร้างความมั่นใจแต่ยังเพิ่มเรื่อง Relationship ได้” 

แบรนด์จะทำอย่างไรมัดใจสายมู

จากผลสำรวจดังกล่าวจะเห็นว่าผู้บริโภคเปิดใจกับการมูมาก และการมูก็มีผลต่อเรื่องการตัดสินใจจะซื้อสินค้า เพราะนอกจากฟังก์ชันนอลที่ลูกค้ามองหา เรื่องมูจะเข้ามาช่วยเรื่องอีโมชันนอล ดังนั้น จะเห็นว่าแบรนด์ใหญ่ ๆ ลงมาทำการตลาดเรื่องมู แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แบรนด์ก็ต้องทำให้เหมาะกับแบรนด์ และจะจับ Gen ไหนต้องชัดเจน

สำหรับ Gen X อาจจะเน้นการส่งเสริมไลฟ์สไตล์ที่ดีต่อสุขภาพเป็นหลัก โดยสามารถเพิ่มความน่าสนใจและคุณค่าในแง่ของความสุขทางใจ ด้วยกิจกรรมมูเตลูที่พวกเขาคุ้นเคย เช่น กิจกรรมเดิน-วิ่ง 9 วัด ให้คน Gen X ได้สวดมนต์ ทำบุญขอพรและได้ออกกำลังกายไปพร้อม ๆ กัน หรือจัดทำ Packaging บทสวดมนต์/บทอวยพรมงคล ที่ช่วยให้สามารถสวดเพิ่มกำลังใจได้ทุกที่ทุกเวลา แต่แบรนด์ควรคำนึงถึงขอบเขต และความเหมาะสมตามธรรมเนียมและวิถีปฏิบัติที่ชาว Gen X ยึดถือด้วย

ดวงแก้ว ไชยสุริวิรัตน์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ (ซ้าย), กรรณ ทองศรี ผู้จัดการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ (ตรงกลาง), พร้อมพร สุภัทรวณิช รองผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนกลุยทธ์ (ขวา)

ส่วน Gen Y มีนิสัยเปิดกว้าง ชอบลองของใหม่ ชอบโพสต์และแชร์ชีวิตแบบฮิป ๆ ของตัวเอง ดังนั้น แบรนด์อาจ recommend การมูแบบใหม่ ๆ ที่ไม่มีมาก่อน โดยยึดหลัก จุดประสงค์ชัด ประสบการณ์ใหม่ ถ่ายรูปสวย เช่น “Meet and Mu” ทริปมูเตลูที่เน้น new spot ทั้งในและนอกประเทศ พร้อมการ tie-in สินค้าหรือบริการของแบรนด์ นอกจากจะได้มูตามศรัทธาแล้ว ยังเป็นโอกาสที่จะได้เที่ยวและพบปะเพื่อนใหม่ ๆ คอเดียวกัน และยังได้รูปสวย ๆ ไปโพสต์ได้ด้วย แต่ท้ายที่สุดแบรนด์ควรระวังความถูกต้องชัดเจนของข้อมูลต่าง ๆ เพราะคนเจนนี้ชอบค้นหา และแชร์ข้อมูลกับคนรอบข้าง

มูแบบมินิมอล หรือ มูแบบไม่ตะโกน คือ มอบความสนุก ความมั่นใจ ไม่ใช่ขายความเชื่อ จะถูกจริตชาว Gen Z ที่สุด แบรนด์สามารถเพิ่มโอกาสในการเชื่อมต่อกับคน Gen Z ได้ด้วยการเสริมเรื่องราวมูเตลูที่ ดูดีมีสไตล์ และ เอ็นจอยร่วมกันกับเพื่อน ๆ ให้กับสินค้าหรือบริการ เช่น จัดแพ็กสินค้าสีมงคล สำหรับทุก ๆ วัน หรือ สติกเกอร์รวมพลังเทพครบเซต อีกหรือทำสินค้าแฟชั่น/ accessories หรือกลุ่มบิวตี้ ที่มี สีมงคลพาสเทล เสริมความสนุกและความมั่นใจ ให้กับพวกเขาทั้งในชีวิตประจำวันและโลกออนไลน์

]]>
1466722
บูมอีสาน! “ยูดี ทาวน์” อัดงบ 40 ล้านจัดสงกรานต์ “EDM” ปี’66 กรุยทางดึงจีนสายมูเที่ยว “อุดร” https://positioningmag.com/1422060 Tue, 07 Mar 2023 07:32:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1422060 สายแดนซ์เตรียมพร้อม “ยูดี ทาวน์” เตรียมจัดใหญ่ UDON SONGKRAN FESTIVAL 2023 จัดปาร์ตี้ดนตรี “EDM” รับช่วง “สงกรานต์” ใหญ่ที่สุดที่เคยจัดในภาคอีสาน คาดการณ์ปี’66 ท่องเที่ยว “อุดร” ฟื้นตัวได้เท่าก่อนโควิด-19 ลุ้นดึงนักท่องเที่ยวจีน “สายมู” ทัวร์ริมโขง-ไหว้พระขอพร

“ยูดี ทาวน์” ศูนย์การค้าท้องถิ่นแห่งอุดรธานี เตรียมกลับมาจัดเทศกาลสงกรานต์ครั้งใหม่ใหญ่กว่าเดิมในงาน UDON SONGKRAN FESTIVAL 2023 ระหว่างวันที่ 12-16 เมษายน 2566 บนพื้นที่ลานเดอะแลนด์ ขนาด 12,000 ตร.ม. พร้อมอุโมงค์น้ำขนาดยักษ์

ไฮไลต์งานนี้คือเทศกาลดนตรี EDM Party ที่จะจัด 4 คืนต่อเนื่อง (13-16 เม.ย. 66 เวลา 17:00-24:00 น.) พร้อมเชิญศิลปิน-ดีเจทั้งในไทยและต่างประเทศกว่า 40 ราย เปิดรายชื่อดีเจระดับโลกที่จะมาแสดงในงาน เช่น Mike William จากเนเธอร์แลนด์, Gammer จากสหราชอาณาจักร, Bonka จากโคลัมเบีย ส่วนของไทยจะมีวงหมอลำอินเตอร์ฯ Paradise Bangkok ร่วมแสดง

ยูดี ทาวน์
ยูดี ทาวน์ อุดรธานี

 

ปาร์ตี้ EDM ต้อนรับชาวอีสานกลับบ้าน-เศรษฐีชาวลาว

“อภิชา วีรชาติยานุกูล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท อุดรพลาซ่า จำกัด รุ่นสองของกลุ่มยูดี ทาวน์ กล่าวถึงการจัดงานครั้งนี้ว่าเป็นการกลับมาในรอบ 3 ปี โดยงานดนตรี EDM ทางยูดี ทาวน์มีการจัดครั้งแรกเมื่อปี 2559 เริ่มจากงานขนาดเล็ก ก่อนจะขยายใหญ่ขึ้นทุกปีจนถึงปี 2562 ที่จัดครั้งสุดท้ายก่อนต้องหยุดจัดอีเวนต์ใหญ่เพราะโควิด-19

งานครั้งนี้ใช้งบลงทุนไป 30-40 ล้านบาท จัดใหญ่กว่าเมื่อปี 2562 ถึง 2 เท่า และคาดว่าจะมีทราฟฟิกเฉพาะในงานนี้รวม 5 วัน 100,000 คน หรือเฉลี่ยวันละ 20,000 คน

ตัวอย่าง headliner งาน

ราคาตั๋วในงานจะมีตั้งแต่ระดับสูงสุด VVIP First Class ราคาเหมา 4 วัน 100,000 บาทต่อโต๊ะ 6 ท่าน ซึ่งจะได้สิทธิ Private Dry Zone ทางเข้าส่วนตัว ห้องน้ำส่วนตัว แพ็กเกจเครื่องดื่ม ฯลฯ ไปจนถึงตั๋วโซน GA ผู้ชมทั่วไป ราคา 400 บาทต่อวันต่อคน

อภิชากล่าวว่า บริษัทคาดหวังรายได้ขั้นต่ำ 30 ล้านบาทจากงานนี้ และหากขายตั๋วได้เต็มอัตราน่าจะทำรายได้ได้ถึง 100 ล้านบาท

“เป้าหมายของงานนี้จะเป็นคนวัย 20 ปีขึ้นไป ตอบโจทย์ชาวอุดรและชาวอีสานที่จะกลับมาเยี่ยมบ้านจากการไปทำงานที่กรุงเทพฯ และคนอีสานก็ต้องการเทศกาล EDM แบบนี้เหมือนกัน รวมไปถึงชาวลาวที่มีกำลังซื้อสูง สนใจเข้ามาท่องเที่ยวในช่วงสงกรานต์” อภิชากล่าว

ยูดี ทาวน์ สงกรานต์
งานสงกรานต์ที่ยูดี ทาวน์ รอบปี 2562

งานครั้งนี้ยังมีการจัดพื้นที่ให้กับกลุ่ม VVIP แพ็กเกจทั้งหมดประมาณ 20% ของพื้นที่ เพิ่มขึ้นจากครั้งล่าสุดในปี 2562 ที่กันไว้ 10% ของพื้นที่ เพราะจากงานครั้งก่อนพบว่า แพ็กเกจระดับนี้ขายหมดเร็วมาก ไม่เหลือพอที่จะขายหน้างาน สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มเป้าหมายมีกำลังซื้อและต้องการโต๊ะแบบ VVIP เพื่อสะท้อนไลฟ์สไตล์ของตน

อีเวนต์ใหญ่รับสงกรานต์ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปรับตัวในช่วงหลังโควิด-19 ของยูดี ทาวน์ เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน เริ่มสั่งอาหารและสินค้าทางเดลิเวอรีมากขึ้น ทำให้ทราฟฟิกเข้าศูนย์ฯ ลดลงเหลือ 8,000 คนต่อวัน จากก่อนโควิด-19 มีลูกค้าเฉลี่ย 10,000 คนต่อวัน

แม้ยอดขายของร้านค้าเช่าจะไม่ต่ำลงเพราะลูกค้าเพียงหันมาซื้อผ่านเดลิเวอรี แต่ศูนย์ฯ จะต้องปรับมามีอีเวนต์มากขึ้น และมีการตกแต่งใหม่บ่อยขึ้นเพื่อดึงให้คนมาใช้ชีวิต ถ่ายรูป มีความบันเทิงนอกบ้าน โดยอภิชากล่าวว่าจากนี้ยูดี ทาวน์จะมีอีเวนต์ใหญ่ทุกๆ 2 เดือน และมีพันธมิตรสำคัญคือ “ไทยเบฟเวอเรจ” และ “เป๊ปซี่” ที่จะสร้างสีสันผ่านคอนเสิร์ตหมุนเวียนเข้ามาต่อเนื่อง

 

ท่องเที่ยวฟื้นปีนี้ หวังปีหน้าดึง “จีน” ทัวร์ทำบุญ

ด้าน “ธนกร วีรชาติยานุกูล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อุดรพลาซ่า จำกัด รุ่นหนึ่งผู้ก่อตั้งศูนย์ฯ เปิดภาพรวมการท่องเที่ยวในจังหวัดอุดรธานี จากสถิติผู้โดยสารเข้าออกทางเครื่องบินเมื่อปี 2565 มีผู้โดยสาร 1.77 ล้านคน ปี 2566 นี้เป็นไปได้ว่าจะมีผู้โดยสารทางเครื่องบินกลับไปเท่าปี 2562 คืออยู่ที่ 2.8 ล้านคนต่อปี เนื่องจากเที่ยวบินเข้าออกอุดรธานีเพิ่มขึ้นเกือบจะเท่ากับปีก่อนโควิด-19 แล้ว

(จากซ้าย) อภิชา วีรชาติยานุกูล, ภาสกร วีรชาติยานุกูล, ธนกร วีรชาติยานุกูล

ธนกรกล่าวถึงจุดยุทธศาสตร์ของอุดรธานีว่า เป็นจังหวัดศูนย์กลางการเดินทางไปหนองบัวลำภู สกลนคร นครพนม หนองคาย เวียงจันทน์ ได้สะดวก และมีสถานที่ท่องเที่ยวทั้งเชิงธรรมชาติ/วัฒนธรรม เช่น ทะเลบัวแดง บ้านเชียง โดยเฉพาะการท่องเที่ยวสายธรรมะ ไหว้พระทำบุญ อุดรธานีและทัวร์ภาคอีสานมีความโดดเด่นมาก เชื่อว่าจะเป็นจุดที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ต่อเนื่อง

นอกจากนักท่องเที่ยวไทยแล้ว ภาคอีสานยังคาดหวังว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเพิ่มขึ้นในอนาคต หลังการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เริ่มโปรโมตเส้นทางท่องเที่ยวริมโขง ตั้งแต่หนองคาย อุดรธานี ไล่ไปจนถึงนครพนม และชาวจีนเริ่มแสดงความสนใจ เนื่องจากชาวจีนบางกลุ่มก็มีความเชื่อในทางวัตถุมงคล การไหว้พระทำบุญ เช่นเดียวกับคนไทย เพียงแต่ต้องใช้เวลาในการทำการตลาด อาจจะยังไม่เห็นชัดเจนในปีนี้ แต่ปี 2567 น่าจะเห็นชาวจีนเที่ยวอีสานมากขึ้น

 

โรงแรมเติบโต วางแผนเปิดแห่งที่สองเพิ่ม

“ภาสกร วีรชาติยานุกูล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนาทิพย์ 456 จำกัด รุ่นสองที่เข้ามาช่วยบริหารงานโรงแรมโมโค (MOCO) และศูนย์ประชุมนานาชาติมลฑาทิพย์ กล่าวว่า โรงแรมโมโคซึ่งเป็นบูทีคระดับ 4 ดาว ขนาด 68 ห้อง หลังเปิดมาเกือบ 2 ปี ปัจจุบันมีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 60% และคาดว่าปีนี้น่าจะขยับเป็น 70-80% ได้ หลังการท่องเที่ยวฟื้นตัว เที่ยวบินกลับมาเปิดบินเต็มที่

ส่วนศูนย์ประชุมฯ มลฑาทิพย์ก็เริ่มกลับมาคึกคัก มีงานอีเวนต์ แต่งงาน จัดประชุม ทุกวัน ขณะนี้อยู่ระหว่างกระตุ้นตลาดเพิ่ม

ธนกรกล่าวต่อถึงแผนอนาคตของกลุ่มยูดี ทาวน์ ยังเหลือที่ดินอีก 2 แปลง แปลงละ 4 ไร่ รวมถึงที่ดินใกล้เคียงกับโรงแรมโมโคที่สามารถปรับการใช้งานได้ ที่ดินเหล่านี้กำลังวางแผนว่าอาจจะเปิดเป็นโรงแรมระดับกลาง ราคาห้องพักคืนละ 1,500-2,000 บาท คาดว่าจะก่อสร้างเป็นอาคาร 2 ชั้น 2 อาคาร รวม 140 ห้อง ใช้งบลงทุนราว 200 ล้านบาท แต่จังหวะการลงทุนอาจใช้เวลาอีก 2-3 ปีในการตัดสินใจ

]]>
1422060
รู้จัก Horosociety ผู้จับเทรนด์ “การตลาดสายมู” (Muketing) แบบครบวงจร https://positioningmag.com/1370621 Tue, 18 Jan 2022 04:07:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1370621 เทรนด์การตลาดสายมูยังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบันทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัว ล้วนเป็นไอเทมมูเตลูได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสร้อยข้อมูล กระเป๋า เสื้อสีมงคล วอลเปเปอร์โทรศัพท์มือถือ ทำให้ในตอนนี้เริ่มมีบริษัทที่รับทำการตลาดสายมูโดยเฉพาะมากขึ้น

หากพูดถึง “การตลาดสายมู” (Muketing) แท้จริงแล้วเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใกล้ตัว และได้เข้ามาแทรกซึมอยู่ในชีวิตคนไทยและคนเอเชียมาเนิ่นนาน จะเห็นได้จากในช่วงเทศกาลปีใหม่ทั้งแบบสากล แบบไทย หรือแบบจีนในทุกๆ ปี หลายแบรนด์มักจะจัดกิจกรรมการตลาดขึ้นโดยใช้กลยุทธ์ที่ล้อไปกับการเปลี่ยนแปลงของดวงชะตา

อาทิ แบรนด์ซูเปอร์มาร์เก็ตมักจะจัดเซตกระเช้าของมงคลประจำปีเพื่อมอบให้คนพิเศษ หรือแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่ทำแคมเปญเรื่องการเสริมดวงเสริมฮวงจุ้ย รวมไปถึงแบรนด์รถยนต์ที่มอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้าได้รับสิทธิ์ดูดวง เลือกสีรถ และเลขป้ายทะเบียนมงคลกับนักพยากรณ์ชื่อดัง ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลให้ตลาด ‘มูเตลู’ เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด

โดยมีผลสำรวจที่ระบุว่าคนไทยกว่า 52 ล้านคนในปัจจุบันมีความเชื่อในเรื่องของโชคลาง อันเกิดจากสภาวะตึงเครียดจากสภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมืองที่ไม่แน่นอน อันเป็นเหตุทำให้ไม่สามารถคาดการณ์และวางแผนอนาคตได้ ดังนั้นการมีสิ่งที่สามารถใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจจึงเป็นตัวช่วยในการดำเนินชีวิตได้อย่างมั่นใจของใครหลายคน

อนัญญา โตแสงชัย ผู้ก่อตั้ง และผู้บริหาร บจ.โฮโรโซไซตี้ กล่าวถึงพฤติกรรมของผู้บริโภค และการทำตลาดสายมูว่า

“การตลาดสายมู (Muketing) เป็นรูปแบบการตลาดที่สามารถครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายได้ในทุกระดับฐานะ ทุกเพศทุกวัย ทุกสายอาชีพ คอนเทนต์ประเภทนี้มักได้รับความนิยมและมี Engagement ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับคอนเทนต์ประเภทอื่นเนื่องจากคนไทยตลอดจนคนเอเชียมีความชอบ และความเชื่อในเรื่องมูเตลูกันเป็นพื้นฐาน ดังนั้นการผสมผสานศิลปะ (Art) ข้อมูล (Data) ประสบการณ์ (Experience) กับศาสตร์ความเชื่อในยุคดิจิทัลทำให้การทำการทำการตลาดสายมู (Muketing) มีความแม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งในปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะช่วงโควิด-19 เรามีลูกค้าให้ความสนใจในเรื่องนี้ และใช้บริการกับเราเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก”

นอกจาก “การตลาดสายมู” (Muketing) ที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดแล้ว การตลาดที่ใช้นักพยากรณ์มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ หรือ KOL (Key Opinion Leader) สามารถสร้างกระแสความนิยม สร้างอัตราการรักษาลูกค้า (Customer Retaining Rate) และดึงดูดกำลังซื้อของผู้บริโภคได้อย่างมหาศาล

โดยมีกรณีศึกษาจากเครือข่ายมือถือ 3 ยักษ์ใหญ่ ที่หลายปีมานี้ต่างก็แข่งขันกันด้วยกลยุทธ์ ‘เบอร์มงคล’ โดยใช้นักพยากรณ์ชื่อดังของเมืองไทยมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ซึ่งแมน-การิน ศตายุส์ ก็เป็นหนึ่งคนที่โด่งดัง และประสบความสำเร็จจากแคมเปญ ‘เบอร์เสริมชีวิต’ ของเอไอเอส ที่คัดสรรเบอร์มงคลให้กับผู้ใช้งานกว่า 2 ล้านเบอร์ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา โดยเบอร์มงคลนั้นยังคงเป็น Segment ใหญ่ของ “การตลาดสายมู” (Muketing) ที่สามารถสร้างมูลค่าสูงขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง

จึงเป็นโอกาสสำหรับ “โฮโรโซไซตี้” (Horosociety) อีกหนึ่งบริษัทที่หันมาจับการตลาดสายมูโดยเฉพาะ มีการผลิตคอนเทนต์ และการวางแผนกลยุทธ์การตลาดสายมูแบบครบวงจร มีประสบการณ์ดูแลลูกค้าที่เป็นแบรนด์ องค์กร เอเจนซี่มากกว่า 200 รายยาวนานกว่า 10 ปี มีบริการการตลาดสายมู 7 รูปแบบด้วยกัน ได้แก่

  1. Presenter & Celebrity Campaign Endorsement การใช้นักพยากรณ์มาเป็นพรีเซ็นเตอร์หรือการใช้ดาราในการช่วยส่งเสริมการขายหรือแคมเปญต่างๆ อาทิ แมน-การิน ศตายุส์ เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ AIS เป็นต้น
  2. Branded Exclusive Content เนื้อหาคอนเทนต์ความเชื่อสำหรับแบรนด์หรือองค์กร เช่น E-Newsletter หรือ Social Content เกี่ยวกับความเชื่อสำหรับลูกค้าคนสำคัญใน Segment ต่างๆ อย่างกลุ่มธนาคาร และบริษัทประกันภัย เป็นต้น
  3. Branded Exclusive Product or Premium Gift สินค้าหรือของพรีเมียมที่เกี่ยวกับความเชื่อสำหรับแบรนด์หรือองค์กร เช่น กระเป๋าเก็บสมุดบัญชีมงคลสำหรับกลุ่มธุรกิจธนาคาร เป็นต้น
  4. Branded Exclusive Activity and Event กิจกรรมหรืองานอีเวนต์ที่เกี่ยวกับความเชื่อสำหรับแบรนด์หรือองค์กร เช่น อีเวนต์ส่งเสริมการขายให้คู่ค้าของแบรนด์ หรือกิจกรรมทัวร์ทำบุญไหว้พระสำหรับกลุ่มลูกค้าพิเศษหรือผู้ชนะกิจกรรมจากแบรนด์ เป็นต้น
  5. Branded Exclusive Personal Consulting นักพยากรณ์เป็นแขกรับเชิญในการพยากรณ์ศาสตร์ต่างๆ ทั้งในรายการทีวี รายการออนไลน์ และไลฟ์บนแอปพลิเคชันขององค์กรหรือแบรนด์ต่างๆ อาทิ Shopee, LAZADA รวมไปถึง Owned Media อย่าง BIG C และ Tesco Lotus เป็นต้น
  6. Lead Generation and Data Collection Service การเก็บข้อมูลด้วยการใช้คอนเทนต์ หรือเนื้อหาความเชื่อ เช่น แคมเปญตรวจดวงรับปีใหม่เพื่อนำไปพัฒนาทำ CDP (Customer Data Platform) สร้างความยั่งยืนให้องค์กร
  7. 360 Creative Muketing บริการวางแผน และให้คำปรึกษาการตลาดสายมูแบบสร้างสรรค์ครบวงจรในทุกๆ ด้าน

โดยในปีที่ผ่านมาโฮโรโซไซตี้ ได้ทำกิจกรรมการตลาดให้แบรนด์ยักษ์ใหญ่ อาทิ

  • SCB LINE OA (LINE BCRM) ที่ผู้ติดตามในไลน์สามารถเช็กดวงตัวเองได้
  • เดอะมอลล์กรุ๊ป ในการจัดอีเวนต์ดูดวงสุดพิเศษโดยนักพยากรณ์ชื่อดัง และทำ Lucky Planner ที่รวบรวมเคล็ดลับการใช้ตัวเลข และสีเพื่อให้คนไปปรับใช้ในการเสริมสิริมงคลชีวิต รวมถึงฤกษ์ดีในแต่ละเดือน
  • คาราบาวแดง บริหารจัดการนักพยากรณ์ในแคมเปญลุ้นล้าน ล่าฝัน #โชคดีวันพุธ
  • Grab ในแคมเปญดวงดี ดีลปัง ทั้งการทำนายดวง แจกวอลเปเปอร์เสริมดวง เปิดร้านตะลุยแก้ชง เสริมดวง
  • พฤกษา เรียลเอสเตท กับการทำคอนเทนต์ฮวงจุ้ย รองรับแคมเปญ 11.11 วันดีของคนจะมีบ้านใหม่
  • Shopee Live Official ช่วง Pro Horo โดยนักพยากรณ์ของโฮโรโซไซตี้จะสลับสับเปลี่ยนกันไลฟ์ทุกวันพุธ
  • LINE โดยการทำคอนเทนต์ดูดวงไพ่ยิปซี และเซียมซี ให้ระบบดูดวงอัตโนมัติใน LINE OA
  • กรุงศรี ออโต้ กับการสร้างระบบให้คนทั่วไปเข้ามากรอกข้อมูล เช็กเลขทะเบียนรถและเบอร์โทรศัพท์ แล้วได้รับทำนายกลับไป

ล่าสุดโฮโรโซไซตี้ได้ประกาศลุย Horoscope NFT เพราะเล็งเห็นว่าแนวโน้มในอนาคต NFT จะเป็นตลาดที่เติบโตต่อเนื่อง พร้อมหวังผลักดันธุรกิจสายมูให้เติบโตในตลาดดิจิทัลแบบเต็มตัว โดย Horoscope NFT ชิ้นแรกได้ถูกออกแบบโดย แมน-การิน ศตายุส์ กับผลงานที่ชื่อว่า “ลักกี้ นัมเบอร์ อาร์ติแฟ็คต์” (Lucky Number Artifact)

]]>
1370621
หมดยุค 1900 “สามารถดิจิตอล” ดัน Horoworld ดูดวงสดผ่านแอปฯ รับสายมูออนไลน์ https://positioningmag.com/1367588 Fri, 17 Dec 2021 13:46:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1367588 สามารถดิจิตอล (SDC) จัดระเบียบธุรกิจโหราศาสตร์ “โฮโรเวิลด์” (Horoworld) เข้าสู่ 25 ปีพอดี เปิดตัวแอปพลิเคชันใหม่ จากโทร 1900 สู่ดูดวงผ่านแอปฯ รับพฤติกรรมคนไทยยังชอบดูดวง สายมูเตลู คาดรายได้แตะพันล้านภายใน 5 ปี

จาก 1900 สู่แอปพลิเคชัน

สายมูเตลูยุค 90 คงไม่มีใครไม่รู้จัก เทพธิดาพยากรณ์ หรือระบบ 1900 เป็นบริการดูดวงผ่านโทรศัพท์ โดยให้โทรผ่านเบอร์ที่ขึ้นต้นด้วย 1900 มีค่าบริการที่แตกต่างกันไป เริ่มต้นนาทีละ 9-15 บาท ในตอนนั้นถือว่าเป็นช่องทางที่ได้รับความนิยม เพราะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการดูดวง

เมื่อโลกดิจิทัลเข้ามามีบทบาทมากขึ้น 1900 จึงขยับเข้าสู่ข่องทางออนไลน์ มีบริการผ่านเฟซบุ๊ก, ไลน์ มากขึ้น แต่ผู้บริโภคก็มีทางเลือกมาขึ้นเช่นกัน ชื่อของ 1900 จึงค่อยๆ ถูกกลบด้วยหมอดูออนไลน์ หรือดูดวงผ่านแอปพลิเคชันมากขึ้น

บริการ 1900 เป็นธุรกิจด้านโหราศาสตร์ภายใต้ บริษัท สามารถดิจิตอล จำกัด (มหาชน) ใช้ชื่อว่า “Horoworld (โฮโรเวิลด์)” เริ่มก่อตั้งในปี 2538 ปัจจุบันมีอายุครบ 25 ปีแล้ว

ที่ผ่านมามีการดูดวงผ่านระบบ Audio Text, ดูดวงผ่าน Webcam, ดูดวงบนระบบ 1900 ผ่านนักพยากรณ์ ได้รับการรับรองจากสมาคมด้านโหราศาสตร์หลายแห่ง มีนักพยากรณ์กว่า 200 รายที่เป็นพันธมิตร เช่น หมอกฤษณ์ คอนเฟิร์ม, ซินแส ดร.ภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล และมีหมอดูหลากหลายศาสตร์ทั้งไพ่ยิปซี ลายมือ โหงวเฮ้ง ฮวงจุ้ย รวมถึงจำหน่ายสินค้าและวัตถุมงคลเสริมดวง

ต้องบอกตามตรงว่าในยุคนี้อาจจะไม่ใช่ยุคของบริการ 1900 แล้ว อีกทั้งเหลือสัญญาอีก 1 ปี ทางสามารถดิจิทัลจึงจัดระเบียบใหม่ ปรับสู่แอปพลิเคชันเต็มตัว เตรียมปั้นให้เป็นแอปฯ ด้านพยากรณ์แบบครบวงจร รองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ชูจุดเด่นพยากรณ์ได้ครบทุกช่วงเวลาของชีวิต ตั้งแต่แรกเกิด เติบโต สร้างบุญ จนถึงวันดับสูญ ตั้งเป้ายอดดาวน์โหลดที่ 1 ล้านรายในปี 2565

ดูดวงได้ 24 ชั่วโมง

ชรินกาญจน์ พงษ์กุญแจกาญจน์ รักษาการผู้จัดการทั่วไป บริษัท สามารถดิจิตอล จำกัด (มหาชน) ระบุว่า

จุดแข็งของแอปพลิเคชัน Horoworld คือ ให้บริการดูดวงสด 24 ชั่วโมงกับหมอดูที่มีความแม่นยำจากสมาคมโหราศาสตร์ต่างๆ โดยรองรับทั้งระบบ Call และ Video call

นอกจากนี้ ยังมีบริการประมูลดูหมอดูดวงกับหมอดูชื่อดัง มีฟีเจอร์สแกนโหงวเฮ้งผ่านระบบแมชชีนเลิร์นนิ่งเจ้าแรกในไทย มีบริการดูฤกษ์มงคล ดูฤกษ์คลอด ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ จนถึงการตั้งชื่อ เปลี่ยนนามสกุลเสริมดวง และดูทะเบียนรถ-เบอร์โทรศัพท์

กลุ่มเป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดคือช่วงอายุ 24-25 ปีโดยเฉพาะเพศหญิงที่ชื่นชอบการดูดวงและโหราศาสตร์ เบื้องต้น บริษัทวางแผนขยายฐานลูกค้าจาก B2B ไปสู่รูปแบบ B2B2C ในองค์กรธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ 5 ประเภท

ได้แก่ ธุรกิจยานยนต์, ธุรกิจพรีเวดดิ้ง, ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธนาคาร, ธุรกิจเสริมความงาม และธุรกิจในโรงพยาบาล ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องดวงในหลายด้าน เช่น การเป็นพันธมิตรกับธนาคารให้บริการดูฤกษ์เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย บริการปรับโหงวเฮ้งในสถาบันเสริมความงาม รวมถึงบริการดูฤกษ์คลอดในโรงพยาบาล

สามารถดิจิตอลตั้งเป้าเพิ่มยอดดาวน์โหลดแอปฯ Horoworld ไว้ที่ 1 ล้านครั้ง โดยปี 2566 บริษัทมีแผนขยายสู่ตลาดต่างประเทศโดยพัฒนาฟีเจอร์หลายภาษาเพื่อให้สามารถเข้าถึงคนทุกเชื้อชาติ เพิ่มโอกาสทางการตลาดมากยิ่งขึ้น

ในช่วงแรกมีโปรโมชัน เปิดให้ดูดวงสดฟรี 15 นาทีเป็นสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่ดาวน์โหลด และสมัครสมาชิกครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 16-19 ธันวาคม 64 เพื่อกระตุ้นให้ยอดดาวน์โหลดทะลุ 1 ล้านราย เปิดให้บริการบนระบบแอนดรอยด์ ก่อนจะขยายไปยังระบบ iOS ในอนาคต

คนไทยสายมูเตลู

ธุรกิจมูเตลู หรือโหราศาสตร์ในไทย ยังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จะเห็นได้ว่าในช่วงหลายปีมานี้ได้เกิดธุรกิจสินค้าวัตถุมงคลมากมาย รวมถึงไอเทมเสริมดวงไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับ วอลเปเปอร์มือถือ เบอร์มงคล ทุกอย่างล้วนเป็นมูเตลูมาร์เก็ตติ้งทั้งสิ้น

ซึ่งคนไทยสนใจ หรือชื่นชอบเกี่ยวกับการดูดวง หรือโหราศาสตร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เติบโตมากับการไหว้พระ ขอพร บนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งในสถานการณ์ของ COVID-19 ยิ่งช่วยผลักดันให้คนไทยสนใจทางด้านนี้มากขึ้น เนื่องจากความไม่แน่นอน และยังเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ทำให้สบายใจมากขึ้น

วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สามารถดิจิตอล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า

“ความเชื่อ เป็นเรื่องที่อยู่คู่กับคนไทยมานาน จากผลสำรวจพบว่าประชากรไทย 75% มีความเชื่อเรื่องโชคลาง รวมไปถึงเชื่อในเครื่องรางของมงคล 58% และมีการดูดวงผ่านโซเชียลมีเดีย และเว็บไซต์ 74% และในช่วงวิกฤต COVID-19 ที่ผ่านมา มีคนดูดวงมากถึง 68% จะเห็นว่ามากกว่าครึ่งของประชากรไทยที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องดวง ทำให้ตลาดการดูดวงและโหราศาสตร์เป็นตลาดที่ค่อนข้างใหญ่ และยังมีอัตราการเติบโตสูงขึ้นเรื่อยๆ”

วัฒน์ชัย ยังเสริมอีกว่าแอปฯ Horoworld จะเป็นตัวหนุนธุรกิจด้านโหราศาสตร์ เพื่อให้บริการเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น ในปี 2565 คาดว่าจะทำรายได้ 200 ล้านบาท เป็นอัตราเติบโต 200% ที่ผ่านมาธุรกิจนี้ไม่เคยขาดทุน มีโอกาสขยายเป็นธุรกิจใหญ่หลักพันล้านใน 5 ปี

ในปี 2564 ธุรกิจนี้มีรายได้รวม 100 ล้านบาท แต่ต้องแบ่งส่วนแบ่งให้โอเปอเรเตอร์เครือข่ายมือถือไป 50% แต่การมีแอปฯ นี้ จะช่วยให้มีรายได้มากขึ้น โดยที่บริการ 1900 จะยังมีอยู่อีก 1 ปีก่อนจะหมดสัญญา และในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 จะเข้าสู่การพัฒนาในเฟส 2 ต่อไป

]]>
1367588
คุยกับ RAVIPA แบรนด์จิวเวลรี่ สู่สร้อยข้อมือสายมู กับเงินลงทุน 10,000 บาท https://positioningmag.com/1366412 Sun, 12 Dec 2021 09:00:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1366412 พาไปพูดคุยกับ “ธนิสา วีระศักดิ์ศรี” หญิงสาววัย 29 ปี ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ RAVIPA เป็นที่รู้จักกันในฐานะกำไลสายมูที่โด่งดังในตอนนี้ แต่ที่จริงแล้วแบรนด์นี้ได้ก่อตั้งมา 9 ปีแล้ว เริ่มต้นจากแบรนด์จิวเวลรี่ สามารถจับเทรนด์มูเตลูได้ร่วมสมัย จนดีไซน์ออกมาเป็นสร้อยข้อมือศักดิ์สิทธิ์

เริ่มต้นจากจิวเวลรี่ สู่กำไลสายมู

การเติบโตของโซเชียลมีเดียในช่วงหลายปีที่ผ่าน ทำให้เกิดแบรนด์ออนไลน์ขึ้นมามากมาย โดยที่บางแบรนด์ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้านก็ยังได้ แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาก็คือ การแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นทุกวัน เพราะทุกแบรนด์ต่างมาแย่งพื้นที่บนโลกออนไลน์

ในช่วงปีที่ผ่านมานี้ หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับแบรนด์ RAVIPA (ระวิภา) มากขึ้น เพราะด้วยกระแสของ “มูเตลู” ที่นิยมมากขึ้นในไทย อีกทั้งวิกฤต COVID-19 ยิ่งทำให้คนไทยหาที่พึ่งทางจิตใจมากขึ้น

ravipa

หลายคนมากคิดว่า RAVIPA เป็นแบรนด์น้องใหม่ที่เพิ่งแจ้งเกิด แต่จริงๆ แล้วแบรนด์นี้มีอายุได้ 9 ปีแล้ว เริ่มต้นจากการเป็นแบรนด์จิวเวลรี่ เครื่องประดับต่างๆ ก่อตั้งโดย 2 พี่น้อง “ธนิสา วีระศักดิ์ศรี” และ “ระวิภา วีระศักดิ์ศรี” โดยที่ชื่อแบรนด์ RAVIPA ก็มาจากชื่อของผู้เป็นพี่ เป็นดีไซเนอร์ออกแบบเครื่องประดับ ส่วนธนิสา หรือ สา ดูแลด้านแบรนด์ และการตลาดเป็นหลัก

RAVIPA มีจุดเริ่มต้นจากการที่ ระวิภา (พี่สาว) เป็นนักออกแบบเครื่องประดับ ตอนนั้นมีแบรนด์ใหญ่ๆ จ้างออกแบบมากมาย ด้วยความที่ธนิสามีหัวการค้า เลยว่าคิดว่าทำไมไม่ทำเอง ไปทำธุรกิจให้คนอื่นทำไม เลยตกลงกับพี่สาวว่าให้ทางพี่ออกแบบอย่างเดียว ส่วนเธอดูแลเรื่องธุรกิจให้

จึงเกิดเป็นแบรนด์เครื่องประดับด้วยส่วนผสมที่ว่า “คนพี่รู้ว่าทำอย่างไรสวย ส่วนคนน้องจะรู้ว่าลูกค้าชอบแบบไหน” เป็นเครื่องประดับที่เน้น Every Look มีทั้งสร้อย แหวน ต่างหู กำไลข้อมือ จุดเปลี่ยนที่สำคัญก็คือ ธนิสาบอกว่าตอนนั้นอยู่สมัยเรียนเห็นมีคู่รักวัยรุ่นเยอะ คิดว่าทำไมต้องรอให้ถึงงานหมั้น งานแต่งงานถึงจะมีแหวนคู่ เราต้องมีแหวนคู่กันเลย เลยออกแบบ “แหวนอินฟินิตี้” จนกลายเป็นซิกเนเจอร์ของแบรนด์จนถึงทุกวันนี้

ธนิสาบอกว่าแหวนคู่อินฟินิตี้ ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้แบรนด์มีกำไรต่อยอดแบรนด์จนถึงทุกวันนี้ จากนั้นมาคิดว่าวันวาเลนไทน์มีแค่ปีละครั้ง แล้วคนโสดมีมากกว่าคนมีคู่ เลยทำคอลเลกชั่นต่างหูมุกต่างๆ สามารถใส่เป็น Everyday Look ได้ ใส่ได้ทุกโอกาส “ผู้หญิง Working Women ต้องทำงาน เจอคนเยอะ ต้องสวยแต่ต้องถูกกาลเทศะ”

ธนิสาจบจากคณะบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นคนที่ชอบขายของตั้งแต่เด็กๆ ได้เริ่มสร้างแบรนด์ RAVIPA ตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ชั้นปี 3 ตอนนั้นอายุ 20 ปี ด้วยงบลงทุนเริ่มต้น 10,000 บาท เริ่มตั้งแต่ช่วงสมัยที่เฟซบุ๊ก อินสตาแกรมกำลังเริ่มมาใหม่ๆ ยุคที่แม่ค้าเริ่มขายของออนไลน์กัน จากนั้นก็ค่อยมีหน้าร้าน และขยับขยายธุรกิจเรื่อยๆ

“RAVIPA เริ่มต้นจากเป็นแบรนด์ออนไลน์เหมือนกับแบรนด์อื่นๆ พอเริ่มขายออนไลน์ได้ หลังจากนั้นค่อยมีหน้าร้านเป็นเงินต่อเงิน ตอนนั้นเริ่มจากฝากขายที่สยามเซ็นเตอร์ ยังไม่มีพนักงานเป็นของตัวเอง พอมีกำไรมากขึ้นก็เก็บมาทำหน้าร้านของตัวเอง เปิดร้านแรกที่สยามพารากอน เป็นรูปแบบหัก GP เริ่มมีพนักงานขาย”

คอนเซ็ปต์ มูยังไงให้คนไม่รู้ว่ามู

RAVIPA เริ่มต้นมาจากแบรนด์จิวเวลรี่ แต่ไม่ผิดมากนักที่จะบอกว่าได้แจ้งเกิดจากคอลเลกชั่น “ระวิภา รีมายเดอร์” (RAVIPA Reminder) หรือสร้อยข้อมือศักดิ์สิทธิ์ ได้เริ่มออกตั้งแต่ปี 2562 จุดเด่นอยู่ที่เป็นสร้อยข้อมือ พร้อมกับจี้องค์เทพเจ้าต่างๆ ที่คนไทยต่างนับถืออยู่แล้ว เช่น พระตีมูรติ, เจ้าแม่กวนอิม, พระพิฆเนศ เป็นต้น

ravipa

คอลเลกชั่นนี้ธนิสามีส่วนร่วมในการออกแบบ เธอเล่าว่าปกติเป็นคนสายไหว้พระทำบุญอยู่แล้ว แล้วถ้าใส่สร้อยพระก็ดูไม่แมตช์กับเสื้อผ้าเท่าไหร่ อีกทั้งบางคนอาจจะมองว่าเล่นของหรือเปล่า จึงมีไอเดียที่ว่าอยากพกความโชคดีติดตัว เลยดีไซน์เป็นสร้อยข้อมือศักดิ์สิทธิ์มินิมัลที่ปลุกเสกด้วยพุทธคุณสายขาว มินิมัลชนิดที่ว่า “มูอย่างไรให้คนไม่รู้ว่ามู” ใส่เป็นแฟชั่นก็ได้ ใส่หลายองค์ก็ได้โดยคนไม่รู้สึกว่าเยอะ

สร้อยข้อมือนี้แบ่งเป็นคอลเลกชั่น 14 องค์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นองค์เทพที่เราเคารพนับถือ และ 10 องค์เทพเจ้าจีน ราคาเริ่มต้นที่ 1,890 บาท แต่ละคนสามารถเลือกบูชาตามเรื่องที่ต้องการเสริมได้ เช่น การงาน, ค้าขาย, ความรัก, โชคลาภ หรือสุขภาพ

ravipa

ปัจจุบัน “องค์พญานาคราช” ที่ช่วยเสริมเรื่องค้าขายเป็นรุ่นยอดนิยมสุด รองลงมาเป็น “พระตีมูรติ” ช่วยเสริมด้านความรักสำหรับคนโสด “เจ้าแม่กวนอิม” ช่วยเสริมเรื่องคนเมตตา เอ็นดู และ “พระสีวลี” ช่วยเสริมเรื่องโชคลาภ

“จุดเด่นของสร้อยข้อมือสายมูนี้ เราดีไซน์ตามถูกตามหลักโหราศาสตร์ ฮวงจุ้ย ดวงดาว สีต้องมงคล สวยแล้วต้องใส่ได้จริง ต้องเป็นจิวเวลรี่สำหรับทุกคน มองว่าจิวเวลรี่ไม่ใช่ลักชัวรี ทุกคนต้องใส่ได้ ไม่ใช่รอใส่แค่เฉพาะวันพิเศษเท่านั้น แต่ต้องใส่ได้ทุกโอกาส ใส่แล้วสวย และโชคดี”

แจ้งเกิดจากไวรัล และ “ลิซ่า”

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้สร้อยข้อมือ RAVIPA ดังไปทั่วเมือง ก็คือกระแส “ปากต่อปาก” บางคนสวมใส่แล้วมีแฟน มีโชคลาภ หรือเสริมในสิ่งที่ต้องการได้ดี ก็แนะนำต่อคนอื่น อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญมากๆ ก็คือ “ลิซ่า BLACKPINK” ได้สร้างกระแสไวรัล พร้อมกับ Influencer ในวงการ

“เราได้กระแสจากลิซ่าทำให้เกิดไวรัล เพราะแฟนคลับซื้อให้ลิซ่าใส่ รวมไปถึงคนทั่วไปบางคนใส่แล้วถูกสลากออมสิน เล่นหุ้น ได้แฟน ทำให้เกิดปากต่อปาก กลายเป็นว่าบางคนมองว่าลงทุน 1,890 บาทแล้วคุ้มค่า”

ที่ผ่านมาได้เห็นเหล่าคนดังทั่วทุกวงการที่ใส่สร้อยข้อมือศักดิ์สิทธิ์นี้ อาทิ แต้ว ณฐพร เตมีรักษ์, เจนี่ อัลภาชน์ ณ ป้อมเพชร, ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์, มิ้นต์ ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง, โบว์ เมลดา สุศรี, หมอเจี๊ยบ ลลนา ก้องธรนินทร์, กอล์ฟ พิชญะ นิธิไพศาลกุล, ไมค์ พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล และมินนี่ (G)I-DLE

วิวัฒนาการสายมู

ต้องบอกว่าในประเทศไทยมีสินค้ากลุ่มเครื่องประดับสายมูมายาวนานมากแล้ว สิ่งใดๆ รอบตัวสามารถโยงเข้าสายมูได้หมด แต่ที่เห็นมากสุดเห็นจะเป็นเครื่องประดับต่างๆ สร้อย กำไล แหวน เพราะค่อนข้างมีมูลค่า อีกทั้งยังสวมใส่เป็นเครื่องประดับได้

ก่อนหน้านี้ได้เคยมีกระแสเรื่องกำไลหินต่างๆ มาจนถึงกระแสของกำไลไลลา (Leila Amulets) เป็นกำไลหิน พร้อมกับตะกรุด ในช่วงนั้นไม่ว่าจะขยายสาขาที่ไหน ก็มีสายมูตามไปบูชาไม่ขาดสาย

ravipa

จะสังเกตได้ว่าในยุคหนึ่งกำไล หรือเครื่องประดับสายมูต่างๆ จะต้องมีเอกลักษณ์ หรือเห็นได้ชัด คนเห็นจะต้องรู้ว่าใส่ของแบรนด์นี้ๆ คนที่ศึกษาเรื่องพวกนี้ก็จะรู้ว่าคนนี้มูเรื่องอะไร แต่มาถึงยุคปัจจุบันที่อะไรๆ ล้วนมินิมัลไปหมด เทรนด์ของเครื่องประดับจะดีไซน์ให้เรียบง่าย ใส่ได้ทุกวัน เรามูอะไรคนอื่นก็ไม่รู้

ในประเด็นนี้ธนิสาได้ให้ความเห็นว่า “จริงๆ กำไลหินมงคลมีมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ที่เราดีไซน์ให้มินิมัลมากๆ เพราะอยากมูให้ไม่รู้ว่ามู เราเห็นว่ามีช่องว่างอยู่ พอเราใส่กำไลอันใหญ่ๆ มันดูเอะอะไปนิดนึง สมมติไปคุยงานแล้วคนเห็นว่าเราใส่อะไร ถ้าคนนั้นเขามีความรู้เขาจะรู้จุดอ่อนเราทันที เช่น คนนี้ขาดความรัก ขาดความมั่นใจ คนนี้จะมาเจรจา จะมาปิดจ็อบขายของ บางคนเห็นก็จะรู้สึก Negative กับอีกคนได้ มันไม่ใช่แค่เรื่องมูเตลูอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของจิตวิทยาด้วย แต่สร้อยข้อมือของ RAVIPA เขาจะไม่รู้ว่าเราใส่องค์อะไร เป็นเหมือนเครื่องประดับชิ้นหนึ่งเลย”

COVID-19 ดันคนไทยมูมากขึ้น

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดเครื่องประดับสายมูเตลูเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างแรกเลยคือ ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธที่เติบโตมากับการไหว้พระขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หลายคนห้อยสร้อยพระ หรือพกเครื่องบูชาไว้กับตัวตั้งแต่เด็กๆ เรียกว่าสายมูเป็นพื้นฐานของคนไทยอยู่แล้ว

รวมไปถึงสถานการณ์ของ COVID-19 ทำให้คนไทยต้องการที่พึ่งทางจิตใจมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการงาน การเงิน หรือการเยียวยาจิตใจ หลายคนมีสร้อยข้อมือไว้เพื่อความอุ่นใจ

ravipa

“ถ้ามองภาพรวมของตลาดเครื่องประดับของประเทศไทยในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจเช่นนี้ หลายคนจะมองว่าเครื่องประดับเป็นของฟุ่มเฟือยที่ไม่อยากลงทุน ดังนั้นโจทย์ของเราคือต้องเปลี่ยนมายด์เซ็ตของผู้บริโภค จากของฟุ่มเฟือยให้กลายเป็นของจำเป็น และเป็นสิ่งที่ต้องใส่ติดตัว เราเลยตัดสินใจทำคอลเลกชั่นสร้อยข้อมือศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจให้กับทุกคน และยังคงไว้ซึ่งดีไซน์ที่สวยงาม สามารถสวมใส่ได้ในชีวิตประจำวันได้”

ขอโกอินเตอร์

ปัจจุบัน RAVIPA มีสาขาในห้างสรรพสินค้า ได้แก่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัลลาดพร้าว, เซ็นทรัลชิดลม, เซ็นทรัล อีสต์วิลล์, เกษร วิลเลจ, ดิเอ็มโพเรียม, แฟชั่นไอส์แลนด์ และ RAVIPA Flagship Store สวนหลวงสแควร์ ซ.จุฬา 16

ravipa

ทิศทางต่อไปของแบรนด์ ธนิสาอยากพาแบรนด์ไปโตที่ต่างประเทศ เริ่มมองตลาดในโซนเอเชียก่อน เพราะมีฐานลูกค้าอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีวัฒนธรรมใกล้เคียงกัน นับถือองค์เทพองค์เดียวกัน พฤติกรรมสายมูไม่ต่างกันมากนัก

สุดท้ายแล้ว ธนิสามองความท้าทายกับการทำการตลาดกับความเชื่อว่า ต้องจริงใจ อย่าไปหลอกผู้บริโภค ไม่บอกให้คนงมงาย แต่เราเป็นสายทำบุญหมั่นสวดมนต์ ต้องซื่อสัตย์ ไม่โฆษณาชวนเชื่อ เราขายของมงคล ต้องทำตัวเป็นมงคล ที่สำคัญคือ แบรนด์เราดีไซน์จิลเวลรี่ให้ใส่ได้บ่อยๆ ใส่ได้ทุกวัน ไม่ใช่แค่ใส่ถ่ายรูป แต่เป็นคุณค่าทางจิตใจ ซื้อเป็นของขวัญให้คนพิเศษได้

]]>
1366412
รู้จัก “บอกบุญ เดลิเวอรี่” สายมูออนไลน์ ขอพรวัดในฮ่องกงได้แบบ Virtual https://positioningmag.com/1353828 Sun, 03 Oct 2021 08:51:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1353828 ทำความรู้จัก “บอกบุญ เดลิเวอรี่” สะพานบุญออนไลน์ อีกหนึ่งที่พึ่งทางจิตใจในยุด COVID-19 แพลตฟอร์มสำหรับสายมูโดยเฉพาะ ไหว้ขอพรวัดดังในฮ่องกง, มาเก๊า และไต้หวันได้แบบ Virtual แพ็คเกจเริ่มต้นที่ 288 บาท

บอกบุญ เดลิเวอรี่ คือใคร

บอกบุญ เดลิเวอรี่ (BokBoon Delivery) คือ แพลตฟอร์มสำหรับสายมูเตลู ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2563 เป็นช่วงที่ทั่วโลกประสบปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ส่งผลให้เกิดพฤติกรรม New Normal ขึ้นมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสั่งอาหาร ซื้อของ จ่ายเงิน ล้วนทำผ่านออนไลน์ทั้งสิ้น

แม้แต่การทำบุญ ขอพร เพื่อหาที่พึ่งพาทางใจ ก็ทำผ่านออนไลน์ จึงเกิดเป็นโอกาสครั้งใหญ่ของตลาดนี้ ที่ยังมีคนสายมูเตลูพร้อมที่จะใช้บริการ

บอกบุญ เดลิเวอรี่ก่อตั้งโดย พสิษฐ์ เธียรนภาพรโชค แต่เดิมได้ทำงานในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาด แพลตฟอร์มขนส่งสินค้ารายใหญ่อย่าง LALAMOVE จากนั้นได้ผันตัวสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจ Start-up สำหรับสายมูเตลูบนโลกออนไลน์อย่างเต็มตัว พร้อมกับผู้ร่วมก่อตั้งอย่าง นันทิกานต์ สุวรรณโชติ เป็นมัคคุเทศก์ท้องถิ่นผู้มีความเชี่ยวชาญ ทำให้การไหว้พระขอพรสมบูรณ์มากขึ้น

แพลตฟอร์มนี้มีจุดกำเนิดที่ฮ่องกง เมืองขึ้นชื่อในเรื่องการไหว้พระ ขอพร อีกทั้งคนไทยยังนิยมไปไหว้พระที่ฮ่องกงกันมากด้วย

พสิษฐ์ เล่าว่า ปิ๊งไอเดียการสร้างบอกบุญ เดลิเวอรี่ให้เป็นแพลตฟอร์ม Virtual Temple Experience จากการเห็นกลุ่มแม่บ้านวิดีโอคอลคุยกับครอบครัว บนรถไฟใต้ดินขณะเดินทางกลับบ้าน ทำให้เกิดคำถามว่าจะสามารถวิดีโอคอลในขณะที่พระกำลังสวดมนต์ หรือทำบุญได้หรือไม่

บวกกับในช่วงวิกฤต COVID-19 ที่ประชาชนไม่สามารถเดินทางได้ บอกบุญ เดลิเวอรี่จึงก่อตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นสะพานบุญออนไลน์เชื่อมระหว่างวัดกับสายมูเตลูเข้าด้วยกัน และไม่ว่าจะก่อน หรือหลังวิกฤต COVID-19 ก็ตาม เรายังอยากให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าที่เคยมาไหว้พระที่ฮ่องกง หรืออาจจะยังไม่เคยมา เพราะไม่มีเวลา หรือไม่มีต้นทุน เพื่อให้ลูกค้าใช้โอกาสนี้ ไหว้พระ ทำบุญ ขอพรเสริมสิริมงคลให้กับชีวิต ด้วยวิธีง่ายๆ ก็พบกับบริการที่สะดวกสบาย ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ต้องควักเงินหลักหมื่น เหมาะสำหรับช่วงเวลาที่เราต่างต้องการที่พึ่งทางใจ เพราะความเชื่อและความศรัทธารอกันไม่ได้

มูวัดดังที่ไหนได้บ้าง

บอกบุญ เดลิเวอรี่ เป็นเจ้าแรกที่เริ่มทำ และได้เป็นตัวแทนของวัดที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง ปัจจุบันมีแพ็กเกจไหว้พระ เสริมดวงออนไลน์ให้เลือกหลากหลายตามความต้องการของลูกค้า โดยเน้นวัดเก่าแก่ และวัดที่ศรัทธาของคนพื้นที่เป็นหลัก

ทั้งเรื่องเสริมดวงชะตา หน้าที่การงาน ขอพรด้านสุขภาพ เสริมด้านความรัก ทั้งคนโสดและคนมีคู่ให้ลูกค้าได้เลือก ครบจบในที่เดียว ในราคาสมเหตุสมผลซึ่งทุกคนจับต้องได้ อาทิ

  • วัดแชกงหมิว (วัดกังหัน) ช่วยให้เงินทองไหลมาไม่ขาดสายเหมาะสำหรับคนทำมาค้าขาย
  • วัดฮ่องฮำ พิธีขอยืมเงินเจ้าแม่กวนอิม ทรัพย์สินเงินทอง
  • วัดหวังต้าเซียน เหมาะสำหรับคนโสดที่ต้องการขอคู่ผ่านด้ายแดงศักดิ์สิทธิ์
  • วัดเทพเจ้ากวนอู ช่วยเสริมอำนาจบารมีการเป็นเจ้าคนนายคน เหมาะสำหรับงานข้าราชการ ฯลฯ

ปัจจุบันมีบริการครอบคลุมทั้งฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน และพม่า ทำให้มั่นใจได้ว่าพิธีกรรมเหล่านั้นถูกต้องตามหลักแบบครบถ้วนสมบูรณ์ สามารถขอพร สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แบบออนไลน์ง่ายแค่ปลายนิ้วสัมผัสโดยไม่ต้องบินไปไกลถึงต่างประเทศ

ราคาเริ่มต้น 288 บาท ลูกค้าหลักพัน/เดือน

อีกหนึ่งบริการที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของบอกบุญ เดลิเวอรี่ รับประกันว่ามีการทำพิธีในสถานที่จริง คือการขอพรแบบตัวต่อตัวสุดเอ็กซ์คลูซีฟอย่าง แพ็กเกจ Video Call ผ่าน LINE ลูกค้าจะสามารถพูด ขอพร สวดมนต์ ต่อหน้าองค์เทพ ได้เห็นทุกขั้นตอนการไหว้ที่ถูกต้องหลักตามประเพณี เป็นการสร้างประสบการณ์ผ่านภาพและเสียงที่สมจริงแบบ  Virtual Temple Experience รู้สึกเหมือนไปไหว้พระด้วยตัวเอง เมื่อเสร็จพิธีลูกค้าที่เมืองไทยยังจะได้รับวัตถุมงคลในซองแดงจากการไหว้องค์เทพ เสมือนได้บินลัดฟ้ามาไหว้เทพเจ้าด้วยตนเอง

วิดีโอคอลตอนไหว้

หลังจากได้ทดลองด้วยตนเอง เมื่อได้คิวตามตารางที่ทางบอกบุญฯ จะไปไหว้ที่วัดแล้ว เมื่อใกล้ถึงคิวจะมีทางไกด์ท้องถิ่น Video Call หา เพื่อทำพิธีไหว้พระ พร้อมกับของเซ่นไหว้ต่างๆ เหมือนกับเราไปทำด้วยตนเอง ทางไกด์จะนำสวดมนต์ให้เรา และให้ขอพรตามใจ ลูกค้าที่อยู่เมืองไทยเพียงแค่เตรียมธูป และน้ำสำหรับกรวดน้ำหลังจากเสร็จพิธี

พสิษฐ์ เล่าว่าหลังจากเปิดให้บริการอย่างเต็มตัวช่วง 6 เดือนแรก เป็นการค่อยๆ ให้ลูกค้าทำความเข้าใจกับวิธีการไหว้พระออนไลน์ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หลังจากนั้นมีคนใช้บริการมากขึ้นเรื่อยๆ จากเริ่มสัปดาห์ละ 2 วันเป็น 5 วันทำให้ปัจจุบันมีลูกค้าใช้บริการเฉลี่ยมากกว่า 1,000 รายต่อเดือน

ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นนักธุรกิจ พ่อค้า แม่ค้า เพราะฉะนั้นจะขอเรื่องเงินที่วัดเจ้าแม่กวนอิม (ยืมเงิน) มากที่สุด รองลงมาก็จะเป็นเกี่ยวกับความรักที่วัดหวังต้าเซียน

ขอพรแบบ New Normal

บอกบุญ เดลิเวอรี่ เปรียบเหมือนแพลตฟอร์มที่เสิร์ฟบุญให้กับลูกค้าที่อยากเดินทางมาไหว้พระด้วยตัวเองแต่ยังทำไม่ได้ถึงหน้าบ้าน ถึงแม้ว่าจะมีวิกฤต COVID-19 เข้ามา แต่ก็ชื่อว่าความเชื่อ และพลังศรัทธาที่ลูกค้ามีต่อวัด และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในฮ่องกงก็จะยังคงอยู่

แม้หลังผ่านพ้นวิกฤตนี้แล้วในอนาคต ก็จะยังมีการไหว้พระทำบุญในรูปแบบนี้อยู่ นอกจากการไหว้พระในฮ่องกงแล้ว ตอนนี้ได้ขยายการให้บริการมาที่มาเก๊าด้วย เช่น วัดอาม่า วัดเจ้าแม่กวนอิมที่มาเก๊า รวมไปถึงไต้หวัน ในอนาคตมีแผนที่จะเพิ่มวัดที่เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น และไทยอีกด้วย

นอกจากแพ็กเกจทำบุญไหว้พระออนไลน์ บอกบุญ เดลิเวอรี่ยังมีบริการเช่าวัตถุเสริมสิริมงคล อาทิ กังหันรูปแบบต่างๆ, แผ่นทอง, ปี่เซี๊ยะ, ธนบัตรมงคล, เทียนหอม, ก้อนทอง, องค์เทพจำลอง, น้ำเต้าเก็บทรัพย์ ฯลฯ ให้ลูกค้าที่สนใจได้เลือกสรรผ่านทางช่องทางออนไลน์

“ในช่วงแรกที่ทดลองก็กลัวว่าจะไม่เฮงเหมือนมาเอง แต่ที่ผ่านมาด้วยรีวิวลูกค้าแล้วเฮงไม่น้อยกว่ามาด้วยตัวเองเลย นั่นคือสาเหตุที่ทำให้บอกบุญยังมีลูกค้าใช้บริการซ้ำอยู่บ่อยครั้ง หรือบางรอบไหว้ชุดแก้บนขายดีกว่าชุดไหว้ขอพรด้วยซ้ำนั่นหมายความว่าไหว้แล้วได้ผล”

]]>
1353828