“อีลอน มัสก์” เปิดตัวรถบรรทุกไฟฟ้า Semi Class 8 เมื่อปี 2017 และวางแผนว่าจะเริ่มผลิตตั้งแต่ปี 2019 อย่างไรก็ตาม ไทม์ไลน์การผลิตต้องเลื่อนไปหลายครั้งเพราะขาดแคลนอะไหล่ ทั้งนี้ ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าการเริ่มผลิตจริงจะมีการผลิตลอตแรกออกมากี่คัน
หน้าเว็บไซต์ Tesla ระบุว่า รถบรรทุกไฟฟ้าคันแรกของ Tesla วิ่งได้ 500 ไมล์ (ราว 805 กิโลเมตร) ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ทำความเร็วจาก 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ภายใน 20 วินาที และใช้พลังงาน 2kWh ต่อ 1 ไมล์ โดยบรรทุกได้สูงสุด 82,000 ปอนด์ (ประมาณ 37,000 กิโลกรัม)
รถบรรทุก Semi หากใช้แท่นชาร์จของ Tesla ที่ออกแบบสำหรับรถคันนี้ จะใช้เวลา 30 นาทีในการชาร์จจาก 0% ถึง 70% ของความจุแบตเตอรี่ บริษัทยังคำนวณมาด้วยว่าการใช้ไฟฟ้าจะประหยัดกว่าการใช้น้ำมันดีเซลประมาณ 2.5 เท่า
ส่วนราคาประเมินคาดว่าจะอยู่ที่คันละ 180,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 6.73 ล้านบาท) แต่หากจัดส่งในสหรัฐฯ ก็จะได้รับส่วนลดเงินอุดหนุนจากรัฐคันละ 40,000 เหรียญ (ประมาณ 1.50 ล้านบาท)
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2017 บริษัท PepsiCo เป็นบริษัทที่สั่งจองรถบรรทุกไฟฟ้าจาก Tesla ทันที 100 คัน เพราะสอดคล้องกับนโยบายบริษัทที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายพลังงานและลดการปล่อยคาร์บอนของฟลีตรถขนส่ง
“รามอน ลากัวร์ตา” ประธานกรรมการบริหาร PepsiCo กล่าวกับสำนักข่าว CNBC เมื่อปีก่อนว่า การขนส่งคิดเป็นสัดส่วน 10% ของการปล่อยคาร์บอนของทั้งบริษัท ทำให้รถบรรทุกไฟฟ้าจะมาช่วยลดคาร์บอนได้ โดยวางแผนจะนำมาใช้ในขั้นตอนการขนส่งเครื่องดื่มและขนมจากโรงงานไปยังศูนย์กระจายสินค้า และจากศูนย์ฯ ไปยังพื้นที่รีเทลด้วย
]]>ในแถลงการณ์ วอลโว่ ทรัคส์ กล่าวว่า เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนสำหรับรถบรรทุกจะให้บริการโดย Cellcentric ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับ Daimler Truck ซึ่งก่อตั้งขึ้นในเดือนมีนาคม 2021
“รถบรรทุกเซลล์เชื้อเพลิงที่ใช้ไฮโดรเจนจะเหมาะอย่างยิ่งสำหรับระยะทางไกลและการใช้งานหนักที่มีความต้องการพลังงานสูง” โรเจอร์ อาล์ม ประธานของวอลโว่ ทรัคส์ กล่าว
เนื่องจากการแข่งขันในภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการแข่งขันกันพัฒนาเทคโนโลยีการปล่อยมลพิษให้เป็นศูนย์ ทำให้วอลโว่ ทรัคส์ต้องแข่งขันกับบริษัทต่าง ๆ เช่น เทสลา รวมไปถึงหุ้นส่วนร่วมทุนอย่าง Daimler Truck ซึ่งต่างก็กำลังพัฒนารถบรรทุกไฟฟ้า ทำให้บริษัทกำลังพัฒนารถบรรทุกที่ใช้แบตเตอรี่ไฟฟ้าควบคู่ไปด้วย
อย่างไรก็ตาม การใช้พลังงานไฟฟ้าของรถบรรทุกสำหรับงานหนักระยะไกลนั่นยังมีข้อจำกัด โดย Global EV Outlook ประจำปี 2021 ระบุว่า หากจะพัฒนารถบรรทุกอีวีระยะไกล จำเป็นต้องมีเทคโนโลยีขั้นสูงสำหรับการชาร์จพลังงานที่สูงหรือต้องมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่
Martin Daum ประธานคณะกรรมการบริหารของ Daimler Truck กล่าวว่า ที่ต้องพัฒนาทั้งรถบรรทุกพลังงานไฮโดรเจนและพลังงานไฟฟ้าเป็นเพราะแต่ละเทคโนโลยีมีความเหมาะสมต่างกัน อย่างการจัดส่งสินค้าในเมืองจะเหมาะกับการใช้พลังงานไฟฟ้า เพราะใช้พลังงานในปริมาณน้อย แต่ถ้าต้องขนส่งระยะไกล ๆ พลังงานไฮโดรเจนจะตอบโจทย์กว่า
อย่างไรก็ตาม แม้การใช้พลังงานไฮโดรเจนจะดูล้ำ แต่ก็มีอุปสรรคในการขยายธุรกิจในส่วนนี้ โดยเฉพาะการจัดหา ไฮโดรเจนสีเขียว จำนวนมาก นอกจากนี้ ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานการเติมเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะหนักยังไม่ได้รับการพัฒนามากนัก
ทั้งนี้ พลังงานไฮโดรเจนมีการใช้งานที่หลากหลายและสามารถนำไปใช้ได้ในอุตสาหกรรม เช่นเดียวกันกับกระบวนการผลิตที่มีหลากหลาย แต่สำหรับ ไฮโดรเจนสีเขียว เป็นการผลิตไฮโดรเจนจาก พลังงานหมุนเวียน เช่น การใช้อิเล็กโทรไลซิสด้วยกระแสไฟฟ้าที่แยกน้ำออกเป็นออกซิเจนและไฮโดรเจนยังถือว่ามีสัดส่วนที่น้อย เพราะทุกวันนี้การผลิตไฮโดรเจนส่วนใหญ่มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล
]]>“จักรพงษ์ ศานติรัตน์” ผู้อำนวยการ เอ็ม เอ เอ็น ทรัค แอนด์ บัส ประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัท เอ็ม เอ เอ็น เจ้าของแบรนด์รถบรรทุกและรถบัส MAN จากเยอรมนี ตัดสินใจเข้ามาทำตลาดเมืองไทยด้วยตนเองตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 ตามนโยบายบุกภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของบริษัทแม่ โดยก่อนหน้านั้น MAN มียอดขายในเมืองไทยเป็นอันดับ 3 เนื่องจากมีผู้นำเข้าทำตลาดอยู่ก่อนแล้วมาตั้งแต่ปี 2538
เมืองไทยเป็น 1 ใน 5 ตลาดเอเชียแปซิฟิกที่ MAN เลือกเปิดบริษัทด้วยตนเอง ร่วมกับจีน เกาหลีใต้ มาเลเซีย และฮ่องกง ส่วนประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้อีก 10 ประเทศ บริษัทยังทำตลาดผ่านผู้นำเข้าอยู่
จักรพงษ์กล่าวว่า รถบรรทุกและรถบัส MAN มีจุดแข็งที่ประวัติการดำเนินงานยาวนานกว่า 260 ปี เป็นบริษัทที่ให้ความร่วมมือกับ “รูดอล์ฟ ดีเซล” ผู้ประดิษฐ์เครื่องยนต์ดีเซลเครื่องแรกของโลกขึ้นในปี 2440 ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานหลักและสำนักงานใหญ่ที่เมืองมิวนิก และเข้าเป็นส่วนหนึ่งของค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ Volkswagen เมื่อปี 2554 ทำให้สามารถแข่งขันได้ในแง่คุณภาพ ความทนทานนวัตกรรม และการผลิตมาตรฐานเยอรมัน
สำหรับสินค้าที่ MAN จะนำเข้ามาเปิดตลาดไทยในเดือนกันยายนนี้ แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ 1.กลุ่มรถบรรทุก รุ่น TGS 6X4 แบบ 10 ล้อทั้งแบบหัวลากและแบบมีกระบะ (Rigid) ตั้งแต่ 360-440 แรงม้า 2.กลุ่มรถบัส มีทั้งแบบรถเมล์ชานต่ำ รถเมล์วิ่งระหว่างเมือง และรถโค้ชทางไกล โดยรถบัสจะนำเข้าเฉพาะแชสซีส์รถ ส่วนตัวถังจะผลิตในประเทศไทยโดย บริษัท ท็อปเบสท์ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด เป็นผู้ผลิตและดีลเลอร์การขายกลุ่มรถบัสแต่เพียงรายเดียวในไทย
จักรพงษ์กล่าวว่า ตลาดรถบรรทุกในประเทศไทยปกติจะมียอดขายเฉลี่ยปีละ 17,000-18,000 คัน ส่วนใหญ่เป็นรถบรรทุกจากญี่ปุ่น รถบรรทุกจากยุโรปจะมีส่วนแบ่งตลาดรวมกันเพียง 3-5% เท่านั้น อย่างในปี 2562 ที่ผ่านมา รถบรรทุกยุโรปมียอดขายรวมกัน 632 คัน และเฉพาะ 2 เจ้าใหญ่ในตลาดรถบรรทุกยุโรปก็มียอดขายรวมกันถึง 90% ของตลาดนี้แล้ว (แบรนด์ดังกล่าวได้แก่ Scania และ Volvo)
“ตลาดรถบรรทุกยุโรปนั้นปัจจุบันเราอยู่อันดับ 3 แต่ก็เป็นอันดับ 3 ที่ห่างมาก เราอยากจะโดดขึ้นไปให้ช่องว่างลดลง” จักรพงษ์กล่าว
โดยปี 2564 เอ็ม เอ เอ็นตั้งเป้ายอดขายรถบรรทุกจะขึ้นไปถึง 100-120 คัน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 20% ของตลาดรวมรถบรรทุกยุโรปปีหน้า
แบรนด์รถบรรทุกเจ้าใหญ่ดังกล่าว มีโรงงานผลิตและประกอบภายในประเทศไทยทำให้ทำราคาได้ดี แต่ทาง MAN ยังยืนยันนำเข้ามาจากเยอรมนี โดยเฉพาะตัวเครื่องยนต์ยังไม่มีแผนมาผลิตในไทยเพราะต้องการควบคุมคุณภาพ ส่วนตัวถังนั้นอาจเป็นไปได้ที่จะผลิตในไทยในอนาคต
การนำเข้าทั้งคันทำให้ราคาเริ่มต้นของรถบรรทุก MAN จะอยู่ที่ 4.2 ล้านบาท โดยยังไม่รวมภาษี กรณีที่เป็นรถหัวลากจะบวกภาษีอีก 20% และรถบรรทุกกระบะ Rigid จะบวกภาษีอีก 40% แต่จักรพงษ์ยืนยันว่า ราคาปลายทางรวมภาษีแล้วจะสามารถแข่งขันได้ในตลาด
นอกจากเรื่องราคาและคุณภาพพร้อมรับประกันทั้งคัน 12 เดือนไม่จำกัดระยะทาง การขยายไปให้ถึงเป้าหมายนั้น ทางเอ็ม เอ เอ็นจะเร่งขยายฐานดีลเลอร์ตั้งเป้า 10 แห่งภายใน 5 ปี โดยเป็น Private Dealer 100% ขณะนี้มีสาขาแล้ว 1 แห่งในกทม. ร่วมกับพันธมิตร บริษัท เค-แมน ออโต้เซอร์วิส จำกัด เฉพาะปีหน้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 4 แห่ง มุ่งหมายปักหลักสาขาใหม่ในภาคเหนือ อีสาน และใต้ เพื่อวางโครงข่ายกระจายไปทุกภาคก่อน
“พอเราเข้ามาทำเอง ราคาก็จะถูกลงแบบ ‘พร้อมชน’ กับแบรนด์อื่น” จักรพงษ์กล่าว “ส่วนดีลเลอร์ทั้งหมด 10 จุดก็มองว่าไม่น้อยนะครับ เพราะแบรนด์ยุโรปเจ้าอื่นก็มีมากที่สุดไม่เกิน 15 จุดทั่วประเทศ”
ด้านสถานการณ์ตลาดรถบรรทุกยุโรปในไทย จักรพงษ์เปิดเผยว่า 7 เดือนแรกปีนี้ค่อนข้างหนัก ยอดขายลดลงไปแล้ว 35% เทียบกับปี’62 เนื่องจากโรคระบาด COVID-19 คาดว่าจนถึงสิ้นปีนี้น่าจะมียอดขายทั้งตลาดเพียง 400-450 คัน ต่อเนื่องถึงปี 2564 มองว่ายอดขายอาจจะยังไม่กลับมาเป็นปกติ ทั้งตลาดน่าจะทำได้ประมาณ 500 คัน
แม้ตลาดช่วงเปิดตัวไม่ค่อยเป็นใจนัก แต่บริษัทก็ไม่ได้ชะลอแผน เพราะมองว่าระยะยาวตลาดรถยุโรปน่าจะมีโอกาสกินส่วนแบ่งรถญี่ปุ่นมากขึ้น เนื่องจากระบบโลจิสติกส์ในประเทศจะต้องการ “ความแม่นยำ” สูงขึ้น ต้อง “เร็ว” และ “ตรงเวลา” ขณะที่รถบรรทุกญี่ปุ่นจะทนทานน้อยกว่าเสียบ่อยกว่า และถ้าใช้ระบบแก๊สจะต้องต่อแถวรอเติมแก๊สนาน ทำให้ควบคุมความแม่นยำได้ยาก
อีกส่วนหนึ่งคือ มาตรฐานไอเสียรถยนต์ ปัจจุบันประเทศไทยยังกำหนดมาตรฐานที่ EURO 3 แต่ต่อไปน่าจะต้องขยับขึ้นไปจนถึง EURO 4,5 และ 6 เหมือนกับประเทศเพื่อนบ้าน ยกตัวอย่างในประเทศเวียดนามมีการขยับมาตรฐานไปที่ EURO 4 แล้ว รถที่มีคุณภาพมาตรฐานไอเสียสูงขึ้น ราคาของรถยุโรปกับญี่ปุ่นก็จะใกล้เคียงกันมากขึ้น ทำให้รถญี่ปุ่นได้เปรียบเรื่องราคาน้อยลง
“ปัจจุบันอุตสาหกรรมที่จะเลือกรถบรรทุกยุโรป มักจะเป็นกลุ่มบริษัทที่ได้สัญญาวิ่งงานทางไกลระยะยาว 3-5 ปี ทำให้การลงทุนรถยุโรปคุ้มกว่า รวมไปถึงอุตสาหกรรมที่ต้องขนส่งสินค้ามีราคา ต้องตรงเวลา และละเอียดอ่อน เช่น ผักผลไม้เกรดดีที่ขนส่งเข้าซูเปอร์มาร์เก็ต และสุดท้ายคือกลุ่มงานพิเศษ ขนสินค้าราคาสูง เช่น เครื่องจักรหนัก หม้อแปลงไฟฟ้า เสาเข็ม ตอม่อ เป็นต้น” จักรพงษ์กล่าว
]]>ล่าสุด Waymo บริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับของ Alphabet (บริษัทเเม่ของ Google) ประกาศจะเริ่มนำมินิแวน “Chrysler Pacifica” และรถบรรทุกไร้คนขับ ออกวิ่งบนถถนนจริงในรัฐเท็กซัสและรัฐนิวเม็กซิโก เพื่อทดสอบความพร้อมที่จะนำรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติมาให้บริการเชิงพาณิชย์ในอนาคต
โดย Waymo จะให้รถมินิแวน Chrysler Pacifica ได้ลองเรียนรู้สภาพถนนเเละสภาพแวดล้อมต่างๆ เพื่อสร้างแผนที่ถนนที่ใช้สัญจรจริงขึ้นมา ซึ่งรถไร้คนขับเหล่านี้ส่วนใหญ่จะวิ่งอยู่โซนระหว่างรัฐเเละเมืองต่างๆ เช่น เมือง El Paso, Dallas เเละ Houston เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการทดสอบก็ยังจะมีคนขับรถคอยควบคุมความปลอดภัยอยู่ด้วย
This week, we’ll start driving our Chrysler Pacificas and long-haul trucks in Texas and New Mexico. These are interesting and promising commercial routes, and we’ll be using our vehicles to explore how the Waymo Driver might be able to create new transportation solutions. pic.twitter.com/uDqKDrGR9b
— Waymo (@Waymo) January 23, 2020
ก่อนหน้านี้ บริษัทได้ทำการทดสอบรถบรรทุกไร้คนขับในรัฐแอริโซนา แคลิฟอร์เนีย และจอร์เจียมาเเล้ว ด้วยการที่เท็กซัสนั้นมี “ปริมาณการขนส่งสินค้าสูงมาก” ก็ทำให้ทางภาครัฐยินดีตอบรับการทดลองยานพาหนะขับเคลื่อนอัตโนมัติดังกล่าว
ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา Waymo เปิดเผยว่า บริษัทมีการทดสอบให้รถยนต์ไร้คนขับวิ่งบนท้องถนนไปแล้ว รวมระยะทางกว่า 32.2 ล้านกิโลเมตร นับตั้งแต่เริ่มโครงการพัฒนาเมื่อปี 2009
คงต้องรออีกสักพักกว่าจะได้เห็นเหล่า “รถบรรทุกขับเคลื่อนอัตโนมัติ” เริ่มขนส่งสินค้าได้จริงทั่วอเมริกา ด้วยความที่การขนส่งสินค้าภายในประเทศนั้นใช้รถบรรทุกเป็นหลักกว่า 70% จึงเป็นโอกาสทองของบริษัทผู้นำขออุตสาหกรรมยานยนต์ไร้คนขับอย่าง Waymo, Uber และ Tesla ที่จะพัฒนารถบรรทุกขับเคลื่อนอัตโนมัติออกมาตีตลาด
]]>