สัตว์เลี้ยง – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 16 Apr 2024 09:49:21 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 กรุงเทพประกันภัย เตรียมส่ง 5 ผลิตภัณฑ์ประกันตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้า ตั้งเป้าเบี้ยประกันปี 2024 ที่ 32,500 ล้านบาท https://positioningmag.com/1470117 Sun, 14 Apr 2024 08:27:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470117 กรุงเทพประกันภัย ประกาศแผนธุรกิจในปี 2024 โดยเตรียมส่งผล 5 ผลิตภัณฑ์ประกันตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้า ขณะเดียวกันคาดว่าเบี้ยประกันในปีนี้จะเติบโตถึง 32,500 ล้านบาท แต่ก็ยังมองว่าการเติบโตเบี้ยประกันของบริษัทนั้นเติบโตมากกว่าตลาดในปีนี้ได้

อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI ได้กล่าวถึงแผนธุรกิจในปีที่ผ่านมาว่าบริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรวมเติบโต 12.1% ถือว่าเติบโตเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม แม้ว่าในปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมจะเติบโตแค่ 4.1% ก็ตาม

ผลการดำเนินงานของกรุงเทพประกันภัยในปี 2023 ที่ผ่านมา บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 29,915.7 ล้านบาท และมีผลกำไรสุทธิ 3,043.8 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นกำไรสูงที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเป็นต้นมา

สำหรับแนวโน้มของธุรกิจประกันวินาศภัยในปี 2024 สมาคมประกันวินาศภัยไทยประเมินว่าจะมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงเติบโต 5-6% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นจากปี 2023 ที่ผ่านมา

สาเหตุสำคัญมาจากประกันภัยสุขภาพที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นักท่องเที่ยวต่างชาติ และชาวไทยที่เดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ

ในส่วนของประกันภัยภาคอสังหาริมทรัพย์ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้เปิดโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่มีรายได้สูงมากขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตราการถูกปฏิเสธสินเชื่อน้อยกว่า ทำให้มูลค่าที่อยู่อาศัยต่อหน่วยที่เข้าสู่ระบบประกันภัยปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลบวกต่อเนื่องไปยังเบี้ยประกันอัคคีภัย แม้ว่าตลาดอสังหาฯ จะได้รับผลกระทบจากหนี้ครัวเรือนและอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับสูงจนส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคก็ตาม

ทางด้านประกันภัยรถยนต์นั้น แม้ยอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่โดยรวมจะมีแนวโน้มหดตัวลงต่อเนื่องจากปีที่แล้ว แต่ในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) คาดว่าจะยังคงเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งรถยนต์ EV มีอัตราเบี้ยประกันภัยโดยเฉลี่ยที่สูงกว่ารถยนต์ใช้เชื้อเพลิง ส่งผลให้ปริมาณเบี้ยประกันภัยรถยนต์โดยรวมน่าจะยังคงเติบโตได้ อย่างไรก็ดีผู้บริหารสูงสุดของ BKI กล่าวว่าเบี้ยประกันภัย EV ของบริษัทยังถือว่าสูงเมื่อเทียบกับเจ้าอื่นๆ

ขณะที่การเติบโตของเบี้ยประกันภัยของกรุงเทพประกันชีวิตนั้นคาดว่าจะเติบโตได้ 8% ในปีนี้ ประธานคณะผู้บริหารของ BKI ชี้ว่าบริษัทจะต้องคิดเรื่องเติบโตควบคู่กับความสามารถในการทำประกันภัยด้วย และมองว่าเป้าตัวเลขดังกล่าวถือว่าเติบโตพอประมาณ

โดยบริษัทเตรียมที่จะส่งประกันภัย 5 รูปแบบออกสู่ท้องตลาด ได้แก่

  1. ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1 อุ่นใจวัยเก๋า โดยบริษัทฯ ได้พัฒนาแผนประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1 อุ่นใจวัยเก๋า เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าวัย 55 – 75 ปี ที่ชื่นชอบขับรถด้วยตนเอง นอกจากจะได้รับความคุ้มครองประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 แล้ว ยังเพิ่มเติมความคุ้มครองอื่นๆ เช่น เงินชดเชยในกรณีทำกายภาพบำบัด ฯลฯ
  2. ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1 เพิ่มความคุ้มครองสัตว์เลี้ยง (สุนัขและแมว) โดยไม่เพิ่มเบี้ยประกันภัย บริษัทได้เห็นเทรนด์การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเพิ่มมากขึ้น เสมือนเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวที่ต้องทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันมากขึ้น โดยจะมีความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลของสัตว์เลี้ยง (สุนัขและแมว) ที่อยู่ภายในรถยนต์เมื่อเกิดอุบัติเหตุจากการชน 10,000 บาท/ตัว/ครั้ง และกรณีเสียชีวิตจะได้รับความคุ้มครอง 10,000 บาท/ตัว/ครั้ง
  3. ประกันภัยสุขภาพ (เพิ่มความคุ้มครองจิตเวช) ประกันดังกล่าวจะมีการเพิ่มความคุ้มครอง เช่น การตรวจรักษาอาการหรือโรคที่เกี่ยวเนื่องกับภาวะทางจิตใจ โดยมีแผนประกันที่เหมาะกับความต้องการลูกค้าแต่ละราย โดย ประธานคณะผู้บริหารของ BKI ชี้ว่าปัญหาซึมเศร้าเป็นปัญหาระดับชาติ ส่งผลต่อบุคลากรของประเทศไม่น้อย
  4. ประกันภัยสุขภาพ ผ่าน Telemedicine ในแผนประกันภัยสุขภาพดังกล่าวจะเป็นการปรึกษาแพทย์ทางออนไลน์ ผ่านแอปพลิเคชัน Clicknic ที่รองรับถึง 55 อาการของโรคที่สามารถรับคำปรึกษาจากแพทย์ทางไกลได้ เช่น ปวดท้อง ท้องเสีย มีไข้ เจ็บคอ ผื่นคัน ตาเจ็บ ฯลฯ พร้อมช่วยลดความกังวลด้วยบริการจัดส่งยาให้ถึงบ้านภายใน 1 ชั่วโมงสำหรับในเขตกรุงเทพฯ และจะรองรับถึงอาการหรือโรคที่เกี่ยวเนื่องกับภาวะทางจิตใจในภายหลังด้วย
  5. ประกันภัยสำหรับคอนโด บริษัทได้มองเห็นโอกาสเนื่องจากผู้คนอยู่อาศัยภายในคอนโดมิเนียมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บริษัทฯ จึงได้พัฒนาแผนประกันภัยสำหรับคอนโดให้ความคุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สินภายในคอนโดมิเนียมอันมีสาเหตุจากไฟไหม้ ฟ้าผ่า ระเบิด ภัยเนื่องจากน้ำ ภัยจากลมพายุ ลูกเห็บ หรือน้ำท่วม รวมถึงคุ้มครองความสูญเสียหรือความเสียหายต่อ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เกิดเหตุภายในคอนโดมิเนียม และยังครอบคลุมถึง ความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก เช่น กรณีน้ำรั่วซึมไปยังห้องอื่นๆ จนเกิดความเสียหาย ฯลฯ

อภิสิทธิ์ ได้กล่าวว่าผลิตภัณฑ์ประกันข้างต้นที่จะมีการเปิดตัวในปีนี้นั้นได้พัฒนาจากปัญหาที่เกิดขึ้นของลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์เปลี่ยนไป ขณะเดียวกันในกรณีของธุรกิจประกันภัยนั้นจะมองแต่เรื่องกำไรอย่างเดียวไม่ได้ เพราะความเสี่ยงนั้นเกิดเมื่อไหร่ก็ได้

สำหรับการปรับโครงสร้างบริษัทไปเป็น ‘โฮลดิ้ง คอมพานี’ นั้นเขามองว่าการขยายไปยังธุรกิจอื่นๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง และดูว่าลงทุนอะไรนั้นคุ้มค่าหรือไม่

เป้าหมายการเติบโตในปี 2024 นี้กรุงเทพประกันภัยวางเป้าเบี้ยประกันอยู่ที่ 32,500 ล้านบาท

]]>
1470117
เปิดเทรนด์ “ทาสแมว” มาแรงเพราะคอนโดฯ “โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ” เดินกลยุทธ์​โตด้วย “M&A” https://positioningmag.com/1441461 Thu, 17 Aug 2023 09:05:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1441461
  • ตลาดสินค้า “สัตว์เลี้ยง” พุ่งช่วงโควิด-19 เติบโต 16% หลังคนเลี้ยงสัตว์แก้เหงาช่วงล็อกดาวน์
  • “โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ” หนึ่งในผู้เล่นใหญ่ในกลุ่มโรงพยาบาลเอกชน ชี้เทรนด์ “ทาสแมว” มาแรงมากเพราะคนอาศัยในคอนโดฯ มากขึ้น
  • กระแสเลี้ยงสัตว์ยังเป็นขาขึ้น ทำให้ รพส.ทองหล่อ เร่งขยายสาขาต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมกลยุทธ์ M&A ควบรวมหรือร่วมทุนในโรงพยาบาลสัตว์เลี้ยงที่มีศักยภาพ
  • ยุคนี้หันไปทางไหนก็เจอป้าย ‘pet-friendly’ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร โรงแรม ศูนย์การค้า หรือแม้แต่คอนโดมิเนียม ต่างปรับตัวมาเป็นสถานที่ที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง เพราะวันนี้ใครๆ ก็เป็น “ทาสหมา” หรือ “ทาสแมว” กันทั้งนั้น

    สพ.ญ.กฤติกา ชัยสุพัฒนากุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ จำกัด อธิบายปรากฏการณ์ในยุคนี้ว่าเป็นยุคแห่ง “Pet Humanization” หรือ การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเสมือนเป็นคนในครอบครัว สัตว์เลี้ยงไม่ใช่แค่สัตว์ แต่หลายคนรักเหมือนลูก จึงต้องการให้สิ่งที่ดีที่สุดกับน้องหมาน้องแมว เจ้าของพร้อมที่จะใช้จ่ายเต็มที่ทั้งอาหาร อุปกรณ์ เสื้อผ้า และการรักษาโรค

    โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ
    สพ.ญ.กฤติกา ชัยสุพัฒนากุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ จำกัด

    ยิ่งในช่วงโควิด-19 ระหว่างปี 2563-2565 เป็นช่วงที่ตลาดสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงเติบโตสวนทางเศรษฐกิจ โดยโตเฉลี่ย 16% ต่อปี เทียบกับก่อนหน้าโควิด-19 โตเฉลี่ย 8-10% ต่อปี เป็นเพราะช่วงล็อกดาวน์ มีเจ้าของใหม่รับเลี้ยงสัตว์เลี้ยงกันมากขึ้น รวมถึงเจ้าของเก่ามีเวลาอยู่กับสัตว์เลี้ยง จึงพบรอยโรคที่ต้องรักษา และซื้อสินค้าอาหารต่างๆ ให้น้องหมาน้องแมว

    ตลาดสินค้าและบริการเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง (Pet Care) เมื่อปี 2565 จึงเติบโตขึ้นเป็น 50,000 ล้านบาท และ Euromonitor คาดว่าปี 2566 นี้จะโตต่อเนื่องอีก 10% เป็น 55,000 ล้านบาท

     

    “ทาสแมว” มาแรงเพราะอยู่คอนโดฯ

    สำหรับเทรนด์ในช่วงหลายปีมานี้ คือการเติบโตของบรรดา “ทาสแมว” โดย สพ.ญ.กฤติกากล่าวว่า ในอดีตโรงพยาบาลจะมีลูกค้าส่วนใหญ่ 80% เป็นสุนัข 15% แมว และ 5% กลุ่มสัตว์เอ็กซอติก เช่น นก เต่า กระต่าย

    แต่ปัจจุบันสัดส่วนเปลี่ยนไปมากเพราะมีคนเลี้ยงแมวเพิ่มขึ้น 55% เป็นสุนัข 40% แมว และ 5% กลุ่มสัตว์เอ็กซอติก

    ทาสแมว

    เหตุที่แมวได้รับความนิยมมาก เพราะไลฟ์สไตล์คนเปลี่ยนไปอยู่อาศัยใน “คอนโดฯ” ซึ่งเหมาะกับการเลี้ยงแมวมากกว่าสุนัข เพราะแมวไม่ค่อยส่งเสียงดัง ไม่ต้องใช้พื้นที่พาออกกำลังกายหรือขับถ่าย และแมวติดคนน้อยกว่า เหมาะกับชีวิตคนหนุ่มสาวที่ไม่ค่อยอยู่บ้าน

    เมื่อเทรนด์เปลี่ยน ทำให้โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อมีการปรับตัว เกือบทุกสาขาที่มี 18 สาขาขณะนี้มีการปรับแยกโซน “Cat Zone” ออกมาโดยเฉพาะ โดย 90% ได้รับการรับรองว่าปรับพื้นที่ให้เหมาะกับแมวแล้ว เช่น การใช้ไฟไม่แสบตาแมว, อุณหภูมิห้องเหมาะสม, โซนเงียบเพื่อให้แมวไม่ตกใจกลัว รวมถึงโรงพยาบาลรับสมัครสัตวแพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางโรคแมวมาประจำสาขา

     

    แผน 5 ปีขยายสาขาไทยและเวียดนาม

    สพ.ญ.กฤติกากล่าวต่อถึงแผนการขยายธุรกิจโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ ปี 2566-2567 จะมีการเปิดสาขาใหม่เพิ่ม 2 สาขา คือ สาขาประชาชื่น เปิดเดือนสิงหาคมนี้ และสาขาเชียงใหม่ แอร์พอร์ต ช่วงต้นปี 2567 ใช้งบลงทุนรวมประมาณ 200 ล้านบาท

    ขณะที่แผนอนาคตอีก 5 ปีจากนี้ โรงพยาบาลฯ วางเป้าเปิดสาขาของโรงพยาบาลฯ เองแบ่งเป็นในประเทศไทยปีละ 1-2 สาขา และเวียดนามปีละ 1 สาขา

    โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ
    บรรยากาศใน Thonglor Bangkok Pet Hospital สาขาโฮจิมินห์

    ทั้งนี้ ในเวียดนามเป็นโครงการร่วมทุนกับ Greenpet JSC กลุ่มทุนด้านวงการยาและอาหารสัตว์เวียดนาม โดยฝั่ง Greenpet JSC ลงทุน 60% และโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อลงทุน 40% เปิดสาขาแรกที่โฮจิมินห์ซิตี้ไปเมื่อเดือนธันวาคม 2565 และบริษัทจอยต์เวนเจอร์นี้ตั้งเป้าจะเปิดโรงพยาบาลสัตว์ให้ครบ 8 สาขาในเวียดนาม

     

    M&A โรงพยาบาลสัตว์ศักยภาพสูง

    ในตลาดประเทศไทย นอกจากจะเปิดสาขาภายใต้ชื่อโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อเองแล้ว สพ.ญ.กฤติกากล่าวว่าโรงพยาบาลฯ ยังมีกลยุทธ์​ M&A กับโรงพยาบาลหรือคลินิกสัตว์เลี้ยงที่มีศักยภาพอื่นด้วย ที่ผ่านมามีการ M&A แล้ว 2 แห่ง คือ โรงพยาบาลสัตว์ฉลองภูเก็ต จ.ภูเก็ต กับ โรงพยาบาลสัตว์กรุงศรี จ.อยุธยา

    “M&A เป็นโอกาสที่ดีเพราะบางโรงพยาบาลในพื้นที่อาจจะทำจนมาถึงจุดที่ตันๆ เขาจะดึงเราเข้าไปดูว่าเราจะช่วยตอบโจทย์อะไรได้บ้าง” สพ.ญ.กฤติกากล่าว “เราไม่ได้ทำตรงนี้เพื่อจะหารายได้อย่างเดียว แต่เราต้องการไปช่วยพัฒนามาตรฐาน ทำให้โรงพยาบาลสามารถรักษาโรคเฉพาะทางได้มากขึ้น รวมถึงมีระบบหลังบ้านที่ดีขึ้น ทำให้ลดต้นทุนลงได้ อย่างโรงพยาบาลสัตว์ฉลองภูเก็ต หลังร่วมทุนกัน 5 ปี ปัจจุบันกำไรเขาเพิ่มขึ้น 2.5 เท่า”

    โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อวางแผนจากนี้น่าจะมีการ M&A ปีละ 3 แห่ง โดยเป็นการร่วมทุนที่โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อถือหุ้นข้างน้อย 49% ทำให้ผู้ร่วมทุนยังมีความเป็นเจ้าของและไม่ต้องเปลี่ยนชื่อโรงพยาบาล มีการวางงบสำหรับการลงทุนส่วนนี้ไว้ 10-15 ล้านบาทต่อแห่ง และขณะนี้มีคู่เจรจาแล้ว 6-7 ราย

    เมื่อปี 2565 โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อทำรายได้ 1,143 ล้านบาท กำไรสุทธิ 134 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 18% ปี 2566 นี้ยังคาดหวังว่าจะเติบโตต่อเนื่อง 15-20% เพราะกระแสคนรักสัตว์ยัง พร้อมเปย์มากขึ้นเรื่อยๆ

    ]]>
    1441461
    รู้จัก ‘อารักษ์’ โรงพยาบาลสัตว์น้องใหม่ที่เกิดมาจากคำถาม “ทำไมการรักษาสัตว์ไม่ดีเท่าคน” https://positioningmag.com/1435116 Thu, 22 Jun 2023 10:08:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1435116 คงไม่ต้องบอกว่าช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เทรนด์การมี สัตว์เลี้ยง ในไทยเติบโตมากขนาดไหน เพราะขนาดบริษัท RS ของ เฮียฮ้อ ยังหันมาทำผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง Lifemate และอีกสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า คนในปัจจุบัน เลี้ยงสัตว์เหมือนลูก ก็คือการที่ห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ เป็น Pet-Friendly หรือสามารถพาสัตว์เลี้ยงเข้าไปได้ ขนาด เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ก็ยังเปิด โรงภาพยนตร์สำหรับหมา-แมว ก็ยิ่งย้ำให้เห็นว่า สัตว์เลี้ยงเป็น ส่วนหนึ่งของครอบครัว ของคนไปแล้ว

    การรักษาก็ต้องดีเหมือนรักษาคน

    ตลาดสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยมีมูลค่าสูงถึ63,000 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนของ ธุรกิจสุขภาพสัตว์เลี้ยง 32.5% คิดเป็นมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท โดยการจดทะเบียนจัดตั้งโรงพยาบาลหรือคลินิกรักษาสัตว์ของไทยในปีนี้คาดว่ามีอยู่ประมาณ 3,300-3,400 แห่ง เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่มีประมาณ 2,800 แห่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการเติบโตอย่างมาก

     

    อย่างไรก็ตาม ปัญหาของคลินิกหรือโรงพยาบาลสัตว์ในปัจจุบันคือ “คนรู้สึกว่าทำไมการรักษาสัตว์ไม่ดีเท่าคน” โรงพยาบาลที่รักษา เฉพาะทาง ก็มีไม่มาก ด้วยเพนพอยต์ดังกล่าวทำให้สัตวแพทย์หญิงที่คว่ำวอดอยู่ในวงการกว่า 19 ปี อย่าง สพ.ญ. ทัศวรินทร์ กาญจนฉายา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อารักษ์ แอนิมัล เฮลท์แคร์ จำกัด ใช้เวลาวางแผนประมาณ 1 ปีเพื่อเปิดโรงพยาบาลสัตว์ อารักษ์ (Arak)

    ซึ่งจุดเด่นของ อารักษ์ คือ ให้บริการด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ใกล้เคียงกับการรักษาในคน มี ทีมสัตวแพทย์เฉพาะทาง​ เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่ม Pet parents ที่ ดูแลสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัว

    “เราตั้งชื่อว่า อารักษ์ เพื่อสื่อถึงการปกป้อง ดูแล คุ้มครองให้ปลอดภัย โดยมีโพซิชันนิ่งคือ การรักษาแบบแอดวานซ์เมดิคอลเซ็นเตอร์ หมอแต่ละคนเป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน เพราะคนสมัยนี้เขาไม่ได้มองสัตว์เลี้ยงเป็นแค่สัตว์เลี้ยง แต่มองเป็นคนในครอบครัว เวลาพาไปหาหมอเขาก็มักจะมีความรู้สึกว่า ทำไมการรักษาสัตว์ไม่ดีเท่าคน”

    สพ.ญ. ทัศวรินทร์ กาญจนฉายา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อารักษ์ แอนิมัล เฮลท์แคร์ จำกัด

    หลังสวน ไพรม์แอเรียไร้คู่แข่ง

    สำหรับโรงพยาบาลสัตว์อารักษ์ สาขาแรกแรกใช้งบลงทุน 40 ล้านบาท ตั้งอยู่บน ถนนหลังสวน ย่านชิดลม เป็น อาคาร 4 ชั้น มีพื้นที่ 700 ตารางเมตร รวม 7 ห้องตรวจ มีสัตวแพทย์ 20 คน โดย สพ.ญ. ทัศวรินทร์ อธิบายว่า ที่เลือกโลเคชั่นดังกล่าวเป็นเพราะเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยใจกลางเมือง นอกจากนี้ ยังไม่มีโรงพยาบาลสัตว์หรือคลินิกในรัศมี 8 กิโลเมตร

    ทั้งนี้ โรงพยาบาลสัตว์อารักษ์ให้บริการดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงเชิงป้องกันแบบองค์รวม ทั้งแบบ Health และ Non-Health ได้แก่

    • Health – การให้บริการดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงเชิงป้องกันแบบองค์รวม ตรวจรักษาสัตว์ เลี้ยงทั่วไป บริการคลินิกพิเศษเฉพาะด้านและศูนย์ศัลยกรรม โดยทีมสัตวแพทย์ที่มีประสบการณ์ ด้วยการรักษาแบบบูรณาการ ร่วมกับเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัย บริการฝากดูแลรักษาสัตว์ป่วยใน (IPD) โดยแยกพื้นที่ของสุนัขกับแมว และบริการฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง โดยโรงพยาบาลสัตว์อารักษ์มีเป้าหมายที่จะเป็นศูนย์รักษาโรคตาที่ดีที่สุด ครอบคลุมตั้งแต่การรักษาทางยา ไปจนถึงการผ่าตัดทั้งโครงสร้างภายนอกและภายในลูกตา ร่วมทั้งมีการใช้เลเซอร์รักษาโรคตาในสัตว์เลี้ยง

    • Non-Health – บริการสำหรับสัตว์เลี้ยงที่ไม่ป่วยด้วยบริการที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์และส่งเสริมคุณภาพชีวิตสัตว์เลี้ยงได้แก่ Pet shop อาบน้ำตัดขน สปาสัตว์เลี้ยง รับฝากสัตว์เลี้ยงทั้งแบบดูแลระหว่างวัน และฝากค้างคืนโรงแรมสัตว์เลี้ยง เป็นต้น

    “เรื่องการแข่งขันมันพูดยาก เพราะมีหลายปัจจัยประกอบกัน ทั้งเรื่องของโลเคชั่น ราคา แล้วแต่โพซิชั่น โดยโพซิชั่นนิ่งคือเราคือ เป็นโรงพยาบาลที่รักษาแบบแอดวานซ์ หมอแต่ละคนเป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน แต่ไม่ได้แพงมาก เพราะเราอยากให้คนเข้าถึงได้ โดยสามารถมาขอคำปรึกษา มาขอข้อมูลได้แม้ไม่ใช่ลูกค้า เพราะเราอยากให้เขารู้สึกว่าแบรนด์เราเป็นมิตร”

    ไม่หยุดแค่สาขาเดียว

    สำหรับเป้าหมายของโรงพยาบาลสัตว์อารักษ์ สาขาหลังสวน คาดว่าจะมีผู้ใช้ไม่ต่ำกว่า 3,500 ราย ภายในปีนี้ อย่างไรก็ตาม สาขาหลังสวนเป็นแค่จุดเริ่มต้น โดย สพ.ญ. ทัศวรินทร์ กล่าวว่า จะเปิดที่ ทองหล่อ เป็นโรงพยาบาลสัตว์ที่ครบวงจร ซึ่งจะใช้เงินลงทุนถึง 130-140 ล้านบาท มีพื้นที่ใช้สอย 4,000 ตารางเมตร มีห้องตรวจรวม 20 ห้อง คาดว่าเฟสแรกจะเสร็จในช่วงต้นเดือนมกราคมปีหน้า และครบทุกเฟสในช่วงกลางปี และ ภายใน 5-6 ปี ข้างหน้า วางเป้าว่าจะเปิดในกรุงเทพฯ เป็น 5 สาขา และในต่างจังหวัดอีก 3 สาขา 

    “สาขาทองหล่อจะรองรับการให้บริการต่าง ๆ เช่นเดียวกับที่สาขาหลังสวน แต่จะเพิ่มโซน Arak Space ให้บริการที่หลากหลายมากขึ้น อาทิ บริการส่งสัตว์เลี้ยงไปต่างประเทศ โซน Pet Friendly Café และโซน Arak Park & Swimming pool สำหรับสัตว์เลี้ยง เพื่อสร้างประสบการณ์ให้เป็นศูนย์รวมการดูแลรักษาสุขภาพสัตว์เลี้ยง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้ของคนรักสัตว์”

    จำนวนสัตวแพยท์ยังไม่เพียงพอ

    สพ.ญ. ทัศวรินทร์ ทิ้งท้ายว่า ความท้าทายของการเปิดโรงพยาบาลสัตว์อยู่ที่ จำนวนสัตวแพทย์ ที่ยังไม่เพียงพอ และส่วนใหญ่ยังกระจุกตัวแค่ในกรุงเทพฯ และสำหรับผู้ที่สนใจจะเลี้ยงสัตว์ แนะนำว่าควรต้องศึกษาเกี่ยวกับนิสัย โรคพันธุกรรม ควรมีเวลาและเลี้ยงระบบปิด นอกจากนี้ ยังต้องใช้เงินอีกด้วย โดยปัจจุบัน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยการเลี้ยงสัตว์ต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 2,300 บาท

    ]]>
    1435116
    อ่านเกม ‘โรงหนังสัตว์เลี้ยง’ ของ ‘เมเจอร์ฯ’ กับการปลุกเหล่า ‘ทาส’ ออกจากบ้านเข้าโรงหนัง https://positioningmag.com/1432673 Wed, 31 May 2023 11:58:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1432673 ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันเทรนด์ สัตว์เลี้ยง เป็นอะไรที่น่าจับตามอง เพราะแค่ตลาดอาหารสัตว์ก็มีมูลค่ามากถึง 5 หมื่นล้านบาท เติบโต 10-12% ต่อปี ซึ่งถือว่าเติบโตมากกว่าตลาดโลก ที่น่าสนใจคือ ธุรกิจที่ไม่น่าเกี่ยวข้องอะไรกับสัตว์เลี้ยงเลยอย่าง เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ก็ยังหาช่องในการเปิด i-Tail Pet Cinema โรงภาพยนตร์ที่ให้เหล่าทาสพาสัตว์เลี้ยงมาร่วมรับชมภาพยนตร์ได้

    อุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ยังไม่ฟื้น 100%

    แม้ว่าสถานการณ์ของโควิดจะคลี่คลายจนคนกลับมาใช้ชีวิตเกือบปกติแล้ว แต่อุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ที่ได้ผลกระทบแบบเต็ม ๆ ก็ยังไม่ฟื้น 100% เนื่องจากจำนวนภาพยนตร์ที่ลดลง เพราะช่วงที่เกิดการระบาดทำให้ไม่สามารถถ่ายทำภาพยนตร์ได้ อย่างไรก็ตาม ในปี 2023 นี้ปริมาณภาพยนตร์ก็เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ 30%

    สำหรับเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์เองก็คาดหวังว่าปีนี้บริษัทจะทำรายได้ให้ใกล้เคียงกับปี 2019 หรือราว 10,000 ล้านบาท โดยเมื่อเทียบช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้กับปี 2019 พบว่ารายได้กลับมาประมาณ 85% โดยสัญญาณเริ่มดีขึ้นในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งจะเห็นว่า รายได้ของอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์นั้นต้องพึ่งพาหน้าหนังที่จะดึงผู้ชมเป็นหลัก แต่เมเจอร์ฯ ไม่ขออยู่เฉย โดยเลือกที่จะหาลูกค้ากลุ่มใหม่ที่ ไม่ค่อยเข้าโรงภาพยนตร์ อย่าง เหล่าทาสที่มีสัตว์เลี้ยงต้องคอยดูแล

    เติมเต็มโรงรอบเช้าด้วยโรงพิเศษ

    โดยปกติแล้ว รอบฉายภาพยนตร์ในช่วงเช้าจะเป็นช่วงที่มีผู้ชมน้อยสุด โดยช่วงพีคสุดจะเป็นรอบกลางวัน-เย็น โดยเฉพาะในวันเสาร์-อาทิตย์ ดังนั้น การเติมที่ว่าง ในรอบดังกล่าวนั่นหมายถึง รายได้ที่เพิ่มขึ้น 

    ย้อนไปปี 2562 ทางเมเจอร์ฯ​ ก็ได้เปิดโรงภาพยนตร์ Kids Cinema ขึ้น โดยจัดรอบเช้าสุดของวันเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งในปีแรกที่เปิดตัวมีการขายตั๋วเด็กถึง 1 ล้านใบ รวมกับครอบครัวที่มาด้วยเป็น 3 ล้านใบ เลยทีเดียว โดยปัจจุบันโรง Kids Cinema ก็ได้เปิดไปเเล้วถึง 12 สาขา

    สัตว์เลี้ยงทุกวันนี้ก็เหมือนลูก

    ที่น่าสนใจคือ พฤติกรรมที่กลุ่มผู้ปกครองกับกลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์มีเหมือนกันก็คือ ความเกรงใจ ซึ่งนั่นทำให้คนกลุ่มนี้เลือกที่จะไม่เข้าโรงภาพยนตร์ เพราะกลัวลูก ๆ อาจสร้างความรำคาญใจให้กับผู้รับชมอื่น ๆ เช่นเดียวกันกับกลุ่มคนที่เลี้ยงสัตว์ที่ปัจจุบันเลี้ยงสัตว์เลี้ยงไม่ต่างจากลูก โดยเหล่าทาสนั้นไม่อยากจะปล่อยสัตว์เลี้ยงไว้ที่บ้านตัวเดียวนาน ๆ เลยเลือกที่จะอยู่แต่บ้านมากกว่าออกไปทำกิจกรรมที่ใช้เวลา ดังนั้น คนกลุ่มนี้จึงแทบไม่ได้เข้าโรงภาพยนตร์ ทำให้การเปิดโรงภาพยนตร์ที่เปิดให้พาสัตว์เลี้ยงมารับชมได้ก็ยิ่งช่วยเติมที่ว่างในรอบฉายช่วงเช้า

    จริง ๆ แล้ว การเปิดโรงภาพยนตร์ให้สัตว์เลี้ยงเข้ามารับชมร่วมกับผู้เลี้ยงไม่ได้เพิ่งมี แต่ทางเมเจอร์ฯ ระบุว่า ก่อนหน้านี้เคยมีกลุ่มคนที่เลี้ยงสัตว์ได้เคยรวมตัวกันเหมาโรงภาพยนตร์แล้วพาสัตว์เลี้ยงมารับชมภาพยนตร์ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่เมเจอร์ฯ จะตัดสินใจเปิด i-Tail Pet Cinema เพราะยังไงก็มีดีมานด์

    “4-5 ปีที่เขาเริ่มเลี้ยงสัตว์ทำให้เขาแทบไม่ได้เข้าโรงหนังเลย เพราะอยากไปดูแต่ไม่อยากทิ้งไว้ที่บ้าน นี่ก็จะตอบโจทย์นรุตม์ เจียรสนอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป กล่าว

    ได้สปอนเซอร์เพิ่ม

    จากความสำเร็จของ Kids Cinema ทำให้ทางเมเจอร์ได้มีพันธมิตรเข้ามาเป็นสปอนเซอร์ อย่าง โคโดโม และ ลาซาด้า ซึ่งมีลูกค้าเป็นกลุ่มครอบครัวเหมือนกัน ดังนั้น การใช้ช่องทาง Kids Cinema นี้ เป็นจุดให้ลูกค้ามีประสบการณ์ร่วมกับแบรนด์มากยิ่งขึ้น

    เช่นเดียวกันกับโรง i-Tail Pet Cinema ที่ได้ ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น แบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงต่าง ๆ มาเป็นสปอนเซอร์ด้วยสัญญา 1 ปี ซึ่งมองว่าการเป็นสปอนเซอร์ให้กับเมเจอร์ฯ แบรนด์ก็จะได้พื้นที่ในการ สร้างอแวร์เนสใหม่ ๆ ที่ตรงกลุ่มเป้าหมายจริง ๆ ซึ่งถ้าลูกค้าได้มาลองใช้ผลิตภัณฑ์ก็อาจจะกลายมาเป็นลูกค้าประจำในอนาคตด้วย

    อย่างที่ระบุไปในช่วงต้นว่า เฉพาะมูลค่าตลาดอาหารสัตว์มีมูลค่าสูงถึง 5 หมื่นล้านบาท และยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเราจะเห็นแบรนด์อาหารสัตว์ใหม่ ๆ ตบเท้าเข้ามาในตลาด อย่างล่าสุด ก็มี อาร์เอส ที่เข้ามาเล่นในตลาดนี้ ดังนั้น ก็ยิ่งทำให้เมเจอร์ฯ มีโอกาสที่จะหาพันธมิตรใหม่ ๆ เข้ามาเป็นสปอนเซอร์ได้อีก

    ปัจจุบัน โรงภาพยนตร์ i-Tail Pet Cinema ได้นำร่องให้บริการเพียง 3 สาขา ได้แก่ เมกา ซีนีเพล็กซ์, อีสต์วิลล์ ซีนีเพล็กซ์ และเมเจอร์ ซีนีมา โรบินสันราชพฤกษ์ แต่ศูนย์การค้าที่เป็น Pet friendly ยังมีอีกมาก โดยเฉพาะศูนย์การค้าที่เปิดใหม่ต่างก็เป็น Pet friendly แทบทั้งหมด และแบรนด์อาหารสัตว์ก็มีอีกเพียบ ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องยากที่เมเจอร์ฯ จะขยายโรงภาพยนตร์สำหรับสัตว์เลี้ยงในอนาคต

    ]]>
    1432673
    เปิดอินไซต์ตลาด ‘สัตว์เลี้ยง’ กับโอกาสทำเงินจาก ‘ทาส’ ที่มากกว่าขายอาหาร-อาบน้ำ-ตัดขน https://positioningmag.com/1415523 Mon, 16 Jan 2023 07:45:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1415523 ปี 2022 น่าจะเป็นปีที่เห็นภาพของ ตลาดสัตว์เลี้ยง ได้อย่างชัดเจนที่สุดในแง่ของการเติบโต เพราะจะเห็นผู้เล่นรายใหญ่หน้าใหม่ตบเท้าเข้ามาในตลาดมากมาย อาทิ ‘Lifemate (ไลฟ์เมต)’ แบรนด์อาหารสัตว์ของอาร์เอส, ‘PET ‘N ME’ (เพ็ท แอนด์ มี) ร้านค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงครบวงจรของเซ็นทรัล และ Pet Us (เพ็ทอัส) ของโลตัส ยังไม่รวมถึงบริการอื่น ๆ อย่าง GrabPet (แกร็บเพ็ท) ที่ให้เจ้าของพาสัตว์เลี้ยงเดินทางได้ จากการที่แบรนด์ใหญ่เห็นโอกาส ทำให้ตลาด 40,000 ล้านบาท คาดว่าจะเติบโตเป็น 60,000 ล้านบาทได้ภายในปี 2026 เลยทีเดียว

    สาว Gen Y ตกเป็นทาสมากที่สุด

    “วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล” หรือ “CMMU” ได้ทำผลสำรวจตลาดธุรกิจสัตว์เลี้ยงในไทย โดยพบว่า ทาสส่วนใหญ่นั้นเป็น ผู้หญิง (66.8%) รองลงมาเป็น เพศชาย (22.3%) และเพศทางเลือก (10.9%) โดยเจนเนอเรชั่นที่มีมากที่สุดคือ Gen Y (77.3%) ตามด้วย Gen Z (12%) และ Gen X (10.7%) สำหรับสาเหตุที่ทำให้คนหันมาเลี้ยงสัตว์มากขึ้นมี 3 เหตุผล ได้แก่

    • เลี้ยงเป็นลูก (49%) : เกือบครึ่งของคนที่มีสัตว์เลี้ยงมองว่า เขาเลี้ยงแทนลูก เลี้ยงคลายเหงา ซึ่งสอดคล้องกับอัตราการเกิดน้อยลง แต่อัตราการเลี้ยงสัตว์มากขึ้น ขณะที่ 80% ของคนเลี้ยงสัตว์เป็นโสด
    • เลี้ยงเพื่อสถานะทางสังคม (33%) : บางคนเลือกจะเลี้ยงสัตว์เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ บ่งบอกตัวตน หรือสเตตัสทางสังคม
    • เลี้ยงเพื่อช่วยเหลือหรือเยียวยาจิตใจ (18%) : มีบางส่วนที่เลี้ยงสัตว์เพื่อบำบัด คลายเหงา คลายความเครียดจากการทำงาน ช่วยเพิ่มความสุข หรือเยี่ยวยาจิตใจผู้ป่วย ผู้สูงอายุ

    น้องหมาสัตว์เลี้ยงยอดนิยมอันดับ 1

    จากผลสำรวจพบว่า 40.4% ของกลุ่มตัวอย่างเลี้ยง สุนัข ตามด้วย น้องแมว 37.1% และอีก 22.6% เลี้ยงสัตว์ Exotic โดยสัตว์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่ ปลาสวยงาม,นก, กระต่าย, เต่า และ หนู นอกจากนี้ยังมี สัตว์เลี้ยงเฉพาะกลุ่ม โดยที่ส่วนใหญ่นิยมเลี้ยงมากที่สุดจะเป็น กิ้งก่า, ชูก้าไกลเดอร์, แมงมุม, งู และ ไก่สวยงาม

    สำหรับช่องทางที่เหล่าผู้เลี้ยงสัตว์ Exotic ใช้ในการ รับข่าวสาร คือ Facebook และ Facebook Group ส่วน ช่องทางในการหาความรู้ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการเลี้ยง ดูแลรักษาจะหาจาก YouTube แต่ถ้าเป็นช่องทางที่ใช้เพื่อ หาความบันเทิง เช่น คลิปสัตว์ตลายเคลียดจะเป็น TikTok

    ปีละ 2 หมื่นบาท ทาสจ่ายกับอะไรบ้าง

    อาหาร : โดย 4 ช่องทางที่สำคัญสุดที่เหล่าทาสใช้หาข้อมูล คือ โซเชียลมีเดีย (39.8%) เพื่อนและครอบครัว (28%) เสิร์ชเอนจิ้น (22.3%) และ โฆษณาทีวี (9.9%) สำหรับพฤติกรรมการซื้ออาหารของเหล่าทาสนั้นจะคำนึงถึงสุขภาพที่ดีของสัตว์เลี้ยง ไม่ตุนของ และไม่เปลี่ยนแบรนด์ เนื่องจากกังวลเรื่องความไม่คุ้นเคยอาจทำให้สัตว์เลี้ยงอาจไม่ทาน หรืออาจทำให้ท้องเสีย

    สำหรับปัจจัยที่จะ กระตุ้นการซื้อ ได้แก่ โปรโมชัน, ความหลากหลาย และคุณภาพ ในส่วนของ ช่องทางการซื้ออาหารสัตว์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่ ร้านขายสินค้าสัตว์เลี้ยง (34.8%) อีคอมเมิร์ซ (22.2%) ซูเปอร์มาร์เก็ต (12.4%) ไฮเปอร์มาร์เก็ต (11.8%) และคลินิกรักษาสัตว์ (8.2%) ขณะที่ความถี่ในการซื้อ กว่า 50% ซื้อมากกว่า 1 ครั้งต่อเดือน ส่วนค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1,001 – 2,000 บาทต่อเดือน

    บริการ : ไม่ว่าจะเป็นอาบน้ำตัดขน, ฝากเลี้ยง, สปานวด ฯลฯ เป็นอีกส่วนที่เหล่าทาส ใช้บริการทุกเดือน โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 1,000 – 3,000 บาทต่อครั้ง โดยบริการยอดนิยม ได้แก่ อาบน้ำตัดขน (60.1%) รับฝากเลี้ยง (25.9%) สปานวด (6.7%) บริการทำเล็บ (5.8%) ส่วน ปัจจัยในการเลือกใช้บริการ ได้แก่ ทำเลที่สะดวกต่อการเดินทาง, ความน่าเชื่อถือ, พนักงานมีจำนวนเพียงพอและเชี่ยวชาญ และชื่อเสียงของแบรนด์

    การรักษา : ในส่วนของการรักษา เหล่าทาส 43.3% เลือกที่จะรักษากับ คลินิกเอกชน ตามด้วยโรงพยาบาลสัตว์เอกชน (41.2%) และโรงพยาบาลสัตว์ของรัฐ (9.8%) โดยสาเหตุที่คลินิกเอกชนมาเป็นอันดับ 1 เพราะความเชื่อมั่น ทำเล เวลายืดหยุ่นและชื่อเสียงคลินิก

    ยังมีอะไรที่เหล่าทาสมองหา

    นอกจากความต้องการพื้นฐานแล้ว ยังมีอีกหลายบริการที่เหล่าทาสมองหา อาทิ Pet Wellness Center บริการตรวจสุขภาพ รักษาโรค อาบน้ำ ตัดขน สปาสัตว์เลี้ยง ฝากสัตว์เลี้ยง จำหน่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสัตว์ และปรึกษาแพทย์ออนไลน์ Pet Training ฝึกนิสัยสุนัขพันธุ์ดุ คลินิกดัดนิสัยสุนัข-แมว หรือการฝึกกีฬาเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขัน

    After Death Service บริการรูปปั้นสัตว์เลี้ยงหลังเสียชีวิต สร้อยล็อกเก็ตแทนใจ หรือตุ๊กตาสุนัขเหมือนจริง นอกจากนี้ อีกสิ่งที่เหล่าทาสสัตว์ Exotic คือ คลินิกเฉพาะทางที่ยังมีจำนวนน้อย ขณะที่ผู้ขายไม่มีคำแนะนำมากพอที่จะแนะนำการเลี้ยงสัตว์ประเภทนี้

    ใช้สัตว์ช่วยขายของอย่างไรให้ได้ใจทาส

    สำหรับกลยุทธ์การตลาดที่แบรนด์เลือกใช้สัตว์เลี้ยงเข้ามาเป็นอัตลักษณ์ส่วนหนึ่งของแบรนด์ถือเป็นสิ่งที่มีมานาน แต่โฆษณาที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสอนค้าของผู้บริโภคมากที่สุดนั้นการมี สัตว์และสินค้า จะช่วยดึงดูดลูกค้าได้ดีที่สุด โดย 43.82% ของผู้ทำแบบสำรวจมองว่า สัตว์ช่วยดึงดูด เปรียบเทียบขนาดสินค้าชัดเจน และไม่ดูยัดเยียดเกินไป

    ตามมาด้วยโฆษณาที่มี สินค้าอย่างเดียว (37.08%) และสุดท้ายโฆษณาที่มี คน สัตว์ สินค้า (19.10%) แม้จะไม่ช่วยเรื่องปิดการขาย แต่ช่วยเรื่องภาพลักษณ์แบรนด์ที่ดูอบอุ่น เห็นความสัมพันธ์ ทั้งนี้ สำหรับสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคอยากเห็นสัตว์เลี้ยงในการสื่อสารการตลาด ได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภค สายการบิน เครื่องใช้ไฟฟ้า และรถยนต์

    สำหรับแบรนด์ที่กำลังมองหา Pet Influencer หรือเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ที่โด่งดังบนโซเชียลมาใช้เพื่อโปรโมตสินค้า หรือบริการ ซึ่งคอนเทนต์ที่สามารถดึงดูดคนได้มากที่สุด คือ คอนเทนต์บันเทิง ขำขัน (68%) แต่ถ้าจะใช้วิธีนี้ต้องรีวิวอย่างสร้างสรรค์ ไม่ฮาร์ดเซลล์ อีก 48% มองว่าเขาชอบดูวิดีโอคลิปสั้น ๆ และส่วนใหญ่จะติดตามไปยาว ๆ หาเพจยังรักษาคุณภาพ ไม่ขายของมากเกินไป

    สรุปกลยุทธ์มัดใจเหล่าทาสให้เปย์

    • Personalization – ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะด้าน
    • Easy Access – ความสะดวกและเข้าถึงง่าย คือ หัวใจ
    • Trustworthiness – มีคุณภาพ น่าเชื่อถือ น่าไว้วางใจ
    • Social Influence – อิทธิพลจากคนในสังคมสำคัญต่อการตัดสินใจ
    • Uniqueness – สร้างเอกลักษณ์ให้โดดเด่นและเป็นที่จดจำ
    • Mental Support – การสื่อสารโดยใช้สัตว์เพื่อคลายเครียด
    • Engagement – สร้างความผูกพันกับลูกค้าจนเกิด Loyalty
    • Rights – ให้ความสำคัญกับสิทธิของสัตว์เลี้ยง
    ]]>
    1415523
    AAI เร่งลงทุนทำอาหารสัตว์ครบวงจร รับเมกะเทรนด์สัตว์เลี้ยงเหมือนสมาชิกครอบครัว https://positioningmag.com/1403312 Wed, 05 Oct 2022 07:42:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1403312 ไม่ใช่แค่เทรนด์ธรรมดาทั่วไป แต่เป็นเมกะเทรนด์ไปแล้ว สำหรับการเป็นทาสสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะทาสหมา ทาสแมว ผู้บริโภคไม่ได้มองน้องๆ เป็นสัตว์ แต่เป็นเหมือนหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว ทำให้ได้เห็นตลาดอาหารสัตว์เติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีแบรนด์ใหม่เข้ามาบุกในตลาดอย่างต่อเนื่อง

    ตลาดอาหารสัตว์บูม

    บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI เป็นอีกหนึ่งผู้ผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง แต่เดิมมีทั้งกลุ่มอาหารสัตว์ และอาหารคน ปัจจุบันรายได้ของอาหารสัตว์ได้แซงหน้าอาหารคนไปแล้ว จึงเป็นโอกาสสำคัญในการเร่งสปีดในการเติบโต

    ตลาดผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงในปัจจุบันมีศักยภาพการเติบโตสูง อ้างอิงข้อมูลจากบทวิจัย Fortune Business Insights ที่แสดงให้เห็นว่าภาพรวมตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงของโลกในปี 2564 มีมูลค่า 1.1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ที่มีมูลค่า 8.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือเติบโตเฉลี่ยมากกว่า 8% ต่อปี และคาดการณ์ว่าแนวโน้มตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงของโลกในปี 2572 จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 1.6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปี

    AAI คาดการณ์ว่าจะบริษัทเติบโตได้ดีกว่าอุตสาหกรรม หรือได้ไม่น้อยกว่า 10% โดยมีปัจจัยหลักมาจากผู้คนให้ความนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม Millennial และ Gen Z เนื่องจากการแพร่ระบาด COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ผู้คนใช้ชีวิต และทำงานที่บ้านเพิ่มขึ้น จึงมีความนิยมเลี้ยงสัตว์เพื่อคลายความเหงา เกิดเป็นเทรนด์การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเสมือนเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัว (Pet Humanization)

    ส่งผลให้มูลค่าการขายอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงดังกล่าว อีกทั้งยังมีการจับจ่ายซื้ออาหารว่าง ขนมขบเคี้ยว ให้กับสัตว์เลี้ยงมากขึ้นอีกด้วย

    อาหารสัตว์ แซงหน้าอาหารคน

    เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง (Pet Food) และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก (Human Food) เป็นหนึ่งในบริษัทย่อย และเป็นบริษัทแกนหลัก (Flagship) ของการดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงของ กลุ่มบมจ. เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น หรือ ASIAN

    ในประเทศไทยตลาดอาหารสัตว์มีมูค่า 40,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็นอาหารสัตว์ 45% และอุปกรณ์เสริม สถานพยาบาลต่างๆ 55% โดยในกลุ่มอาหารแบ่งเป็นอาหารแห้ง 70% และอาหารเปียก 30%

    ปัจจุบันแบ่งผลิตภัณฑ์เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

    1. ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง (Pet Food) สำหรับสุนัข และแมว ครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก และผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเม็ด มีทั้งรับจ้างผลิต OEM และแบรนด์ของบริษัทเอง ประกอบด้วย มองชู (monchou) และมาเรีย (Maria) เจาะกลุ่มลูกค้าในตลาดสินค้าพรีเมียม ส่วนมองชู บาลานซ์ (monchou balanced) และฮาจิโกะ (Hajiko) เจาะกลุ่มลูกค้าในตลาดแมส และโปร (Pro) เจาะกลุ่มลูกค้าระดับอีโคโนมี
    2. ผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก (Human Food) มีทั้งในรูปแบบผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าในน้ำปรุงรส และซอสปรุงรส และผลิตภัณฑ์อาหารปรุงสุกพร้อมทาน โดยรับจ้างผลิต OEM ทั้งหมด รวมไปถึงยังจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผลพลอยได้ (By-product) จากการแปรรูปปลาทูน่า เช่น ผลิตภัณฑ์ปลาป่น ผลิตภัณฑ์น้ำนึ่งปลา และผลิตภัณฑ์น้ำมันปลา

    เอกราช พรรณสังข์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI เล่าว่า

    “AAI ก่อตั้งปี 2551 เป็นบริษัทลูกของเอเชียน แรกเริ่มทำอาหารคนก่อน พวกทูน่ากระป๋องต่างๆ มีอาหารสัตว์บ้าง จนปี 2554 เริ่มทำอาหารสัตว์มากขึ้น ตอนแรกอาหารคนมีสัดส่วน 90% และมีปี 2564 อาหารสัตว์มีสัดส่วนแซงหน้าที่ 80% แล้ว แต่เดิมธุรกิจหลักรับจ้างผลิตให้ลูกค้า หรือ OEM ก่อน และในปี 2561 เริ่มทำแบรนด์ของตัวเอง เพราะมองเห็นเทรนด์การเติบโต และมีความรู้การตลาดมากขึ้น เริ่มทำให้ครอบคลุมทั้งอาหารเปียก และอาหารแห้ง”

    AAI ได้ปรับตัวจากการเป็น OEM รับจ้างผลิตตามโจทย์ของลูกค้า มองเห็นว่ามีความได้เปรียบทั้งโรงงาน วิธีการผลิต จึงเปลี่ยนจากผู้ผลิต เป็นเจ้าของแบรนด์แทน อีกทั้งยังมีกำไรที่คงที่ด้วย

    “ตอนทำ OEM ลูกค้าก็เอาสเป็กมา ผลิตตามโจทย์ของเขา ได้มีเพิ่มทางเลือกต่างๆ นวัตกรรมใหม่ๆ ผันตัวมาเป็น Co-developer ร่วมกับลูกค้า ทำให้เราได้เรียนรู้เทรนด์ สิ่งที่ลูกค้าต้องการ รู้เรื่องวิธีการผลิต สินค้าตัวไหนตอบโจทย์ เอาแต่ละอย่างมาเป็นประสบการณ์ในการสร้างแบรนด์ เราได้เปรียบที่มีโรงงาน รู้ว่าอะไรที่ลูกค้าต้องการ”

    น้องๆ เป็นสมาชิกครอบครัว

    แต่เดิมพฤติกรรมการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงของคนไทย จะมองน้องๆ เป็นแค่สัตว์เลี้ยง อาจจะนำวัตถุดิบที่เหลือในครัวมาทำเป็นอาหารให้น้องๆ แต่ปัจจุบันคนเลี้ยงสัตว์ได้ขัยบตัวเป็น “ทาส” กันมากขึ้น มองเห็นน้องๆ เป็นหนึ่งสมาชิกของครอบครัว คำนึงเรื่องของใช้ และโภชนาการมากขึ้น

    “เทรนด์ของการเลี้ยงสัตว์มีการปรับตัวขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เห็นทาสหมาทาสแมวเยอะขึ้น แต่ก่อนคนเลี้ยงจะใช้ของเหลือในบ้านมาทำเป็นอาหาร ตอนนี้เขามองว่าสัตว์เลี้ยงไม่ใช่สัตว์ แต่เป็นคนในครอบครัว เริ่มแคร์เรื่องโภชนาการ เทรนด์นี้มาจากประเทศมีประชากรมากขึ้น สังคมเป็นครอบครัวเดี่ยว คนแต่งงานน้อยลง มีลูกน้อยลง เอาสัตว์เลี้ยงมาเป็นสมาชิกในครอบครัว”

    หรืออย่างการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป เดี๋ยวนี้เหล่าทาสๆ มักจะพาสัตว์เลี้ยงติดตามไปด้วยแทบทุกที่ แต่ก่อนสถานที่ต่างๆ จะไม่ให้พาสัตว์เลี้ยงเข้า แต่ตอนนี้ทั้งศูนย์การค้า คาเฟ่ สายการบิน เอาใจทาสสัตว์เลี้ยงมากขึ้น สามารถพาเข้าสถานที่ได้

    ธุรกิจอาหารสัตว์ กับการเข้า IPO

    ล่าสุด AAI เดินหน้าเสนอขายหุ้น IPO ระดมทุนเพื่อการลงทุนในอนาคต ปัจจุบัน AAI มีทุนจดทะเบียนจำนวน 2,125 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 2,125 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท โดยเป็นทุนชำระแล้วทั้งสิ้นจำนวน 1,700 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 1,700 ล้านหุ้น และจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 637.5 ล้านหุ้น

    แบ่งเป็น 1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 425 ล้านหุ้น และ 2) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม (บมจ. เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น: ASIAN) จำนวนไม่เกิน 212.5 ล้านหุ้น รวมทั้งหมดไม่เกินร้อยละ 30 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้

    โดยจะนำเงินจากการระดมทุนไปใช้ลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก สร้างคลังสินค้าอัตโนมัติแห่งที่ 2 ชำระคืนเงินกู้ยืม และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในอนาคต โดยมีแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในปีนี้

    “การพาบริษัทเข้า IPO ต้องการสร้างความแข็งแกร่งให้ AAI เติบโตได้ตัวเอง ตอนนี้มีตลาดรองรับ มีกำลังการผลิตที่ทำได้ ก่อนหน้านี้มีปฏิเสธลูกค้าไปเยอะเพราะเรื่องกำลังการผลิตไม่เพียงพอ งบลงทุนจะนำไปเพิ่มกำลังการผลิต 7,000 ตัน อีกทั้งยังจัดการดูธุรกิจต้นน้ำ มีทุนหมุนเวียน ลงทุนในต่างประเทศ ทำคลังสินค้าอัตโนมัติ”

    ปี 2564 มีรายได้ 4,980 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย (CAGR) 11% ต่อปี และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 16 ล้านบาท ในปี 2559 เป็น 639 ล้านบาทในปี 2564 เติบโตเฉลี่ย (CAGR)108% ต่อปี สัดส่วนของธุรกิจ OEM ยังใหญ่กว่า 93% ส่วนแบรนด์ตัวเอง 7% แต่มีการตั้งเป้าว่าจะเพิ่มสัดส่วนรายได้ของแบรนด์ตัวเองเป็น 10% ใน 4-5 ปีข้างหน้า

    ]]>
    1403312
    “โลตัส” เปิดตัวร้าน Pet Us อาณาจักรตลาดสัตว์เลี้ยง นำร่องสาขาบางนา-พัฒนาการ https://positioningmag.com/1382657 Mon, 25 Apr 2022 13:35:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1382657 ตลาดสัตว์เลี้ยงช่างหอมหวาน ในยุคที่เหล่าทาสเปย์น้องๆ เหมือนลูกหลาน ล่าสุดโลตัสได้ลุยตลาดสัตว์เลี้ยงเต็มตัว เปิดตัว Pet Us อาณาจักรสินค้า และบริการสัตว์เลี้ยงแบบครบวงจร นำร่อง 2 สาขา บางนา และพัฒนาการ

    มีตั้งแต่สินค้า ยันบริการตัดขน

    Pet Us (เพ็ทอัส) ร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ และให้บริการครบวงจรสำหรับสัตว์เลี้ยง ตอบสนองเทรนด์ Pet Humanization ที่ดูแลสัตว์เลี้ยงเปรียบเสมือนสมาชิกในครอบครัว ชูจุดขาย คลับของของคนรักสัตว์ที่สะดวก-ครบ-จบ-คุ้ม มีทั้งสินค้าและบริการที่ครบครันและตอบโจทย์ทุกความต้องการในราคาที่คุ้มค่า ด้วยสินค้าหลากหลายแบรนด์ให้เลือกสรร ครอบคลุมสัตว์เลี้ยงหลายประเภท

    พร้อมบริการ Pet Care แนะนำยารักษาโรค ให้คำปรึกษา และฉีดวัคซีนโดยสัตวแพทย์ และบริการ Pet Grooming อาบน้ำตัดขนจากทีมงานมืออาชีพ นำร่อง 2 สาขาที่โลตัส สาขาบางนา และสาขาพัฒนาการ

    โชติมา ลาภเวโรจน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายสินค้าอุปโภค โลตัส กล่าวว่า

    “ปัจจุบันสมาชิกในครอบครัวไม่ได้จำกัดเพียงแค่คน แต่รวมถึงสัตว์เลี้ยงในครอบครัวอีกด้วย ซึ่งจากข้อมูลการสำรวจโดย Euro Monitor ในปี พ.ศ. 2563 พบว่า กว่า 1 ใน 3 ของครัวเรือนในประเทศไทยมีสัตว์เลี้ยง และในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นกว่า 60% จากปัจจัยต่างๆ ทั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 การใช้ชีวิตในสมัยใหม่ ไลฟ์สไตล์ และมุมมองต่อสัตว์เลี้ยง ปรากฏการณ์ Pet Humanization ที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงไม่ได้มองตนเองเป็นเพียงเจ้าของ แต่เป็นเหมือนพ่อแม่ของสัตว์เลี้ยง (Pet Parent) ดูแลเอาใจใส่สัตว์เลี้ยงในฐานะสมาชิกของครอบครัว มีความต้องการซื้อสินค้าและบริการที่ดีที่สุดเพื่อดูแลสัตว์เลี้ยง ดังนั้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้กได้ดียิ่งขึ้น โลตัส จึงได้พัฒนาร้าน Pet Us ขึ้น เพื่อจำหน่ายสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงหลากหลายประเภทพร้อมให้บริการครบวงจร ต่อยอดจากสินค้าประเภทอาหารและของใช้สัตว์เลี้ยงที่เราจำหน่ายในไฮเปอร์มาร์เก็ตและสาขาทั่วๆ ไป”

    ปัจจุบัน Pet Us เปิดให้บริการแล้วใน 2 สาขา ได้แก่ สาขาพัฒนาการ และสาขาบางนา โดยคอนเซ็ปต์ของ Pet Us คือการเป็นคลับของคนรักสัตว์เลี้ยง โดยจะเป็น One-stop shopping destination ที่มีสินค้าหลากหลายชนิด หลายประเภทสินค้า และครอบคลุม ตั้งแต่สินค้าระดับพรีเมียมจนถึงสินค้าแบรนด์ยอดนิยม

    นอกเหนือจากสินค้าแล้ว ยังมีบริการ Pet Care และ Pet Grooming ที่ให้น้องๆ ได้สามารถมาพบสัตวแพทย์ รับคำปรึกษา ฉีดวัคซีน และอาบน้ำ-ตัดขน สมาชิกมายโลตัส ยังสามารถสะสมแต้มสมาชิกและรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมได้อีกด้วย

    • ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง มีสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงหลายชนิด ทั้งน้องหมา น้องแมว กระต่าย หนูแฮมสเตอร์ นก ปลา ครอบคลุมทุกประเภทสินค้า ได้แก่ อาหารคุณภาพดีจากหลายแบรนด์ดัง ทั้งอาหารเม็ด อาหารเปียก อาหารเสริม ขนมขบเคี้ยว, ผลิตภัณฑ์ดูแลสัตว์เลี้ยง เช่น อุปกรณ์ให้อาหาร ห้องน้ำสำหรับน้องๆ แปรง, ผลิตภัณฑ์อาบน้ำและกำจัดกลิ่น, อุปกรณ์สำหรับน้องๆ เช่น ปลอกคอ สายสูง อุปกรณ์กันเลีย, เสื้อผ้าและเครื่องประดับน่ารัก ๆ หลากหลายแบบ หลากหลายดีไซน์ หลากหลายขนาดให้เลือกสรร

    • Pet Care โซนสัตวแพทย์ ที่คอยให้คำปรึกษาเรื่องสุขภาพและการดูแลน้องๆ รวมถึงให้คำแนะนำผลิตภัณฑ์และยารักษาโรคที่จำเป็นให้กับน้องๆ พร้อมบริการฉีดวัคซีน

    • Pet Grooming บริการอาบน้ำ ตัดและตกแต่งขนสำหรับน้องหมาและน้องแมว โดยช่างผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรองจากชมรมช่างตัดขนแห่งประเทศไทย และการันตีด้วยรางวัลการตัดแต่งขนสุนัข จากสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัข (ประเทศไทย) โดยมีความเข้าใจและรักสัตว์เลี้ยง พร้อมทั้งใช้ผลิตภัณฑ์คุณภาพที่ได้รับการยอมรับ ถูกสุขอนามัยและปลอดภัยต่อสัตว์เลี้ยง โดยโซน pet grooming เป็นพื้นที่ที่เป็นกระจกใสให้ลูกค้าอุ่นใจ สามารถมองเห็นสัตว์เลี้ยงอยู่ในสายตาในทุก ๆ ขั้นตอน
    ]]>
    1382657
    เจาะลึกตลาด ‘สัตว์เลี้ยง’ ในยุคที่เหล่าทาสพร้อมเปย์ให้เสมือนคนใน ‘ครอบครัว’ https://positioningmag.com/1368644 Fri, 24 Dec 2021 07:55:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1368644 เชื่อว่าหลายคนต้องเคยโดนความน่ารักของเหล่า ‘น้อง’ ไม่ว่าจะเป็นน้องหมา น้องแมว หรือสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ จนตกเป็นทาสแน่ ๆ แม้บางคนจะไม่ได้เลี้ยงเอง แต่ในแต่ละวันก็คงได้เสพความน่ารักของน้อง ๆ ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียให้อมยิ้มกันไป ด้วยความน่ารักดังกล่าวเลยไม่น่าแปลกใจหาก ‘ตลาดสัตว์เลี้ยง’ จะเป็นอีกตลาดที่น่าจับตามอง เพราะถือเป็นหนึ่งในไม่กี่ธุรกิจที่สามารถเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจในปัจจุบัน

    ตลาด 4 หมื่นล้านยังโตไม่หยุด

    มีการคาดการณ์ว่าตลาดธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงทั่วโลกในปี 2026 จะมีมูลค่าถึง 6.9 ล้านล้านบาท สำหรับประเทศไทยตลาดมีมูลค่าราว 4 หมื่นล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 10% ทุกปี โดยในหมวดอาหารมีสัดส่วนประมาณ 45% ตามด้วยธุรกิจดูแลสัตว์ (โรงพยาบาล, คลินิก) 32% และเสื้อผ้าเครื่องประดับ 23% ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วเจ้าของสัตว์เลี้ยงจะมียอดใช้จ่ายเฉลี่ยที่ 14,200 บาท/ปี จะเห็นว่าความน่ารักของน้อง ๆ มีมูลค่าไม่น้อยทีเดียว

    สำหรับปัจจัยบวกที่ทำให้ตลาดยังเติบโตได้ต่อเนื่อง ส่วนใหญ่มาจากไลฟ์สไตล์และไมด์เซตของคนในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น

    • COVID-19 ทำให้คนเลี้ยงสัตว์เป็นเพื่อน: ผลพวงการระบาดทำให้คนต้องอยู่แต่บ้าน คนจึงมองหากิจกรรมคลายเครียดเมื่อต้องใช้ชีวิตและหนึ่งในนั้น คือ การเลี้ยงสัตว์เลี้ยง
    • คนโสดและไม่ต้องการมีลูก: หลายประเทศทั่วโลกคนแต่งงานช้าลง และเป็นโสดมากขึ้น อย่างในไทยข้อมูลการจดทะเบียนสมรสของกรมการปกครองพบว่าจากปี 2550 เทียบกับปี 2560 จำนวนการจดทะเบียนสมรสลดลง 5.1% หรือบางคนที่แต่งงานแต่ก็ไม่อยากมีลูก ดังนั้น การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงแทนถือเป็นอีกทางเลือก
    • สังคมสูงวัย: ไทยกำลังจะเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศแรกของโลกที่ก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุแบบสมบูรณ์ (Aged Society) ในปี 2565 ปัจจุบัน ประชากรอายุ 60 ปีขึ้น มีสัดส่วน 10% ของประชากรทั้งประเทศ และการเลี้ยงสัตว์ไว้คลายเหงาก็เป็นหนึ่งในเทรนด์
    • Pet Humanization: หรือ การมองสัตว์เลี้ยงเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ต่างจากอดีตที่มีทัศนคติต่อสัตว์เลี้ยงว่าเป็นเพียงสัตว์เลี้ยง คือเลี้ยงเพื่อไว้ใช้งานหรือต้องการประโยชน์บางอย่าง เช่น เลี้ยงไว้เพื่อเฝ้าบ้าน และมีรูปแบบการเลี้ยงเป็นไปแบบง่าย ๆ
    • Social Media: จะเห็นถึงการเติบโตของเพจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงที่มียอดผู้ติดตามเป็นหลักล้าน ซึ่งความน่ารักของเหล่าสัตว์เลี้ยงเซเลบก็อาจจะตกให้หลายคนหันมาเลี้ยงสัตว์มากขึ้น

    ต่างธุรกิจก็ขอร่วมวงด้วย

    จากไมด์เซตต่อสัตว์เลี้ยงที่เปลี่ยนไป ทำให้ผู้เลี้ยงต้องการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้เหมือนกับการดูแลลูกหรือคนในครอบครัว ดังนั้น จึงเต็มใจที่จะจ่ายสำหรับสินค้าและบริการต่าง ๆ เพื่อให้สัตว์เลี้ยงให้สุขภาพดี แข็งแรง และมีความสุข ดังนั้น ไม่ใช่แค่ร้าน Pet Shop, คลินิก หรือศูนย์สุขภาพสัตว์เลี้ยงจะเปิดมากขึ้น แต่บริการใหม่ ๆ ที่ไม่เคยเห็นก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

    อย่าง แกร็บ ที่จากแค่ส่งคน-อาหาร-สิ่งของ แต่ล่าสุดก็เพิ่มบริการ แกร็บเพ็ท บริการเดินทางสำหรับคนมีสัตว์เลี้ยง เพื่อพาสัตว์เลี้ยงเดินทางไปทำกิจกรรมนอกบ้าน ไม่ว่าจะเป็นไปเที่ยว พักผ่อน ออกกำลังกาย หรือแม้แต่ไปโรงพยาบาล และไม่ใช่แค่บนบก แต่ นกแอร์ ก็เตรียมเปิดเที่ยวบินพิเศษ ‘เที่ยวบินนี้พาน้องเที่ยว’ ที่ให้สัตว์เลี้ยงจะนั่งโดยสารเคียงข้างไปพร้อมกับเจ้าของบนเที่ยวบินได้ด้วย

    หรือแม้แต่ ธุรกิจประกัน ก็เริ่มออกประกันสัตว์เลี้ยงเพื่อสร้างความอุ่นใจและสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของผู้เลี้ยง โดยในไทยก็มีอย่าง TIP PET LOVER ของทิพยประกันภัย และ เมืองไทย Cats & Dogs Plus ของเมืองไทยประกันภัย และที่น่าสนใจอีกเคสก็คือ RS ของ ‘เฮียฮ้อ’ สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ที่เปิดตัวแบรนด์ Lifemate (ไลฟ์เมต)’ พร้อมลุยตลาดอาหารสัตว์เต็มตัว

    เปิดใจ ‘เฮียฮ้อ’ จาก ‘ทาสน้องหมา’ สู่การปั้นแบรนด์ ‘Lifemate’ ธุรกิจที่ทำแล้วมีความสุขที่สุด

    ส่งออก โอกาสใหญ่ผู้ประกอบการไทย

    จะเห็นว่าตลาดสัตว์เลี้ยงถือเป็นตลาดที่ใหญ่ และมีปัจจัยบวกจำนวนมาก แต่กลับยังไม่มีผู้นำตลาดชัดเจน โดยหากสังเกตจะเห็นว่าร้านส่วนใหญ่จะเป็นผู้เล่นรายย่อยหรือ SME ซึ่งจากช่องว่างดังกล่าวทำให้ แบรนด์ใหญ่อย่าง ‘เซ็นทรัล’ เปิดตัวแบรนด์ใหม่ PET ‘N ME เพื่อรุกตลาดสัตว์เลี้ยงเพิ่มเติม จากเดิมที่เคยมีแบรนด์อย่าง PETSTER และ Cool Pets ที่จำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงใน Tops และโซนห้างเซ็นทรัล นอกจากนี้ยังเปิดเว็บไซต์ของตัวเองอีกด้วย

    เมื่อ ‘สัตว์เลี้ยง’ ตลาดใหญ่ไร้ผู้นำ ‘เซ็นทรัล’ เลยส่ง ‘PET ‘N ME’ เพ็ทช็อปครบวงจรชิงตำแหน่ง

    จากโอกาสเติบโตที่สูงแต่สิ่งที่ตามมาก็คือการแข่งขันที่สูงด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะ SME ที่ต้องเจอกับผู้เล่นรายใหญ่ตบเท้าเข้ามาในตลาด ดังนั้นอาจต้องเร่งพัฒนาสินค้าเพื่อสร้างจุดขายและตอบโจทย์ความต้องการของผู้เลี้ยงและสัตว์เลี้ยง โดย ตลาดส่งออก ถือเป็นอีกตลาดที่น่าสนใจ เพราะไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงอันดับ 4 ของโลก โดยปีที่ผ่านมาไทยส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงมากถึง 5.35 แสนตัน มูลค่ากว่า 4.47 หมื่นล้านบาท ดังนั้น ตลาดส่งออกนับเป็นอีกโอกาสที่จะสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจได้ในอนาคต

    ]]>
    1368644
    เมื่อ ‘สัตว์เลี้ยง’ ตลาดใหญ่ไร้ผู้นำ ‘เซ็นทรัล’ เลยส่ง ‘PET ‘N ME’ เพ็ทช็อปครบวงจรชิงตำแหน่ง https://positioningmag.com/1365864 Wed, 08 Dec 2021 11:35:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1365864 คงไม่ต้องบอกว่าตอนนี้ ‘ตลาดสัตว์เลี้ยง’ ร้อนแรงแค่ไหน เพราะขนาด ‘เฮียฮ้อ’ แห่ง ‘อาร์เอส’ ยังเอาด้วยโดยเปิดตัวแบรนด์อาหารสัตว์ ‘Lifemate (ไลฟ์เมต)’ หรือแม้แต่ 1 ใน 3 ร้านค้าออนไลน์ในลาซาด้าที่โกยยอดขายหลักล้านภายในวันเดียวก็เป็นร้านขายอาหารและอุปกรณ์สำหรับสัตว์เลี้ยง ล่าสุด ‘เซ็นทรัล’ เองก็ขอขยับเข้ามาสู่ตลาดเต็มตัวโดยเตรียมเปิด ‘PET ‘N ME’ Specialty Store สัตว์เลี้ยงครบวงจร ว่าแต่ทำไมตลาดสัตว์เลี้ยงถึงมาได้รับความนิยมเอาตอนนี้เราจะไปเจาะลึกกัน

    ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่เลี้ยงสัตว์แทนลูก

    หากคนทั่วไปที่ไม่ใช่ทาสหมาทาสแมวคงจะไม่รู้ว่าเหล่าทาสหมดเงินไปกับสัตว์เลี้ยงเฉลี่ยเดือนละกว่า 4,000 บาท โดยปัจจุบันตลาดสัตว์เลี้ยงมีมูลค่าถึง 40,000 ล้านบาท เติบโตราว 10% ต่อเนื่องตลอด 5 ปี โดยแบ่งเป็น

    • อาหารสัตว์ 70%
    • บริการ และการรักษา 20 – 30%
    • แฟชั่น และสินค้าไลฟ์สไตล์ 5%

    สำหรับปัจจัยที่ทำให้ตลาดสัตว์เลี้ยงเติบโตก็เพราะ ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็น

    • โสดมากขึ้น หลายประเทศทั่วโลกคนแต่งงานช้าลง และเป็นโสดมากขึ้น อย่างในไทยข้อมูลการจดทะเบียนสมรสของกรมการปกครองพบว่าจากปี 2550 เทียบกับปี 2560 จำนวนการจดทะเบียนสมรสลดลง 5.1%
    • คู่รักไม่มีลูก หากอ้างอิงจากอัตราการเกิดในไทยปี 2564 เกิดต่ำกว่า 6 แสนคนครั้งแรกในรอบ 3 ปี และมีแนวโน้มจะลดลงอีก ซึ่งคนมีคู่หลายคนเลือกจะไม่มีลูก รวมถึงคู่รักกลุ่ม LGBTQ+ ที่ไม่สามารถมีลูกได้ ดังนั้น การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงแทนถือเป็นอีกทางเลือก
    • สังคมสูงวัย ไทยกำลังจะเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศแรกของโลกที่ก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุแบบสมบูรณ์ (Aged Society) ในปี 2565 ปัจจุบัน ประชากรอายุ 60 ปีขึ้น มีสัดส่วน 10% ของประชากรทั้งประเทศ และการเลี้ยงสัตว์ไว้คลายเหงา ก็เป็นหนึ่งในเทรนด์
    • อยู่บ้านมากขึ้น เมื่อ COVID-19 ทำให้คนอยู่บ้านมากขึ้น หลายคนเลือกที่จะเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเพื่อเป็นเพื่อนเพื่อคลายเหงา
    • Social Media จะเห็นถึงการเติบโตของเพจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงที่มียอดผู้ติดตามเป็นหลักล้าน ซึ่งความน่ารักของเหล่าสัตว์เลี้ยงเซเลบก็อาจจะตกให้หลายคนหันมาเลี้ยงสัตว์มากขึ้น
    • ความต้องการสินค้าหลากหลายขึ้น เช่น เตียง ชุด เริ่มมีขายเยอะขึ้น การดูแลก็ดีขึ้น มีสปา ต้องให้วิตามิน มีโรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มตาม จะเห็นว่าองค์ประกอบต่าง ๆ ทำให้ดูน่าสนใจมาก

    ตลาดใหญ่ไร้ผู้นำ

    จะเห็นว่าตลาดสัตว์เลี้ยงถือเป็นตลาดที่ใหญ่ และมีปัจจัยบวกจำนวนมาก แต่ที่น่าสนใจคือ ยังไม่มีผู้นำตลาดชัดเจน เพราะ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้เล่นรายย่อยและร้านแบบครบวงจรก็มีน้อย ส่วนใหญ่มี 1-2 สาขาเท่านั้น ดังนั้น ทาง เซ็นทรัล เลยถือโอกาสเปิดตัวแบรนด์ใหม่ PET ‘N ME เพื่อรุกตลาดสัตว์เลี้ยงเพิ่มเติม จากเดิมที่เคยมีแบรนด์อย่าง PETSTER และ Cool Pets

    สำหรับ PET ‘N ME จะเป็น Specialty Store สัตว์เลี้ยงครบวงจร ของเซ็นทรัล รีเทล ขณะที่ PETSTER จะเป็นโซนจำหน่ายอาหารและของใช้สำหรับสัตว์ในเครือ ท็อปส์ เน้นจับกลุ่มลูกค้าทั่วไป ส่วน Cool Pets เป็นโซนจำหน่ายอาหาร ของเล่น ของใช้โดยจะเปิดในโซนห้างเซ็นทรัล ปัจจุบันมี 7 สาขา

    โดยคอนเซ็ปต์ PET ‘N ME คือ pet lover community โดยจะมีโซนขายอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยง, โซนอุปกรณ์สำหรับสัตว์เลี้ยง grooming ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นขน รวมกว่า 6,000 รายการ มีโซน other pet ไว้บริการ เช่น บริการตรวจเช็กสุขภาพ อาบน้ำ ตัดขน และสปา มีพื้นที่ pet park สามารถพาสัตว์เลี้ยงมาวิ่งเล่นได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และมี cafe จาก Arigato ให้บริการเครื่องดื่มและอาหารทานเล่น

    ลูกค้า The one card กว่า 18 ล้านคน มีราว 4 แสนคนที่ซื้อสินค้าเกี่ยวกับสัตว์ แนวโน้มก็เริ่มมาใช้เงินกับสัตว์เลี้ยงมากขึ้น เราเห็นเทรนด์ว่ามันเพิ่มขึ้นแน่นอน และเรามองว่าตอนนี้ไม่มีใครให้ประสบการณ์กับลูกค้าได้ครบ” ไท จิราธิวัฒน์ รองประธานฝ่ายการเงิน บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ เซ็นทรัล รีเทล กล่าว

    ปักเป้า พันล้าน ปีแรก ขยาย 50 สาขาใน 5 ปี

    เบื้องต้น PET ‘N ME เปิดสาขาแรกที่เซ็นทรัลเวสต์เกต และจะขยายให้ได้ 50 สาขาภายใน 3-5 ปี เน้นเปิดในศูนย์การค้า หรือติดกับศูนย์การค้า ทั้งของเซ็นทรัลพัฒนา,​ โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ และใน Community Mall ที่เซ็นทรัลพัฒนาซื้อกิจการจากสยามฟิวเจอร์ดีเวลลอปเมนท์​ (SF) โดยวางไว้ 4 รูปแบบ คือ

    • ร้านขนาดเล็ก 100 – 150 ตารางเมตร จำนวน 25 – 30 สาขา
    • ร้านขนาดกลาง 300 – 400 ตารางเมตร จำนวน 10 – 15 สาขา
    • ร้านขนาดใหญ่ 600 – 700 ตารางเมตร จำนวน 8 สาขา
    • Flagship 1,000 ตารางเมตร จำนวน 2 สาขา

    และในปีหน้า PET ‘N ME จะเดินกลยุทธ์แบบ Omnichannel โดยเปิดช้อปออนไลน์ที่มีสินค้ากว่า 10,000 รายการควบคู่กันไป สามารถซื้อออนไลน์, Click and Collect สั่งออนไลน์รับของที่ร้าน หรือส่งด่วนใน 2 ชั่วโมง รวมถึงสามารถคุยกับพนักงานผ่านโทรศัพท์หรือไลน์เพื่อให้ช่วยเลือกสินค้าได้ด้วย โดยภายในปีแรกตั้งเป้ารายได้ที่ 1,000 ล้านบาท

    เล็งจับพาร์ตเนอร์ขยายบริการ

    PET ‘N ME มีแผนที่จะต่อยอดไปบริการอื่น ๆ เช่น สร้างช่องทางออนไลน์ให้เป็น Community คนรักสัตว์ โดยสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนกับผู้เชี่ยวชาญได้ รวมถึงเพิ่มบริการ ฝึกสัตว์เลี้ยง ซึ่งทาง PET ‘N ME จะเน้น ‘จับมือ’ กับผู้เชี่ยวชาญที่ให้บริการในด้านนั้น ๆ อาทิ โรงพยาบาลสัตว์, สถานที่รับฝากสัตว์เลี้ยง, Training Center เป็นต้น

    หากดูจากแผนแล้วก็ต้องถือว่าเซ็นทรัลรุกหนักตลาดสัตว์เลี้ยง แต่ต้องยอมรับว่าไม่ใช่แค่เซ็นทรัลที่เห็นโอกาส เพราะอาร์เอสเองก็ประกาศว่าไม่หยุดแค่อาหารสัตว์แน่นอน ที่น่าห่วงอาจเป็นผู้เล่นรายย่อยที่ต้องเจอคู่แข่งสุดแข็งที่ทุนหนากว่ามาแย่งลูกค้า

    ]]>
    1365864
    เปิดใจ ‘เฮียฮ้อ’ จาก ‘ทาสน้องหมา’ สู่การปั้นแบรนด์ ‘Lifemate’ ธุรกิจที่ทำแล้วมีความสุขที่สุด https://positioningmag.com/1363572 Tue, 23 Nov 2021 12:21:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1363572 จากปกติหลายคนมักจะพูดว่า ‘เฮียฮ้อ’ สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ นั้น ‘ยิ้มยาก’ แต่ในวันนี้กลับ ‘ยิ้มกว้าง’ เพราะพาเจ้า ‘แบงก์เกอร์’ สุนัขคู่ใจมาร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวแบรนด์ ‘Lifemate (ไลฟ์เมต)’ ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงที่เคยเกริ่นไว้ตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคมปี 63 ว่า RS เตรียมลุยตลาดอาหารสัตว์เต็มตัว พร้อมบอกว่านี่เป็นธุรกิจที่ทำแล้วมีความสุขที่สุด

    เฮีอฮ้อ เล่าถึงที่มาที่ไปว่าเหตุผลที่เข้ามาในตลาดก็เพราะเป็น ทาสน้องหมา นี่แหละ แม้ส่วนตัวจะเป็นคนรักสัตว์ แต่ก็เพิ่งจะได้เริ่มเลี้ยงอย่างจริงจังก็เมื่อตอน 6-7 ปีก่อน เพราะมองว่าเวลากำลังเหมาะสม จนในที่สุดลูกก็ไปหาสุนัขพันธุ์เฟรนซ์บลูด็อกมาให้เลี้ยง หรือก็คือเจ้า แบงก์เกอร์ จากนั้นก็ตามมาอีก 2 ตัว คือ เจ้า ไทเกอร์ (สุนัชพันธุ์อิงลิช บลูด็อก) และ เพลเยอร์ (พันธุ์พุดเดิ้ลผสมมอลทีส)

    “ย้อนไปช่วงอายุ 30 กว่า ๆ เราก็เคยเลี้ยงหมา แต่เราทำงานหนักไม่มีเวลาให้เขาเลย แต่ตอนนี้เรามองว่าเป็นช่วงที่เหมาะแล้ว ทุกวันนี้พวกเขาก็เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว เขาจะมานั่งตักเฮียทุกเช้า สาย ๆ ก็จะจูงเดิน เลิกงานก็เล่นกับเขาคลายเครียด มีเวลาก็อาบน้ำให้บ้าง”

    เฮียฮ้อ สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) และแบงก์เกอร์

    เฮียฮ้อเล่าต่อว่า พอเรารักเขาเราก็เอาแต่ใจเขา อยากดูแลเขาให้เต็มที่ จากปกติเป็นคนไม่ค่อยเดินห้างฯ ช้อปปิ้ง แต่กลายเป็นว่าเราอยู่ในร้าน Pet Shop ได้เป็นชั่วโมง ๆ สามารถยินดีจ่ายเงินซื้อของให้ บางอย่างใช้แพงกว่าตัวเองด้วยซ้ำ นี่เลยเป็นจุดตั้งต้นให้เกิดแบรนด์ ‘Lifemate (ไลฟ์เมต)’

    “เขาก็เป็นจุดตั้งต้นให้เราทำธุรกิจ เราเข้าใจเลยว่าเขาเป็นเพื่อนคู่ชีวิต เป็นมากกว่าสัตว์เลี้ยง แบรนด์เราเลยชื่อไลฟ์เมต และนี่เป็นธุรกิจที่ผมทำแล้วมีความสุขที่สุด”

    ไม่ใช่แค่เรื่องของแพชชั่น แต่หากพูดถึงโอกาสทางธุรกิจแล้วต้องบอกว่าไม่น้อย เพราะปัจจุบัน วัฒนธรรมหรือมุมมองต่อสัตว์เลี้ยงของคนที่เปลี่ยนไป คนโสดมากขึ้น หรือแต่งงานแต่ไม่มีลูก รวมไปถึงเพศทางเลือก อีกทั้งสังคมสูงวัย ส่งผลให้คนเริ่มหาน้องหมาน้องแมวมาเลี้ยง ให้ความรักเอาใจใส่

    และโดยเฉลี่ยแล้วเจ้าของสัตว์เลี้ยงจะมียอดใช้จ่ายเฉลี่ยที่ 14,200 บาท/ปี ขณะที่ตลาดสัตว์เลี้ยงตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเติบโตเฉลี่ย 10% และในหมวดอาหารสุนัขและอาหารแมวมีสัดส่วนประมาณ 45% หรือประมาณ 18,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มอีโคโนมี 60% กลุ่มสแตนดาร์ด 30% และกลุ่มพรีเมียม 10%

    ดังนั้น แบรนด์ไลฟ์เมตจะเริ่มจาก อาหารแห้งชนิดเม็ด สำหรับเน้องหมาน้องแมวเป็นสินค้าตัวแรก โดยมีจุดเด่นด้านการดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงแบบองค์รวม ซึ่งแบรนด์ไลฟ์เมตจะวางราคาไว้ที่จุดบนสุดของราคามาตรฐาน แต่คุณภาพใกล้เคียงกลุ่มพรีเมียม โดยความคาดหวังคือ เปลี่ยนใจคนที่มีกำลังระดับกลางยอมจ่ายเพิ่มอีกนิด หรือกลุ่มพรีเมียมที่หันมาซื้อไลฟ์เมตไม่ต้องไปรอสินค้านำเข้า

    “เขาพยายามหาของดีที่สุดในราคาที่จับต้องได้ นี่เป็นจุดที่ทำให้เราเข้ามาเล่นในตลาดนี้ ตอนนี้กลุ่มพรีเมียมส่วนใหญ่นำเข้า คนอยากได้แต่ราคาเอื้อมไม่ถึง ดังนั้น เราจึงอยากทำสินค้าที่ดีเทียบเท่านำเข้า เราก็น่าจะทำตลาดได้” นางพรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ กล่าวเสริม

    นำสัตว์เลี้ยงพนักงานเป็นพรีเซ็นเตอร์

    ไม่ใช่แค่เฮียฮ้อที่มีความสุขกับการทำแบรนด์ไลฟ์เมต แต่พนักงาน RS ก็มีส่วนร่วมด้วย โดยเฮียฮ้อเล่าว่า ได้ให้พนักงานนำสัตว์เลี้ยงของตัวเองมาประกวดเพื่อเป็น พรีเซ็นเตอร์ ให้กับแบรนด์ นอกจากนี้ยังได้ เพนตาแกรม บริษัทด้านดีไซน์ระดับโลกเป็นผู้ออกแบบแพ็กเกจจิ้งแบรนด์

    ทั้งนี้ แบรนด์ไลฟ์เมตใช้งบการตลาด 30 ล้านบาท โดยจะทำแบบครบวงจร ทั้งสร้างการรับรู้ผ่านสื่อต่าง ๆ ในเครือ RS ไม่ว่าจะทีวี วิทยุ สื่อนอกบ้าน อีเวนต์ พรีเซ็นเตอร์ การให้สิทธิประโยชน์ผ่านเหรียญ Popcoin แคมเปญการแจกสินค้าตัวอย่าง การทำโปรโมชันต่าง ๆ นอกจากนี้ยังได้ อย่าง บอล-จารุลักษณ์ มาเขียนเนื้อร้องและทำนอง และขับร้องโดย นะ-รัตน จากวง Polycat 

    เบื้องต้น ไลฟ์เมตจะเริ่มวางจำหน่ายวันที่ 1 ธ.ค. นี้ ผ่านร้านเพ็ทช็อป คลินิก และโรงพยาบาลสัตว์ทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์ RS Mall, Shopee และ Lazada

    ตั้งเป้ายอดขาย 320 ล้านบาทในปีแรก

    ในปีแรก ไลฟ์เมตตั้งเป้าทำรายได้ 320 ล้านบาท และปีหน้าจะเริ่มทำในส่วนของ อาหารเปียก สแน็ค และอาหารเสริมสำหรับน้องหมาน้องแมว และมีโอกาสที่จะต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อาทิ แชมพู ด้วยแน่นอน และหากแบรนด์ประสบความสำเร็จ เฮียฮ้อก็พร้อมที่จะก้าวไปสู่อีโคซิสเต็มส์ของตลาด ไม่ว่าจะเป็น Pet Shop หรือแม้แต่ทำ โรงพยาบาลสัตว์ ก็มีโอกาสเป็นไปได้

    “เราทำธุรกิจเรามีแพชชั่นหมด แต่เราทำแล้วสนุก เรายิ้มได้ และเป็นทิศทางที่มันน่าสนใจ โอกาสทางธุรกิจก็ตามมา ซึ่งเราวางตัวไม่ใช่แค่อาหารสัตว์แต่เป็น Pet Care เราต้องการดูแลสัตว์เลี้ยงในทุกมิติ ดังนั้นเป็นไปได้หมด”

    อ่านมาจนถึงตรงนี้ คงจะเชื่อแล้วว่าเฮียฮ้อมีแพชชั่นกับสัตว์เลี้ยงอย่างเต็มเปี่ยมจริง ๆ ไม่แน่ว่า เราอาจได้เห็นแบรนด์ไลฟ์เมตในสถานะอื่น ๆ อีกเร็ว ๆ นี้ก็ได้

    ]]>
    1363572