อาร์เอส กรุ๊ป – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 30 May 2023 08:26:04 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ลมเปลี่ยนทิศ! เมื่อ RS คัมแบ็กธุรกิจ “เพลง” และ “สัตว์เลี้ยง” กำลังเป็นดาวรุ่งตัวต่อไป https://positioningmag.com/1432485 Tue, 30 May 2023 07:05:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1432485 RS มองแลนด์สเคปธุรกิจเพลงที่เปลี่ยนไป กลับมาบุกตลาดมากขึ้น ปิดดีลพาร์ตเนอร์ต่างประเทศต่อยอดธุรกิจ เตรียมสปินออฟดันเข้าตลาดหลักทรัพย์ปีหน้า บุกตลาดสัตว์เลี้ยงปั้นให้ครบอีโคซิสเท็ม ขึ้นแท่นดาวรุ่งตัวต่อไป

ทรานส์ฟอร์มไม่หยุดนิ่ง

RS หรือ “อาร์เอส กรุ๊ป” เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้เห็นการปรับตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อรับกับเทรนด์ กับกระแสที่เปลี่ยนของผู้บริโภค รวมไปถึงกระแสของโลกธุรกิจ เชื่อว่าหลายคนเติบโตมากับอาร์เอส เติบโตมากับบทเพลง ศิลปินที่มอบความบันเทิงให้แก่พวกเรา แต่อดีตธุรกิจเพลงมีรายได้หลักจากการขายเทป ซีดี การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลจึงทำให้ธุรกิจเพลงซบเซาลงไปบ้าง

ที่ผ่านมาเราจึงได้เห็นอาร์เอสเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ธุรกิจอื่นๆ อย่างรวดเร็ว จากธุรกิจเพลงสู่ธุรกิจ “ทีวีดิจิทัล” ในนามช่อง 8 และธุรกิจสุขภาพความงาม ในธุรกิจไลฟ์สตาร์ ตั้งแต่ปี 2557 เพราะมูลค่าตลาด และโอกาสในการเติบโตสูงมากขึ้นทุกปี ประกอบกับเทรนด์ของคนไทยที่ใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มตัว

หลังจากที่ทรานส์ฟอร์มมาเรื่อยๆ อาร์เอสก็ได้ปรับโครงสร้างธุรกิจในปี 2562 อย่างเต็มตัว เปลี่ยนหมวดหมู่ของธุรกิจจากธุรกิจสื่อ เป็นธุรกิจคอมเมิร์ซ หรือเรียกเต็มๆ ว่า Multi-Platform Commerce หรือ MPC เพราะในจังหวะนั้น รายได้จากการขายสินค้าแซงหน้าธุรกิจสื่อไปแล้ว

อาร์เอสใช้โมเดลขายสินค้าผ่านช่องทางสื่อในเครือ ทั้งทีวีดิจิทัล ช่อง 8 ทีวีดาวเทียม ช่อง 2, ช่องสบายดีทีวี, ช่องเพลินทีวี, วิทยุคูลฟาเรนไฮต์, สื่อออนไลน์ www.shop1781.com, LINE@shop1781, LINE@COOLanything รวมทั้งตัวแทนขายตรง LifestarBIZ โมเดิร์นเทรด และร้านค้าปลีกทั่วประเทศ

อีกหนึ่งการทรานส์ฟอร์มล่าสุดที่น่าสนใจไม่น้อย เมื่ออาร์เอสกลับมาบุกธุรกิจ “เพลง” อีกครั้ง หลังจากเงียบหายไป 15 ปี โดยที่ “เฮียฮ้อ” ได้ประกาศแผนตั้งแต่ปี 2563 ในปีนี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนยิ่งขึ้น ควงคู่มากับธุรกิจ “สัตว์เลี้ยง” วางแผนทำเป็น Petconomy หรือครอบคลุมอีโคซิสเท็มทั้งหมด เนื่องจากเป็นธุรกิจขาขึ้น และเฮียฮ้อเองก็เป็นทาสหมาด้วยเช่นกัน

เมื่อธุรกิจเพลง “ไม่เหมือนเดิม”

ย้อนกลับไปในอดีต ธุรกิจเพลงเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่โดนดิสรัปต์มาตลอด ตั้งแต่ยุคเทปผีซีดีเถื่อน ทำให้ผู้ประกอบการต้องเสียรายได้ให้กับแผ่นเถื่อน และเมื่อยุคดิจิทัลเข้ามามีบทบาท คนก็ฟังผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้น บททาทของเทอ หรือซีดี หรือที่เราเรียกกันว่า Physical ก็เริ่มลดลง

ซึ่งในอดีตตัวสินค้า Physical ทั้งเทป และซีดี เป็นรายได้หลักของผู้ประกอบการ และศิลปิน เพราะในยุคก่อนๆ ไม่คอ่ยมีงานอีเวนต์ หรือคอนเสิร์ตมากนัก รวมไปถึง Music Marketing ด้วย เมื่อรายได้การเทป ซีดีลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ จึงทำให้เฮียฮ้อตัดสินใจให้น้ำหนักกับธุรกิจเพลงน้อยลง แต่ไม่ถึงกับยุบธุรกิจไป เพราะยังมีรายได้ในส่วนของลิขสิทธิ์ต่างๆ อยู่บ้าง

แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ต้องยอมรับว่าธุรกิจเพลงในตอนนี้มีหลากหลาย Business Model และมีช่องทางการหารายได้ที่หลากหลายขึ้นกว่าในอดีตมาก ในช่วงกลางปี 2563 อาร์เอสจึงตัดสินใจคัมแบ็กธุรกิจอีกครั้งในรอบ 15 ปี ภายใต้ยูนิต RS Music ปัดฝุ่นค่ายเพลง และแตกเป็น 3 ค่ายหลักๆ ได้แก่ 1. RSIAM 2. Kamikaze และ 3. RoseSound

ในปีนี้แผนธุรกิจเพลงมีความชัดเจนยิ่งขึ้น เฮียฮ้อถึงกับเอ่ยปากว่า เตรียมสปินออฟบริษัทเพื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์สำหรับระดมทุน และหารายได้ให้มากขึ้น โดยจะมีความชัดเจนในช่วงไตรมาส 2 ของปี

สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า

“แต่ก่อนที่เลิกทำธุรกิจเพลง เพราะว่ารายได้มาจากแค่แผ่นซีดีอย่างเดียว แต่ตอนนี้เห็นเทรนด์จากออนไลน์ สตรีมมิ่ง กิจกรรมต่างๆ คอนเทนต์ไปได้ไกลกว่านั้น เป็น Music Marketing รายได้มาจากทุกมิติ ขายโฆษณา แอดออนไลน์ สตรีมมิ่ง คอนเสิร์ต ละในมุมลูกค้าที่ซื้อสื่อ ซื้อกิจกรรมคอนเสิร์ต ก็สามารถเก็บเม็ดเงินโฆษณาได้ด้วย แผนตอนนี้จะมีการสปินออฟบริษัททำให้ธุรกิจมีมูลค่าเพิ่ม เพื่อได้ระดมทุนทำธุรกิจเพลง และจะมีพาร์ตเนอร์ต่างประเทศที่จะมาพร้อมเงินทุน ในปีนี้ตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจนี้ 700 ล้านบาท”

เฮียฮ้อยังเสริมอีกว่า เพลงจะกลับมาเป็นธุรกิจหลักที่ให้ความสนใจ จริงๆ ธุรกิจเพลงยุคใหม่อาจจะไม่มากมายนัก แต่มีมาร์จิ้นดีมาก อีกทั้งธุรกิจเพลงยังน่าสนใจ เป็นคลื่นลูกใหม่ เป็น Soft Power ได้ด้วย

RS Music ยังมีแผนปิดดีลกับพาร์ตเนอร์ต่างประเทศในเร็วๆ นี้ ซึ่งเป็นดีลขนาดใหญ่ที่จะสร้างมูลค่าให้ทั้งกลุ่ม และเป็นจิ๊กซอว์สำคัญในการผลักดัน RS Music ให้มีศักยภาพ ขยายธุรกิจให้เติบโตได้ทั้งในประเทศ และระดับโลก และมีการปรับโครงสร้างธุรกิจเพลงใหม่ โดยรวมธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับเสียงเพลงทั้งหมดมาไว้ด้วยกัน ได้แก่ 3 ค่ายเพลงหลัก, สถานีเพลง COOLFahrenheit, โชว์บิส, การทำการตลาดออนไลน์และ ออนกราวนด์ รวมถึง Artist Management

“สัตว์เลี้ยง” ขึ้นแท่นดาวรุ่ง

อีกหนึ่งธุรกิจที่อาร์เอสได้เริ่มบุกตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 นั่นก็คือ ธุรกิจ “สัตว์เลี้ยง” เปิดตัวแบรนด์ Lifemate เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง เริ่มจากการทำอาหารเม็ดก่อน และแตกไลน์เป็นกลุ่มอาหารเปียก อาหารเสริม และของใช้ต่างๆ แต่เดิมรายได้ของ Lifemate จะอยู่รวมกับธุรกิจคอมเมิร์ซ แต่อาร์เอสได้ปรับโครงสร้าง แตกเป็นยูนิต Pet All สร้างอาณาจักรสัตว์เลี้ยงครบวงจร ตั้งเป้าสปินออฟเข้าตลาดหลักทรัพย์ในอีก 3 ปีข้างหน้าให้ได้

เฮียฮ้อบอกว่า “ตลาดสัตว์เลี้ยงน่าสนใจมาก ส่วนตัวเป็นทาสหมาอยู่แล้วด้วย และได้ติดตามอุตสาหกรรมนี้มานาน อยู่ในเทรนด์เติบโตทุกปี ล้อกับพฤติกรรมคนไทยที่เข้าสู่สังคมสูงวัย หรือครอบครัวเล็กลง คนเมืองมีลูกน้อยลง หลายคนเอาสัตว์เลี้ยงมาเป็นเพื่อน เลี้ยงสัตว์แทนการมีลูก รักสัตว์เหมือนลูก ในแผนปีนี้มีทั้งการเติบโตด้วยตัวเอง และ M&A จะทำอาณาจักรให้มีทั้งช็อป และศูนย์ Wellness สำหรับสัตว์เลี้ยง”

เมื่อไม่นานมานี้ได้จัดตั้ง บริษัท อาร์เอส เพ็ท ออล จำกัด (RS pet all) เพื่อลงทุนในธุรกิจสัตว์เลี้ยงแบบครบวงจร (Petconomy) ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยล่าสุดได้เข้าทุ่มงบลงทุน 100 ล้านบาท เข้าลงทุนใน บริษัท ฮาโตะ เพ็ท เวลเนส เซ็นเตอร์ จำกัด (Hato Pet Wellness Center) ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตสัตว์เลี้ยงครบวงจร และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน “Preventive Program” โปรแกรมการป้องกันดูแลและส่งเสริมให้สัตว์เลี้ยงมีสุขภาพแข็งแรง โดยมีสัดส่วนการลงทุน 51%

ในปี 2565 ฮาโตะ มีรายได้รวม 60 ล้านบาท หลังจากที่อาร์เอสเข้าลงทุนคาดว่าน่าจะมีรายได้เติบโตขึ้นเป็น 100 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ โดยจะโฟกัสที่ 2 โมเดลธุรกิจด้วยกัน ได้แก่ การเปิด HATO Animal Hospital จำนวน 2 แห่งใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลสัตว์ระดับ 5 ดาว ที่ครบและครอบคลุมการรักษาทุกด้าน รวมถึงการพัฒนาสินค้าในกลุ่ม HATO Vet Select ภายใต้แบรนด์ HATO ซึ่งจะมีมากกว่า 10 SKUs ทั้งผลิตภัณฑ์กรูมมิ่ง แอนด์ สปา รวมถึง wellness treats ที่เป็นขนมเพื่อสุขภาพสำหรับสัตว์เลี้ยง โดยจะออกวางจำหน่ายผ่านทางออนไลน์ และเพ็ทช็อปทั่วประเทศ

ปัจจุบันแบ่งธุรกิจออกเป็น เซอร์วิส และผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง ทั้งนำเข้าและผลิตในไทย โดย เซอร์วิส มีทั้งหมด 5 สาขา แบ่งเป็น 3 รูปแบบหลักๆ คือ 1. Hato Pet Wellness Center ให้บริการคลินิก และบริการอาบน้ำ, สปา 2. Hato Cat Wellness Center คลินิกยกระดับคุณภาพชีวิตแมวครบวงจร และ 3. HATO Home ที่มีโมเดลแบบ Private Pet Community ซึ่งประกอบด้วย คลินิก โรงแรม Pet Shop รวมถึงส่วนพักผ่อนหรือสถานที่ทำกิจกรรม อาทิ สนามหญ้าหรือสระว่ายน้ำสำหรับสัตว์เลี้ยงที่รวมการดูแลสัตว์เลี้ยงไว้ในที่เดียวแบบครบวงจร  นอกจากนี้ยังรุกเข้าสู่ธุรกิจโรงพยาบาลสัตว์ ซึ่งขณะนี้ เปิดบริการแล้ว 1 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลสัตว์กรุงเทพ-ชัยพฤกษ์

นอกจากที่ร่วมทุนกับ Hato แล้ว อาร์เอสเตรียมเป็น Pet Shop เป็นของตัวเอง ที่รวบรวมสินค้า และบริการเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงแบบครบวงจร คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงเดือนกรกฎาคม และขยายเพิ่มเติมอีก 6-7 สาขา

การที่อาร์เอสหันมาบุกธุรกิจอื่นๆ มากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากธุรกิจคอมเมิร์ซได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนแรงลง ทำให้ต้องกระจายความเสี่ยงไปธุรกิจอื่นมากขึ้น

ทั้งนี้อาร์เอส กรุ๊ป ผลประกอบการไตรมาส 1/2566 ทำกำไรที่ 92 ล้านบาท จากรายได้รวม 813 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 67% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวของธุรกิจสื่อ และรายได้จากการจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ที่สูงขึ้น รวมไปถึงการรับรู้กำไรพิเศษจากการขายหุ้น CHASE บางส่วน

ในปีนี้ตั้งเป้ารายได้รวมที่ 5,000-5,500 ล้านบาท มีกำไร 10-12% แบ่งสัดส่วนเป็นธุรกิจคอมเมิร์ซ 55% และธุรกิจมีเดีย และบันเทิง 45%

อ่านเพิ่มเติม

]]>
1432485
กางแผน ‘อาร์เอส กรุ๊ป’ กับการปั้นมาร์เก็ตแคป ‘แสนล้าน’ ใน 3 ปี ฝันใหญ่ที่ไม่ลมแล้งของ ‘เฮียฮ้อ’ https://positioningmag.com/1415743 Tue, 17 Jan 2023 13:15:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1415743 นับตั้งแต่ที่ อาร์เอส กรุ๊ป (RS Group) ได้รีแบรนด์ ปี 2023 นี้ก็ครบ 3 ปีพอดี ซึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมาทุกการเคลื่อนไหวของอาร์เอสนับว่าจับตามอง ทั้งการคลอดแบรนด์ Lifemate (ไลฟ์เมต) หรือการซื้อธุรกิจขายตรง ยูนิลีเวอร์ ไลฟ์ แต่ดูเหมือนเส้นทางจากนี้จะยิ่งน่าจับ เพราะ เฮียฮ้อ-สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ มองว่า ปี 2023 เป็นปีที่ท้าทายที่สุดในชีวิตการทำธุรกิจ 41 ปี และเป้าหมาย 3 ปีของอาร์เอส กรุ๊ป ต้อง สร้างอาณาจักรแสนล้าน ให้ได้

2023 เวลาที่ใช่ของวิชั่นส์ใหม่อาร์เอส

เฮียฮ้อ เล่าถึงช่วง 3 ปีที่ผ่านมาว่า ไม่ง่าย เพราะมีทั้งการะบาดของโควิด สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และวิกฤตเศรษฐกิจที่ทำให้คาดการณ์แนวทางการทำธุรกิจได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ และในปี 2023 นี้ จะเป็นปีที่ สำคัญที่สุดของอาร์เอสนับตั้งแต่ก่อตั้งมา และเป็นปีที่ สำคัญที่สุดของเฮียฮ้อนับตั้งแต่ทำธุรกิจมา 41 ปี เนื่องจากมองว่าการฟื้นตัวหลังจากโควิดจะทำให้ตลาดจะดีดกลับอย่างไม่ปกติ เพราะตลาดอั้นมานานและผู้บริโภคพร้อมกลับมาใช้จ่ายเพื่อซื้อความสุข

“ผมใช้เวลาทั้งชีวิตในการทำงานหาเวลาที่ใช่ และผมเชื่อว่าปี 2023 คือเวลาที่ใช่ ดังนั้น เราจึงใช้เวลานี้กำหนดวิชั่นส์ใหม่ของอาร์เอสใน 3 ปีจากนี้ โดยเราต้องการให้ทำให้มาร์เก็ตแคปของอาร์เอสกรุ๊ปมีมูลค่า 1 แสนล้านบาท

จัดโครงสร้างองค์กรใหม่ก่อน Spin-Off เข้าตลาด

นับตั้งแต่ 15 ปีที่แล้ว ที่ ตลาดมิวสิก อยู่ในช่วงขาลง อาร์เอสก็มีการปรับตัวมาตลอดอย่างที่หลาย ๆ คนรู้ว่าปัจจุบันอาร์เอสมีธุรกิจหลากหลายมากในมือ ซึ่งปีนี้ บริษัทได้ปรับโครงสร้างใหม่โดยแบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม เพื่อให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ได้แก่

  • RS Multimedia: ประกอบด้วย ช่อง 8 และ COOLfahrenheit
  • RS Music: ประกอบด้วยค่ายเพลง RSIAM, kamikaze, RoseSound และบริษัท โฟร์ท แอปเปิ้ล
  • RS LiveWell: ประกอบด้วย RS Mall และแบรนด์ผลิตภัณฑ์ well u, Vitanature+, Lifemate และ Camu C
  • RS Connect: ประกอบด้วย ULife และ De Beste ธุรกิจขายตรง
  • RS Pet All: ธุรกิจใหม่ที่ประกอบธุรกิจครบวงจรสำหรับสัตว์เลี้ยง
  • R Alliance: ดูแลด้านการลงทุน ตามกลยุทธ์​ M&A และ JV

โดยใน 3 ปีจากนี้อาร์เอสต้องการจะ Spin-Off 5 บริษัท (ไม่นับ R Alliance) ออกไปเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้ทุกธุรกิจรวมมีมูลค่า 1 แสนล้านบาท ได้ภายใน 3 ปีตามเป้าหมาย

กางแผน 6 บริษัทภายใต้วิชั่นส์ Life Enriching

เฮียฮ้อ เล่าต่อว่า อีกหนึ่งกลยุทธ์พาอาร์เอสกรุ๊ปสู่อาณาจักรแสนล้านก็คือ วิชั่นส์ Life Enriching (ยกระดับทุกมิติของการใช้ชีวิต) โดยกลยุทธ์จากนี้ของบริษัทในเครือคือการ เจาะตลาดแมส และเพิ่ม Accessibility การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้มากขึ้นด้วยช่องทางการจำหน่ายและพาร์ตเนอร์ที่หลากหลาย

โดยในส่วนของธุรกิจฝั่งอีคอมเมิร์ซ เริ่มจาก RS LiveWell ปีนี้เตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งหมด 19 SKUs ภายใต้แบรนด์ well u และ Vitanature+ ปี ในหมวดผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร, ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัว นอกจากนี้ สินค้าบางส่วนยังได้จับมือพันธมิตรเพื่อขยายช่องทางไปสู่ Specialty Store และ Duty Free เพื่อเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน ขณะที่ RS Mall ก็จับมือกับพันธมิตรหลากหลายยิ่งขึ้น อาทิ สถาบันการเงิน โรงพยาบาล คลินิก และบริษัทประกันชั้นนำ เพื่อสร้างฐานลูกค้าใหม่

ส่วน RS Connect ธุรกิจขายตรง ได้เพิ่มบิสซิเนสโมเดลใหม่ ได้แก่ ปิ่นโต สำหรับจำหน่ายสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพแบบ Subscription และโมเดลธุรกิจ PROMPT เพื่อจัดจำหน่ายสินค้ากลุ่มพันธมิตรที่น่าสนใจผ่านช่องทางออนไลน์ ส่วนแบรนด์ De Beste (เดอร์ เบสส์เต) จะเปิดระบบตัวแทนออนไลน์ (Online Marketing)

ต่อยอดไลฟ์เมตสู่ธุรกิจสัตว์เลี้ยงครบวงจร

จากที่ปี 2021 บริษัทได้ชิมลางออกแบรนด์ Lifemate ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง ซึ่งถือเป็นธุรกิจที่เกิดจากแพชชั่นส่วนตัวของเฮียฮ้อเอง โดยในปีนี้เฮียฮ้อก็ได้แตกออกมาเป็น บริษัท อาร์เอส เพ็ท ออล จำกัด เพื่อทำธุรกิจสัตว์เลี้ยงครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำที่ประกอบด้วยโรงงานผลิตอาหารสัตว์ รีเทลสัตว์เลี้ยง สินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง รวมถึงธุรกิจเวลเนสสำหรับสัตว์เลี้ยงด้วย

ส่วนสินค้าภายใต้แบรนด์ Lifemate ก็มีแผนจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 22 SKUs ในหมวดอาหารกลุ่ม Specialty Food, สแน็คสำหรับสุนัขและแมว และผลิตภัณฑ์ดูแลทำความสะอาด อีกทั้งยังเตรียมขยายช่องทางการจำหน่ายไปยัง Modern Trade และตลาดต่างประเทศ

ช่อง 8 นำเสนอภูธรมาร์เก็ตติ้ง

อย่างในส่วนของ RS Multimedia ที่ประกอบด้วยช่อง 8 จะนำเสนอ ภูธรมาร์เก็ตติ้ง เน้นฐานผู้ชมต่างจังหวัดที่เป็นตลาดแมส ซึ่งถือเป็นฐานแฟนคลับชั้นดีของช่อง โดยปีนี้จะมีละครใหม่ที่ถูกจริตกับคนกลุ่มนี้ เสริมด้วยซีรีส์อินเดีย จีน เกาหลี เพื่อสร้างความแตกต่างและช่วยให้เข้าถึงเป้าหมายที่กว้างขึ้น นอกจากนี้จะเพิ่มรายการ มวย 4 รายการ เพื่อรักษาตำแหน่งเบอร์ 1

นอกจากนี้ จะผลิต คอนเทนต์ออนไลน์ของช่อง 8 โดยจะมีรายการใหม่ ๆ จับกลุ่ม Young Gen ส่วนของ COOLfahrenheit จะทำให้ครบทั้ง ออนแอร์ ออนไลน์ ออนกราวด์ โดยขยายช่องทางเข้าถึงจากแค่ FM 93 และ แอปพลิเคชัน COOLISM ให้สามารถฟังได้ผ่านสตรีมมิ่ง เช่น Joox, Siri, Apple Music, Google Home และ Google Assistant นอกจากนี้ ยังมีด้วยกิจกรรมโดนใจ อาทิ COOL Outing และ COOLive วางแผนจัด 4 คอนเสิร์ตใหญ่ และ 4 เฟสติวัล

คัมแบ็กตลาดเพลงในรอบ 15 ปี

อีกธุรกิจที่น่าจับตาสำหรับฝั่งคอนเทนต์ก็คือ RS Music ที่ตลอดช่วง 15 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่เริ่มเห็นขาลงของธุกิจเฮียฮ้อก็ได้พักเอาไว้ แต่ปัจจุบันเฮียฮ้อมองว่า New Wave ของ Music กลับมาแล้ว ดังนั้น ตั้งแต่ปีนี้เฮียฮ้อจะกลับมาทำธุรกิจเพลงเต็มรูปแบบเหมือนในอดีต ผ่านค่ายเพลงในเครือซึ่งประกอบด้วย RSIAM, kamikaze และ RoseSound

สำหรับไฮไลต์สำคัญของปีจะมี 2 โปรเจกต์ใหม่ ได้แก่

  • RS Homecoming: ที่จะนำศิลปินเก่ากลับมาอีกครั้ง
  • RS Newcomers: ที่จะปลุกปั้นศิลปินใหม่ โดยจะมีรายการใหม่ vibe house เป็นรายการหาศิลปินหน้าใหม่ vibe square จัดงานอีเวนต์คอนเสิร์ตภายใต้บริษัท โฟร์ท แอปเปิ้ล

“รายได้ใหญ่สุดของธุรกิจเพลงในอดีตมันมาจากยอดขายแผ่นยอดขายเทป พอรายได้ส่วนนี้มันลดลงถือเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่ามันไม่ใช่ธุรกิจที่เหมาะสม ตลอดที่ผ่านมาเรายังทำแต่แค่ลดลง ซึ่งตอนนี้เราเห็นการเติบโตทางดิจิทัลที่มีนัยสำคัญ และเรามองภาพต่างจากอดีต เพราะแม้รายได้ตอนนี้อาจไม่สูงเท่าเดิมแต่มันไม่มีต้นทุน และทำเงินได้ตั้งแต่เริ่มหาศิลปิน ดังนั้น ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว น้ำขึ้นเราควรจะกลับมาจับปลา”

อย่างไรก็ตาม เฮียฮ้อยังไม่ได้เปิดเผยถึงส่วนของ RS Music มากนัก แต่ระบุว่า จะเห็นความชัดเจนเพิ่มขึ้นภายในไตรมาส 1 โดยเฉพาะเรื่องของ พาร์ตเนอร์ ที่จะมาร่วมกับอาร์เอส โดยเฮียฮ้อทิ้งท้ายถึงตลาดเพลงในปัจจุบันว่า อาร์เอส ไม่ได้มองใครเป็นคู่แข่ง เพราะตลาดเปลี่ยนไป ทุกคนสามารถ อยู่ร่วมกันหรือสามารถจับมือกันสร้างมูลค่าเพิ่มได้ และมั่นใจว่าสิ่งที่อาร์เอสมีแต้มต่อก็คือ ความเชี่ยวชาญ ความมีประสบการณ์เพลงกว่า 20,000 เพลง

“วันนี้รายได้จากดิจิทัลเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำรายได้ให้เราแข็งแรง ซึ่งธุรกิจเพลง 3 ปีจากนี้มีโอกาสที่จะทำรายได้ 1,000 ล้านเหมือนในอดีต โดยปีนี้เราตั้งเป้าไว้ที่ 400 ล้านบาท”

วางเป้า 5,500 ล. พร้อมตั้งสายงานใหม่ Media & Marketing

นอกจากฝั่งอีคอมเมิร์ซและคอนเทนต์ อาร์เอสกรุ๊ปมีส่วนของการทุนก็คือ R Alliance สำหรับการทำ M&A และ JV โดยปีนี้คาดว่าจะมีการลงทุนในปีนี้ 2-3 ดีล ภายใต้งบลงทุนไม่เกิน 600 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทได้มีการตั้งสายงานใหม่ Media Sell and Marketing ดูแลการซื้อสื่อและการทำการตลาดแบบ one stop service ครอบคลุมและเชื่อมโยงสื่อและบันเทิงในทุกธุรกิจของอาร์เอส กรุ๊ป ช่วยให้การซื้อสื่อโฆษณาและการทำการตลาดของลูกค้ามีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากที่สุด

สำหรับรายได้ของปี 2023 บริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 5,500 ล้านบาท โดยมาจาก ธุรกิจคอมเมิร์ซ 3,100 ล้านบาท (RS LiveWell 1,800 ล้านบาท, RS Connect 900 ล้านบาท และ RS Pet All 400 ล้านบาท) และ ธุรกิจมีเดียและเอ็นเตอร์เทนเมนต์ 2,400 ล้านบาท (RS Multimedia 1,450 ล้านบาท, RS Music 400 ล้านบาท และอีเวนต์-คอนเสิร์ต 550 ล้าบาท) และในช่วง 3 ปีจากนี้ต้องการให้ภาพรวมทั้งหมดเติบโตปีละ 30-40%

60 แต่ยังไม่วางมือ

เฮียฮ้อทิ้งท้ายว่า ตนเองเริ่มต้นทำธุรกิจตั้งแต่อายุ 19 จนปัจจุบันอายุ 60 แต่ปีนี้ถือเป็นปีที่ท้าทายที่สุดที่อาร์เอสก่อตั้งมาและท้าทายที่สุดในชีวิตการทำงานของเฮียฮ้อ เพราะมีแผนที่จะทำให้มาร์เก็ตแคปบริษัทรวม 1 แสนล้านบาท ถือเป็นฝันที่ใหญ่แต่ไม่ใช่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ ซึ่งตอนนี้เฮียฮ้อย้ำว่าตอนนี้ยังคงสนุกกับการทำงาน ดังนั้น ยังไม่มีแผนจะวางมือแน่นอน

“โหดสุดสำหรับเฮียคือ 5 ปีในธุรกิจเพลงที่เราขาดทุนต่อเนื่อง เป็นช่วงที่ยากที่สุดที่ต้องขายโรงงานผลิตซีดีทิ้ง แต่ก็ทำให้เรากล้าที่จะทรานซ์ฟอร์ม กล้าจะลองทำอะไรใหม่ ๆ ทั้งธุรกิจกีฬา ธุรกิจทีวี ธุรกิจคอมเมิร์ซ ทำให้เราได้บทเรียนดี ๆ สำหรับเฮียแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ยอมแพ้ ไม่กลัวความล้มเหลว และเรียนรู้สิ่งใหม่เสมอ มันทำให้เราล้มก็ต้องรับให้ได้ เรียนรู้กับมัน และการที่ไม่หยุดคิดและฝัน ทำให้เราไม่ยึดติดกับความสำเร็จ จะเห็นว่าอาร์เอสมีความหลากหลายมันสะท้อนว่าเราไม่หยุดที่จะหาสิ่งใหม่ ๆ

]]>
1415743
ทำความรู้จัก Popcoin เหรียญวงการ “บันเทิง” ไทยที่ “แบมแบม” เป็นแพลตฟอร์ม พาร์ทเนอร์ https://positioningmag.com/1370103 Tue, 11 Jan 2022 11:16:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1370103 เกิดกระแสฮือฮาในวงการบันเทิงและนักลงทุน เมื่อปรากฏภาพ “แบมแบม-กันต์พิมุกต์ ภูวกุล” ในฐานะแพลตฟอร์ม พาร์ทเนอร์ของเหรียญ “Popcoin” เหรียญนี้คืออะไร เราจะพาไปทำความรู้จักกัน

เหรียญ Popcoin เกิดจากความร่วมมือของ 3 บริษัท คือ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS, โฟร์ท แอปเปิ้ล และ บริษัท ฟิวเจอร์ คอมเพเทเร่ จำกัด และวางตัวให้เหรียญนี้เป็น “Utility Token” คือเหรียญที่ตั้งใจให้มีช่องทางนำไปใช้แลกเปลี่ยนสินค้าได้จริงมากกว่าการเก็งกำไร

จุดประสงค์ของ Popcoin ดูได้จากสโลแกนของเหรียญคือ “Popcoin: Join to Earn” เหรียญนี้จะมาดิสรัปต์วงการ “Entertainmerce” โดยเข้ามาเป็นตัวเชื่อมในระบบนิเวศของ “วงการบันเทิง” และ “การตลาด”

โดยผู้ที่จะได้ครอบครองเหรียญ (หรือในแพลตฟอร์ม Popcoin ใช้ชื่อว่า Popsters) จะได้เหรียญมาจากการรับชมโฆษณา เข้าร่วมงานอีเวนต์ ตอบคำถาม เล่นเกม ฯลฯ ตามแต่จะมีการสร้างกิจกรรมขึ้นมาร่วมกับสปอนเซอร์

วิธีการนี้จะเข้ามาอุดจุดบอดของการตลาดปัจจุบันที่คนมักจะไม่สนใจโฆษณา ไม่สนใจมีส่วนร่วมกับแบรนด์ แต่เมื่อมี Popcoin ตอบแทนก็จะเป็นแรงจูงใจใหม่ให้ผู้บริโภคสนใจมากขึ้น

(จากซ้าย) กอล์ฟ F.HERO ผู้ร่วมก่อตั้ง High Cloud Entertainment, สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) และ ฐณณ ธนกรประภา หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจ โฟร์ท แอปเปิ้ล

 

แล้วผู้บริโภคจะอยากได้ Popcoin ไปทำไม?

คำตอบคือ Popcoin จะร่วมกับพันธมิตรเพื่อให้คนนำเหรียญไปใช้แลกสินค้าได้จริง บางแคมเปญอาจจะมีการปล่อยสินค้าพิเศษที่ต้องใช้ Popcoin แลกเท่านั้น เช่น การ์ดเซ็ทของไอดอล ของสะสมดาราศิลปิน เมอร์ชานไดซ์พิเศษ รวมถึงอนาคตหากโลก ‘เมตาเวิร์ส’ บูมเมื่อไหร่ เหรียญนี้ก็อาจจะนำไปใช้ในโลกดิจิทัลได้

แม้ว่าจุดประสงค์ของเหรียญจะไม่ได้เน้นเก็งกำไร แต่ Popcoin กำลังจะเข้าไปเทรดบนกระดานของ Bitkub ด้วย ซึ่งจะทำให้ผู้เทรดแลกเหรียญ Popcoin กับเงินคริปโตอื่นๆ หรือแลกออกมาเป็นเงินบาทได้

นอกจากนี้ ยังมีระบบให้ ‘Stake’ เหรียญ ให้เจ้าของเหรียญที่ไม่มีแผนจะใช้เหรียญนำเหรียญเข้ามาออมในระบบเพื่อรอรับ Reward (คล้ายกับฝากเงินในธนาคารแล้วได้ดอกเบี้ย) อัตรา Reward ที่จะได้ก็ขึ้นอยู่กับสภาวะซัพพลาย-ดีมานด์ของเหรียญขณะนั้น

ด้านการควบคุมจำนวนเหรียญ Popcoin มีการระบุไว้ใน Whitepaper ว่า ภายใน 4 ปีแรกจะมีการผลิตเหรียญไม่เกิน 10,000 ล้านเหรียญ และในปีต่อๆ ไปจะมีการปรับจำนวนเหรียญขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ เพื่อไม่ให้จำนวนเหรียญในระบบ “เฟ้อ” จะต้องเพิ่มจำนวนตามปริมาณการนำไปใช้จริง

 

ใครได้ Popcoin ไปแล้วบ้าง?

การปล่อยเหรียญครั้งแรกหรือ ICO ไม่ได้ขายให้กับประชาชนทั่วไป แต่เน้นไปที่ B2B มากกว่า ได้แก่

  • 65% ให้กับแบรนด์ที่ต้องการซื้อไปทำแคมเปญ
  • 15% เก็บไว้ทำการตลาดให้กับตัวเหรียญเอง
  • 15% ให้กับพันธมิตรธุรกิจ
  • 5% ให้กับทีมผู้ก่อตั้ง

เหรียญ Popcoin มีการเปิดตัวไม่เป็นทางการต่อสาธารณะไปตั้งแต่เดือน พ.ย.-ธ.ค. 2564 โดยให้สิทธิผู้ที่สมัครเข้ามาในแพลตฟอร์ม สามารถร่วมแคมเปญ “Popcoin Airdrop” รับเหรียญฟรี 100 เหรียญ และเมื่อชวนเพื่อนมาสมัครจะได้รับเพิ่มอีก 25 เหรียญต่อเพื่อน 1 คน (เป็นเหรียญที่มาจากส่วนสำหรับทำการตลาดนั่นเอง)

ปัจจุบันเหรียญมี Popsters ที่ถือเหรียญแล้ว 5 แสนคน และ Popcoin เชื่อว่าจะมีผู้สมัครเข้าแพลตฟอร์มเป็น 1 ล้านคนในเร็วๆ นี้ (สำหรับแคมเปญ Popcoin Airdrop จบไปแล้วตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 10 ม.ค. 65)

แบมแบม Popcoin
แพลตฟอร์มดึงตัว “แบมแบม” มาเป็นพาร์ทเนอร์ช่วยโปรโมต

ล่าสุด Popcoin ประกาศรายชื่อพันธมิตรออกมายาวเหยียด แบ่งกลุ่มได้ดังนี้

  • ธุรกิจดนตรีและบันเทิง: Live Nation, BEC Tero, High Cloud Entertainment, คณะหมอลำเสียงอิสาน, VOM Records, Full Sense, สมาคมการค้าธุรกิจไอดอลหญิง (FITA), RS Music, Coolism, สถานีโทรทัศน์ช่อง 8
  • ธุรกิจสื่อ: UNLOCKMEN, Pet Hipster
  • ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค: RS Mall, คามู ซี, เวล ยู, ไลฟ์เมต, ไวตาเนเจอร์พลัส
  • ธุรกิจอื่นๆ: Carnival แบรนด์สตรีทแฟชั่น, Bhouse Studio โรงเรียนสอนเต้น, บริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด, บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), บริษัทไอที ซิตี้ จำกัด (มหาชน), บริษัท อินดีม กรุ๊ป จำกัด, บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน), บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน)

น่าสนใจว่า Popcoin จะร้อนแรงแค่ไหน เมื่อเข้ามาเป็นโทเคนมิติใหม่แห่งวงการบันเทิง-การตลาด!

]]>
1370103
RS เตรียมยื่นมือผลิต “กัญชง” หาน่านน้ำใหม่ หลังสาธารณสุขปลดล็อก https://positioningmag.com/1317405 Mon, 01 Feb 2021 08:35:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1317405 หลังจากกระทรวงสาธารณสุขประกาศปลดล็อคกัญชงให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์โดยไม่จัดเป็นยาเสพติดนั้น บริษัท ไลฟ์สตาร์ จำกัด และ อาร์เอส มอลล์ (RS Mall) บริษัทในเครือ อาร์เอส กรุ๊ป ประกาศความพร้อมจับมือพันธมิตร บริหารจัดการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในหมวดสกินแคร์ เครื่องดื่ม และอาหารเสริม ที่มีสารสกัดจากกัญชงผ่านทุกช่องทาง

สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า

“ในเรื่องของกัญชงนั้น บริษัท ไลฟ์สตาร์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอาร์เอส กรุ๊ป มีความสนใจและมีการศึกษาเรื่องของงานวิจัยมาอยู่ตลอด โดยเฉพาะการนำส่วนต่างๆ ของกัญชงไปแปรรูป และสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ เช่น ช่อดอกนำไปผลิตยา สารสกัดจากกัญชง ใบนำไปผลิตอาหาร ผลิตภัณฑ์สมุนไพร เครื่องสำอาง น้ำมันจากเมล็ดกัญชงนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ผลิตภัณฑ์สมุนไพร เครื่องสำอาง สารสกัดจากกัญชงนำไปผลิตเป็นเครื่องดื่ม เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์สมุนไพร เป็นต้น

ซึ่งที่ผ่านมาเราได้เตรียมความพร้อม โดยร่วมมือกับสถาบันวิจัยชั้นนำศึกษาและคิดค้นสูตรเพื่อนำกัญชงมาพัฒนาและต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรม ทั้งในส่วนของสกินแคร์ เครื่องดื่ม และอาหารเสริม รวมถึงมีการพูดคุยกับพันธมิตรที่เป็นผู้ปลูกกัญชงเชิงพาณิชย์ โรงสกัด และผู้ผลิตไว้เรียบร้อยแล้ว ยืนยันว่าทางเราและพันธมิตร ได้มีการเตรียมการมานานและมีความพร้อมทั้งการผลิตและการจำหน่ายในทันที”

โดยจำหน่ายผ่านช่องทางการขายของ RS Mall จะเป็นการผนึกทุกช่องทางการขายรวมกัน

  1. RS Mall สามารถเล่าเรื่องกัญชง รวมถึงเล่าเรื่องรายละเอียด และสรรพคุณ ผ่านการนำเสนอหลายรูปแบบ เช่น การไลฟ์สดสาธิตวิธีการใช้ หรือการนำผู้มีประสบการณ์ในการใช้งานจริงมาร่วมให้ความคิดเห็นและแบ่งปันข้อมูล เป็นต้น
  2. จำหน่ายในทุกช่องทาง ทั้งออนแอร์ ผ่านสถานีโทรทัศน์ช่อง 8 และพันธมิตรช่องดิจิทัลทีวีจากหลากหลายช่องชั้นนำ และออนไลน์ ทั้งเว็บไซต์ www.rsmall.co.th และ Line @rsmall
  3. ทีมเทเลเซลล์กว่า 500 คน สามารถนำเสนอสินค้าและให้บริการลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงการใช้ Data and Voice Analytics มาวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า

ปัจจุบัน RS Mall มีฐานข้อมูลลูกค้ากว่า 1.6 ล้านราย จำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพเป็นจำนวนมาก ทำให้ที่ผ่านมา เราได้รับคำถาม และความสนใจจากลูกค้าเกี่ยวกับกัญชงจากทุกช่องทาง เพียงแต่ยังต้องรอรายละเอียดจากทางภาครัฐในการผลิต และจัดจำหน่ายให้ถูกต้องและปลอดภัย หากมีการปลดล็อกในส่วนนี้

]]>
1317405
“ช่อง 8” สู่น่านน้ำใหม่ใน OTT จับมือ iQIYI ปัดฝุ่นหนังในตำนาน “โลกทั้งใบให้นายคนเดียว” https://positioningmag.com/1304623 Thu, 05 Nov 2020 11:50:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1304623 พลิกมุมคิดเปลี่ยนคู่แข่งเป็นโอกาส! ช่อง 8 ในเครืออาร์เอส ปรับกลยุทธ์จับมือพาร์ตเนอร์ผลิตคอนเทนต์บุกตลาดออนไลน์ ประเดิมเรื่องแรกปัดฝุ่นหนังในตำนานวัยรุ่นยุค 90s “โลกทั้งใบให้นายคนเดียว” รีเมคเป็นซีรีส์ โดยร่วมทุนกับ iQIYI (อ้ายฉีอี้) แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งจีนรายใหญ่ ออกอากาศคู่ขนานพร้อมกันทั้งบนแอปฯ และช่อง 8 งานนี้เป็นวิสัยทัศน์ใหม่ของอาร์เอส ออนไลน์ไม่ใช่คู่แข่งแต่เป็นพันธมิตรที่ช่วยเสริมให้ช่องได้คนดูกลุ่มใหม่

พูดถึงละคร ช่อง 8 ภาพจำของคนดูน่าจะเป็นละครชิงรักหักสวาท เกี่ยวข้องกับวิญญาณและความเชื่อ มีความเปรี้ยว แรง และแซบ แต่ภาพจำนั้นกำลังจะเปลี่ยนไปเมื่อช่อง 8 หันมาบุกคนดูกลุ่มใหม่บนโลกออนไลน์ ผ่านการจับมือกับ OTT หน้าใหม่ในไทยแต่เป็นรายใหญ่จากเมืองจีนคือ “iQIYI” (อ้ายฉีอี้) ร่วมทุนกันสร้างซีรีส์ “โลกทั้งใบให้นายคนเดียว เดอะซีรีส์” ซีรีส์ยาวไม่ต่ำกว่า 12 ตอนที่สร้างจากภาพยนตร์ชื่อดังในยุค 90s

โลกทั้งใบให้นายคนเดียว เดอะซีรีส์ จะดึงเอานักแสดงวัยรุ่นชื่อดัง 3 คนมาเป็นแม่เหล็ก ทั้ง “โอห์ม-ฐิติวัฒน์ ฤทธิ์ประเสริฐ” “สิงโต-ปราชญา เรืองโรจน์” และ “น้ำตาล-ทิพย์นารี วีรวัฒโนดม” มาสวมบทเป็น ไม้-เม่น-ป้อน และยังมีนักแสดงชุดเดิมคือ “เต๋า-สมชาย เข็มกลัด” “โมทย์-ปราโมทย์ แสงศร” และ “นุ๊ก-สุทธิดา เกษมสันต์ ณ อยุธยา” ร่วมแสดงประกบอยู่ด้วย โดยเนื้อเรื่องจะยังเคารพบทต้นฉบับ แต่ตีความตัวละครได้ลึกขึ้น บนสภาพแวดล้อมยุคปัจจุบัน

นักแสดง “โลกทั้งใบให้นายคนเดียว เดอะซีรีส์” มาครบทั้งชุดเดิมและชุดใหม่

ซีรีส์เรื่องนี้จะออกอากาศตอนแรกวันที่ 12 ธันวาคม 2563 ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 21.40 น. และเป็นการออกอากาศพร้อมกันทั้งในช่อง 8 และแพลตฟอร์ม iQIYI ซึ่งจะออนแอร์ไม่ใช่แค่ในไทย แต่ส่งไป 20 ประเทศทั่วโลก นับเป็นครั้งแรกที่ช่อง 8 มีการผลิต Original Content ที่มองหาผู้ชมกลุ่มใหม่ทั้งในไทยและสากล รวมถึงออนแอร์พร้อมกันกับ OTT จากปกติจะมีการส่งคอนเทนต์ไปรีรันบน OTT หลังจากฉายบนช่องโทรทัศน์ไปแล้ว

เห็นได้ชัดว่าช่อง 8 กำลังพลิกกลยุทธ์ใหม่ ผลิตซีรีส์เอาใจวัยรุ่นโดยยังไม่ทิ้งลูกค้ากลุ่มเดิม และยกระดับความร่วมมือกับแพลตฟอร์มออนไลน์อย่างใกล้ชิด

 

ถึงเวลาช่อง 8 บุกออนไลน์เต็มตัว

“นงลักษณ์ งามโรจน์” หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร สถานีโทรทัศน์ช่อง 8 ในเครืออาร์เอส กรุ๊ป เปิดเผยว่า ความร่วมมือกับ iQIYI ครั้งนี้เกิดขึ้นจากทิศทางบริษัทที่ต้องการจะบุกออนไลน์ โดยเชื่อว่าช่วงนี้คือจังหวะที่เหมาะสม

เนื่องจากพบว่า ฐานผู้ชมออนไลน์ทั่วประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันผู้ชมคอนเทนต์ออนไลน์อยู่ที่ 1.3 ล้านคน เพิ่มขึ้น 18.8% จากปี 2561 และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มเป็น 2.1 ล้านรายภายในปี 2566 ขณะที่ผู้ติดตามของช่อง 8 บนโซเชียลมีเดียทุกช่องทางรวมกันมีมากกว่า 30 ล้านคน และเชื่อว่าจะเพิ่มเป็น 40 ล้านคนภายในสิ้นปี 2564

“นงลักษณ์ งามโรจน์” หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร สถานีโทรทัศน์ช่อง 8 ในเครืออาร์เอส กรุ๊ป และ “ผ่านศึก ธงรบ” ผู้อำนวยการฝ่ายเนื้อหา สำนักธุรกิจระหว่างประเทศ iQIYI ประเทศไทย

“ถามว่า OTT เข้ามาดิสรัปต์ฐานคนดูเดิมของเราไหม ต้องตอบว่า ‘ไม่’ เพราะฐานคนดูตลาดแมสเรายังอยู่กับหน้าจอทีวี เรามีคนดูในต่างจังหวัดสูงมาก ทำให้ในอดีตเรายังไม่ขยับเพราะจังหวะยังไม่ใช่ แต่วันนี้เรามีผู้ติดตามบนออนไลน์มากถึง 30 ล้านคนแล้ว ทำให้เราเห็นว่าเป็นจังหวะที่ใช่ในการไปออนไลน์” นงลักษณ์กล่าว

 

โมเดลออนไลน์เป็น “โปรเจกต์พิเศษ” วิธีคิดแบบสากล

ปกติในแต่ละปีช่อง 8 จะมีละครลงจอทีวี 10-12 เรื่องเป็นมาตรฐาน ส่วนการผลิตคอนเทนต์ที่เน้นออนไลน์กับพาร์ตเนอร์ OTT จะเป็นคอนเทนต์ใหม่ที่เสริมเข้ามา โดยนงลักษณ์กล่าวว่า ไม่ได้วางเป้าหมายจำนวนเรื่องต่อปี จะขึ้นอยู่กับโอกาส แต่จะเพิ่มให้มากที่สุด โดยการรีเมคภาพยนตร์เก่าอื่นๆ เป็นซีรีส์นั้นมีความเป็นไปได้ กำลังอยู่ระหว่างพิจารณา

การผลิตคอนเทนต์เพื่อตีตลาดออนไลน์จะมีความแตกต่าง ยกตัวอย่าง โลกทั้งใบให้นายคนเดียว เดอะซีรีส์ วิธีคิดจะมองแบบสากลมากขึ้น ทำให้เชิญ ดร.องอาจ สิงห์ลำพอง มาเป็นผู้กำกับ เพื่อให้ได้กลิ่นอายความเป็นภาพยนตร์ เพลงประกอบก็มีการผลิตใหม่ให้เข้ากับรสนิยมคนจีนและเกาหลีใต้มากขึ้น รวมถึงนักแสดงก็เลือกให้เหมาะกับรสนิยมคนรุ่นใหม่

นอกจากนี้ แนวทางใหม่ของอาร์เอสและช่อง 8 ยังเปิดกว้างมากขึ้นภายใต้การแข่งขันยุคใหม่ ยกตัวอย่างเช่น นักแสดงนำในเรื่องโลกทั้งใบฯ 2 คนคือ สิงโต-ปราชญา กับ น้ำตาล-ทิพย์นารี เป็นดาราต่างสังกัดจากจีเอ็มเอ็มทีวี ก็มาร่วมงานในโปรเจกต์ของช่องได้ และโอห์ม-ฐิติวัฒน์ ซึ่งอยู่ในค่ายอาร์เอส ก็ไปร่วมแสดงละครกับค่ายอื่นได้

“ถ้าเรามองว่าเป็นการแข่งขัน การทำงานกับพาร์ตเนอร์จะไม่สนุก แต่ถ้ามองว่าเป็นการเสริมกัน เป็นสปริงบอร์ดให้กัน มันจะเปลี่ยนวิธีคิดทั้งหมด อย่างเรื่องโลกทั้งใบให้นายคนเดียว เดอะซีรีส์ ตลาดแมสก็สามารถดูได้ที่ช่อง 8 ส่วนคนรุ่นใหม่ก็ดูได้ที่ iQIYI” นงลักษณ์กล่าว “การผลิตเราก็สามารถรับดารา ผู้กำกับ ผู้จัดละคร ฯลฯ จากนอกค่ายมาทำงานด้วยกันได้ มันไม่ใช่ปัญหาแล้ว แต่นี่คือโอกาส”

 

iQIYI หวังจุดพลุตลาดไทย ร่วมงานกับสารพัดค่าย

ด้าน “ผ่านศึก ธงรบ” ผู้อำนวยการฝ่ายเนื้อหา สำนักธุรกิจระหว่างประเทศ iQIYI ประเทศไทย เปิดเผยถึงแพลตฟอร์ม iQIYI ว่า เป็นน้องใหม่ในไทย แต่เป็นพี่ใหญ่ของประเทศจีน อยู่ภายใต้เครือเดียวกับ Baidu เสิร์ชเอนจิ้นที่ใหญ่ที่สุดของแดนมังกร โดย iQIYI มีฐานผู้ชมกว่า 600 ล้านคน

แน่นอนว่ามาจากจีน คอนเทนต์สำคัญที่อยู่ในแพลตฟอร์มขณะนี้จึงเป็นซีรีส์และรายการวาไรตี้จีน แต่ iQIYI ต้องการจะสร้างสรรค์ Original Content ไทยให้ติดตลาด ตามกลยุทธ์เดียวกับในจีนที่ iQIYI จะเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์เองจำนวนมาก โดยปีนี้แพลตฟอร์มมีคอนเทนต์ไทยลงแล้ว 3 เรื่อง คือ 3 หนุ่ม 3 มุม x 2 ซึ่งร่วมกับช่องวัน, Gen Y The Series ผลิตโดย Star Hunter Entertainment และ โลกทั้งใบให้นายคนเดียว เดอะซีรีส์ กับช่อง 8

ซีรีส์ไทยที่ลงสตรีมมิ่งใน iQIYI ปี 2563

นอกจากจะมี Original Content แล้ว ยังดึงคอนเทนต์ที่น่าสนใจลงสตรีมมิ่งอีกเพียบ โดยเฉพาะความร่วมมือกับอาร์เอส จะมีการนำภาพยนตร์เก่าชื่อดัง 11 เรื่องมาปรับปรุงคุณภาพงานภาพและเสียงเพื่อเข้าแพลตฟอร์ม iQIYI เช่น โลกทั้งใบให้นายคนเดียว (เวอร์ชันต้นฉบับ), Sex Phone คลื่นเหงาสาวข้างบ้าน, แสบสนิท ศิษย์สายหน้า, มือปืน/โลก/พระ/จัน, ล่องจุ๊น ขอหมอนใบนั้นที่เธอฝันยามหนุน, เกิดอีกทีต้องมีเธอ เป็นต้น

ปัจจุบัน iQIYI ไทยให้บริการแบบ ฟรีเมียม คือดูฟรีแต่มีโฆษณาคั่น แต่สามารถสมัครสมาชิกได้ในราคา 119 บาทต่อเดือน พร้อมโปรโมชันพิเศษเดือนแรกจ่ายเพียง 15 บาท เพื่อปิดโฆษณาและได้สิทธิดูคอนเทนต์ล่วงหน้าได้ ไม่ต้องรอทยอยออกตอนใหม่ทุกสัปดาห์

เมื่ออาร์เอส-ช่อง 8 กระโดดร่วมวง วางตัวเองเป็นทั้งเจ้าของแพลตฟอร์มและผู้ผลิตคอนเทนต์ รวมถึง iQIYI สตรีมมิ่งแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่จากจีนที่บุกเข้ามาแย่งผู้ชม นับตั้งแต่นี้ การแข่งขันตลาดคอนเทนต์บันเทิงจะยิ่งร้อนแรงขึ้นอย่างแน่นอน!

]]>
1304623
คุยกับ “เฮียฮ้อ” ทรานส์ฟอร์ม RS ยุคใหม่ : ทาสหมาตัวยง ลุยขายอาหารสัตว์ ปัดฝุ่นเพลง https://positioningmag.com/1293489 Thu, 20 Aug 2020 10:28:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1293489 RS เข้าสู่ยุคที่ 4 ของการดำเนินธุรกิจ ได้เปิดสำนักงานใหม่ย้ายจากลาดพร้าวสู่ย่านถนนประเสริฐมนูกิจ หรือเกษตร-นวมินทร์ ยุคที่ 4 นี้มีการปรับโมเดลใหม่หลายๆ อย่าง เตรียมลุยตลาดอาหารสัตว์เต็มตัว แถมยังเตีรยมปัดฝุ่นธุรกิจเพลงที่ห่างหายไปนานด้วย

RS สู่ยุคที่ 4

ถ้าฝั่งแกรมมี่มี “อากู๋” ฝั่ง RS ที่เป็นเหมือนคู่ปรับทางดนตรีมาตลอดก็ต้องมี “เฮียฮ้อ”

RS เป็นหนึ่งในตำนานเพลงยุค 90 ที่หลายๆ คนเติบโตมาพร้อมกับเพลง และศิลปินของ RS ถึงแม้ว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป โมเดลธุรกิจต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อรับกับความต้องการของตลาด แต่ชื่อของ RS ก็ยังคงอยู่

RS ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2519 โดย “สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์” หรือเฮียฮ้อ และพี่ชาย “เกรียงไกร เชษฐโชติศักดิ์”  เริ่มก่อตั้ง RS และ Rose Sound จากธุรกิจตู้เพลง และค่ายเพลง ด้วยเงินลงทุน 50,000 บาท โดยมีสำนักงานแห่งแรกเป็นตึกแถวจำนวน 2 คูหา บนถนนอุรุพงษ์ ตอนนั้นเฮียฮ้อมีอายุ 19 ปี

อาร์เอส กรุ๊ป

จากนั้นในปี 2525 ก้าวเข้าสู่ธุรกิจเพลงวัยรุ่น ภายใต้บริษัท อาร์.เอส.ซาวด์ จำกัด โดยมีศิลปินวงแรกในสังกัดคือ วงอินทนิล ตามด้วย คีรีบูน, ฟรุตตี้, ซิกเซนต์, บรั่นดี, และ เรนโบว์ เป็นต้น

ในปี 2535 ย้ายสำนักงานจากตึกแถว 2 คูหา ถนนอุรุพงษ์ มายังอาคารเชษฐโชติศักดิ์ ซอยลาดพร้าว 15 และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “บริษัท อาร์.เอส. โปรโมชั่น 1992 จำกัด”

ถ้านับถึงตอนนี้ RS มีอายุ 39 ปีแล้ว ย่างเข้าปีที่ 40 ผ่านการทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสู่ธุรกิจทีวีดิจิทัลเต็มตัวในปี 2557 ใช้ช่อง 8 เป็นหัวหอกหลัก ในปี 2559 เปิดบริษัท “ไลฟ์สตาร์ (LifeStar)” เข้าสู่ธุรกิจสุขภาพ และความงาม

จนถึงในปี 2562 มีการทรานส์ฟอร์มครั้งสำคัญที่ RS ได้ขอปรับย้ายหมวดธุรกิจ จากหมวดธุรกิจ “สื่อและสิ่งพิมพ์” มาเป็นหมวด “ธุรกิจพาณิชย์” หรือ MPC (Multi-platform Commerce) โดยกลุ่มนี้สร้างรายได้ได้ในสัดส่วนถึง 65% ของรายได้รวมของ RS และในปีเดียวกันนั้น “บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์” ก็ได้เข้าถือหุ้น RS จำนวน 68 ล้านหุ้น (หรือประมาณ 7%) เพื่อเชื่อมโยงฐานข้อมูลลูกค้า

เฮียฮ้อเริ่มเล่าว่า 39 ปีของ RS ที่ผ่านมา ได้แบ่งเป็น 3 ช่วงใหญ่ๆ จนในปีนี้ถึงยุคที่ 4 เป็นการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ พร้อมกับย้ายสำนักงานใหญ่ด้วย

“ที่ผ่านมาแบ่ง RS เป็น 3 ช่วงด้วยกัน ช่วงแรกเป็นช่วงของปลาใหญ่กินปลาเล็ก ช่วงนั้นเราเป็นปลาเล็ก ช่วงวัยรุ่น คิดแค่ว่าจะเอาตัวรอดได้อย่างไรไม่ถูกกินก่อนที่จะโต พอเข้าสู่ช่วงที่ 2 คือช่วงปี 2535 เริ่มย้ายมาที่ลาดพร้าว ธุรกิจเริ่มใหญ่ขึ้น เป็นปลาใหญ่แล้ว ช่วงนี้จะเป็นปลาใหญ่กินปลาช้า แต่ในช่วงที่ 3 คือช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เป็นยุคปลาฉลามที่กินทุกปลา ปลาใหญ่ หรือปลาเล็กไม่สำคัญ” 

โลโก้ใหม่สุดมินิมอล พร้อมสำนักงานใหม่

ในปีนี้มีการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ เฮียฮ้อบอกว่าไม่ใช่แค่เปลี่ยนโลโก้ใหม่ แต่ยังมีการจัดโครงสร้างองค์กรใหม่ ใช้ระบบ Agile ที่เน้นความรวดเร็ว คล่องตัว กำหนดวัฒนธรรมองค์กรใหม่ เป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนด้วยคอนแทนต์ และสินค้านั่นเอง

โดยที่โลโก้ใหม่ที่ให้ภาพลักษณ์เรียบง่าย มินิมอล และแฝงไปด้วยความร่วมสมัยเป็นสากล ได้ทำงานร่วมกับ มารีน่า วิลเลอร์ กราฟฟิกดีไซเนอร์ผู้ออกแบบโลโก้ให้แก่ เทต โมเดิร์น พิพิธภัณฑ์ศิลปะชื่อดังในอังกฤษ โลโก้ใหม่ยังสื่อถึงความเป็นเป็นองค์กรที่ไร้ขีดจำกัด ไม่มีสี ไม่มีกรอบ เป็นตัวอักษรขาวหรือดำก็ได้

ส่วนสำนักงานใหญ่ที่ย้านมาอยู่ที่ย่านถนนเกษตร-นวมินทร์ มีพื้นที่รวมถึง 16 ไร่ เป็นพื้นที่ส่วนตัวของเฮียฮ้อ และให้ RS เป็นผู้เช่า ซึ่งบ้านของเฮียฮ้อก็อยู่ในระแวกเดียวกันด้วย

ย้ำจุดยืน Entertainmerce

RS ได้เข้าสู่วงการขายของได้ราว 4 ปี เริ่มต้นจากธุรกิจไลฟ์สตาร์ เฮียฮ้อเริ่มมองเห็นแล้วว่าธุรกิจสื่อเริ่มอยู่ในช่วงขาลง ยิ่งมีทีวีดิจิทัล ยิ่งแบ่งเค้กกันมากขึ้น ในขณะที่จำนวนคนดูเท่าเดิม จึงเริ่มเปลี่ยนวิธีจากให้เอยนซี่เป็นลูกค้าซื้อสปอตโฆษณา เป็นให้คนดูเป็นผู้ซื้อแทน ใช้สื่อในเครือทั้งหมดเป็นช่องทางการขาย

RS ได้ Disrupt ตัวเองด้วยการใช้โมเดลธุรกิจ Entertainmerce หรือ Entertainment + Commerce ธุรกิจมีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขนาดขอย้ายจากหมวดธุรกิจ Entertainment มาอยู่หมวด Commerce ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

พรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์

การทำ Entertainmerce ของ RS ก็คือ การใช้ศักยภาพ ทรัพย์สินทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นศิลปิน ดารา นักแสดง คอนเทนต์ สื่อ ทีวี และวิทยุในมือทั้งหมด มาต่อยอดผสมผสานกับธุรกิจคอมเมิร์ซ เพื่อสร้างธุรกิจให้แข็งแรง

พรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ เล่าว่า

“ในปี 2557 เป็นปีที่อุตสาหกรรมสื่อเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากทีวี 4 ช่อง เป็น 24 ช่อง แต่สายตาคนดูเท่าเดิม RS เลยใช้วิธีแตกต่าง เอาเวลาครึ่งนึงของโฆษณามาทำธุรกิจใหม่ จนวันนี้ 5 ปีผ่านไป RS Mall เป็นการผสมช้อปปิ้งเข้ากับความบันเทิง เล่าถึงแนวทางการแก้ปัญหา เสนอข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าได้” 

แม้ในแต่ละสื่อทุกช่องทางของ RS จะมีการขายของเก่งอย่างไร แต่โมเดล Entertainmerce ก็พิสูจน์ได้ว่ามันเข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคนี้ และสามารถทำให้บริษัทอยู่รอดได้ และ RS ยังโตสวนกระแสวงการทีวีดิจิทัลที่มีการขาดทุนกันอย่างนัก ร่วมกับวิกฤต COVID-19 โดยที่ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ สามารถสร้างรายได้ 586.2 ล้านบาท สร้างสถิติ New High สูงที่สุด และมียอดขายจากช่องทางออนไลน์โต 80%

ปัจจุบันมีฐานลูกค้า 1.4 ล้านราย แบ่งสัดส่วนเป็นคนกทม. 65% และคนต่างจังหวัด 35% ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงอายุ 40 ปี ขึ้นไป มียอดใช้จ่ายเฉลี่ย 2,000 บาท

ทาสหมาตัวยง เตรียมขายอาหารสัตว์

ภายใต้ RS Mall ที่เป็นแพลตฟอร์มขายสินค้าของ RS มีสินค้าที่หลากหลาย ทั้งสินค้าแบรนด์ของ RS เอง และแบรนด์ที่รับมาขาย โดยสัดส่วนรายได้ 60% เป็นสินค้าในเครือ และอีก 40% เป็นสินค้าข้างนอก

ชาคริต พิชญางกูร หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจไลฟ์สตาร์ บอกว่า ในปีนี้จะบุกโมเดล Star Commerce Modelนำศิลปินดารามาร่วมคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มแฟนคลับ เริ่มต้นที่ใบเตย อาร์สยาม กับแบรนด์ BT Cosmetics Color Collection มีสินค้าแป้ง Color Palette และ Lipstick

ดร.ชาคริต พิชญางกูร หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจไลฟ์สตาร์

อีกหนึ่งไฮไลท์ของไลฟ์สตาร์ คือ การบุกตลาด “อาหารสัตว์” นอกจากตัวเลขมูลค่าตลาดอันมหาศาลถึง 40,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 10% โดยตลอด ที่สำคัญคือ เฮียฮ้อเป็น “ทาสหมา” ตัวยง จึงรู้ว่าตลาดนี้มีโอกาสมากมายขนาดไหน

เฮียฮ้อเล่าว่า “เฮียเลี้ยงหมา 2 ตัว เริ่มจากตัวเองนี่แหละถึงรู้ว่าตลาดใหญ่มาก เอาจากอินไซต์ของตัวเองเลย ซื้อยาสระผมให้ตัวเองอย่างมากราคา 200 บาท แต่ซื้อให้หมา 700 บาท พวกทาสเนี่ยจ่ายให้หมาแมวเหมือนลูก บางอย่างซื้อดีกว่าลูกด้วยซ้ำ”

เฮียฮ้อเสริมอีกว่า เชื่อว่าอาหารสัตว์จะทำให้เรามีแต้มต่อได้ เพราะเป็นเรื่องของ Emotional ใช้ Storytelling ให้เหมาะสม ยิ่งตอนนี้เป็นเทรนด์ของสังคมอีกด้วย ซึ่งอาหารสัตว์ในตลาดมีหลายกลุ่ม แต่ของไลฟ์สตาร์จะอยู่ในกลุ่มไฮเอนด์ มีทีมคิดสูตรเป็นของตัวเอง คาดว่าจะวางจำหน่ายช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้

เบื้องหลังการปลุกชีพธุรกิจ “เพลง”

อีกหนึ่งไฮไลท์ของแผนธุรกิจในปีนี้ของ RS ก็คือ การที่กลับมาปัดฝุ่น “ธุรกิจเพลง” อีกครั้ง หลังจากที่ห่างหายไปนาน เพราะ RS โฟกัสกับธุรกิจสื่อ และคอมเมิร์ซ

RS Music ในปีนี้จะกลับมาเต็มรูปแบบด้วย 3 ค่ายเพลง RSIAM, Kamikaze และ RoseSound ทั้งหมดเป็นค่ายดั้งเดิมที่เคยมี แต่ศิลปินใหม่ทั้งหมด แต่มาพร้อมกับโมเดลธุรกิจใหม่ ไม่ใช่แค่งานเพลงอย่างเดียว ศิลปินจะต้องขายของได้ด้วย! จะเริ่มเปิดตัวในเดือนตุลาคม

สุกฤช สุขสกุลวัฒน์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจเพลง บอกว่า

“ความท้าทายครั้งสำคัญของธุรกิจเพลง คือ การปรับตัวเพื่อสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ที่แตกต่าง เพลงเป็นแค่เครื่องมือหนึ่ง แต่สิ่งที่จะสร้างและต่อยอดธุรกิจได้คือ สตาร์ ที่มีตัวตน มีคาแรคเตอร์ที่ชัดเจน และมีฐานแฟนคลับ ซึ่งทั้งหมดจะถูกเชื่อมโยงกับโมเดลธุรกิจใหม่ Music Star Commerce จากการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ศิลปิน และสอดคล้องกับธุรกิจของอาร์เอส กรุ๊ป”

ถ้าถามว่าทำไมในปีนี้ถึงเป็นจังหวะที่ RS จะกลับมารุกธุรกิจเพลงอีกครั้ง เฮียฮ้อบอกแค่ว่า วันนี้มี Business Model รองรับนั่นเอง

“หัวใจสำคัญของกลยุทธ์ RS รู้ว่าเมื่อไหร่ควรทำ ควรหยุด ควรช้า ควรเร็ว จังหวะในการทำธุรกิจคือสิ่งสำคัญ โตได้โต โตไม่ได้อย่าฝืน มาทำช่วงที่กลับมาได้  เราปรับตัวในธุรกิจเพลงตลอด สร้างโมเดลใหม่ๆ ทำให้ยังมีรายได้ ตอนนี้ทรานฟอร์มจนคอมเมิร์ซเป็นธุรกิจใหญ่ การกลับมารุกธุรกิจเพลงอีกครั้ง เอาค่าย RoseSound ค่ายเพลงแรกในชีวิตกลับมา เพราะวันที่มี Business Model พร้อมรองรับ ต้องต่อยอดกับโมเดลคอมเมิร์ซได้ เรามีต้นน้ำถึงปลายน้ำพร้อม”

เฮียฮ้อบอกว่าแต่เดิมโมเดลธุรกิจเพลงของ RS จะเป็นการวางตัวเป็นมาร์เก็ตติ้ง นั่นคือให้ศิลปินออกเงินเอง แต่ทางค่ายเป็นคนทำการตลาดให้ หรือมีหน้าที่ซัพพอร์ต แต่ตอนนี้มีธุรกิจคอมเมิร์ซ ไม่เลือกแค่ร้องดีมีคุณภาพ แต่ต้องต่อยอดคอมเมิร์ซได้ ขึ้นอยู่กับศักยภาพของศิลปิน เป็นพาร์ทเนอร์ เจ้าของแบรนด์ได้

ในปี 2562 RS มีรายได้รวม 3,200 ล้านบาท ในปีนี้ตั้งเป้ารายได้ที่ 4,200 ล้านบาท มีการปรับลดแผนจากเดิมที่วางไว้ที่ 5,000 ล้านบาทเพราะวิกฤต COVID-19

แบ่งสัดส่วนรายได้ธุรกิจคอมเมิร์ซ 65% ทีวี 20% วิทยุ 10 และเพลง 5%

เฮียฮ้อตั้งเป้ารายได้ไปถึง 10,000 ล้านบาท แต่ยังไม่บอกว่าภายในกี่ปี แต่ที่แน่ๆ คอมเมิร์ซยังเป็นธุรกิจใหญ่ที่จะยังคงมีสัดส่วนถึง 80%

]]>
1293489
RS โตสวน COVID-19 ไตรมาส 1/63 กำไรโต 184% สร้างนิวไฮสูงสุดเป็นประวัติการณ์! https://positioningmag.com/1277766 Mon, 11 May 2020 04:58:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1277766 อาร์เอส กรุ๊ป เปิดผลประกอบการไตรมาสแรก ปี 2563 ทำกำไรนิวไฮ ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจในช่วงต้นปี ต่อเนื่องมาจนถึงวิกฤต COVID-19 ด้วยผลกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 186 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 184% จากไตรมาสสุดท้ายของปี 2562

สินค้าสุขภาพดันการเติบโต

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ RS เติบโต มาจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซ สินค้าสุขภาพ หลังจากที่ผู้บริโภคกังวลจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 อีกทั้งมาตรการ Work from Home ยังช่วยดันโฮมช้อปปิ้ง และธุรกิจสื่อช่อง 8 ด้วย

วิทวัส เวชชบุษกร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า

“จากการปรับแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ส่งผลให้กำไรในไตรมาสแรกของปี 2563 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีรายได้รวม 985 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10% และมีกำไรสุทธิ 186 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 184% เทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปี 2562 จากความสำเร็จในการมุ่งเน้นอัตราการทำกำไร และการสร้างรายได้จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ใช้เทคโนโลยีมากขึ้นในการใช้ชีวิต และหันมาใส่ใจสุขภาพเป็นพิเศษในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้ ธุรกิจ Commerce เติบโตขึ้นตามไปด้วย”

โดยมี RS Mall แพลตฟอร์มที่จำหน่ายสินค้าทั้งออนแอร์และออนไลน์ และบริษัท ไลฟ์สตาร์ จำกัด ทำรายได้รวม 500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาสที่ 4 ของปี 2562 โดยเป็นผลมาจากการขยายช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางออนแอร์เพิ่มขึ้น ผ่านช่องผู้นำทีวีดิจิทัล ร่วมกับการทำโปรโมชันที่ตอบโจทย์ลูกค้า

มีรายได้จากกลุ่มลูกค้าใหม่ ที่เติบโตสูงขึ้น 30% โดยปัจจุบัน RS Mall มีฐานข้อมูลลูกค้า1.35 ล้านราย

สื่อยังโตอยู่

ธุรกิจสื่อมีรายได้รวม 376 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ของปี 2562 โดยเรตติ้งของช่อง 8 ปรับตัวดีขึ้นในช่วงเดือนมกราคม-เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาในกลุ่มผู้ชมอายุ 15+ ซึ่งรายการที่มีเรตติ้งสูงสุดได้แก่ รายการข่าว ละคร ซีรีส์ และรายการมวย

“COOLfahrenheit” ภายใต้การดำเนินงานของ COOLISM ทุบทุกสถิติการฟังเพลงออนไลน์สูงสุดในรอบ 12 เดือน ด้วยการเข้าฟังมากสูงสุดกว่า 1.2 ล้านครั้งต่อชั่วโมง ในช่วงเวลาทำงาน Work from Home ตั้งแต่ 8.00-18.00 น. ปัจจุบัน ธุรกิจของ COOLISM เติบโตจากการขายสื่อโฆษณาบนคลื่นวิทยุและออนไลน์ และการจัดกิจกรรมร่วมกับผู้ฟังรายการ

ขณะที่ มาตรการ Work from Home ที่ผ่านมา ส่งผลให้รายได้ของธุรกิจเพลง ในเครืออาร์เอส กรุ๊ป จากการฟังและดาวน์โหลดผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น และจากการปรับกลยุทธ์การดำเนินงานแบบ Music Marketing ทำให้การบริหารต้นทุนมีประสิทธิภาพ และสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากการที่ศิลปินสามารถวางแผนการสร้างผลงานได้ด้วยตนเอง รวมถึงการบริหารลิขสิทธิ์เพลงเพิ่มขึ้นผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ

ซึ่งในไตรมาสแรกของปี 2563 บริษัทฯ มีการจัดคอนเสิร์ต “D2B Infinity Fun2020” เข้ามาสนับสนุนจึงทำให้รายได้จากธุรกิจเพลงเพิ่มขึ้นด้วย

ด้าน นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า

“ในไตรมาสแรกของปี 2563 นับเป็นการเริ่มต้นปีที่แข็งแกร่ง ด้วยผลการดำเนินงานที่เกินคาดหมาย จากการที่เรามองโอกาสและเตรียมพร้อมอยู่เสมอ จึงทำให้ธุรกิจของเราเติบโตมากกว่าที่จะได้รับผลกระทบ เรามีธุรกิจที่หลากหลาย และปรับกลยุทธ์อย่างรวดเร็วให้เข้ากับการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบ New Normal โดยหลังจากนี้ โอกาสเติบโตทางธุรกิจของ อาร์เอส กรุ๊ป จะเกิดขึ้นจากการขับเคลื่อนกลยุทธ์ Entertainmerce เข้าไปในทุกธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ อาทิ

1) RS Mall จัดแคมเปญใหญ่ต่อเนื่อง เพื่อลดราคาสินค้า ช่วยเหลือผู้บริโภคที่เดือดร้อนในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา

2) ไลฟ์สตาร์ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพ ที่เน้นเสริมภูมิคุ้มกัน และร่วมมือกับพันธมิตรจากต่างประเทศ เพื่อนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาจำหน่ายบนแพลตฟอร์มต่างๆ ของ RS Mall

3) ช่อง 8 เปิดตัวรายการใหม่ให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ Entertainmerce สร้างคอนเทนต์ตรงกลุ่มเป้าหมาย ผนวกกับสินค้าและบริการในราคาที่คุ้มค่ากว่า และสร้างรายได้เพิ่มจากการขายคอนเทนต์ละครไปในประเทศต่างๆ และบนแพลตฟอร์มออนไลน์อื่นๆ

4) COOLISM เปิดตัวแอปพลิเคชัน COOLanything เพื่อเปลี่ยนผู้ฟังกว่า 2 ล้านรายต่อเดือน เป็นผู้ซื้อ สามารถฟังเพลงพร้อมเลือกซื้อสินค้าราคาพิเศษได้ในเวลาเดียวกัน สำหรับธุรกิจเพลง ขายลิขสิทธิ์เพลง สร้างรายได้เพิ่มจากช่องทางออนไลน์ (OTT media service)

]]>
1277766