อาหารสัตว์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 16 Jul 2025 11:45:11 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Kaniva แบรนด์อาหารแมว อายุ 5 ปี ทำรายได้แตะ 1 พันล้านบาท โตเร็วปีละ 292% https://positioningmag.com/1530241 Wed, 16 Jul 2025 08:08:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1530241 ตลาดอาหารสัตว์ ขยายตัวสูงจากเทรนด์คนเลี้ยงสัตว์เป็นลูก (Pet Parent) มากขึ้น ส่งผลให้มีแบรนด์ใหม่ลงสู่สนามต่อเนื่อง ทำให้การแข่งขันในตลาดดุเดือด (Red Ocean)

ขณะที่ “Kaniva” แม้เป็นน้องใหม่ อายุเพียง 5 ปี แต่รายได้กลับโตเร็วเฉลี่ย 292% ต่อปี!

  • ปี 2563 รายได้ 4.9 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 7.71 แสนบาท
  • ปี 2567 รายได้ 1,167 ล้านบาท กำไรสุทธิ 84 ล้านบาท

จาก Pet Shop ของทาสแมวนักศึกษาปี 2 สู่ Kaniva แบรนด์อาหารสัตว์พันล้าน

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2557 “จารุวัฒน์ เลาหวิศิษฏ์“ เป็นนักศึกษาปี 2 และเริ่มเข้าสู่วิถีทาสแมว โดยเลี้ยงแมวตัวแรกชื่อ “น้องเบค่อน”

ตอนนั้นเขาไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับการเลี้ยงสัตว์นัก จึงไปร้าน Pet Shop แถวบ้าน ปรึกษาผู้ขายเกี่ยวกับอาหารแมวที่เหมาะสมกับลูกแมว แต่ได้คำตอบว่า ‘ให้เลือกซื้อแบรนด์ที่แพงที่สุด‘

ทำให้จารุวัฒน์ว่าอาหารแมวที่ดี มีแต่ราคาสูงหรือ และเริ่มมีแนวคิดอยากให้คำปรึกษา Pet Parent มือใหม่ เกี่ยวกับอาหารสัตว์อย่างละเอียด ผู้เลี้ยงคนอื่นจะได้ไม่เจอปัญหาอย่างเขา

Kaniva
“จารุวัฒน์ เลาหวิศิษฐ์“ กรรมการบริหาร บริษัท เพ็ท โพรเทคท์ ฟู้ด จำกัด เจ้าของอาหารแมวแบรนด์ Kaniva (คานิว่า) และแมวตัวแรกชื่อ “น้องเบค่อน”

จารุวัฒน์ และ นิติพงศ์ เลาหวิศิษฏ์ (พี่ชาย) จึงใช้เงินลงทุนราว 2 ล้านบาท เปิดร้าน Pet Shop ชื่อ “เคเพ็ท” ขึ้นมา และในช่วง 6 ปีที่ทำได้ขยายสาขารวม 5 แห่ง

ถึงจุดหนึ่งทั้งคู่อยากขยับไปสู่ การทำสิ่งที่ใหญ่ขึ้น ในปี 2563 จึงเริ่มก่อตั้งบริษัท เพ็ท โพรเทคท์ ฟู้ด จำกัด ใช้เงินทุน 1 ล้านบาท ทำแบรนด์ Kaniva (คานิว่า) เริ่มจากการทำอาหารแมว ก่อนในอีก 3 ปี จึงขยายไปสู่อาหารหมา และได้ขายกิจการ Pet Shop ออกไป เพื่อโฟกัสธุรกิจอาหารสัตว์อย่างเดียว

อาวุธลับ รู้อินไซต์แมว-อาหารแมวคุณภาพดีในราคาเข้าถึงได้

หมัดเด็ดของ Kaniva คือ การทำอาหารแมวคุณภาพดี ในราคาย่อมเยาลงมา อาทิ อาหารแมวแบบเม็ด ขนาดเริ่มต้น 400 กรัม ราคาไม่ถึง 100 บาท

รวมถึงพัฒนาสินค้าตามอินไซต์จาก Pet Parent เช่น

  • อาหารแมวแบบเม็ด สูตร Grain-Free ไม่ใช้ธัญพืชอย่างข้าวโพด ข้าว เนื่องจากพบว่า มีกลุ่มแมวแพ้ธัญพืช ทำให้หาอาหารสัตว์ได้ยากและมีราคาสูง
  • อาหารแมวแบบเปียกใส่วิตามินบอล และคอลลาเจนบอล สำหรับ Pet Parent ที่ต้องการบำรุงร่างกาย/ขนน้องแมวโดยเฉพาะ
  • อาหารแมวแบบเปียกซีรีส์ไข่ตุ๋น สำหรับให้แมวได้กินอาหารแบบที่เรากิน แต่ยังคงรักษาสุขภาพ
Kaniva อาหารแมวแบบเปียก สูตรคอลลาเจนบอล
Kaniva อาหารแมวแบบเปียก สูตรคอลลาเจนบอล

รวมไปถึงแผนการตลาดผ่าน Music Marketing เพลงคานิว่าอาหารแมว ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จุดพลุ ทำให้คนคุ้นหูแบรนด์ Kaniva แต่อาจจะไม่รู้หน้าตาแบรนด์มากนัก

ปี 2568 Kaniva ยังคงเน้นแผนการตลาดต่อเนื่อง โดยทำแคมเปญใหญ่ และตั้งพรีเซ็นเตอร์เป็นศิลปินวง BUS ทั้ง 12 คน เจาะกลุ่ม Gen Z ต่อเนื่อง ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 30% เป็นกลุ่มมีสัตว์เลี้ยง

Kaniva ศิลปินวง BUS

จากการการดำเนินงานทั้งหมดนี้ ทำให้ Kaniva เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่โตเร็ว ภายใน 5 ปี มีรายได้แตะหลักพันล้านบาท

ปี 2563

  • รายได้ 4.90 ล้านบาท
  • ขาดทุนสุทธิ 7.71 แสนบาท

ปี 2564

  • รายได้ 150 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ 12.2 ล้านบาท

ปี 2565

  • รายได้ 442 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ 39.6 ล้านบาท

ปี 2566

  • รายได้ 909 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ 92.4 ล้านบาท

ปี 2567

  • รายได้ 1,167 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ 84 ล้านบาท

คานิว่า kaniva

โตเกินฝัน จากนี้เตรียมบุกต่างประเทศต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี ก้าวต่อไปของ Kaniva คือ การพาแบรนด์อาหารสัตว์สัญชาติไทยบุกโกลบอล จากปี 2565 คานิว่าเริ่มต้นจากขนของแบ็กแพ็กออกบูธในต่างประเทศ นำร่องอินโดนีเซีย ก่อนขยายสู่ประเทศในอาเซียน และตะวันออกกลาง

จนปัจจุบันส่งสินค้าขายครอบคลุม 18 ประเทศทั่วโลก ในปีนี้จ่อขยายเพิ่มอีก 2 ประเทศ อาทิ จีน จะช่วยหนุนยอดขายให้เติบโต

“ตอนนี้เราโตเกินฝันที่ตั้งไว้ตอนต้น จากนี้ต่อไปมันคือกำไรแล้ว ส่วนปีนี้ตั้งเป้าเติบโตราว 30% และในอนาคตเราอยากให้แบรนด์ Kaniva เป็น Top of mind เบอร์ต้น ๆ ของกลุ่ม Pet Parent”

]]>
1530241
สายเนื้อก็รักษ์โลก! สตาร์ทอัพออสซี่กำลังพัฒนา “อาหารวัว” ที่ช่วยลดการ “เรอ-ตด” ก๊าซมีเธน https://positioningmag.com/1416735 Thu, 26 Jan 2023 04:47:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1416735 สายเนื้อจะห้ามใจหันไปกิน plant-based ได้อย่างไร แต่สิ่งแวดล้อมก็ต้องรักษาไว้ ทำให้สตาร์ทอัพชื่อ Rumin8 เริ่มพัฒนา “อาหารวัว” ที่จะช่วยลดการเรอและผายลมในวัว ต้นเหตุของก๊าซมีเธนตัวการโลกร้อน

Rumin8 เป็นสตาร์ทอัพที่ก่อตั้งในเมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย โดยเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีเป้าหมาย ‘ลดการปล่อยก๊าซมีเธน’ มีโปรดักส์หนึ่งที่น่าสนใจคือการพัฒนา “อาหารวัว” ที่ทำมาจากสาหร่ายทะเล ซึ่งจะช่วยให้วัวที่กินเข้าไปลดการผายลมและการเรอได้

สตาร์ทอัพรายนี้เพิ่งจะระดมทุนเฟส 2 ในรอบ Seed Stage ไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (23 มกราคม 2023) โดยได้รับเงินลงทุนไป 25 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 581 ล้านบาท) ที่น่าสนใจคือ นักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในรอบนี้ก็คือ Breakthrough Energy Ventures หรือ BEV ซึ่งเป็นบริษัทลงทุนในสตาร์ทอัพของ “บิล เกตส์”

Rumin8 ระบุว่าเงินทุนในรอบนี้จะถูกนำไปใช้สร้างสายการผลิตเบื้องต้น และเริ่มการทดลองขายอาหารวัวดังกล่าวในเชิงพาณิชย์

ทำไมการลดการตดและเรอของวัวจึงสำคัญ? คำตอบคือ ในการตดและเรอของวัวนั้นจะมีก๊าซมีเธนออกมาด้วย และก๊าซมีเธนนี้มีศักยภาพในการกักเก็บความร้อนในชั้นบรรยากาศมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 25 เท่า (ข้อมูลจากสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกา)

การทำปศุสัตว์นั้นคิดเป็นสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในโลกนี้ถึง 15% ทำให้การทำฟาร์มสัตว์ขนาดใหญ่ทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงการลดผลกระทบของธุรกิจตัวเองต่อโลก โดยต้องแก้โจทย์ให้ได้ว่าจะทำอย่างไรถึงเลี้ยงสัตว์ได้อย่างยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม

สัปดาห์ก่อนนี้ บิล เกตส์ ก็เพิ่งจะเข้าไปตอบคำถามใน Reddit Ask Me Anything เกี่ยวกับเนื้อสัตว์ที่รักษ์โลกมากขึ้น โดยเขาเล่าถึงกระแสนี้ว่า “มีบริษัทมากมายที่กำลังผลิต ‘เนื้อ’ ในวิถีทางใหม่ หลายคนกำลังหาทางเพื่อที่จะยังเลี้ยงวัวได้อยู่แต่ลดการปล่อยก๊าซมีเธนแทน ผมคิดว่าสินค้าพวกนี้จะค่อยๆ กลายเป็นสินค้าที่ดีมาก แม้ว่าวันนี้ส่วนแบ่งในตลาดของพวกเขาจะยังเล็กอยู่”

ไม่ได้มีแค่ Rumin8 หรือ BEV เวนเจอร์แคปปิตอลของเกตส์ ที่สนใจเรื่องการลดก๊าซมีเธนจากตดและเรอของวัว เมื่อสัปดาห์ก่อน Danone บริษัทยักษ์ใหญ่ในธุรกิจอาหารจากฝรั่งเศส ก็ให้คำมั่นว่า บริษัทจะลดการปล่อยก๊าซมีเธนจากฟาร์มวัวนมของตนเองให้ได้ 1 ใน 3 ส่วนภายในสิ้นทศวรรษนี้

รวมถึง “นิวซีแลนด์” ประเทศผู้ส่งออกเนื้อวัวรายใหญ่ ก็กำลังจะเสนอร่างกฎหมายเพื่อ “เก็บภาษีจาก ‘เรอ’ ของปศุสัตว์” ภายในปี 2025!

Source

]]>
1416735
AAI เร่งลงทุนทำอาหารสัตว์ครบวงจร รับเมกะเทรนด์สัตว์เลี้ยงเหมือนสมาชิกครอบครัว https://positioningmag.com/1403312 Wed, 05 Oct 2022 07:42:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1403312 ไม่ใช่แค่เทรนด์ธรรมดาทั่วไป แต่เป็นเมกะเทรนด์ไปแล้ว สำหรับการเป็นทาสสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะทาสหมา ทาสแมว ผู้บริโภคไม่ได้มองน้องๆ เป็นสัตว์ แต่เป็นเหมือนหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว ทำให้ได้เห็นตลาดอาหารสัตว์เติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีแบรนด์ใหม่เข้ามาบุกในตลาดอย่างต่อเนื่อง

ตลาดอาหารสัตว์บูม

บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI เป็นอีกหนึ่งผู้ผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง แต่เดิมมีทั้งกลุ่มอาหารสัตว์ และอาหารคน ปัจจุบันรายได้ของอาหารสัตว์ได้แซงหน้าอาหารคนไปแล้ว จึงเป็นโอกาสสำคัญในการเร่งสปีดในการเติบโต

ตลาดผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงในปัจจุบันมีศักยภาพการเติบโตสูง อ้างอิงข้อมูลจากบทวิจัย Fortune Business Insights ที่แสดงให้เห็นว่าภาพรวมตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงของโลกในปี 2564 มีมูลค่า 1.1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ที่มีมูลค่า 8.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือเติบโตเฉลี่ยมากกว่า 8% ต่อปี และคาดการณ์ว่าแนวโน้มตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงของโลกในปี 2572 จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 1.6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปี

AAI คาดการณ์ว่าจะบริษัทเติบโตได้ดีกว่าอุตสาหกรรม หรือได้ไม่น้อยกว่า 10% โดยมีปัจจัยหลักมาจากผู้คนให้ความนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม Millennial และ Gen Z เนื่องจากการแพร่ระบาด COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ผู้คนใช้ชีวิต และทำงานที่บ้านเพิ่มขึ้น จึงมีความนิยมเลี้ยงสัตว์เพื่อคลายความเหงา เกิดเป็นเทรนด์การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเสมือนเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัว (Pet Humanization)

ส่งผลให้มูลค่าการขายอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงดังกล่าว อีกทั้งยังมีการจับจ่ายซื้ออาหารว่าง ขนมขบเคี้ยว ให้กับสัตว์เลี้ยงมากขึ้นอีกด้วย

อาหารสัตว์ แซงหน้าอาหารคน

เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง (Pet Food) และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก (Human Food) เป็นหนึ่งในบริษัทย่อย และเป็นบริษัทแกนหลัก (Flagship) ของการดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงของ กลุ่มบมจ. เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น หรือ ASIAN

ในประเทศไทยตลาดอาหารสัตว์มีมูค่า 40,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็นอาหารสัตว์ 45% และอุปกรณ์เสริม สถานพยาบาลต่างๆ 55% โดยในกลุ่มอาหารแบ่งเป็นอาหารแห้ง 70% และอาหารเปียก 30%

ปัจจุบันแบ่งผลิตภัณฑ์เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

  1. ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง (Pet Food) สำหรับสุนัข และแมว ครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก และผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเม็ด มีทั้งรับจ้างผลิต OEM และแบรนด์ของบริษัทเอง ประกอบด้วย มองชู (monchou) และมาเรีย (Maria) เจาะกลุ่มลูกค้าในตลาดสินค้าพรีเมียม ส่วนมองชู บาลานซ์ (monchou balanced) และฮาจิโกะ (Hajiko) เจาะกลุ่มลูกค้าในตลาดแมส และโปร (Pro) เจาะกลุ่มลูกค้าระดับอีโคโนมี
  2. ผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก (Human Food) มีทั้งในรูปแบบผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าในน้ำปรุงรส และซอสปรุงรส และผลิตภัณฑ์อาหารปรุงสุกพร้อมทาน โดยรับจ้างผลิต OEM ทั้งหมด รวมไปถึงยังจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผลพลอยได้ (By-product) จากการแปรรูปปลาทูน่า เช่น ผลิตภัณฑ์ปลาป่น ผลิตภัณฑ์น้ำนึ่งปลา และผลิตภัณฑ์น้ำมันปลา

เอกราช พรรณสังข์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI เล่าว่า

“AAI ก่อตั้งปี 2551 เป็นบริษัทลูกของเอเชียน แรกเริ่มทำอาหารคนก่อน พวกทูน่ากระป๋องต่างๆ มีอาหารสัตว์บ้าง จนปี 2554 เริ่มทำอาหารสัตว์มากขึ้น ตอนแรกอาหารคนมีสัดส่วน 90% และมีปี 2564 อาหารสัตว์มีสัดส่วนแซงหน้าที่ 80% แล้ว แต่เดิมธุรกิจหลักรับจ้างผลิตให้ลูกค้า หรือ OEM ก่อน และในปี 2561 เริ่มทำแบรนด์ของตัวเอง เพราะมองเห็นเทรนด์การเติบโต และมีความรู้การตลาดมากขึ้น เริ่มทำให้ครอบคลุมทั้งอาหารเปียก และอาหารแห้ง”

AAI ได้ปรับตัวจากการเป็น OEM รับจ้างผลิตตามโจทย์ของลูกค้า มองเห็นว่ามีความได้เปรียบทั้งโรงงาน วิธีการผลิต จึงเปลี่ยนจากผู้ผลิต เป็นเจ้าของแบรนด์แทน อีกทั้งยังมีกำไรที่คงที่ด้วย

“ตอนทำ OEM ลูกค้าก็เอาสเป็กมา ผลิตตามโจทย์ของเขา ได้มีเพิ่มทางเลือกต่างๆ นวัตกรรมใหม่ๆ ผันตัวมาเป็น Co-developer ร่วมกับลูกค้า ทำให้เราได้เรียนรู้เทรนด์ สิ่งที่ลูกค้าต้องการ รู้เรื่องวิธีการผลิต สินค้าตัวไหนตอบโจทย์ เอาแต่ละอย่างมาเป็นประสบการณ์ในการสร้างแบรนด์ เราได้เปรียบที่มีโรงงาน รู้ว่าอะไรที่ลูกค้าต้องการ”

น้องๆ เป็นสมาชิกครอบครัว

แต่เดิมพฤติกรรมการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงของคนไทย จะมองน้องๆ เป็นแค่สัตว์เลี้ยง อาจจะนำวัตถุดิบที่เหลือในครัวมาทำเป็นอาหารให้น้องๆ แต่ปัจจุบันคนเลี้ยงสัตว์ได้ขัยบตัวเป็น “ทาส” กันมากขึ้น มองเห็นน้องๆ เป็นหนึ่งสมาชิกของครอบครัว คำนึงเรื่องของใช้ และโภชนาการมากขึ้น

“เทรนด์ของการเลี้ยงสัตว์มีการปรับตัวขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เห็นทาสหมาทาสแมวเยอะขึ้น แต่ก่อนคนเลี้ยงจะใช้ของเหลือในบ้านมาทำเป็นอาหาร ตอนนี้เขามองว่าสัตว์เลี้ยงไม่ใช่สัตว์ แต่เป็นคนในครอบครัว เริ่มแคร์เรื่องโภชนาการ เทรนด์นี้มาจากประเทศมีประชากรมากขึ้น สังคมเป็นครอบครัวเดี่ยว คนแต่งงานน้อยลง มีลูกน้อยลง เอาสัตว์เลี้ยงมาเป็นสมาชิกในครอบครัว”

หรืออย่างการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป เดี๋ยวนี้เหล่าทาสๆ มักจะพาสัตว์เลี้ยงติดตามไปด้วยแทบทุกที่ แต่ก่อนสถานที่ต่างๆ จะไม่ให้พาสัตว์เลี้ยงเข้า แต่ตอนนี้ทั้งศูนย์การค้า คาเฟ่ สายการบิน เอาใจทาสสัตว์เลี้ยงมากขึ้น สามารถพาเข้าสถานที่ได้

ธุรกิจอาหารสัตว์ กับการเข้า IPO

ล่าสุด AAI เดินหน้าเสนอขายหุ้น IPO ระดมทุนเพื่อการลงทุนในอนาคต ปัจจุบัน AAI มีทุนจดทะเบียนจำนวน 2,125 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 2,125 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท โดยเป็นทุนชำระแล้วทั้งสิ้นจำนวน 1,700 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 1,700 ล้านหุ้น และจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 637.5 ล้านหุ้น

แบ่งเป็น 1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 425 ล้านหุ้น และ 2) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม (บมจ. เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น: ASIAN) จำนวนไม่เกิน 212.5 ล้านหุ้น รวมทั้งหมดไม่เกินร้อยละ 30 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้

โดยจะนำเงินจากการระดมทุนไปใช้ลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก สร้างคลังสินค้าอัตโนมัติแห่งที่ 2 ชำระคืนเงินกู้ยืม และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในอนาคต โดยมีแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในปีนี้

“การพาบริษัทเข้า IPO ต้องการสร้างความแข็งแกร่งให้ AAI เติบโตได้ตัวเอง ตอนนี้มีตลาดรองรับ มีกำลังการผลิตที่ทำได้ ก่อนหน้านี้มีปฏิเสธลูกค้าไปเยอะเพราะเรื่องกำลังการผลิตไม่เพียงพอ งบลงทุนจะนำไปเพิ่มกำลังการผลิต 7,000 ตัน อีกทั้งยังจัดการดูธุรกิจต้นน้ำ มีทุนหมุนเวียน ลงทุนในต่างประเทศ ทำคลังสินค้าอัตโนมัติ”

ปี 2564 มีรายได้ 4,980 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย (CAGR) 11% ต่อปี และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 16 ล้านบาท ในปี 2559 เป็น 639 ล้านบาทในปี 2564 เติบโตเฉลี่ย (CAGR)108% ต่อปี สัดส่วนของธุรกิจ OEM ยังใหญ่กว่า 93% ส่วนแบรนด์ตัวเอง 7% แต่มีการตั้งเป้าว่าจะเพิ่มสัดส่วนรายได้ของแบรนด์ตัวเองเป็น 10% ใน 4-5 ปีข้างหน้า

]]>
1403312