Elon Musk เจ้าของกิจการหลากหลายธุรกิจอย่างเช่น SpaceX และ Tesla ฯลฯ ได้เยือนประเทศอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการ โดยบริษัทได้มีการเปิดตัวบริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมอย่าง Starlink อย่างเป็นทางการ โดยบริการดังกล่าวนั้นเน้นไปยังด้านการแพทย์ตามพื้นที่ห่างไกล

เจ้าของ SpaceX รายนี้ได้เดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัวมายังเกาะบาหลี เพื่อที่จะพบปะกับ Budi Gunadi Sadikin รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของอินโดนีเซีย และเปิดตัวบริการดังกล่าว ซึ่งเป็นประเทศที่ 3 ในอาเซียนต่อจากมาเลเซีย และฟิลิปปินส์

ในเริ่มต้นนั้นศูนย์การแพทย์ในเกาะบาหลีจะใช้งาน Starlink ได้ 2 แห่ง และอีกแห่งบนเกาะ Aru ซึ่งใกล้กับหมู่เกาะปาปัว โดย Elon Musk ได้กล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ว่าจะสามารถช่วยชีวิตได้มากเพียงใด และเขายังได้มีการทดสอบพูดคุยกับทีมงานในศูนย์การแพทย์ด้วย

นอกจากนี้ Starlink ยังมีการเปิดใช้งานในอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการ แต่รัฐบาลเองมีแผนที่จะนำบริการดังกล่าวเข้าไปยังพื้นที่ห่างไกล เนื่องจากประเทศมีหมู่เกาะใหญ่เล็กรวมกันหลายร้อยเกาะ ทำให้ประสบปัญหาในเรื่องการติดต่อสื่อสาร

ผู้ใช้งานของ Starlink นั้นมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2021 นั้นมีผู้ใช้งานราวๆ 500,000 รายเท่านั้น แต่ตัวเลขล่าสุดในเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีผู้ใช้งานมากถึง 2.4 ล้านรายรวมกัน และมีประเทศที่เปิดให้ใช้งานเพิ่มขึ้น ซึ่งอินโดนีเซียถือเป็นประเทศล่าสุด

ที่มา – Reuters, The Independent

มีการเปิดเผยว่า อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ได้ส่งอีเมลถึงผู้จัดการเทสลา เพื่อประกาศการลาออกของ 2 ผู้บริหารหลัก ได้แก่ รีเบคก้า ตินุค (Rebecca Tinucci) ผู้อำนวยการอาวุโสของฝ่ายอีวีชาร์จจิง และ ดาเนียล โฮ (Daniel Ho) ผู้อำนวยการฝ่ายโครงการยานพาหนะ 

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ยุบแผนก Supercharger ซึ่งส่งผลกระทบต่อพนักงานประมาณ 500 คนในทีม และพนักงานอื่น ๆ ที่ทำงานตรงกับโฮจะต้องถูกให้ออกด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ บริษัทยังยุบทีมนโยบายสาธารณะอีกด้วย ซึ่งแหล่งข่าวพนักงานปัจจุบันและอดีตได้เปิดเผยกับ CNBC ว่า เทสลาเริ่มเลิกจ้างพนักงานบางส่วนตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมกราคม และเริ่มเลิกจ้างมากขึ้นในเดือนนี้

สำหรับการเลิกจ้างงานที่กําลังดําเนินอยู่ ถือเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการลดต้นทุนครั้งใหญ่ หลังจากที่รายได้บริษัท Q1/2024 ลดลง 9% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับปีนับตั้งแต่ปี 2012 ขณะที่ กำไรลดลงถึงครึ่งหนึ่ง เนื่องจากเทสลาลดราคารถยนต์และออกมาตรการเพื่อกระตุ้นความต้องการ

โดยหลังจากที่มีข่าวว่าเทสลาปรับลดพนักงานในครั้งนี้ ส่งผลให้หุ้นเทสลาร่วงลงเกือบ 6%  และนับตั้งแต่ต้นปี มูลค่าหุ้นของเทสลาลดลงถึง 26% จนถึงปัจจุบัน

Source

อีลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัพ Neuralink ได้ออกมาเปิดเผยว่า ผู้ป่วยรายแรกที่ได้รับการปลูกถ่ายชิปในสมองโดย Neuralink นั้นเริ่มฟื้นตัวเต็มที่ และสามารถ ควบคุมเมาส์ผ่านการคิด ได้แล้ว

“ความคืบหน้าเป็นสิ่งที่ดี และดูเหมือนว่าผู้ป่วยจะฟื้นตัวเต็มที่ โดยไม่มีผลกระทบร้ายแรงที่เราทราบ ซึ่งผู้ป่วยสามารถขยับเมาส์ไปรอบ ๆ หน้าจอได้เพียงแค่คิด และ Neuralink กําลังพยายามทำให้ผู้ป่วยคลิกเมาส์ให้ได้มากที่สุด” มัสก์ กล่าวในงาน Spaces บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย X

มัสก์ ก่อตั้งบริษัท Neuralink โดยหวังว่าจะทำให้ผู้คนสามารถควบคุมเคอร์เซอร์ของคอมพิวเตอร์หรือแป้นพิมพ์โดยใช้ความคิดของพวกเขา ผ่านการผ่าตัดฝังอินเทอร์เฟซสมองกับคอมพิวเตอร์ในบริเวณของสมองที่ควบคุมความตั้งใจที่จะเคลื่อนไหว โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาโรคต่าง ๆ เช่น โรคอ้วน ออทิสติก ภาวะซึมเศร้า และโรคจิตเภท โดยในปีที่ผ่านมา มูลค่าของบริษัท Neuralink อยู่ที่ประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์ 

Source

ดูเหมือนจะมีคนตาดีเห็น อีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของเอ็กซ์ (X) ตอบกลับแอคเคาท์ @breakingbaht ที่ระบุว่า “ชาวยิวมีทัศนคติเหยียดหยามคนผิวขาวในยุโรป” ว่า “คุณพูดความจริงด้วย” และตอบกลับอีกข้อความว่า “ผมไม่เห็นด้วยกับข้อความของกลุ่ม ADL (Anti-Defamation League องค์กรเอกชนระหว่างประเทศที่สนับสนุนชาวยิว) หรือคนอื่น ๆ ที่จงใจเหยียดเชื้อชาติคนผิวขาว คนเอเชีย หรือชาติอื่น ๆ เลย”

นอกจากนี้ โฆษณาของหลาย ๆ แบรนด์ระดับโลกอย่าง Apple ที่ลงในแพลตฟอร์ม X ยังไปแสดงตามหลัง ข้อความการสนับสนุน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) และพรรคนาซีเยอรมัน ด้วยปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้บริษัทระดับโลกหลายราย อาทิ IBM, Apple และ Disney ได้สั่ง หยุดการโฆษณาออนไลน์บน X ชั่วคราว นอกจากนี้ ค่ายภาพยนตร์ระดับโลกอย่าง Warner Bros, Paramount ที่กําลังระงับการลงโฆษณาบนแพลตฟอร์มด้วย 

“IBM ไม่มีความอดทนต่อคําพูดแสดงความเกลียดชังและการเลือกปฏิบัติ และเราได้ระงับการโฆษณาทั้งหมดบน X ทันที”

Source

จากที่เคยขาย แพ็กเกจสมาชิก Twitter Blue เพื่อให้ได้เครื่องหมาย ติ๊กถูกสีฟ้า หรือ Verified Badge หลังชื่อให้กับบัญชีคนดังหรือองค์กรเพื่อยืนยันว่าเป็นบัญชีตัวจริง ล่าสุด อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ก็ได้เล่าถึงแผนที่จะ เก็บค่าธรรมเนียมการสมัครสมาชิกรายเดือน จากผู้ใช้แพลตฟอร์มกว่า 550 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งมีการสร้างโพสต์รวมกันกว่า 100-200 ล้านโพสต์/วัน เพื่อแก้ปัญหา บัญชีบอท

“เรามีแผนที่จะเก็บค่าบริการเล็กน้อยสําหรับการใช้งานแพลตฟอร์ม X เพื่อต่อสู้กับกองทัพบอทอันมหาศาล” มัสก์ กล่าว

มัสก์ ย้ำว่า การเก็บค่าบริการจากสมาชิกทุกรายเป็น วิธีเดียว ที่จะสามารถต่อสู้กับกองทัพบอทได้ เนื่องจากปัจจุบัน เอไอที่บอทใช้นั้นมีความสามารถในการผ่านด่านทดสอบบอท หรือ CAPTCHA ได้ดีกว่าเดิม ซึ่งระบบการจ่ายค่าสมาชิกเพื่อยืนยันตัวตนจะ เพิ่มต้นทุนในการสร้างบอทถึงประมาณ 1 หมื่นเท่า

“เครือข่ายโซเชียลเดียวที่จะอยู่รอดได้คือเครือข่ายที่ต้องมีการยืนยันตัวตน”

อย่างไรก็ตาม มัสก์ไม่ได้ระบุว่า ค่าธรรมเนียมรายเดือนสำหรับผู้ใช้มีราคาประมาณเท่าไหร่ และจะมีเพิ่มคุณสมบัติอื่น ๆ เพิ่มให้ไหม รวมถึงไม่ได้เปิดเผยว่าผู้ใช้ในแต่ละเดือนมีกี่ราย และมีจำนวนบัญชีบอทมากน้อยแค่ไหน 

Source

Ark Invest ได้ลดการประเมินมูลค่าของ Twitter ลง 47% นับตั้งแต่ อีลอน มัสก์ (Elon Musk) เข้าครอบครองบริษัท จากราคา 4.4 หมื่นล้านดอลลารสหรัฐ เหลือประมาณ 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม Cathie Wood ซีอีโอ ของ Ark Invest ยังเชื่อมั่นในตัว Twitter ในระยะยาว

“เราใช้การประเมินมูลค่าอย่างยุติธรรมอย่างจริงจังและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องบอกว่า มูลค่าของ Twitter นั้น ลดลง อย่างไรก็ตาม การลดมูลค่าดังกล่าวไม่ได้สะท้อนถึงความเชื่อในผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาว”

ปัจจุบัน กองทุน Venture ของ Ark ถือใน Twitter ประมาณ 2.4% ของกองทุน โดยเขาพยายามจะซื้อหุ้นของ Twitter เพิ่มในช่วงที่ราคาตกลงมา แต่พบว่าไม่มีใครต้องการขาย ซึ่งเขามองว่า สัญญาณดังกล่าวของตลาดแสดงให้เห็นว่า Twitter ยังเป็นที่ต้องการ

การลดลงอย่างมากของการประเมินมูลค่าตามการประมาณการของ Ark Invest อาจถือว่าไม่น่าแปลกใจในตัวมูลค่า เพราะ มัสก์ พึ่งออกมาเปิดเผยว่า รายได้จากโฆษณาของ Twitter ลดลง 50% นับตั้งแต่เขาเข้ามาซื้อกิจการในช่วงเดือนตุลาคม ทำให้บริษัทมี กระแสเงินสดติดลบ

แย่ไปกว่านั้น Twitter ต้องต่อสู้กับการเปิดตัว Threads โดย Meta เจ้าพ่อโซเชียลมีเดีย ซึ่งถือเป็นแพลตฟอร์มที่มีการใช้งานใกล้เคียงกับ Twitter อย่างมาก และภายใน 1 สัปดาห์ก็มีผู้ใช้กว่า 100 ล้านบัญชี อย่างไรก็ตาม Cathie Wood ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับ Threads และมองว่าจะไม่ได้มีผลกระทบกับ Twitter ในระยะยาว

“เราคิดว่าพวกเขาสามารถอยู่ร่วมกันได้ ฉันคิดว่า Threads ได้จุดไฟการแข่งขันหรือยกระดับขึ้นมา และมันจะดีสำหรับ Twitter นอกจากนี้ เรายังคิดว่าในระยะยาว อีลอน มัสก์ และทีมจริงจังมากที่พวกเขากำลังจะเปลี่ยนแรงผลักดันเหล่านี้ลงในแอป” 

ทั้งนี้ Ark Invest ไม่ใช่บริษัทการลงทุนแห่งเดียวที่ประเมินมูลค่าของ Twitter ต่ำลง อาทิ Fidelity ได้ลดการประเมินมูลค่าของบริษัทลงหลายครั้งนับตั้งแต่ที่มัสก์เข้าซื้อกิจการ โดยจากการประเมินล่าสุดเหลือเพียง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์

Source

ย้อนไปปี 2560 อีลอน มัสก์ ต้องการที่จะบุกตลาด อินเดีย แต่แผนดังกล่าวต้องล่าช้าออกไป เนื่องจากการเจรจาลดภาษีนำเข้ากับรัฐบาลนั้นไม่เป็นผล โดยมัสก์ระบุว่า “ภาษีนำเข้าของอินเดียนั้นสูงที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับประเทศขนาดใหญ่”

แต่ล่าสุด หลังจากที่ มัสก์ ได้ประชุมกับ นเรนทรา โมดี (Narendra Modi) นายกรัฐมนตรีของอินเดียในนิวยอร์ก มัสก์ก็ได้เปิดเผยว่า เทสลากำลังมองหาการลงทุนในอินเดีย โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และเขามีแผนที่จะไปเยือนอินเดียในปีหน้า และเขาหวังว่าจะนำบริการ Starlink ที่เป็นบริษัทอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมมาสู่อินเดีย

“โมดิเขาพยายามผลักดันให้เราลงทุนจำนวนมากในอินเดีย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราตั้งใจจะทำ เรากำลังพยายามหาจังหวะที่เหมาะสม ผมมั่นใจว่าเทสลาจะอยู่ในอินเดียและจะทำโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” มัสก์ กล่าว 

มัสก์ กล่าวต่อว่า ภายใต้การทำงานของ โมดิ ทำให้อินเดียเปิดกว้างมากขึ้น ควบคู่ไปกับการสร้างความได้เปรียบให้กับประเทศ และเขาก็ตื่นเต้นมากเกี่ยวกับอนาคตของอินเดียจากนี้ โดยอินเดียถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพด้านพลังงานที่ยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ แบตเตอรี่ และยานยนต์ไฟฟ้า

ปัจจุบัน เทสลามีโรงงานขนาดใหญ่หนึ่งแห่งในเอเชียโดยตั้งอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ซึ่งถือเป็นโรงงานใผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของเทสลานอกจากสหรัฐอเมริกา และคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของการส่งมอบทั่วโลกของเทสลาในปี 2565 โดยเมื่อเดือนที่ผ่านมา มัสก์ได้เปิดเผยว่า เทสลากำลังมีแผนจะสร้างโรงงานแห่งใหม่ภายในสิ้นปีนี้ และอินเดียก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ 

ทั้งนี้ จีน และ อินเดีย พยายามดึงดูดการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกและกระตุ้นอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า โดยไม่นานมานี้ จีนเพิ่งประกาศว่าจะ ขยายเวลาลดหย่อนภาษีสำหรับผู้บริโภคที่ซื้อรถยนต์พลังงานสะอาด ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 100% รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด จนถึงปี 2570 ซึ่งนับเป็นความพยายามครั้งล่าสุดที่จะกระตุ้นยอดขายและการผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยนับตั้งแต่ปี 2560-2567 นโยบายการลดหย่อนภาษีดังกล่าว คาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 5.20 แสนล้านหยวน 

Source

เส้นทางนี้อาจไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเหมือนอย่างที่ “อีลอน มัสก์” หวังไว้ และความยุ่งเหยิงวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นทั้งหมดจะกลายเป็นความรับผิดชอบของ “ลินดา ยัคคาริโน” ซีอีโอคนใหม่ของ Twitter

ข่าวจากสำนักข่าว The New York Times รายงานเอกสารจากวงในบริษัท พบว่า ระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2023 ถึงสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม แพลตฟอร์ม Twitter ในสหรัฐฯ ทำรายได้จากค่าโฆษณาเพียง 88 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งต่ำลง 59% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในเอกสารเดียวกันนี้ยังระบุด้วยว่า Twitter ทำรายได้ค่าโฆษณาไม่ถึงเป้าที่ตั้งไว้รายสัปดาห์อยู่เป็นประจำ

สำนักข่าวยังพูดคุยกับแหล่งข่าวพนักงาน Twitter ทั้งที่ทำงานอยู่ในปัจจุบันและที่ลาออกแล้วรวม 7 คน ทั้งหมดคาดว่ารายได้คงไม่กลับดีขึ้นในเร็วๆ นี้ โดยเอกสารภายในบริษัทคาดว่ารายได้โฆษณาทุกสัปดาห์ของเดือนมิถุนายนจะต่ำลง 56% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน

ข่าวนี้สะพัดขึ้นมาในเวลาเพียง 2 เดือนหลังจาก อีลอน มัสก์ เจ้าของแพลตฟอร์มและอดีตซีอีโอ เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า รายได้ของ Twitter กำลังกลับเป็นขาขึ้นแล้ว หลังจากเคยดิ่งลงในช่วงที่เขาเข้ามาซื้อกิจการในเดือนตุลาคมปี 2022

“ผู้ลงโฆษณาเกือบทุกค่ายกลับมาแล้ว หรือบอกว่าพวกเขาจะกลับมาลงโฆษณา” มัสก์กล่าวกับ BBC เมื่อเดือนเมษายน

ย้อนไปช่วงที่มัสก์เข้าเทกโอเวอร์กิจการนี้ รายได้โฆษณาของ Twitter ตกต่ำลงทันทีเพราะบริษัทเกิดความผันผวนและข่าวอื้อฉาวมากมาย เพราะการเลย์ออฟพนักงานจำนวนมาก ทำให้การควบคุมคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มแย่ลง ข้อความประทุษวาจา (hate speech) พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ความปั่นป่วนนี้ทำให้ 25 วันแรกที่มัสก์กุมบังเหียนซีอีโอ ครึ่งหนึ่งของผู้ลงโฆษณาระดับ Top 100 ที่เคยลงโฆษณากับบริษัท เลือกที่จะหยุดลงโฆษณากับแพลตฟอร์มไปก่อน ทำให้ช่วงเดือนธันวาคม 2022 รายได้ของบริษัทตกลง 40% เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2021

แม้ว่าผู้ลงโฆษณาบางส่วนจะกลับมาลงโฆษณาจริง แต่รายงานชิ้นใหม่นี้ก็ชี้ให้เห็นว่าเม็ดเงินจากส่วนที่กลับมาบ้างนั้นไม่เพียงพอที่จะช่วยชดเชยในส่วนที่หายไปได้

• Twitter, Meta และ TikTok ติดลิสต์ 7 แบรนด์ที่คนอเมริกัน ‘ยี้’ ที่สุด
• ข่าวฉาวของ “อีลอน มัสก์” กับ Twitter กำลังฉุดภาพลักษณ์ Telsa ให้ตกต่ำไปด้วย

เรื่องนี้จะกลายเป็นปัญหาหลักบนลิสต์สารพันปัญหาที่ซีอีโอใหม่ ยัคคาริโน จะต้องเผชิญ ทั้งนี้ ยัคคาริโนมีประวัติการทำงานส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสื่อโฆษณา ซึ่งน่าจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มัสก์เลือกเธอมาทำงานนี้

ก่อนหน้านี้ ยัคคาริโนเป็นหัวหน้าฝ่ายโฆษณาและพันธมิตรระดับโลกของ NBCUniversal บริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ เธอคืออดีตผู้บริหารที่ต้องดูแลธุรกิจโฆษณามูลค่ากว่า 1.3 หมื่นล้านเหรียญ และเธอได้รับเสียงชื่นชม มีชื่อเสียงโด่งดังในโลกธุรกิจโฆษณา

อย่างไรก็ตาม เธอต้องมารับตำแหน่งซีอีโอที่มีลูกน้องในทีมน้อยมากใน Twitter และอาจจะยิ่งน้อยลงอีก เพราะเมื่อสัปดาห์ก่อน ผู้บริหารของบริษัทในฝ่ายความเชื่อมั่นและความปลอดภัยก็เพิ่งจะลาออกไป โดยหนึ่งในนั้นเป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับการปกป้องแบรนด์ Twitter และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงโฆษณาว่าการลงโฆษณากับแพลตฟอร์มจะมีความปลอดภัยต่อชื่อเสียงของแบรนด์นั้นๆ

เมื่อไม่มีทีมงานที่แข็งแรง และมีเจ้าของบริษัทที่คาดเดาทิศทางไม่ได้อีก ยัคคาริโนกำลังต่อสู้ด้วยสถานการณ์ที่เหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา และทุกวันนี้ทีมงาน Twitter ก็ยังตอบโต้สื่อที่อีเมลไปขอข้อมูลด้วยวิธีแบบเดิมๆ อยู่ คือส่งอีโมจิรูปกองอึกลับมา

Source

อีลอน มัสก์ กล่าวว่า เขาอาจจะแต่งตั้ง ผู้สืบทอดตำแหน่งซีอีโอของทวิตเตอร์ (Twitter) ให้ได้ภายในสิ้นปี 2566 แต่ก่อนอื่นเขาจำเป็นต้องทำให้ บริษัทโซเชียลมีเดียของเขามีความเสถียรก่อน

“ผมคิดว่า ผมจำเป็นต้องทำให้องค์กรมีเสถียรภาพ ต้องทำให้แน่ใจว่าองค์กรมีสถานะทางการเงินที่ดี และแผนงานด้านผลิตภัณฑ์นั้นถูกวางไว้อย่างชัดเจน ผมเดาว่าช่วงสิ้นปีนี้น่าจะเป็นจังหวะที่ดีในการหาคนอื่นมาบริหารบริษัท เพราะผมคิดว่าบริษัทน่าจะอยู่ในสถานะที่มั่นคงประมาณสิ้นปีนี้” มัสก์ กล่าว

หลังจากที่มัสก์เข้าซื้อกิจการของ Twitter ในมูลค่า 44,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเดือนตุลาคม 2565 ภารกิจแรกที่เขาทำก็คือ ไล่ทีมบริหารเก่าออก และขึ้นนั่งตำแหน่งซีอีโอ แม้ว่าในตอนที่เขาเคยกลายเป็นผู้ถือหุ่นใหญ่สุด เขาเคยบอกว่า “ไม่ต้องการจะเป็นซีอีโอ” อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาขึ้นเป็นซีอีโอ เขาก็ระบุว่า “แค่ชั่วคราวเท่านั้น และเขาจะมอบตำแหน่งนี้ให้คนอื่น”

ซึ่งหลังจากที่มัสก์เป็นซีอีโอ สถานการณ์ของ Twitter นั้นก็ไม่สู้ดีนัก เพราะบริษัทได้ปรับลดพนักงานจำนวนมาก ขณะที่แบรนด์ที่เคยลงโฆษณาก็เลือกที่จะเลิกหรือลดการลงโฆษณาบนแพลตฟอร์ม โดยอ้างอิงจากผลสำรวจของบริษัท Pathmatics ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยพบว่า แบรนด์ที่ลงโฆษณารายใหญ่ 30 รายของ Twitter ได้ลดการลงโฆษณาในแพลตฟอร์มลง ทำให้รายได้จากโฆษณาในช่วง 2 เดือนแรกหลังจากมัสก์ขึ้นเป็นเจ้าของ ลดลงมากถึง 42%

ไม่ใช่แค่ Twitter ที่กำลังอยู่ในอาการร่อแร่หลังจากที่เขาเข้าเป็นเจ้าของ แต่บริษัทเดิมอย่าง Tesla ก็ถูกเหล่านักลงทุนกดดัน เนื่องจากมีความกังวลว่าเขาอาจเสียสมาธิกับ Twitter ในเวลาที่บริษัทรถยนต์ของเขากำลังเผชิญกับความท้าทายด้านอุปสงค์และการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น

และในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา มัสก์ ได้ทำโพลสอบถามชาวทวิตเตอร์ว่า “เขาควรลาออกจากตำแหน่งซีอีโอทวิตเตอร์หรือไม่” ซึ่งมีกว่า 17.5 ล้านแอคเคาท์ ตอบว่า ใช่

“ผมจะลาออกจากตำแหน่งซีอีโอทันทีที่เจอคนโง่พอที่จะยอมเข้าทำงาน! หลังจากนั้นผมจะย้ายดูแลทีมซอฟต์แวร์และเซิร์ฟเวอร์” มัสก์ ทวีตตอบกลับผลสำรวจ

Source

ย้อนไปช่วงที่กำลังจะปิดดีลทวิตเตอร์ อีลอน มัสก์ ซีอีโอ เทสลา ได้เริ่มขายหุ้นเทสลาจำนวน 94 ล้านหุ้น มูลค่า 22,930 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 7.96 แสนล้านบาท เพื่อใช้เป็นทุนในการเข้าซื้อกิจการทวิตเตอร์มูลค่า 44,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ เขาก็ได้ขายหุ้นเทสลาอีก 22 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่ากว่า 2,580 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.24 แสนล้านบาท

ล่าสุด เขาได้ให้สัญญากับเหล่านักลงทุนว่า จะไม่ขายหุ้นเทสลาอีกต่อไปเป็นเวลา 18 เดือนหรือมากกว่านั้น หลังจากที่บริษัทสูญเสียมูลค่าเกือบครึ่งหนึ่งนับตั้งแต่ที่เขาซื้อทวิตเตอร์ไปเมื่อเดือนตุลาคม

“ผมจะไม่ได้ขายหุ้นใด ๆ เป็นเวลา 18-24 เดือน”

นับตั้งแต่มัสก์มารับตำแหน่งเป็นผู้นำของทวิตเตอร์ บริษัทก็มีแต่ความวุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นมาตรการเลิกจ้างงานถึง 50% ส่วนลูกค้าที่ลงโฆษณาก็หนีออกจากแพลตฟอร์ม เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับกลยุทธ์ควบคุมเนื้อหาของเขา อาทิ การบังคับใช้กฎการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ COVID-19 และยุบคณะที่ปรึกษาด้านความไว้วางใจและความปลอดภัย ล่าสุดที่เขาทำโพลว่าตัวเองควรลาออกจากตำแหน่งซีอีโอหรือไม่ ผลปรากฏว่าเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยที่เขาจะลาออก

ขณะที่เหล่านักลงทุนของเทสลาเองก็รู้สึกเบื่อหน่ายกับความวุ่นวายของทวิตเตอร์ที่แทบจะมีไม่ซ้ำเรื่อง ซึ่งพวกเขามองว่า ความวุ่นวายดังกล่าวทำให้มัสก์เอาเวลาไปทุ่มให้กับทวิตเตอร์มากกว่า แทนที่จะมาสนใจในเทสลาซึ่งเป็นธุรกิจหลักของเขา

ที่ผ่านมา มูลค่าตลาดของเทสลาสูงกว่า 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ซึ่งเป็นวันทำการสุดท้ายก่อนที่มัสก์จะเปิดเผยว่าเขาซื้อหุ้นทวิตเตอร์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บริษัทได้สูญเสียมูลค่าไปเกือบ 2 ใน 3 ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์คู่แข่งกำลังชิงส่วนแบ่งการขายรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัทไปเรื่อย ๆ