ต้นทุนการผลิตนมผงสำหรับทารกยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลทำให้ราคาขายของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยราวๆ 25% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จนทำให้หน่วยงานกำกับดูแลในบางประเทศอย่างเช่นในอังกฤษ ไอร์แลนด์ ต้องเร่งหามาตรการแก้ปัญาดังกล่าว หรือแม้แต่การหาวิธีการผลิตในประเทศ
ข้อมูลของหน่วยงานการแข่งขันและการตลาดของสหราชอาณาจักรได้เก็บข้อมูลนับตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงเป็นเวลา 2 ปีพบว่าราคานมผงสำหรับทารกนั้นมีราคาเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้น 25% และถ้าหากเป็นนมผงสำหรับทารกสูตรพรีเมียมนั้นราคาอาจสูงกว่าราคาที่ถูกที่สุดมากถึง 70%
ขณะที่แคนาดาราคานมผงสำหรับทารกนั้นเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 20% จนทำให้มีการเสนอให้ผลิตนมผงสำหรับทารกในประเทศ ทางด้านไอร์แลนด์ประเทศเพื่อนบ้านของอังกฤษ ราคานมผงสำหรับทารกนั้นเพิ่มขึ้นเฉลี่ยมากกว่า 20% จนทำให้หน่วยงานด้านกำกับดูแลต้องเข้ามาดูแลปัญหาดังกล่าว
หนึ่งในผู้ผลิตนมผงสำหรับทารกอย่าง Nestle ได้ออกแถลงการณ์ว่า แม้ต้นทุนจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่บริษัทกำลังดำเนินการเพื่อลดต้นทุนของเราทุกครั้งที่เป็นไปได้ และการเพิ่มราคาถือเป็นทางเลือกสุดท้ายเท่านั้น ขณะที่ Danone ผู้ผลิตนมผงสำหรับทารกรายใหญ่จากฝรั่งเศส ได้กล่าวว่าพยายามที่จะเพิ่มราคานมผงให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
โดย Nestle และ Danone ถือเป็นผู้ผลิตเจ้าใหญ่ ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดรวมกันในอังกฤษนั้นมากถึง 85% และในปี 2018 นั้น 6 แบรนด์รายใหญ่ (รวมถึง 2 เจ้าที่กล่าวในข้างต้น) ครองส่วนแบ่งมากถึง 60% ทั่วโลก
สำหรับปัญหานมผงสำหรับทารกที่มีราคาสูงขึ้นนั้นมาจากปัญหา Supply Chain รวมถึงปัญหาพลังงานในทวีปยุโรปที่ทำให้ราคาเพิ่มสูงมากขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้หน่วยงานการแข่งขันและการตลาดของสหราชอาณาจักรต้องเข้ามาศึกษาโครงสร้างราคาและอาจมีมาตรการออกมาหลังจากนี้ เนื่องจากราคานมผงสำหรับทารกมีราคาสูงมากกว่าค่าเฉลี่ยเงินเฟ้อ และยังส่งผลทำให้ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรเพิ่มขึ้น
ปัญหาดังกล่าวยังทำให้เกิดการถกเถียงในหลายประเทศมากขึ้น อย่างเช่นในฝรั่งเศส การเพิ่มขึ้นของราคานมผงสำหรับทารกนำไปสู่การกล่าวหาว่าเป็นการแสวงหาผลกำไรจากบริษัทข้ามชาติ ขณะที่ประเทศกรีซได้ออกมาตรการบังคับใช้การกำหนดราคาสูงสุดสำหรับผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมถึงนมผงสำหรับทารก
อย่างไรก็ดีปัญหาดังกล่าวถือเป็นเรื่องกลืนไม่เข้าคายไม่ออกไม่น้อย เนื่องจากผู้ผลิตนมผงสำหรับทารกไม่อยากลงทุนในการเพิ่มการผลิตมากนัก เนื่องจากประชากรหลายประเทศเองต้องการที่จะไม่มีบุตรเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ครอบครัวหลายแห่งอาจตัดสินใจไม่มีลูกเนื่องจากค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรมากขึ้น
ที่มา – BBC, RTE, The Guardian, CBC, Bloomberg
]]>เพื่อหาตัวเลขรายได้ นักวิจัยได้เก็บข้อมูลผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกาที่ อายุต่ำกว่า 18 ปี บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ได้แก่ Facebook, Instagram, Snapchat, TikTok, X และ YouTube ในปี 2022 เพื่อประเมินรายได้โฆษณาในสหรัฐฯ ของแต่ละแพลตฟอร์ม และเวลาที่เด็ก ๆ ใช้ต่อวันในแต่ละแพลตฟอร์ม หลังจากนั้น นักวิจัยได้สร้างแบบจำลองเพื่อประเมินรายได้โฆษณาที่แพลตฟอร์มได้รับจากเยาวชนในสหรัฐอเมริกา
จากการศึกษาพบว่า รายได้จากโฆษณาสูงสุดจากผู้ใช้ อายุ 12 ปีหรือต่ำกว่า แพลตฟอร์ม YouTube ทำเงินสูงสุด (959.1 ล้านดอลลาร์) ตามมาด้วย Instagram (801.1 ล้านดอลลาร์) และ Facebook (137.2 ล้านดอลลาร์)
ในส่วนของรายได้โฆษณาจากผู้ใช้ อายุ 13-17 ปี แพลตฟอร์ม Instagram ทำรายได้สูงสุดที่ (4 พันล้านดอลลาร์) ตามมาด้วย TikTok (2 พันล้านดอลลาร์) และ YouTube (1.2 พันล้านดอลลาร์)
นอกจากนี้ นักวิจัยยังคาดการณ์ว่า Snapchat ได้รับส่วนแบ่งสูงสุดของรายได้จากโฆษณาโดยรวมในปี 2022 จากผู้ใช้อายุต่ำกว่า 18 ปี (41%) ตามมาด้วย TikTok (35%), YouTube (27%) และ Instagram (16%)
“การค้นพบนี้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการควบคุมโซเชียลมีเดียของรัฐบาล เนื่องจากเด็ก ๆ ยังไม่สามารถควบคุมตัวเองในการใช้แพลตฟอร์มได้ ดังนั้น แพลตฟอร์มควรจะมีความโปร่งใสที่มากขึ้น เพื่อช่วยบรรเทาอันตรายต่อสุขภาพจิตของเยาวชน และลดแนวทางการโฆษณาที่อาจเป็นอันตรายซึ่งกำหนดเป้าหมายไปที่เด็กและวัยรุ่น” นักวิจัยกล่าว
ทั้งนี้ นักวิจัยและผู้ร่างกฎหมายได้มุ่งความสนใจไปที่ผลกระทบด้านลบที่เกิดจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมานานแล้ว ซึ่งอัลกอริทึมที่ปรับแต่งเฉพาะบุคคลสามารถผลักดันให้ เด็ก ๆ ใช้งานมากเกินไป โดยที่ผ่านมา สมาชิกสภานิติบัญญัติในรัฐ เช่น นิวยอร์กและยูทาห์ แนะนำหรือผ่านกฎหมายที่จะควบคุมการใช้โซเชียลมีเดียในหมู่เด็ก โดยอ้างถึงอันตรายต่อสุขภาพจิตของเยาวชนและข้อกังวลอื่น ๆ
ปัจจุบัน Meta ซึ่งเป็นเจ้าของ Instagram และ Facebook กำลังถูกฟ้องโดยรัฐหลายสิบแห่งในข้อหามีส่วนทำให้เกิดวิกฤตสุขภาพจิต และจากผลวิจัยพบว่า เด็กและวัยรุ่นวัยเรียนอาจจำโฆษณาได้ และมักจะไม่สามารถต้านทานโฆษณาได้เมื่อโฆษณานั้นฝังอยู่ในโซเชียลเน็ตเวิร์กที่เชื่อถือได้ และได้รับการสนับสนุนจากผู้มีอิทธิพลคนดัง
“แม้ว่าแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอาจอ้างว่าพวกเขาสามารถควบคุมแพลตฟอร์มเพื่อลดอันตรายต่อเยาวชนได้ แต่การศึกษาของเราชี้ให้เห็นว่า แพลตฟอร์มโซเชียลฯ ยังมีแรงจูงใจทางการเงินอย่างล้นหลามเพื่อชะลอการดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อปกป้องเด็ก ๆ ต่อไป” Bryn Austin ศาสตราจารย์ภาควิชาสังคมและพฤติกรรมศาสตร์ที่ Harvard กล่าว
ทั้งนี้ ตัวแพลตฟอร์มเองไม่ได้เปิดเผยว่าพวกเขาทำรายได้จากเยาวชนมากน้อยแค่ไหน
]]>TikTok ถูกหน่วยงานกำกับดูแลด้านความเป็นส่วนตัวของสหราชอาณาจักรสั่งปรับเป็นเงิน 15.9 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 540 ล้านบาท เนื่องจากการละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูล รวมถึงการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของเยาวชนอย่างไม่ถูกกฎหมาย เพราะไม่ได้รับการยินยอมจากผู้ปกครอง
โดย TikTok อนุญาตให้เด็ก 1.4 ล้านคน ที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปีใช้แอปในปี 2020 แม้ว่าจะมีกฎกำหนดให้ผู้ใช้ต้องมีอายุเกิน 13 ปีขึ้นไปจึงจะสร้างบัญชี TikTok ได้ และข้อมูลของเด็ก ๆ อาจถูกใช้เพื่อติดตามและจัดทำประวัติของพวกเขา ซึ่งมีโอกาสที่จะทำให้พวกเขาเข้าถึงเนื้อหาที่เป็นอันตรายหรือไม่เหมาะสม
“TikTok น่าจะรู้ดีกว่านี้ และน่าจะทำได้ดีกว่านี้ ค่าปรับ 12.7 ล้านปอนด์ของเราสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบร้ายแรงจากความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้น พวกเขาไม่ได้ทำมากพอที่จะตรวจสอบว่าใครกำลังใช้แพลตฟอร์มของพวกเขา หรือดำเนินการเพียงพอที่จะลบเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะที่ใช้แพลตฟอร์มของพวกเขา” John Edwards กรรมาธิการสารสนเทศแห่งสหราชอาณาจักร กล่าว
ขณะที่ทาง TikTok ยืนยันว่า TikTok เป็นแพลตฟอร์มสำหรับผู้ใช้ที่มีอายุ 13 ปีขึ้นไป และที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุนอย่างหนักเพื่อทำให้เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปีออกจากแพลตฟอร์ม และแพลตฟอร์มก็มีทีมงานด้านความปลอดภัยที่แข็งแกร่งกว่า 40,000 คน ที่ทำงานตลอดเวลาเพื่อช่วยรักษาแพลตฟอร์มให้ปลอดภัยสำหรับชุมชนบนแพลตฟอร์ม
]]>สำนักข่าว Reuters รายงานโดยอ้างเเหล่งข่าวที่เป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับสูง บอกว่า วัคซีนของ ‘ไฟเซอร์–ไบออนเทค’ (Pfizer-BioNTech) จะมีข้อมูลการทดลองทางคลินิกเพียงพอ ที่จะขออนุมัติการใช้วัคซีนในภาวะฉุกเฉิน (EUA) เพื่อใช้สำหรับกลุ่มเด็กอายุ 5-11 ปีในช่วงปลายเดือนนี้
โดยหากไทม์ไลน์การยื่นขออนุมัติวัคซีนดังกล่าว ‘ตรงกำหนด’ ประเมินว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ จะใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ในการตัดสินใจ ว่ามีความปลอดภัยหรือไม่ ซึ่งหากผ่านการตรวจสอบจะสามารถนำไปฉีดให้เเก่เด็กวัยดังกล่าวได้เร็วที่สุดในช่วงสิ้นเดือนต.ค.
ทั้งนี้ ไฟเซอร์ ผ่านการอนุมัติให้ใช้วัคซีนสำหรับกลุ่มเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปแล้ว
ชาวอเมริกันหลายล้านคน ตั้งตารอการอนุมัติใช้วัคซีนสำหรับเด็กเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อแม่ ผู้ปกครองที่บุตรหลาน เริ่มเปิดเทอมในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางโรคระบาดที่ยังรุนแรง จากตัวแปรสำคัญคือ ‘สายพันธุ์เดลตา’ ซึ่งทำให้ยอดผู้ติดเชื้อพุ่งกระฉูด โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน
ด้าน ไบออนเทค ซึ่งเป็นพาร์ตเนอร์กับไฟเซอร์ เปิดเผยกับ Der Spiegel สื่อเยอรมนี คาดว่า บริษัทจะยื่นคำร้องถึงคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบทั่วโลก เพื่อขอใช้วัคซีนโควิด-19 ในเด็กอายุตั้งเเต่ 5 ขวบขึ้นไปในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมเพื่อยื่นขออนุมัติ
]]>
Vaile Wright นักจิตวิทยาและผู้อำนวยการศูนย์วิจัย American Psychological Association กล่าวว่า อาการดังกล่าวไม่ใช่อาการป่วยทางจิตแต่อย่างใด โดยผู้ที่หางานอดิเรกใหม่ ๆ ทำ หรือใช้เวลาใดการจัดการบ้าน มีโอกาสที่จะทำให้เกิดภาวะ Cabin Fever ช้ากว่าคนอื่น ดังนั้น แนวทางในการลดความตึงเครียดและความรู้สึกที่ถูกจำกัดอยู่ในบ้านของตัวเอง สามารถทำได้เองง่าย ๆ ดังนี้
1.สร้างกิจวัตรประจำวัน หรือทำทุกอย่างเป็นปกติตามตารางเวลาเดิมเท่าที่จะสามารถทำได้ แทนที่จะทำเหมือนว่าฃเป็นวันหยุดพักผ่อน
2.จัดบ้านใหม่ การย้ายข้าวของ จัดบ้านใหม่ อาจช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้
3.ออกกำลังกายและใจสม่ำเสมอ ออกกำลังกายบ้าง หรืออาจจะออกไปเดินเล่นบ้าง แต่พยายามเว้นระยะห่างจากผู้คนไว้ด้วย
4.ติดต่อพูดคุยกับเพื่อนฝูง คุยกันผ่านกล้องวีดีโอ การเข้าร่วมชุมชนออนไลน์ อาจช่วยให้คลายเหงาหรือหงุดหงิดได้
5.ทำความเข้าใจกับสถานการณ์ การทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และหาทางรับมือกับสถานการณ์นั้น ๆ ได้อย่างเหมาะสม ถือเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญ
อย่างไรก็ตาม สำหรับเด็กและวัยรุ่นที่ศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและปลาย ที่ปัจจุบันในไทยมีกว่า 5 ล้านคน ก็ถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะตกอยู่ในภาวะ ‘Cabin fever’ เนื่องจากวัยรุ่นมักจะใช้เวลาอยู่หน้าจอนานมากกว่า 10 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่ง ดีแทค เองก็มี 5 ข้อแนะนำ สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครอง เพื่อการดูแลลูกหลานในช่วงอยู่บ้านยาว ๆ ดังนี้
1.หมั่นพูดคุย อธิบายเหตุการณ์ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ผู้ปกครองสามารถช่วยอธิบายข้อมูลที่แท้จริงด้วยภาษาที่เรียบง่าย เพื่อช่วยลดความสับสน ความโกรธ ความเศร้าและความกลัว ที่อาจเกิดจากการรับข่าวสารที่ถาโถมบนโลกออนไลน์ได้
2.ออกแบบกิจกรรมเพื่อการใช้เวลาอย่างมีคุณภาพ ผู้ปกครองสามารถช่วยเด็ก ๆ แบ่งเวลาทำกิจกรรมให้สมดุลกัน สำหรับกิจกรรมเพื่อความบันเทิงอย่างเกมออนไลน์หรือโซเชียลมีเดียกับกิจกรรมอื่น ๆ ที่สามารถทำร่วมกับการวิดีโอคอลกับเพื่อน ๆ ก็เป็นอีกทางเลือกที่ดี
3.อย่าเชื่อข้อมูลอะไรง่าย ๆ หน้าที่ของพ่อแม่ผู้ปกครองในการย้ำเตือนลูกหลานต่อการแยกแยะก่อนที่จะเชื่อข้อมูลใดข้อมูลหนึ่งบนโลกออนไลน์ โดยแหล่งข้อมูลควรมาจากพ่อแม้ผู้ปกครอง ผู้ใหญ่ และหน่วยงานที่เชื่อถือได้
4.หมั่นสังเกตพฤติกรรมลูกหลาน ในช่วงที่เด็ก ๆ ใช้เวลาบนโลกออนไลน์เป็นเวลานาน ทำให้มีความเสี่ยงต่อการติดต่อกับบุคคลแปลกหน้าหรือผู้ไม่ประสงค์ดีมากขึ้น ดังนั้น การเข้าไปพูดคุยและใช้เวลากับเด็ก ๆ มากขึ้น จะทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองสังเกตพฤติกรรมที่ผิดแปลกได้อย่างทันท่วงที
5.สร้างวินัยในการชีวิตในแต่ละวัน พ่อแม่ผู้ปกครองมีบทบาทอย่างมากในการออกแบบกิจวัตรประจำวันที่ทำให้เด็กๆ มีวินัยในการใช้ชีวิตในแต่ละวันมากขึ้น ซึ่งอาจหมายรวมตั้งแต่เวลาในการรับประทานอาหารจนถึงเล่นเกม โดยควรเลือกกิจกรรมที่ทำให้เด็กๆ มีความสุขและไม่เครียดจนเกินไป
]]>