เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 14 Nov 2024 08:40:33 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “คนไทย” รักงาน! กว่า 68% พร้อมเที่ยวไปด้วยหอบงานไปทำด้วย สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก  https://positioningmag.com/1498597 Tue, 12 Nov 2024 10:19:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1498597 หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านพ้นไป ภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ มีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีขึ้น โดยเฉพาะ “ธุรกิจการท่องเที่ยว” ที่แม้จะเผชิญกับปัจจัยพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป รูปแบบการทำงานที่สามารถทำจากที่ไหนก็ได้ รวมถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ถือเป็นความท้าทายใหม่ ในการปรับตัวของภาคธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมเป็นอย่างมาก 

ท่องเที่ยวต้องยืดหยุ่น เพราะเทรนด์ “เที่ยวไปทำงานไป” ของคนไทยกำลังมา

SiteMinder ผู้ให้แพลตฟอร์มการจัดการที่พักแบบครบวงจร เปิดรายงาน SiteMinder’s Changing Traveller Report 2025 การสำรวจด้านที่พักและพฤติกรรมการเดินทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเผยว่า การท่องเที่ยวไทยในปัจจุบันมีมูลค่ารวมเพิ่มขึ้น 10.1% โดยคาดการณ์ว่าในปี 2029 อุตสาหกรรมโรงแรมของประเทศไทยจะมีมูลค่าการเติบโตกว่า 1.87 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 

จากการสำรวจยังพบว่า นักเดินทางยุคใหม่มีแนวคิดการเดินทางแบบ ‘Everything Travellerʼ คือ นักท่องเที่ยวต้องการประสบการณ์การท่องเที่ยวใหม่ ๆ และต้องการความยืดหยุ่นมากขึ้น มีการอ่านรีวิวจากโซเชียลแล้วมาลองเที่ยวเอง อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับเรื่องงบประมาณ

โดยนักท่องเที่ยวชาวไทยกว่า 97% ยินดีจ่ายเพิ่มสำหรับสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น อาหารเช้า (67%) ห้องชมวิว (44%) หรือการเช็คอินก่อนเวลา หรือการเช็คเอาต์ล่าช้า (33%) นอกจากนี้ 94% ของนักท่องเที่ยวชาวไทยยินดีที่จะจ่ายเงินเพิ่มขึ้น สำหรับการเข้าพักที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น รวมถึงมีแนวโน้มจะต้องการความยืดหยุ่นในเรื่องการท่องเที่ยวมากขึ้น เช่น การท่องเที่ยวแบบไม่ต้องคิดหรือวางแผนการท่องเที่ยวล่วงหน้า 

นอกจากนั้นกว่า 68% ของนักท่องเที่ยวชาวไทย กลายเป็นผู้นำเทรนด์ในด้านการทำงานไปด้วยขณะเดินทางท่องเที่ยว ตามมาด้วยนักท่องเที่ยวชาวอินโดนีเซีย 66%, นักท่องเที่ยวชาวอินเดีย 61% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่อยู่ที่ 41% รวมถึงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอเมริกาเหนือ (34%) และยุโรป (31%) และมีการคาดการณ์ว่าในปี 2025 นักท่องเที่ยวชาวไทยกว่า 65% มีพฤติกรรมการใช้เวลาส่วนใหญ่ (30%) หรือ มีการใช้เวลาค่อนข้างมาก (35%) ไปกับการอยู่ในโรงแรมที่พักอีกด้วย

นักท่องเที่ยวไทยใช้เครื่องมือค้นหาที่พักสูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 39%

อัตราการจองที่พักในประเทศของนักท่องเที่ยวไทยมีการเติบโตขึ้น 9% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 13% รวมถึงยังมากเป็นอันดับสาม รองจากนักท่องเที่ยวชาวอินโดนีเซีย (62%) และนักท่องเที่ยวชาวจีน (56%) สืบเนื่องมาจากกการที่รัฐบาลมีมาตรการต่าง ๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงภาคจังหวัดได้มีการปรับตัวเพิ่มกิจกรรมในแต่ละจังหวัดมากขึ้นเพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวได้เดินทางไปเยี่ยมชม

ซึ่งช่องทางการจองผ่าน OTA (การจองทริปท่องเที่ยวผ่านทาง Website/Application) มีการขยายตัวกว่า 55% เนื่องจากนักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับโรงแรมที่พักเพื่อวางแผนท่องเที่ยวเอง และราคาส่วนลดหรือโปรโมชั่นที่เป็นแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวไทยเลือกจองผ่าน OTA เป็นหลัก โดยสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 13% รวมถึงยังมากเป็นอันดับ 3 รองจากนักท่องเที่ยวชาวอินโดนีเซีย (62%) และนักท่องเที่ยวชาวจีน (56%) 

อีกทั้ง 36% ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก มีแนวโน้มที่จะเริ่มต้นการค้นหาโรงแรมผ่านเครื่องมือค้นหาเพิ่มขึ้น 10% จากปี 2567 ในขณะที่นักท่องเที่ยวไทยมีแนวโน้มสูงถึง 39% เพิ่มขึ้น 14% จากปีที่ผ่านมา ตามด้วยนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ 36% (ไม่ได้เข้าร่วมการสำรวจในปี 2023) นักท่องเที่ยวอินเดีย 33% เพิ่มขึ้น 6% และนักท่องเที่ยวจีน 22% เพิ่มขึ้น 13% จากปีที่แล้ว

นอกจากนั้นการสำรวจยังเผยอีกว่า 65% ของนักท่องเที่ยวชาวไทย พร้อมที่จะยกเลิกการจองที่พักออนไลน์กลางคันหากได้รับประสบการณ์ที่ไม่ราบรื่น ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 52% โดยปัญหาเรื่องความปลอดภัยเป็นสาเหตุหลักอันดับต้น ๆ ที่ทําให้นักท่องเที่ยวกลุ่ม Millennials ชาวไทยกว่า 37% ทําการยกเลิกการจองออนไลน์กลางคัน ในขณะที่ กลุ่ม Baby Boomers จำนวน 36% จะยกเลิกการจอง เนื่องจากเว็บไซต์ไม่เป็นมิตรกับการใช้งานบนมือถือ

‘สุภกฤษฎิ์ แผนสมบูรณ์’ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท SiteMinder

คนไทย-อินโด เปิดใจใช้ AI วางแผนเที่ยวมากที่สุดในโลก

‘สุภกฤษฎิ์ แผนสมบูรณ์’ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท SiteMinder กล่าวว่า นักท่องเที่ยวชาวไทยและอินโดนีเซีย มีการเปิดใจใช้ AI ในการประยุกต์เข้ากับการวางแผนจองที่พักและสัมผัสประสบการณ์การเข้าพักสูงถึง 98% ตามมาด้วยนักท่องเที่ยวจีนที่เปิดรับการใช้ AI กับการวางแผนท่องเที่ยวสูง 96% และอินเดียที่ 94% ในขณะที่ 62% ของนักท่องเที่ยวจากทั้งแคนาดา และออสเตรเลีย รวมไปถึง 63% ของนักท่องเที่ยวจากเยอรมนี ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร ยังคงไตร่ตรองถึงข้อดีของการใช้ AI มาช่วยวางแผนการท่องเที่ยวอยู่

และความชอบในการเดินทางจะมีลักษณะแตกต่างกันไปตามแต่ละช่วงอายุ อาทิ กลุ่ม Gen Z และ Millennial ชาวไทย นิยมพักในเครือโรงแรมและรีสอร์ทขนาดใหญ่ ในขณะที่กลุ่ม Gen X นิยมที่พัก B&B และ Baby Boomers เลือกมองหาที่พักโฮสเทล โมเทล หรือโรงแรมราคาประหยัด เป็นต้น

ส่งผลให้พฤติกรรมการเลือกที่พักของนักท่องเที่ยวชาวไทยในปี 2025 มีแนวโน้มเลือกห้องพักแบบ Standard (ห้องพักมาตรฐาน) กว่า 54% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่อยู่ที่ 46% และสูงเป็นอันดับที่ 4 ของโลก รองจากนักท่องเที่ยวสเปน (59%) แคนาดา (55%) และอิตาลี (55%) ในทางกลับกัน มีเพียง 19% ของนักท่องเที่ยวชาวจีนเท่านั้นที่จะเลือกห้องพักแบบ Standard ในการเข้าพักครั้งถัดไป การที่นักท่องเที่ยวชาวจีนหันมาวางแผนการท่องเที่ยวด้วยตัวเองมากกว่าเลือกจองกับกรุ๊ปทัวร์ เพราะต้องการการท่องเที่ยวแบบใหม่ ลองทานอาหารรสชาติใหม่ ๆ รวมถึงอิทธิพลของโซเชียลมีเดีย ทำให้ให้ความสำคัญกับที่พักที่สวยงามและมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันมากขึ้น 

ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวเลือกให้ความสำคัญกับความสะดวกสบาย และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับสัตว์เลี้ยงมากขึ้นเมื่อทำการเลือกโรงแรมในแต่ละครั้ง โดย 76% ของนักท่องเที่ยวชาวไทยให้ความสำคัญกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยงเป็นอันดับ 1 ของโลก ตามมาด้วยนักท่องเที่ยวชาวอินโดนีเซีย (70%) อินเดีย (66%) และจีน (62%) อีกทั้งยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 30% เลยทีเดียว

]]>
1498597
“สตาร์บัคส์” ยืนยันบริษัทแม่เปลี่ยนซีอีโอยังไม่กระทบนโยบายเมืองไทย โปรฯ “1 แถม 1” ยังจัดต่อ https://positioningmag.com/1496314 Tue, 29 Oct 2024 12:11:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1496314
  • สตาร์บัคส์เมืองไทย ยังคงการจัดโปรฯ1 แถม 1 วิสัยทัศน์ซีอีโอบริษัทแม่ยังไม่กระทบถึงไทย
  • ปี 2567 จ่อเปิดครบ 522 สาขา โดย 3 สาขาใหม่ล่าสุดเปิดบริการใน “วัน แบงค็อก”
  • เปิดสาขาพิเศษ “Greener Store” ที่ใหญ่ที่สุดในไทย สาขาแรกที่สนับสนุนให้ลูกค้าทำความสะอาดและ “แยกขยะ” ณ จุดทิ้ง
  • “เนตรนภา ศรีสมัย” กรรมการผู้จัดการ สตาร์บัคส์ ประเทศไทย ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงประเด็นการเปลี่ยนซีอีโอคนใหม่ “ไบรอัน นิคโคล” ของบริษัทแม่ Starbucks ที่สหรัฐอเมริกา โดยนิคโคลมีการแสดงวิสัยทัศน์ถึงแนวทางบริหารในอนาคตจะทำให้ร้าน Starbucks กลับมาเป็นร้านกาแฟระดับพรีเมียม จะมีการยกเลิกหรือลดโปรโมชัน 1 แถม 1 ในสหรัฐฯ

    เนตรนภากล่าวตอบถึงเรื่องนี้ว่า นโยบายการบริหาร “สตาร์บัคส์” ที่เมืองไทยขณะนี้ยังคงเหมือนเดิม เพราะวิสัยทัศน์ในภาพกว้างของไบรอัน นิคโคลสอดคล้องกับที่สตาร์บัคส์ ประเทศไทยปฏิบัติมายาวนาน นั่นคือการให้ความสำคัญกับคุณภาพกาแฟ การเป็นแบรนด์ที่สร้างแรงบันดาลใจ และการบริการที่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน (human connection)

    ส่วนโปรโมชัน 1 แถม 1 ซึ่งในเมืองไทยก็มีการจัดแคมเปญอยู่บ่อยครั้ง เนตรนภากล่าวว่ายังไม่มีนโยบายที่จะยกเลิก เพราะมองว่าที่ไทยไม่ได้มีการจัดบ่อยจนเกินไป จะจัดแคมเปญลักษณะนี้เมื่อต้องการดึงลูกค้าให้กลับมาคิดถึงแบรนด์เป็นระยะๆ เท่านั้น

    Positioning รายงานจากสื่อประชาสัมพันธ์ของสตาร์บัคส์ ล่าสุดเพิ่งจะเริ่มแคมเปญ 1 แถม 1 รอบใหม่ระหว่างวันที่ 28 ต.ค. 67 – 3 พ.ย. 67 และหากย้อนกลับไปในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมาจะพบว่าสตาร์บัคส์ไทยมักจะจัดแคมเปญ 1 แถม 1 ทุกๆ ต้นเดือน แต่ระยะเวลาจำนวนวันที่จัดจะต่างกัน และจำนวนเมนูที่อยู่ในรายการแถมก็แตกต่างกันเช่นกัน

     

    เปิดรวดเดียว 3 สาขาที่ “วัน แบงค็อก”

    ด้านความเคลื่อนไหวในการเปิดสาขาใหม่ของสตาร์บัคส์ เนตรนภาระบุว่าปัจจุบันสตาร์บัคส์มีทั้งหมด 517 สาขาในไทย และคาดว่าภายในสิ้นปี 2567 นี้จะได้เปิดเพิ่มอีก 5 สาขา รวมเป็น 522 สาขา

    สตาร์บัคส์
    สตาร์บัคส์ รีเสิร์ฟ วัน แบงค็อก ชั้น G ฝั่ง The Storeys

    ในกลุ่มสาขาที่เปิดตัวหมาดๆ คือสตาร์บัคส์ 3 สาขาที่เปิดในอภิมหาโปรเจ็กต์ “วัน แบงค็อก” ได้แก่ สตาร์บัคส์ รีเสิร์ฟ แฟลกชิป สโตร์ที่ชั้น G ฝั่ง The Storeys, สตาร์บัคส์ ชั้น 3 ฝั่ง The Parade และ สตาร์บัคส์ ชั้น B1 ฝั่ง The Parade

    ดังที่ทราบกันว่าสิทธิ์แฟรนไชส์ “สตาร์บัคส์” ในไทยเปลี่ยนมือมาสู่บริษัท “Coffee Concepts Thailand” บริษัทร่วมทุนระหว่างเครือของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี กับบริษัท Maxim’s Caterers จากฮ่องกง มาตั้งแต่ปี 2562 ขณะที่โครงการ วัน แบงค็อก ก็คือโครงการมิกซ์ยูสของ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด ในเครือตระกูลสิริวัฒนภักดีอีกเช่นกัน ความร่วมมือระหว่างพอร์ตธุรกิจในมือจึงต้องจัดใหญ่และเต็มที่แน่นอน

     

    “สตาร์บัคส์” สายกรีนที่ใหญ่ที่สุดในไทย

    ไฮไลต์ของสตาร์บัคส์สาขาใหม่ในวัน แบงค็อก คือ สตาร์บัคส์ รีเสิร์ฟ ในโซนศูนย์การค้าฝั่ง The Storeys เพราะถือเป็นสาขาระดับ “แฟลกชิป สโตร์” แห่งที่ 4 ในไทยของสตาร์บัคส์ ต่อจากสาขาไอคอนสยาม, เซ็นทรัลเวิลด์ และสยามสแควร์วัน รวมถึงสาขานี้ยังเป็น “Greener Store” ที่ใหญ่ที่สุดของสตาร์บัคส์ไทยด้วยพื้นที่กว้าง 860 ตารางเมตร เป็นสตาร์บัคส์ 2 ชั้นที่จุลูกค้าได้มากกว่า 230 ที่นั่ง พร้อมห้องประชุมในตัว 2 ห้อง

    Greener Store ที่มีการใช้ระบบ Smart Lighting

    “ธนาศักดิ์ กุลรัตนรักษ์” ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ สตาร์บัคส์ ประเทศไทย ระบุว่าข้อกำหนด Greener Store ของสตาร์บัคส์จะเกี่ยวข้องกับหลายด้าน เช่น ลดการใช้น้ำ ลดการใช้ไฟฟ้า ลดขยะ ยกตัวอย่างในสาขานี้มีการนำระบบ Smart Lighting เข้ามาใช้งาน เป็นการปรับแสงไฟในร้านอัตโนมัติให้สอดคล้องกับปริมาณแสงธรรมชาติจากภายนอกกระจก ทำให้ประหยัดไฟเพราะไม่ต้องเปิดไฟสว่าง 100% ตลอดทั้งวัน

    ด้าน “จุฑาทิพย์ เก่งมานะ” ผู้จัดการด้านผลกระทบทางสังคมและความยั่งยืน สตาร์บัคส์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า สาขานี้คือสาขาแรกในไทยที่มีการลงระบบ “ล้างแก้ว-แยกขยะ” ในคอนดิเมนต์ บาร์ รณรงค์ให้ลูกค้าเทน้ำทิ้ง ล้างแก้วและฝาพลาสติกของเครื่องดื่มเย็นให้สะอาด ก่อนจะทิ้งลงถังรีไซเคิล เพราะปกติแล้วแก้วพลาสติกที่จะนำไปรีไซเคิลได้จะต้องผ่านการล้างทำความสะอาดมาก่อน

    สตาร์บัคส์
    ระบบ “ล้างแก้ว-แยกขยะ” ในคอนดิเมนต์ บาร์ รณรงค์ให้ลูกค้าเทน้ำทิ้ง ล้างแก้วและฝาพลาสติกของเครื่องดื่มเย็นให้สะอาด ก่อนจะทิ้งลงถังรีไซเคิล

    จุฑาทิพย์กล่าวด้วยว่า ในปีนี้หลังจากความกังวลด้านสถานการณ์โควิด-19 เริ่มผ่อนคลายลง สตาร์บัคส์ไทยจึงมีการกลับมาสนับสนุนให้ลูกค้านำแก้วส่วนตัว (Personal Cup) มารับเครื่องดื่มพร้อมส่วนลด 10 บาทต่อแก้ว ทำให้ปีนี้สัดส่วนการใช้แก้วของลูกค้า 20% จะเลือกใช้แก้วส่วนตัว 40% เลือกแก้วสำหรับทานในร้าน (for here) และ 40% เลือกแก้วแบบใช้แล้วทิ้ง (to-go) ซึ่งกลุ่มหลังนี้เองที่ต้องการสนับสนุนให้มีการรีไซเคิลเต็มรูปแบบ

    สำหรับ Greener Store ของสตาร์บัคส์ในไทยคาดว่าจะมีครบ 20 สาขาภายในสิ้นปี 2567 และเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายสตาร์บัคส์ทั่วโลกที่ต้องการจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การใช้น้ำ และขยะฝังกลบให้ได้ 50% ภายในปี 2573

    ]]>
    1496314
    “ล้ำ เปลี่ยน โลก” แคมเปญใหม่จาก CPAC Green Solution ย้ำผู้นำ “นวัตกรรมก่อสร้างสีเขียว” เพื่อความยั่งยืน https://positioningmag.com/1394554 Wed, 03 Aug 2022 04:00:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1394554

    หากเอ่ยถึงCPAC” (ซีแพค) หลายคนจะนึกถึงผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำหรับงานก่อสร้างเป็นหลัก แต่ที่จริงแล้วแบรนด์นี้ไม่ได้มีแค่ผลิตภัณฑ์คอนกรีต แต่ยังมีโซลูชันบริการ “นวัตกรรมก่อสร้าง” แบบครบวงจรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างความยั่งยืน โดยล่าสุดแบรนด์ “CPAC Green Solution” มีการออกแคมเปญโฆษณา “Time to change to CPAC Green Solution” เพื่อสื่อสารให้ตลาดรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่มีเทคโนโลยีเข้ามาในชีวิตประจำวันมากขึ้น ซึ่งทาง CPAC Green Solution เอง ก็ได้นำโซลูชันสุดล้ำที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยตอบโจทย์ลูกค้าเช่นกัน

    ผู้บริโภคอาจคุ้นชินกับรถปูนของ CPAC (ซีแพค) ที่วิ่งเข้าออกไซต์งานก่อสร้าง รับทราบว่า CPAC มีผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสมเสร็จ แต่ผลิตภัณฑ์และบริการของ CPAC ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ บริษัทยังมีโซลูชันนวัตกรรมก่อสร้างแบบครบวงจรไว้ให้บริการอีกด้วย และยังเป็นผู้นำการพัฒนาเพื่อสร้างโซลูชันที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างความยั่งยืน ภายใต้บริการ “CPAC Green Solution”

    บริการของ CPAC Green Solution นั้นมีลักษณะเป็น System Integrator (SI) รวบรวมเทคโนโลยีที่มีในท้องตลาดมาสร้างเป็นระบบบริการก่อสร้างให้ลูกค้าได้แบบ End to End Service Solution นั่นคือสามารถดูแลโครงการของลูกค้าได้ตั้งแต่ การออกแบบ การก่อสร้าง และดูแลหลังก่อสร้าง ครบจบในที่เดียว โดยนวัตกรรมที่ใช้จะคำนึงถึงประสิทธิภาพสูงสุด ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ลดการสร้างขยะในไซต์งาน

    ล่าสุด CPAC Green Solution จึงมีการเปิดตัวแคมเปญโฆษณา “Time to Change to CPAC Green Solution” เพื่อให้ผู้พัฒนาโครงการ ผู้รับเหมา วิศวกร สถาปนิก หรือผู้บริโภคที่สนใจด้านการก่อสร้าง ได้รู้จักกับโซลูชันบริการที่แบรนด์มีให้ โดยหยิบไฮไลต์นวัตกรรมสุดล้ำมานำเสนอ ได้แก่

    • CPAC Drone Solution มองภาพให้กว้างกว่าเดิม ประเมินพื้นที่ได้แม่นยำ ด้วย Smart Technology for safety in Hazard Area นวัตกรรมโดรน ใช้สำหรับสำรวจตรวจสอบในพื้นที่ปิดและเข้าถึงได้ยาก เพื่อวางแผนการซ่อมบำรุง ซ่อมแซม หรือตรวจสอบความผิดปกติ ในพื้นที่เสี่ยงอันตราย โดยมาพร้อมกับเซนเซอร์รอบทิศทาง และเกราะป้องกันการกระแทก การชน กับสิ่งกีดขวาง ช่วยป้องกันความเสี่ยงอันตรายแทนการใช้คนเข้าไปสำรวจในพื้นที่เสี่ยงอันตรายและเข้าถึงได้ยาก

    • CPAC BIM เพิ่มประสิทธิภาพและยกระดับการก่อสร้าง ด้วย Digital Construction ใช้บริหารโครงการ ติดตามและควบคุมงานก่อสร้างแต่ละโครงการเทียบกับแผน ช่วยลด Waste (เวลา แรงงาน เศษวัสดุ) ระหว่างการก่อสร้างได้ 5-15% ขึ้นอยู่กับแต่ละประเภทของโครงการ และลดความผิดพลาดในงานก่อสร้าง (Reject หรือ Rework)

    • CPAC LOW RISE BUILDING SOLUTION นวัตกรรมการก่อสร้างอาคารสำเร็จรูป ด้วยระบบพรีแคส ติดตั้งรวดเร็ว แม่นยำ คุมคุณภาพได้มาตรฐาน ก่อสร้างด้วยชิ้นส่วนโครงสร้างคอนกรีตสำเร็จรูป ทั้งผนัง พื้น บันไดและคาน ที่ผลิตสำเร็จจากโรงงาน พร้อมนำไปติดตั้งที่หน้างานได้ทันที ช่วยลดเศษวัสดุหน้างาน ดูแลครบตั้งแต่การออกแบบงานก่อสร้าง จนถึงงานสถาปัตย์ด้วยทีมงานมืออาชีพ

    • CPAC 3D PRINTING SOLUTION นวัตกรรมก่อสร้างยุคใหม่ โดยการใช้เทคโนโลยี 3D Concrete Printing ซึ่งเป็นการนำเครื่องพิมพ์แบบ 3 มิติ ขนาดใหญ่ ขึ้นรูปด้วยปูนซีเมนต์ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะจากเอสซีจี เพื่อขึ้นรูปผนังอาคาร หรือชิ้นส่วนของอาคาร ตลอดจนชิ้นงานสำหรับตกแต่ง โดยสามารถทำการพิมพ์ขึ้นรูปทั้งแบบในพื้นที่ก่อสร้างเลย (on-site) และแบบผลิตจากโรงงาน (off-site) Freeform ด้วยการออกแบบเส้นสายความโค้งอย่างเป็นอิสระ หรือ Parametric Design ที่มีจุดเด่นตรงที่รูปฟอร์มอันเป็นเอกลักษณ์, Lead Trend รูปแบบทันสมัย ไม่ซ้ำใคร, Speed ก่อสร้างได้เร็วขึ้น 30% ในส่วนของการก่อสร้างผนัง, Manpower ใช้แรงงานน้อยลง 50% โดยการใช้เครื่องจักรเข้ามาช่วย

    เห็นได้ว่าทุกโซลูชันที่ CPAC Green Solution มีการนำนวัตกรรมเข้ามาใช้งาน จะทำให้เกิดความยั่งยืนมากขึ้นทั้งในแง่การลดขยะเศษวัสดุที่ไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์ และช่วยประหยัดเวลา แรงงาน ไซต์งานมีความปลอดภัยสูงขึ้น โดยบริษัทมีแนวทางการจัดการขยะทั้งไซต์งานก่อสร้างภายใต้ CPAC CONSTRUCTION WASTE MANAGEMENT โซลูชันการบริหารจัดการวัสดุเหลือใช้ภายในโครงการก่อสร้าง โดยมีการเก็บเศษคอนกรีตมาบดหยาบและบดย่อย จากนั้นนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อีกครั้ง สามารถนำไปผลิตใช้ในส่วนต่างๆ ของโครงการ เช่น วัสดุรองพื้นทาง ส่วนผสมของผิวถนน วัสดุตกแต่งผิวอาคาร เป็นต้น นวัตกรรมนี้ทำให้การก่อสร้างสามารถลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 198 ตัน เทียบเท่ากับการดูดซึมของต้นไม้ 2,178 ต้น


    ภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้แบ่งเป็น 2 เวอร์ชัน คือ ความยาว 1 นาที และความยาว 30 วินาที โดยเริ่มเผยแพร่ตั้งแต่ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2565 ผ่านช่องทางออนไลน์ ได้แก่  Facebook: https://fb.watch/etL270vRzD/, Youtube Channel: https://youtu.be/7tFUJ8Eytnkwww.cpac.co.th อีกทั้งยังมีช่องทางดิจิทัลบิลบอร์ดจำนวน 23 จุดทั่วประเทศ ซึ่งจะเริ่มประมาณกลางเดือนสิงหาคม 2565

    แคมเปญโฆษณายังตอกย้ำว่าบริษัทพร้อมที่จะทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์เพื่อจะพัฒนาให้โซลูชันดียิ่งขึ้น ก้าวไปสู่ยุคใหม่ของการก่อสร้างที่ใช้เทคโนโลยีก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด รวดเร็วในการก่อสร้าง และดีต่อสิ่งแวดล้อม โดย CPAC Green Solution จะเป็นผู้นำแถวหน้าของการสร้างนวัตกรรม “ล้ำ เปลี่ยน โลก” เหล่านี้

    สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: 

    CPAC Contact Center: 02-555-5555
    หรือ CPAC Solution Center (CSC) 23 สาขา
    และ www.cpac.co.th

    ]]>
    1394554