เลือกตั้งสหรัฐ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 22 Aug 2024 06:01:44 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 จับทิศการลงทุนล่วงหน้า “เลือกตั้งสหรัฐฯ” ข้อมูลโดย “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” https://positioningmag.com/1487138 Thu, 22 Aug 2024 05:34:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1487138 โค้งท้ายปลายปี 2024 “เลือกตั้งสหรัฐฯ” กำลังจะวนมาอีกครั้งโดยมีคู่ชิงประธานาธิบดีระหว่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” กับ “กมลา แฮร์ริส” คำถามสำคัญที่ทั่วโลกกำลังจับตาคือ “ใครจะชนะศึกครั้งนี้” และ “ผู้กำชัยชนะจะสร้างแรงกระเพื่อมต่อโลกการค้าการลงทุนอย่างไร”

ฟังแนวทางวิเคราะห์คำตอบจาก “บุรินทร์ อดุลวัฒนะ” กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ข้อมูลบางส่วนจากงานสัมมนา “THE WISDOM The Symbol of Your Vision Wealth Decoded” เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2024

ปัจจุบันผลโพลล่าสุดระหว่างทรัมป์กับแฮร์ริสถือว่ายังสูสี โดยแฮร์ริสได้รับความนิยมมากกว่าเล็กน้อยที่ 46.7% ส่วนทรัมป์อยู่ที่ 43.8% ท่ามกลางการแข่งขันที่จะยิ่งเข้มข้นขึ้นหลังจากนี้จนกว่าจะถึงวัน “เลือกตั้งสหรัฐฯ” ในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้

“บุรินทร์ อดุลวัฒนะ” กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด

บุรินทร์กล่าวว่าจากนโยบายของทั้งสองผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เห็นได้ชัดว่าจุดแข็งสำคัญของแต่ละฝ่ายที่สร้างความต่างในการตัดสินใจของคนอเมริกันมากที่สุด ได้แก่

  • โดนัลด์ ทรัมป์ : นโยบายทางเศรษฐกิจ นโยบายผู้อพยพชายแดนเม็กซิโก ลดการสนับสนุนความมั่นคงของประเทศพันธมิตร
  • กมลา แฮร์ริส : นโยบายด้านสาธารณสุข สิทธิการยุติการตั้งครรภ์ของผู้หญิง สนับสนุนเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม
เลือกตั้งสหรัฐฯ
นโยบายที่แตกต่างของทรัมป์กับแฮร์ริส

ทั้งนี้ นโยบายด้าน “เศรษฐกิจ” คือจุดสำคัญมากที่คนอเมริกันให้ความสนใจ และเดโมแครตกับรีพับลิกันวางนโยบายเศรษฐกิจต่างกันอย่างมาก เนื่องจากเดโมแครตให้ความสำคัญกับชนชั้นกลาง แต่รีพับลิกันให้ความสำคัญกับบริษัทเอกชนและผู้มีฐานะ

โดยบุรินทร์วิเคราะห์ว่า หากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้ง นโยบายด้านการค้าการลงทุนต่างประเทศจะไม่ต่างไปจากเดิมมากนัก และส่งผลต่อการค้าโลกน้อยกว่า

แต่ถ้าหากพรรครีพับลิกันกำชัยชนะ นโยบายของ “ทรัมป์” จะส่งผลต่อการค้าโลกรุนแรงมากกว่า เนื่องจากทรัมป์จะเดินหน้า “กีดกันทางการค้า” โดยจะขึ้นภาษีสินค้าที่นำเข้าจากจีน 60% และขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศอื่นๆ 10% เพื่อดึงดูดให้บริษัทกลับมาลงทุนตั้งฐานผลิตในสหรัฐฯ

เลือกตั้งสหรัฐฯ
คู่ค้าของสหรัฐฯ ที่จะได้รับผลกระทบสูงสุดหากทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีและออกนโยบายกีดกันการค้า

ข้อมูลจาก The Economist Intelligence Unit (EIU) ประเมินว่า หากทรัมป์ได้รับชัยชนะ คู่ค้า 5 อันดับแรกของสหรัฐฯ ที่จะได้รับผลกระทบสูงสุดเพราะกำลังเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อยู่ขณะนี้ ได้แก่ เม็กซิโก จีน แคนาดา เวียดนาม และเยอรมนี

โดยประเทศ “ไทย” อยู่ในอันดับที่ 11 ของลิสต์นี้ คาดว่าหากทรัมป์ขึ้นกำแพงภาษีจะกระทบกับจีดีพีไทยประมาณ -0.3% ต่อปี

หากทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี จะเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจกับประเทศในเอเชียมากน้อยเพียงใด?

นอกจากประเด็นทางเศรษฐกิจแล้ว อีกหนึ่งประเด็นที่น่าจับตามองหากทรัมป์ได้รับชัยชนะ คือนโยบายด้าน “กลาโหม” ของทรัมป์ที่จะ “ลด” การสนับสนุน “งบประมาณด้านความมั่นคง” ให้กับประเทศพันธมิตร ซึ่งจะทำให้ประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ ต้องหันมาดูแลตนเอง เพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมของตนเองขึ้นทันที

ดังนั้น สรุปอุตสาหกรรมที่น่าลงทุนหากบุคคลเหล่านี้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ

  • กรณีของ “โดนัล ทรัมป์” : น้ำมันและเชื้อเพลิง การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน อาวุธยุทโธปกรณ์ ความปลอดภัยทางไซเบอร์
  • กรณีของ “กมลา แฮร์ริส”​ : เฮลธ์แคร์ เทคโนโลยีพลังงานสะอาด เทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อม

 

“เมกะเทรนด์” ที่มาแน่ ไม่ว่าใครเป็นประธานาธิบดี

อย่างไรก็ตาม บุรินทร์ให้คำแนะนำด้วยว่า ไม่ว่าผู้ใดจะขึ้นเป็นประธานาธิบดี จะมี “เมกะเทรนด์” ของโลกที่เกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่ 2 เรื่อง คือ

1. Silver Economy เนื่องจากอัตราผู้สูงอายุเกิน 65 ปีในแต่ละทวีปจะเร่งตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงวัย เช่น เฮลธ์แคร์ จะทวีความสำคัญเป็นธุรกิจแห่งอนาคต

สังคมสูงวัยกำลังเร่งตัวขึ้นทั่วโลก

2. การลงทุนใน AI ปัจจุบันคิดเป็น 3% ของการลงทุนด้านเทคโนโลยีทั้งหมด ภายในปี 2032 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 11% แต่ผู้ชนะในตลาด AI อาจยังไม่แน่ชัดว่าเป็นใคร จึงแนะนำการลงทุนในธุรกิจ ‘ต้นน้ำ’ ของ AI เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งไม่ว่าบริษัทใดเป็นผู้ชนะล้วนต้องใช้อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์เพื่อสร้าง AI ทั้งสิ้น

ทั้งสองประเด็นจึงเป็นมุมคิดในการตัดสินใจหากต้องการลงทุนระยะยาว อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ 2 เมกะเทรนด์นี้น่าจะกลายเป็น “ขาขึ้น” ได้ในอนาคต

 

อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม

]]>
1487138
‘Facebook’ ประกาศแบน ‘บัญชีทรัมป์’ ยาวถึงมกราคม 2023 https://positioningmag.com/1335644 Mon, 07 Jun 2021 07:19:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1335644 Facebook ประกาศว่าจะแบนบัญชีของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ยาวจนถึง 7 มกราคม 2023 เป็นอย่างน้อย หรือเป็นเวลาถึง 2 ปีนับจากที่บัญชีได้ถูกระงับในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ก่อนจะประเมินสถานการณ์อีกครั้งเพื่อดูว่าควรได้รับอนุญาตให้กลับมาหรือไม่

ย้อนไปเมื่อเดือนวันที่ 7 มกราคมได้เกิดเหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภาในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ทำให้ Facebook ต้องออกมาระงับการใช้งานบัญชีของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ที่มีผู้ติดตามกว่า 10 ล้านคนเป็นการชั่วคราว เนื่องจากทรัมป์ได้ส่งข้อความให้ผู้ประท้วงออกมาต่อต้านการลงมติรับรองชัยชนะของ ‘โจ ไบเดน’ ในสภาคองเกรส

‘Facebook’ ประกาศ ‘แบน’ บัญชีทรัมป์ จนกว่าไบเดนจะรับตำแหน่ง ป้องกันการปลุกปั่น

แต่ดูเหมือนคำว่าชั่วคราวจะนานกว่าที่คิด เพราะเพื่อป้องกันช่วงการเลือกตั้งกลางเทอมปี 2022 โดยจะแบนบัญชีของทรัมป์ยาว ๆ จนถึงมกราคมปี 2023 อย่างไรก็ตาม จากระยะเวลาดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่การแบนอาจถูกยกเลิกก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2024

Nick Clegg รองประธานฝ่ายกิจการระดับโลกของบริษัท กล่าวว่า เมื่อครบสองปี Facebook จะมองหาผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินว่าความเสี่ยงต่อความปลอดภัยสาธารณะของทรัมป์ว่าลดลงหรือไม่ เราจะประเมินปัจจัยภายนอกรวมถึงกรณีต่าง ๆ ทั้งความรุนแรง ข้อจำกัดในการชุมนุมโดยสงบ และสัญญาณบ่งชี้ความไม่สงบอื่น ๆ หากเราพิจารณาว่ายังคงมีความเสี่ยงร้ายแรงต่อความปลอดภัยสาธารณะ เราจะขยายข้อจำกัดดังกล่าวเป็นระยะเวลาหนึ่งและประเมินใหม่ต่อไปจนกว่าความเสี่ยงนั้นจะลดลง

Computer screen showing the website for social networking site, Facebook (Photo by In Pictures Ltd./Corbis via Getty Images)

Clegg ยังประกาศกฎใหม่สำหรับ “โปรโตคอลการบังคับใช้ที่จะใช้ในกรณีพิเศษเช่นนี้” เนื่องจากที่ผ่านมา นักการเมืองมักได้รับการผ่อนปรนจาก Facebook เนื่องจากบริษัทดำเนินการบนสมมติฐานว่าโพสต์ของพวกเขามีคุณค่าในการบอกใบ้เรื่องข่าวและเป็นส่วนหนึ่งของการอภิปรายสาธารณะ ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงไม่ได้ใช้กฎเกณฑ์ปกติในการขัดกรองโพสต์ แต่ตอนนี้ Facebook จะไม่ถือว่าข่าวสำหรับโพสต์ของผู้นำโลกอีกต่อไป

“เมื่อเราประเมินเนื้อหาสำหรับความเหมาะสมในการเป็นข่าว เราจะไม่ปฏิบัติต่อเนื้อหาที่โพสต์โดยนักการเมืองต่างไปจากเนื้อหาที่โพสต์โดยบุคคลอื่น และจากนี้นักการเมืองหรือบุคคลสาธารณะที่ละเมิดกฎด้วยการปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบหรือความรุนแรงนั้นจะถูกระงับการใช้งานบัญชีเป็นเวลา 1 เดือน หรือมากกว่านั้นในกรณีร้ายแรง สูงสุดถึง 2 ปี” Clegg เขียนไว้ในโพสต์

บริษัทยังกล่าวอีกว่ามีแผนจะพัฒนาคู่มือสำหรับวิกฤตการณ์พิเศษที่จะเปิดใช้งานในยามฉุกเฉินหรือในสถานการณ์ใหม่ๆ ซึ่งนโยบายที่มีอยู่ไม่เพียงพอที่จะป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้น หรือที่เรียกว่า Crisis Policy Protocol จะช่วยให้บริษัทตัดสินใจได้ว่าเมื่อใดควรใช้นโยบายเฉพาะบริบทที่มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น

Source

]]>
1335644
คำสัญญาเเละนโยบายของ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 ทิศทางใหม่อเมริกา https://positioningmag.com/1305031 Sun, 08 Nov 2020 05:28:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1305031 โจ ไบเดนจากพรรคเดโมแครต เตรียมขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 หลังเฉือนเอาชนะโดนัลด์ ทรัมป์ได้สำเร็จ สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ เป็นประธานาธิบดีที่อายุมากที่สุดของสหรัฐฯ คือ 78 ปี

โดยชัยชนะของไบเดน ส่งผลให้คามาลา แฮร์ริส’ (Kamala Harris) สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ วัย 56 ปีจากรัฐแคลิฟอร์เนีย ผู้เป็น Running Mate ของไบเดน จะได้เป็นผู้หญิงคนแรก คนผิวสีคนแรก และคนเชื้อสายเอเชียคนแรก (แม่ของเธอเป็นชาวอินเดีย พ่อเป็นคนจาเมกา) ที่ได้นั่งเก้าอี้ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ

หลังจากที่ทราบผลชนะการเลือกตั้งในรัฐเพนซิลเวเนีย ที่เป็นรัฐสวิงเตทสำคัญ ทำให้เขามีคะเเนนคณะผู้เลือกตั้งเกินครึ่งที่ 270 ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 ทวิตข้อความว่า

งานต่างๆ ที่รอเราอยู่ข้างหน้า อาจเป็นงานที่ยาก แต่ผมให้คำมั่นกับคุณตรงนี้ว่าผมจะเป็นประธานาธิบดีของชาวอเมริกันทุกคน ไม่ว่าคุณจะโหวตให้ผมหรือไม่ก็ตาม…ผมจะเก็บรักษาศรัทธาที่คุณมีให้กับผม

Photo : twitter @JoeBiden

จากนั้นไบเดนเเละเเฮร์ริส ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ที่เมืองวิลมิงตัน รัฐเดลาแวร์ ระบุว่า นี่คือเวลาแห่งการสมานแผล การเลือกตั้งจบลงแล้ว งานของเราคือการเดินหน้าด้วยการทำดีต่อกัน ด้วยความยุติธรรม และยึดถือหลักวิทยาศาสตร์ พร้อมด้วยพลังแห่งความหวัง”

คามาลา แฮร์ริส ได้กล่าวยกย่องผู้หญิงหลากหลายเชื้อชาติและสีผิวในอเมริกา ที่ช่วยต่อสู้ให้ผู้หญิงผิวสีในอเมริกาได้มีวันนี้ ประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมทางเพศ และสิทธิที่จะได้แสดงความคิดเห็นหรือร่วมลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง โดยเธอบอกว่า เด็กผู้หญิงทุกคนที่กำลังดูอยู่ จะเห็นว่านี่คือประเทศแห่งความเป็นไปได้

แม้ว่าฉันจะเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้ทำงานนี้ แต่ฉันจะต้องไม่ใช่คนสุดท้าย

โศกนาฏกรรมชีวิตของ “ไบเดน” ถูกนำมาใช้ในการหาเสียงครั้งนี้ด้วย โดยเขาสูญเสียภรรยาคนแรกและลูกสาวคนเล็กจากอุบัติเหตุรถชนเมื่อปี 1972 ส่วนลูกชาย 2 คนได้รับบาดเจ็บสาหัส ระหว่างนั้นทำให้เขาต้องนั่งรถไฟหลายชั่วโมงต่อวัน จากโรงพยาบาลในรัฐเดลาแวร์ เพื่อเข้าไปที่ทำงานในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ก่อนจะพบรักใหม่ในปี 1977 กับ “จิลล์ ไบเดน” ผู้ที่จะมาเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐฯ คนต่อไป

ไบเดน เป็นผู้มีประสบการณ์ในเกมการเมืองมาหลายทศวรรษ ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาถึง 7 ครั้ง และลงสมัครเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมาหลายครั้ง ได้ขึ้นเป็นรองประธานาธิบดีครั้งเเรกในสมัยของ “บารัก โอบามา” ที่ดำรงตำเเหน่ง 2 สมัย

อย่างไรก็ตาม ไบเดน มีข้อครหาเรื่องชอบสัมผัสร่างกายเกินควร เเละถูกกล่าวหาว่าชอบ “ดมผมผู้หญิง” ซึ่งมีคลิปวิดีโอส่อไปในพฤติกรรมดังกล่าวทั้งกับผู้หญิงและเด็ก โดยมีผู้หญิงอย่างน้อย 8 คน ออกมากล่าวหาว่าถูกไบเดนลวนลาม

ตอนที่ไบเดน ประกาศลงสนามเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้ เขายืนหยัดต่อสู้เพื่อสองสิ่ง คือผู้คนที่สร้างประเทศนี้ และค่านิยมที่จะประสานรอยร้าวจากการแบ่งแยกในสังคม

รัฐบาลชุดใหม่ ต้องเผชิญความท้าทายหลายอย่าง ทั้งวิกฤตโรคระบาด COVID-19 ที่สหรัฐฯ มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลก ปัญหาความไม่ยุติธรรมทางเชื้อชาติ อัตราการว่างงานที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ การฟื้นฟูเเละปกป้องสิ่งแวดล้อม สิทธิการรักษาพยาบาล และความสัมพันธ์กับนานาชาติ โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับจีน ที่หลายฝ่ายกำลังจับตา

มาดูนโยบายหลักๆ ของ “โจ ไบเดน” ว่าจะเป็นไปในทิศทางไหนเเละจะผลักดันได้จริงหรือไม่

เศรษฐกิจ

ไบเดนจะเน้นไปที่การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้ “คนทำงาน” โดยสนับสนุนให้เพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 15 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 465 บาท) ต่อชั่วโมง จากอัตราปัจจุบันที่ 7.25 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 225 บาท) ต่อชั่วโมง ซึ่งมาตรการนี้ ถือว่าทำให้เขาได้คะเเนนเสียงจากคนหนุ่มสาวเพิ่มขึ้นอย่างมาก

พร้อมมุ่งเพิ่ม “เก็บภาษีผู้มีรายได้สูง” เพื่อนำมาสร้างงานให้กับชนชั้นกลางและล่าง ผ่านการลงทุนด้านบริการสาธารณะ ทั้งอุตสาหกรรม ไอที พลังงานสะอาด โดยการจะขึ้นภาษีจะกระทบกลุ่มประชากรที่มีรายได้เกิน 400,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี

อีกทั้งจะคิดภาษีมรดกเเบบใหม่ ที่จะคิดภาษีจากมรดกทั้งก้อน ต่างจากปัจจุบันที่ผู้ได้รับมรดกจะไม่ต้องเสียภาษีในส่วนของกำไร (Capital Gains) เเละไบเดนยังเตรียมร่างกฎหมายขึ้นอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเเละภาษีนิติบุคคลด้วย

นอกจากนี้ เขายังเสนอให้ทุ่มงบอีก 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อซื้อสินค้าที่ผลิตในอเมริกา เเละประกาศใช้กฎหมายสนับสนุนซื้อสินค้าของชาวอเมริกันสำหรับโครงการขนส่งใหม่ ๆ

(Photo by Gary Hershorn/Corbis via Getty Images)

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ไบเดนยืนยันว่าทันทีที่เขาเข้ารับตำเเหน่ง สหรัฐฯ จะกลับเข้าร่วมข้อตกลงด้านสิ่งเเวดล้อมระดับโลกอีกครั้ง โดยจะผลักดันให้อเมริกาบรรลุเป้าหมายลดการแพร่กระจายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ “ให้เป็นศูนย์” ภายในปี 2050

พร้อมประกาศจะทุ่มงบลงทุน 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในโครงการ “พลังงานสีเขียว” มีแผนเศรษฐกิจที่ต้องการให้ผลิตพลังงานสะอาดมากขึ้น โดยมองว่าการส่งเสริมสายการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะเป็นการช่วยคนชนชั้นแรงงานไปในตัวด้วย

นอกจากนี้ เขายังมีเเผนจะเพิ่มกำลังการผลิตของพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์ 500 ล้านหน่วย และกังหันลมแบบ wind turbine อีก 6 หมื่นหน่วย รวมถึงมีการสร้างสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ 5 แสนแห่งทั่วสหรัฐฯ

COVID-19 

ไบเดนประกาศว่า รัฐบาลชุดใหม่จะจัดให้มีการ “ตรวจหาเชื้อฟรี” และจ้างคน 1 แสนอัตรา สำหรับดำเนินโครงการติดตามตัวผู้สัมผัสเชื้อทั่วประเทศ เเละจะจัดตั้งศูนย์ตรวจหาเชื้ออย่างน้อย 10 แห่งในแต่ละรัฐ โดยเขาเห็นว่าผู้ว่าการรัฐทุกรัฐ ควรออกข้อบังคับเรื่องการสวมหน้ากากอนามัย เเละให้คำเเนะนำที่ถูกต้องกับประชาชน

Photo : Shutterstock

ระบบสุขภาพ

ไบเดนตั้งธงไว้ว่าจะ “ขยายแผนโอบามาแคร์” หรือกฎหมายประกันสุขภาพ Affordable Care Act (ACA) สานต่อจากสมัยที่ทำงานเป็นรองประธานาธิบดี โดยเขาต้องการลดอายุขั้นต่ำของผู้มีสิทธิ์เข้ารับการรักษาตามนโยบาย Medicare จากผู้สูงอายุจากเดิมที่ 65 ปี เป็น 60 ปี เเละสัญญาว่าจะให้ชาวอเมริกันทุกคนมีทางเลือกขึ้นทะเบียนในประกันสาธารณสุขที่คล้ายกับ Medicare

เชื้อชาติ การอพยพ เเละการควบคุมปืน 

ไบเดน มุ่งจะลดปัญหาเหยียดเชื้อชาติในสหรัฐฯ ด้วยแผนเศรษฐกิจและสังคมเพื่อสนับสนุน “คนกลุ่มน้อย” เช่นจะ ทุ่มงบ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้างงานและธุรกิจให้คนกลุ่มน้อย เเละจะกำหนดนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่เสมอภาคทางเชื้อชาติในกระบวนการยุติธรรม เช่น การสนับสนุนงบประมาณเพื่อจูงใจหลายรัฐให้ลดอัตราการจำคุก

อย่างไรก็ตาม เขาปฏิเสธข้อเรียกร้องที่อยากให้ลดงบประมาณหน่วยงานตำรวจ เพราะมองว่าควรมีไว้เพื่อรักษามาตรฐานของหน่วยตำรวจ เเต่ก็เห็นด้วยว่า งบประมาณของตำรวจในบางอย่าง ก็ควรจะถูกนำไปดูเเลภาคสังคม เช่น เรื่องปัญหาสุขภาพจิต

ส่วนกฎหมาย “ควบคุมปืน” เป็นไปตามเเนวทางของพรรคเดโมเเครตที่เน้นให้มีการตรวจสอบประวัติผู้ซื้อปืนอย่างละเอียด จำกัดจำนวนอาวุธปืนที่ประชาชนซื้อได้เหลือไม่เกิน 1 กระบอกต่อ 1 เดือน เเละจะให้ทุนวิจัยเรื่องการป้องกันความรุนแรงจากอาวุธปืน

ส่วนนโยบายเรื่องผู้อพยพ ไบเดนสัญญาว่า ภายใน 100 วันแรก หลังได้ทำงานเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เขาจะเปลี่ยนนโยบายของทรัมป์ที่กีดกันครอบครัวผู้อพยพที่ชายแดนระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโก ยกเลิกข้อจำกัดเรื่องการสมัครขอรับสถานะผู้ลี้ภัย และยกเลิกข้อห้ามเดินทางเข้าประเทศจากประเทศมุสลิม

(Photo by Spencer Platt/Getty Images)

การศึกษา

ไบเดนจะสนับสนุนโครงการเพื่อเด็กวัยก่อนเข้าเรียน เเละขยายสิทธิ์ “เรียนฟรี” รวมถึงผ่อนผันหนี้เงินกู้เพื่อการศึกษา เพิ่มวิทยาลัยที่ไม่เก็บค่าเล่าเรียน

นโยบายต่างประเทศ 

ไบเดน ประกาศว่าจะ กู้ชื่อเสียงของอเมริกา ผ่านการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับชาติพันธมิตรของสหรัฐฯ ทำงานร่วมกับนานาชาติในเวทีโลก

เขาเห็นว่า จีนมีนโยบายการค้าและสิ่งแวดล้อมที่ไม่เป็นธรรม เเต่แทนที่จะมุ่งเป้าขึ้นกำแพงภาษีกับจีน สหรัฐฯ ควรจะจับมือกับพันธมิตรนานาชาติ กดดันเพื่อให้จีนไม่เพิกเฉย ซึ่งยังไม่เเน่ชัดว่าเขาจะมีทิศทางความสัมพันธืกับจีนต่อไปอย่างไร ท่ามกลางสงครามการค้าที่ยืดเยื้อมาหลายปี

 

]]>
1305031
‘โจ ไบเดน’ คว้าชัยเลือกตั้งอเมริกา เตรียมขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 https://positioningmag.com/1305018 Sat, 07 Nov 2020 17:21:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1305018 ‘โจ ไบเดน’ คว้าชัยเลือกตั้งอเมริกา เตรียมขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 เเต่ส่อเเววมีปัญหายืดเยื้อ หลังทรัมป์ฟ้องศาลในหลายรัฐ

สูสีเเละดุเดือดมาก กับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ‘โจ ไบเดน’ เฉือนชนะ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ไปหวุดหวิด โดยไบเดนมีคะเเนนเสียงคณะผู้เลือกตั้งล่าสุดที่ 284 เสียง (เกินครึ่งที่ 270 เสียงเเล้ว)

ไบเดน จากพรรคเดโมเเครต พลิกเอาชนะทรัมป์ จากรีพับลิกัน ได้ในพื้นที่ “สวิงสเตท” สำคัญๆ เช่น รัฐวิสคอนซิน รัฐมิชิแกน รัฐแอริโซนา โดยเฉพาะ “รัฐเพนซิลเวเนีย” ที่ต้องลุ้นกันอย่างใจระทึก

ขณะที่โดนัลด์ ทรัมป์ มีคะแนนตามอยู่ที่ 214 เสียง โดยรัฐที่ตอนนี้ยังนับคะแนนอยู่ได้แก่ เนวาดา อลาสกา นอร์ท แคโรไรนา และจอร์เจีย

ก่อนหน้านี้ ทีมงานหาเสียงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาในกรุงวอชิงตัน ขอให้ระงับการนับ “คะแนนทางไปรษณีย์” ที่มาถึงหน่วยเลือกตั้งหลังวันลงคะแนน 3 พ.ย. ในรัฐเพนซิลเวเนีย หลังศาลสูงของรัฐเพนซิลเวเนียอนุญาตให้นับคะแนนจากบัตรทั้งหมด ที่มาถึงภายในวันที่ 6 พ.ย. โดยมีข้อยกเว้นคือ ต้องประทับตราไปรษณีย์ “ภายในวันที่ 3 พ.ย.”

ฝ่ายทรัมป์ ยังยื่นเรื่องต่อศาลรัฐมิชิแกน ขอให้ระงับการนับคะแนน จนกว่าคณะผู้สังเกตการณ์จะสามารถเข้าถึงครบทุกหน่วยลงคะแนน เเละยังขอนับคะแนนใหม่ในรัฐวิสคอนซินเเละจอร์เจียด้วย เนื่องจากพบความผิดปกติหลายอย่าง เเต่ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม

ข้อกังขาในเรื่อง “คะแนนทางไปรษณีย์” ดังกล่าว มีขึ้นเนื่องจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2020 มีประชาชนใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้ามากเป็นประวัติการณ์ เกิน 103 ล้านคน โดยเน้นการส่งบัตรลงคะแนนทางไปรษณีย์ เนื่องจากการเเพร่ระบาดของ COVID-19

การที่กฎหมายและระบบไปรษณีย์ของแต่ละรัฐ มีรายละเอียดแตกต่างกัน ส่งผลให้บัตรลงคะแนนเดินทางมาถึงทางการช้ากว่าวันที่ 3 พ.ย. ซึ่งทรัมป์ต้องการไม่ให้มีการนับบัตรส่วนนี้

ขณะที่บางความเห็นมองว่า ชาวอเมริกาที่เลือก “โหวตทางไปรษณีย์” เป็นผู้ที่มีความกังวลในโรคระบาด จะมีเเนวโน้มจะเลือกไบเดนมากกว่า เนื่องจากไม่พอใจต่อการจัดการวิกฤต COVID-19 ของรัฐบาลทรัมป์ที่สหรัฐฯ มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลก

พรรคเดโมแครต รักษาเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ แต่ส่วนต่างเหนือพรรครีพับลิกันลดลง หลังแพ้เหนือความคาดหมายหลายที่นั่ง ขณะที่พรรครีพับลิกันคาดว่าจะยังคงรักษาเสียงข้างมากในวุฒิสภาได้อีกหนึ่งสมัย

การชนะเลือกตั้งของ “ไบเดน” ครั้งนี้ ยังสร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ เพราะ “คามาลา แฮร์ริส” จะได้ก้าวขึ้นเป็น “รองประธานาธิบดีหญิง” คนแรกของสหรัฐฯ ด้วย ซึ่งรัฐบาลใหม่มีกำหนดเข้าทำงานในทำเนียบขาว ช่วงเดือนม.ค.ปีหน้า

อ่านเพิ่มเติม : คำสัญญาเเละนโยบายของ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46…ทิศทางใหม่อเมริกา

 

]]>
1305018
ชาวอเมริกัน “แห่ซื้อปืน” ช่วงเลือกตั้งสหรัฐฯ หวั่นเกิดเหตุรุนเเรง หลังรู้ผลประธานาธิบดี https://positioningmag.com/1304296 Tue, 03 Nov 2020 11:45:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1304296 ชาวอเมริกัน ตื่นตระหนกช่วงเลือกตั้งสหรัฐฯ 2020 แห่ซื้อปืนไว้ป้องกันตัวเอง หวั่นเกิดเหตุรุนเเรงเเละความวุ่นวาย หลังประกาศผลประธานาธิบดี

ยอดซื้อขายอาวุธปืนทั่วสหรัฐฯ กำลังพุ่งสูงขึ้นในช่วงเลือกตั้ง บางร้านขายหมดเกลี้ยงภายในไม่กี่ชั่วโมง…

ปกติในร้านจะมีปืนวางอยู่เต็มเลย แต่ตอนนี้ความต้องการพุ่งสูงมาก บางครั้งสินค้าเข้ามาตอนเช้า พอถึงช่วงบ่าย ราว 3 ใน 4 ของสินค้าทั้งหมดก็ขายออกไปแล้ว เจ้าของร้านปืนเเห่งหนึ่งกล่าว

ประชาชนในสหรัฐฯ บางส่วนกำลังกังวลว่า หลังการเลือกตั้งจะเกิดเหตุความรุนแรงเเละการประท้วงในย่านที่พักอาศัยของตัวเอง โดยเฉพาะในพื้นที่รัฐ Swing State เขตที่มีคะเเนนเสียงสามารถชี้วัดตำแหน่งผู้นำคนใหม่ได้

อาวุธปืนในสหรัฐฯ มียอดขายสูงเป็นประวัติการณ์ นับตั้งเเต่มีการแพร่ระบาด COVID-19 การลุกฮือประท้วงต่อต้านการเหยียดผิว เเละสถานการณ์การเลือกตั้งประธานาธิบดีที่สูสีกันมาก จนหลายคนเกรงว่าอาจเกิดเหตุรุนแรงขึ้นได้

สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (FBI) เผยว่า นับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกรกฎาคมที่ผ่านมา มียอดซื้อขายปืนในประเทศเพิ่มขึ้นถึง 71% โดยเฉพาะในช่วงกลางปีที่มีการระบาดหนัก หลายรัฐส่งคำร้องให้ FBI ตรวจสอบประวัติผู้ซื้อปืนมากถึง 3.9 ล้านครั้งภายในเดือนเดียว

ปัจจัยในการแห่ซื้อปืนของชาวอเมริกันในช่วงนี้ มีหลายเหตุผลด้วยกัน เช่น บางคนมองว่าหากโจ ไบเดนผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้ง นั้นหมายความว่า การซื้อปืนอาจทำได้ยากขึ้น

เนื่องไบเดน ประกาศจุดยืนในการคุมเข้มการจำหน่ายและครอบครองปืน เพราะมองว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะป้องกันเหตุการณ์กราดยิงที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงความรุนแรงจากอาวุธปืนต่างๆ

ขณะที่พรรครีพับลิกัน และโดนัลด์ ทรัมป์ต้องการเพิ่มเสรีภาพในการครอบครองปืน เพราะมองว่าสิทธิการป้องกันตนเองขั้นพื้นฐาน เป็นสิทธิอันชอบธรรมตามหลักรัฐธรรมนูญ

ในอีกมุมหนึ่ง ชาวเอเชียในสหรัฐฯ หลายคนตัดสินใจต่อแถวรอซื้อปืน ด้วยเหตุผลว่าพวกเขาต้องการใช้ป้องกันตัวจากความเกลียดชังทางเชื้อชาติที่มีมากขึ้น นับตั้งเเต่วิกฤต COVID-19

ด้วยเหตุผลต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ชาวสหรัฐฯ จำนวนมากเร่งซื้อปืนไว้ครอบครอง ก่อนผลเลือกตั้งจะออกมาในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2020 นี้ (หรือเช้าวันที่ 4 พฤศจิกายน ตามเวลาในไทย )

 

ที่มา : Sky News , Fox News , LA times

]]>
1304296
“ทรัมป์” เดินเกมดิจิทัล ทุ่มซื้อโฆษณาบนโฮมเพจ YouTube หวังโกยเสียงเลือกตั้งอีกครั้ง https://positioningmag.com/1265434 Fri, 21 Feb 2020 11:42:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1265434 “ทรัมป์” เริ่มใช้กลยุทธ์โฆษณาออนไลน์กระหน่ำหาเสียงเลือกตั้งอีกครั้ง หลังประสบความสำเร็จจนได้ขึ้นเป็น ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เเละมีโอกาสที่จะได้ดำรงตำเเหน่งต่อเป็นสมัยที่ 2

สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ทีมหาเสียงของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ได้ทุ่มเงินซื้อพื้นที่โฆษณาบนหน้าเว็บไซต์โฮมเพจของ YouTube เเพลตฟอร์มวิดีโอชื่อดัง สำหรับช่วงต้นเดือน พ.ย.ที่จะถึงนี้

ผลวิจัยของ Pew Research Center ระบุว่า ตามปกติการใช้จ่ายโฆษณาดิจิทัลมักมุ่งเน้นไปที่การกำหนดเป้าหมายไปยังผู้ชมเฉพาะกลุ่ม แต่การโฆษณาบนหน้าโฮมเพจของ YouTube นั้นเป็นเหมือนกับการโฆษณาทางทีวีในช่วงที่มีการแข่งขันซูเปอร์โบว์ลเลยทีเดียว เพราะชาวอเมริกันวัยผู้ใหญ่กว่า 75% บอกว่าพวกเขาใช้ YouTube มากกว่าใช้ Facebook เสียอีก

ดังนั้นจึงเป็นการการันตีว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ จะได้เห็นการโฆษณาผลงานและนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ ก่อนจะตัดสินใจลงคะเเนนเสียงเลือกตั้ง ในวันที่ 3 พ.ย.นี้อย่างเเน่นอน นอกจากนี้ทีมหาเสียงของทรัมป์ยังได้ซื้อโฆษณาดิจิทัลตามอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศด้วย

สำหรับการโฆษณาบนโฮมเพจของ YouTube นั้นปกติจะเป็นวิดีโอที่จะเเสดงตลอดทั้งวัน โดยขึ้นอยู่กับระยะเวลาเเละงบที่ซื้อโฆษณา ซึ่งในกรณีของประธานาธิบดีทรัมป์นั้นไม่ชัดเจน เเต่เคยมีการประเมินว่าพื้นที่โฆษณาเหล่านี้มีราคาตั้งแต่หลายแสนดอลลาร์ไปจนถึงมากกว่า 1 ล้านดอลาร์ต่อวัน

YouTube เป็นเเพลตฟอร์มในเครือของ Alphabet Inc. บริษัทเเม่ของกูเกิล ตามปกติเเล้วจะช่วยให้ผู้โฆษณาสามารถกำหนดเป้าหมายในการโฆษณากับกลุ่มผู้ใช้งานได้โดยอิงกับปัจจัยต่างๆ

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้กูเกิลออกนโยบายจำกัดโฆษณาการเมือง โดยจะไม่แสดงโฆษณาการเมืองที่ระบุเป้าหมายด้วยเพศ อายุ ศาสนา สถานที่ในทุกช่องทางทั้งการค้นหา เเละใน YouTube รวมถึงโฆษณาที่ปรากฏบนเว็บไซต์ภายนอกที่เป็น Google Ads ด้วย แต่โฆษณาการเมืองทั่วไปที่ระบุกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้มีสิทธิโหวต ยังคงแสดงต่อไปได้

ด้าน YouTube ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นกับรายงานข่าวนี้ แต่ก็กล่าวว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้โฆษณาทางการเมืองที่จะซื้อโฆษณาด้านบนสุดบนหน้าโฮมเพจ

การเคลื่อนไหวด้านโฆษณาดิจิทัลของทรัมป์ครั้งนี้ ตอกย้ำสิ่งที่นักวิเคราะห์มองว่าการโฆษณาดิจิทัลของทรัมป์ทำให้เขาได้เปรียบเหนือคู่แข่งพรรคเดโมเเครต โดยแคมเปญต่างๆ ของประธานาธิบดีทรัมป์อาจใช้งบมากถึง 500 ล้านดอลลาร์ในด้านโฆษณาและกลยุทธ์ดิจิทัล

 

ที่มา : Trump Ads Will Take Over YouTube’s Homepage on Election Day

]]>
1265434
ถอดถอน “ทรัมป์” รอดหรือร่วง…เเละทำไม “บลูมเบิร์ก” รวยเเซงหน้าทรัมป์ ถึง 17 เท่า https://positioningmag.com/1257976 Fri, 20 Dec 2019 09:40:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1257976 ในยามที่กำลังลุ้นว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 45 จะถูกถอดถอนออกจากตำเเหน่ง ไปไม่ถึงการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในช่วงปลายปีหน้าหรือไม่ Positioning พามาดูขุมทรัพย์ของมหาเศรษฐี 2 ตัวเต็งชิงผู้นำอเมริการะหว่างเจ้าพ่อสื่อ ไมเคิล บลูมเบิร์ก VS โดนัลด์ ทรัมป์ เเละวิเคราะห์โอกาสในการถอดถอน “ทรัมป์” ว่ามีมากน้อยเเค่ไหน

ทำไม “บลูมเบิร์ก” รวยเเซงหน้า “ทรัมป์” ถึง 17 เท่า

ทุกคนรู้ดีว่าปัจจุบันช่องว่างของความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยเเละคนจนมีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งในสหรัฐอเมริกา ประเทศไทยเละประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ขณะเดียวกันช่องว่างนี้ก็เกิดขึ้นระหว่างคนรวยกับคนรวยด้วย เมื่อมองไปถึงการชิงตำเเหน่งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะกำลังจะมีขึ้นในปี 2020

“โดนัลด์ ทรัมป์” (Donald Trump) ผู้นำสหรัฐฯ คนปัจจุบันจากพรรครีพับลิกัน ได้รับการประเมินว่ามีความมั่งคั่งอยู่ที่ 3.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 9.37 หมื่นล้านบาท) ติดอันดับ 715 ของทำเนียบมหาเศรษฐีโลกปีนี้ จากการจัดอันดับของ Forbes ถือว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาลเมื่อเทียบกับคนส่วนใหญ่บนโลก

แต่ทรัพย์สินของทรัมป์ กลับดูน้อยมากหากเทียบกับทรัพย์สินของผู้เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีตัวเต็งจากพรรคเดโมเเครตอย่าง “ไมเคิล บลูมเบิร์ก” (Michael Bloomberg) ผู้ครองความมั่งคั่งกว่า 5.3 หมื่นล้านเหรียญ (ราว 1.64 ล้านล้านบาท ) ติดอันดับ 9 ของทำเนียบมหาเศรษฐีโลกปีนี้ 

บลูมเบิร์ก สามารถบริหารจัดการธุรกิจและทรัพย์สินได้อย่างเหมาะสม เเละเพิ่มความมั่งคั่งได้เป็นทวีคูณ โดยติดอันดับ 400 บุคคลที่รวยที่สุดในอเมริกาหรือ Forbes 400 เป็นครั้งแรกได้ในปี 1992 ซึ่งคนที่จะติดอันดับได้ต้องมีสินทรัพย์ 350 ล้านเหรียญขึ้นไปในขณะนั้น หลังจากบริษัทของเขาที่ให้บริการข้อมูลหุ้น พันธบัตร และอื่นๆ เริ่มเป็นที่นิยมในวอลสตรีท

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ฟาก “ทรัมป์” ต้องฝ่าวิกฤตเพื่อรักษาอาณาจักรของครอบครัวไว้ หลังมีหนี้สินก้อนโตจนเกือบล้มละลาย

ฟ้าหลังฝน ทรัมป์ฝ่าวิกฤตได้และกลับเข้ามาสู่ทำเนียบ Forbes 400 ได้ในปี 1996 ด้วยความมั่งคั่งราว 450 ล้านเหรียญ ขณะที่ บลูมเบิร์ก ตอนนั้นมีความมั่งคั่งอยู่ราว 1 พันล้านเหรียญ เเล้ว จากมูลค่าหุ้นในธุรกิจข้อมูลทางการเงินของเขา

ตลอดช่วง 23 ปีที่ผ่านมา ความมั่งคั่งสุทธิของทรัมป์ เพิ่มขึ้นในอัตรา 8.8% ต่อปี มากกว่าผลตอบแทนของดัชนีหุ้น S&P 500 ซึ่งอยู่ที่ 6.7% ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยผลตอบแทนของทรัมป์ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในปี 1996-1997 ซึ่งทำให้เขาก้าวกระโดดจาก 450 ล้านเหรียญมาเป็น 1.4 พันล้านเหรียญ

ขณะที่ความมั่งคั่งของบลูมเบิร์ก มีการเติบโตเเละมีความเสถียรมากกว่า ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 18.8% ต่อปี

ผลตอบแทนเเละการเติบโตทางธุรกิจที่โดดเด่น การขยายกิจการเเละเข้าซื้อธุรกิจสื่อ ทำให้บลูมเบิร์กรวยขึ้นมหาศาล เเซงหน้าเหล่ามหาเศรษฐีที่ธุรกิจส่วนใหญ่ยังเป็นการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์เก่าดั่งเช่นทรัมป์

โดยช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา บริษัท Bloomberg LP เติบโตขึ้นจากการขยายการรายงานข่าวธุรกิจและการเงินเข้ามาด้วย จากเดิมที่เพียงให้บริการข้อมูลด้านการเงินเท่านั้น

จากนั้น Bloomberg LP ได้เข้าซื้อกิจการหนังสือ BusinessWeek ซึ่งกำลังประสบปัญทางการเงินอย่างหนักจาก McGraw-Hill ด้วยมูลค่า 5 ล้านเหรียญ และรับโอนหนี้สินมาอีกเกือบ 32 ล้านเหรียญในปี 2009

ปัจจุบัน ประเมินว่า Bloomberg LP มีรายได้อยู่ที่ 1 หมื่นล้านเหรียญและ “ไมเคิล บลูมเบิร์ก” ผู้ก่อตั้งนั้นถือครองหุ้นอยู่ 88% ของบริษัท

ไมเคิล บลูมเบิร์ก นักธุรกิจผู้ท้าชืงตำเเหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ในปี 2020 – AFP Photo/Olivier Douliery

นอกจากนี้เจ้าพ่อสื่ออย่างบลูมเบิร์ก ยังมีชื่อเสียงจากการเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีที่บริจาคเงินเพื่อการกุศล โดยเขาบริจาคเงิน 8 พันล้านเหรียญให้กับองค์การกุศลและกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ รวมถึงมหาวิทยาลัย Johns Hopkins
และกิจกรรมที่ผลักดันการควบคุมอาวุธปืน

เเม้การเอาชนะใครบางคนได้ในสนามธุรกิจ กับการเอาชนะใครบางคนได้ในสนามเลือกตั้งนั้นต้องใช้ทักษะที่แตกต่างกัน ซึ่งในปีหน้านี้ บลูมเบิร์ก ผู้เคยดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กมาเเล้ว 3 สมัย จะได้รับโอกาสพิสูจน์ตัวเองว่าเขาจะสามารถต่อสู้กับทรัมป์บนเวทีการเมืองได้หรือไม่เเละอย่างไร

ทุ่มเงินซื้อโฆษณาเลือกตั้ง 2020

มีรายงานจาก Advertising Analytics บริษัทด้านสำรวจโฆษณาในสหรัฐฯ เผยว่าบลูมเบิร์กได้ทุ่มเงินจำนวนอย่างน้อย 33 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 990 ล้านบาท) ซื้อโฆษณารณรงค์ประชาสัมพันธ์การสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาในหลายรัฐ

เป็นที่น่าสนใจว่า เงินดังกล่าวส่วนใหญ่ถูกลงไปกับการซื้อโฆษณาหาเสียงในรัฐที่เป็นฐานเสียงของพรรคคู่เเข่งอย่างรีพับลิกัน และถือเป็น “Swing State” ที่มีจำนวน Electoral College หลายที่นั่ง เช่น รัฐฟลอริดา โอไฮโอ มิชิแกน ยูทาห์ และเท็กซัส

เเม้ข้อมูลตัวเลขของเเคมเปญดังกล่าวจะยังไม่ชัดเจน เเต่ก็นับว่าสูงกว่าสมัยที่อดีตประธานธิบดี “บารัค โอบามา” เคยใช้เงินซื้อโฆษณาที่ 24 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่า ทีมหาเสียงของมหาเศรษฐี “บลูมเบิร์ก”
อาจใช้เงินในการรณรงค์แคมเปญหาเสียงสูงเลือกตั้งครั้งนี้ถึง 100 ล้านเหรียญเลยทีเดียว

ถอดถอน “ทรัมป์” รอดหรือร่วง?

ล่าสุดกับข่าวใหญ่ของการเมืองสหรัฐและการเมืองโลกในช่วงปลายปีนี้ เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.ที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ลงมติด้วยคะแนน 230 :197 ถอดถอน (impeachment) ประธานาธิบดีทรัมป์ใน 2 ข้อกล่าวหาคือ ข้อหาการใช้อำนาจในทางมิชอบ และขัดขวางกระบวนการสอบสวนของสภาคองเกรส โดยพรรคเดโมแครตมี ส.ส. จำนวน 232 เสียง ซึ่งโหวตเห็นชอบเกือบหมด ส่วนพรรครีพับลิกันมี ส.ส. จำนวน 195 เสียงเเละโหวตคัดค้านทุกคน

เเฟ้มภาพ – โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45

ส่งผลให้ทรัมป์กลายเป็นผู้นำคนที่ 3 ของสหรัฐฯ ที่ถูกพิจารณาถอดถอนในขั้นตอนของสภาผู้แทนราษฎร ถัดจากแอนดรูว์ จอห์นสัน และ บิล คลินตัน

อย่างไรก็ตาม การถอดถอนประธานาธิบดีไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องอาศัยเสียงโหวตในสภา โดยการเสนอถอดถอนต้องใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง (1/2) ของสภาล่าง (ผ่านเเล้ว) แต่การโหวตตัดสินว่าผิดจริงหรือไม่ต้องใช้เสียงถึง 2/3 ของสภาสูงหรือวุฒิสภา ที่มีจำนวน 100 ที่นั่ง หรือเท่ากับต้องมี 67 เสียงขึ้นไปถึงจะถอดถอนได้

เเละเมื่อมองดูจากสถานการณ์ ตอนนี้พรรครีพับลิกันนั้นครองเสียงข้างมากในสภาสูงคือ 53 เสียง พรรคเดโมแครตมี 45 เสียง และวุฒิสมาชิกอิสระอีก 2 เสียง ทำให้การที่พรรคเดโมเเครตจะมีคะเเนนโหวตถึง 2/3 ของสภาสูงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้การเมืองสหรัฐฯ มีการเเบ่งขั้วชัดเจน (ดูจากพรรครีพับลิกันมี ส.ส. จำนวน 195 เสียงก็โหวตคัดค้านพร้อมเพรียงกันทุกคน)

อย่างไรก็ตาม หากเกิดการ “พลิกล็อก” ขึ้นมาจริงๆ ในกรณีทรัมป์ถูกถอดถอนสำเร็จ รองประธานาธิบดี “ไมค์ เพนซ์” (Mike Pence) ซึ่งเป็นฝ่ายรัฐบาลพรรครีพับลิกันก็ยังคงบริหารต่อไป โดยขึ้นมารับตำแหน่งประธานาธิบดีแทน

นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าการยื่นถอดถอนทรัมป์ของพรรคเดโมเเครตครั้งนี้ เป็นเทคนิคทางการเมืองที่ทำให้คู่เเข่งอย่างรีพับลิกันไขว้เขวเเละไม่โฟกัส การเลือกตั้งประธานาธิบดีที่กำลังจะมาถึงในช่วงปลายปีหน้า เพราะกระบวนการต่อสู้ต้องใช้ทรัพยากรมากทั้งการเตรียมข้อมูล การหักล้างฟาดฟันกัน

ในมุมกลับกันก็อาจเป็นการสร้างเเนวร่วมให้กับฐานเสียงของทรัมป์ด้วย ซึ่ง The Wall Street Journal ออกมาวิเคราะห์ว่าการยื่นถอดถอนทรัมป์ครั้งนี้ อาจเป็นการยืนยันว่าทรัมป์จะชนะเลือกตั้งสมัยหน้าอีกก็เป็นได้ (อ่านเพิ่มเติมใน The Democrats Could Re-Elect Trump in 2020) 

ที่มา

 

]]>
1257976