แบนจีน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 01 Apr 2024 13:39:52 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘จีน’ จวก ‘อเมริกา’ ว่าสร้างอุปสรรคให้กับอุตสาหกรรมชิปมากขึ้น หลังเพิ่มเกณฑ์ควบคุมส่งออกไปยังจีน https://positioningmag.com/1468601 Mon, 01 Apr 2024 11:59:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1468601 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ฝ่ายบริหารของ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้แก้ไขกฎเกี่ยวกับการส่งออกชิป โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำให้จีนเข้าถึงชิปปัญญาประดิษฐ์และเครื่องมือสร้างชิปของสหรัฐฯ ได้ยากขึ้น เนื่องจากข้อกังวลด้านความมั่นคงของชาติ เพรากลัวว่าจีนจะนำชิปไปเสริมประสิทธิภาพให้กองทัพ

ล่าสุด จีน ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กฎเกณฑ์การส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ ที่เข้มงวดขึ้น โดยกล่าวว่า อเมริกากำลังสร้างอุปสรรคในการค้าขายและเพิ่มความไม่แน่นอนในอุตสาหกรรมชิปมากขึ้น โดยความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันระหว่างบริษัทจีนและบริษัทต่างชาติ และยังเป็นอันตรายต่อสิทธิและผลประโยชน์ที่ชอบด้วยกฎหมายของพวกเขา จีนต่อต้านสิ่งนี้อย่างแข็งขัน

สหรัฐฯ ได้ขยายแนวคิดเรื่องความมั่นคงของชาติ แก้ไขกฎเกณฑ์ตามอำเภอใจ และมาตรการควบคุมที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่จะสร้างอุปสรรคมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังสร้างภาระในการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่หนักขึ้นสำหรับบริษัทจีนและอเมริกาที่ต้องการทำงานร่วมกันในเชิงเศรษฐกิจและทางการค้าตามปกติ และยังสร้างความไม่แน่นอนอย่างมากให้กับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก” โฆษกกระทรวงพาณิชย์กล่าว

ย้อนไปช่วงเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ กำหนดกฎเกณฑ์ห้ามการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ไปยังจีน ทำให้บริษัทอย่าง Nvidia และ AMD ได้แก้ปัญหาโดยการ ผลิตชิปสำหรับจำหน่ายให้จีนโดยเฉพาะ โดยจะออกแบบให้ตรงตามสเปกที่สหรัฐฯ ตั้งไว้ แต่จากกฎใหม่ที่สหรัฐออกมา จะมาอุดช่องว่างดังกล่าว โดยกฎเกณฑ์ใหม่ซึ่งมีความยาว 166 หน้าจะมีผลบังคับใช้ในวันพฤหัสบดีหน้า (4 เม.ย.) นี้

จีนพร้อมที่จะทำงานร่วมกับทุกฝ่ายเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน และส่งเสริมความมั่นคงและเสถียรภาพของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก”

Source

]]>
1468601
‘ไบเดน’ สานต่อ ‘ทรัมป์’ สั่งแบนบริษัทจีน 59 แห่ง เหตุปัญหาความมั่นคง https://positioningmag.com/1335243 Fri, 04 Jun 2021 04:21:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1335243 ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ลงนามในคำสั่งบริหารเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. ห้ามชาวอเมริกันลงทุนในบริษัทจีน 59 ราย ซึ่งเชื่อว่าเชื่อมโยงกับกองทัพจีน ซึ่งเป็นการขยายคำสั่งบริหาร โดนัลด์ ทรัมป์ในวันที่ 31 พ.ย. 2020

คำสั่งของไบเดนขยายขอบเขตการแบนครอบคลุมบริษัท 59 ราย ซึ่งห้ามไม่ให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในบริษัทเป้าหมาย โดยอ้างถึงภัยคุกคามจากเทคโนโลยีการเฝ้าระวังของจีน และเพื่อป้องกันไม่ให้การลงทุนของสหรัฐฯ สนับสนุนกลุ่มอุตสาหกรรมการทหารของจีน ตลอดจนโครงการวิจัยและพัฒนาด้านการทหาร ข่าวกรอง และความปลอดภัย โดยคำสั่งดังกล่าวจะมีผลในวันที่ 2 สิงหาคมนี้

โดยบริษัทที่โดนแบนในครั้งนี้มีบริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของประเทศหลายราย เช่น Aviation Industry Corp of China (AVIC), China Mobile Communications Group, China National Offshore Oil Corp (CNOOC), Hangzhou Hikvision Digital Technology Co Ltd และ Semiconductor Manufacturing International Corp (SMIC) ขณะที่ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอย่าง Huawei ยังคงอยู่ในรายการ

“เราพบว่าการใช้เทคโนโลยีการสอดแนมของจีนนอก PRC และการพัฒนาหรือการใช้เทคโนโลยีการสอดแนมของจีนเพื่ออำนวยความสะดวกในการปราบปรามหรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามที่ผิดปกติและไม่ธรรมดา” ไบเดนกล่าว

ปัจจุบัน ไบเดนกำลังทบทวนนโยบายของสหรัฐฯ ในหลายแง่มุมต่อจีน และฝ่ายบริหารของเขาได้ขยายเส้นตายสำหรับการดำเนินการตามคำสั่งของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในขณะกำหนดกรอบนโยบายใหม่ ขณะที่เจ้าหน้าที่อาวุโสของสหรัฐฯ ได้ออกมาเปิดเผยว่า ในเดือนต่อ ๆ ไป สหรัฐฯ จะเพิ่มบริษัทอื่น ๆ ในข้อจำกัดของคำสั่งผู้บริหารชุดใหม่

ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวนี้เป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนที่กว้างขึ้นของไบเดนในการต่อต้านจีน รวมถึงการเสริมกำลังพันธมิตรของสหรัฐฯ และการแสวงหาการลงทุนภายในประเทศจำนวนมากเพื่อสนับสนุนการแข่งขันทางเศรษฐกิจของอเมริกา ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่แย่ลงระหว่างสองประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก

CNN, Nikkei Asia

]]>
1335243
PUBG ขอแยกทาง! ดึงสิทธิจัดจำหน่ายเกมใน “อินเดีย” คืนจาก Tencent แก้ปัญหาถูกรัฐแบน https://positioningmag.com/1295971 Wed, 09 Sep 2020 08:57:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1295971 PUBG ประกาศเมื่อวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมาว่า Tencent Games ยักษ์ใหญ่จากจีนจะไม่ได้เป็นพันธมิตรผู้จัดจำหน่าย (publisher) ของเกม PUBG ในประเทศอินเดียอีกต่อไป โดยเป็นความเคลื่อนไหวเพื่อหลีกเลี่ยงการแบนแอปฯ จากจีนของรัฐบาลอินเดียซึ่งเกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อน

ก่อนที่จะเกิดการประกาศแยกทาง Tencent Games เป็นผู้จัดจำหน่ายเกม PUBG Mobile ในอินเดีย แต่หลังจากนี้ PUBG Corporation เจ้าของผู้พัฒนาเกมภายใต้บริษัท Bluehole สัญชาติเกาหลีใต้ กล่าวว่า บริษัทจะนำสิทธิจัดจำหน่ายคืนสู่บริษัท แต่ไม่ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าความสัมพันธ์กับ Tencent ในตลาดอื่นจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่

“ต่อจากนี้ PUBG Corporation จะรับผิดชอบการจัดจำหน่ายภายในประเทศนี้เอง” PUBG Corporation กล่าวในแถลงการณ์

PUBG ซึ่งเป็นเกมที่ฮิตที่สุดเป็นประวัติการณ์ของประเทศอินเดีย กำลัง “มอนิเตอร์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากการแบนของรัฐ” และจะ “เชื่อมโยงกับฐานผู้เล่นที่มีแพสชันสูงในอินเดีย”

การแบนของรัฐเกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยรัฐบาลอินเดียประกาศแบนแอปพลิเคชันทั้งหมด 118 แอปฯ เนื่องจากมีข้อกังวลด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ถือเป็นล็อตที่สองที่ถูกแบนต่อจากล็อตแรกที่ถูกแบนก่อนไปเกือบ 60 แอปฯ รวมถึง TikTok แอปฯ ยอดฮิตจากจีนด้วย แม้ว่าในประกาศของรัฐจะไม่ระบุว่าเป็นการแบน “แอปฯ จีน” แต่การเคลื่อนไหวนี้ก็วิเคราะห์ได้ทันทีว่าเป็นการตอบโต้ปัญหาเชิงภูมิรัฐศาสตร์

PUBG เกมมือถือยอดนิยมระดับโลก และเป็นอันดับ 1 ของอินเดีย

Ji Rong โฆษกประจำสถานทูตจีนประจำอินเดีย กล่าวเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า จีนมีความกังวลอย่างมาก และต่อต้านอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจของรัฐบาลอินเดีย หลังสั่งแบนแอปฯ ที่มาจากจีนด้วยข้อกล่าวหาว่า ‘เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ’

“เราร้องขอให้รัฐบาลอินเดียปฏิบัติให้ถูกต้อง โดยไม่ใช้วิธีกีดกันทางการค้าซึ่งละเมิดกฎของ WTO และหันมาสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปิดกว้าง ยุติธรรม ไม่มีการแทรกแซงต่อผู้เล่นในตลาดทุกรายไม่ว่าจะมาจากประเทศไหน รวมถึงประเทศจีนด้วย และรัฐบาลจีนเองร้องขอให้บริษัทจีนที่ไปลงทุนต่างประเทศทุกรายทำตามกฎระเบียบของประเทศนั้นๆ อยู่เสมอ” Rong กล่าว

ก่อนจะเกิดการแบนขึ้น Techcrunch รายงานข้อมูลว่า PUBG มีผู้เล่น active เดือนละประมาณ 40 ล้านบัญชีในอินเดีย และเป็นแอปฯ ที่ทำรายได้สูงที่สุดในประเทศ เหนือกว่า Netflix หรือ Tinder

“PUBG Corporation เข้าใจและเคารพวิธีการดูแลความเป็นส่วนตัวและความมั่นคงของชาติที่รัฐบาลอินเดียเลือกใช้ บริษัทหวังว่าต่อจากนี้จะได้จับมือกับรัฐบาลเพื่อหาทางออกจากเรื่องนี้ และอนุญาตให้เกมเมอร์ได้กลับมาลงสนามต่อสู้ในเกมอีก ขณะที่บริษัทได้ทำตามกฎระเบียบของอินเดียอย่างสมบูรณ์” PUBG Corporation กล่าว

หลังจากการแบนเกิดขึ้น Google และ Apple ดึงเกม PUBG รวมถึงแอปฯ อื่นที่ถูกแบนออกจากร้านค้าออนไลน์ไปแล้ว แต่สำหรับ PUBG แม้จะดาวน์โหลดใหม่ไม่ได้ก็ยังสามารถเล่นได้อยู่ ถ้าหากเกมเมอร์มีเกมและบัญชีอยู่แล้ว แต่สถานการณ์ก็อาจเปลี่ยนไปได้ทุกเมื่อ

อย่างไรก็ตาม Tencent เป็นพันธมิตรที่ลึกกว่าแค่เป็นผู้จัดจำหน่าย เพราะบริษัทเข้าไปร่วมพัฒนาบางเวอร์ชันของ PUBG ด้วย เช่น PUBG Mobile Lite ซึ่งจะทำให้ปัญหากับอินเดียซับซ้อนขึ้นไปอีก

“ขณะที่การจัดจำหน่ายถูกโอนย้ายไปอยู่กับ PUBG แต่ Tencent จะยังเกี่ยวข้องกับการพัฒนาเกมอยู่ไหม? ถ้ายังเกี่ยวข้องอยู่ จะถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมายด้านความปลอดภัยที่อินเดียหรือเปล่า? การเคลื่อนไหวครั้งนี้เหมือนจะเป็นโซลูชันเพื่อพันแผลซับเลือดไว้เฉยๆ ถ้า Tencent ยังคงเกี่ยวข้องกับการพัฒนาเกม” Richi Alwani นักวิเคราะห์ตลาดเกมอินเดีย แสดงความเห็นผ่านบัญชีทวิตเตอร์

Source

]]>
1295971
เจาะแผนรุกตลาดอินเดียของ ‘Google’ และ ‘Jio’ ในวันที่ ‘จีนล้ม’ ต้องรีบ ‘ข้าม’ https://positioningmag.com/1291826 Mon, 10 Aug 2020 08:56:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1291826 ในช่วงเวลา 4 เดือนที่ผ่านมา บริษัท ‘Jio’ เทคคอมปานีที่ร้อนแรงที่สุดของอินเดีย ได้รับเงินทุนมากกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐจาก ‘Facebook’ และ ‘Google’ และทาง Google ได้เปิดเผยว่าจะร่วมกับ Jio เพื่อลงทุนในการผลิตสมาร์ทโฟน ‘ราคาถูก’ ซึ่งคนที่น่าห่วงที่สุดก็คือ ‘แบรนด์จีน’ ที่ครองตลาดในประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก

จีน ‘ล้ม’ ต้อง ‘ข้าม’

ทุกคนรู้ว่าสถานการณ์ความสัมพันธ์ของจีน-อินเดียนั้นไม่สู้ดีนักหลังจากเกิดการปะทะกันของทหารบริเวณชายแดนจีน-อินเดีย ส่งผลให้เกิดกระแสบอยคอตสินค้าจีน ขณะที่รัฐบาลอินเดียก็ออกมาแบนแอปพลิเคชันจากจีนกว่า 49 รายการ ด้วยความกังวลด้านความปลอดภัย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ‘TikTok’ ดังนั้น นี่ถือเป็นโอกาสที่ดีในการรุกตลาดอินเดียอย่างมาก

โดย Google ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่ามีการเทเงิน 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐให้กับ Jio Platforms ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี โดยจะใช้เงินบางส่วนเพื่อพัฒนาสมาร์ทโฟนราคาถูกสุด ๆ ในการเข้าถึงตลาดระดับล่างขนาดใหญ่ของอินเดีย ซึ่งตลาดอินเทอร์เน็ตบนมือถือของอินเดียมีการเติบโตอย่างมาก แม้ชาวอินเดียราว 450 ล้านคนมีสมาร์ทโฟนอยู่แล้วตามการวิจัยของ Counterpoint แต่ยังมีประชากรกว่า 500 ล้านคนยังไม่มีสมาร์ทโฟน ดังนั้น สมาร์ทโฟนแบรนด์ Jio อาจได้รับประโยชน์จากการต่อต้านจีนที่เพิ่มขึ้นในอินเดีย

ตลาดอินเดียเริ่มสั่นคลอน

ในตลาดสมาร์ทโฟนอินเดีย ‘แบรนด์จีน’ ถือเป็นผู้เล่นหลักที่ครองตลาดมานาน โดยตามรายงานของบริษัทวิจัย Canalys ระบุว่า ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้แบรนด์จีนครองสัดส่วนถึง 75% ของยอดขายทั้งหมด ขณะที่ ‘ซัมซุง’ (Samsung) อดีตผู้นำเบอร์ 1 ในตลาดสมาร์ทโฟนโลกมียอดขายเพียง 16.8% นับเป็นผู้เล่นเบอร์ 3 ในตลาดอินเดีย ส่วนเบอร์ 1 ได้แก่ ‘เสียวหมี่’ (Xiaomi) เป็นผู้นำในหมวดนี้ด้วยส่วนแบ่ง 30.9% ตามมาด้วย วีโว่ (Vivo) ที่ 21.3%

และเมื่อพิจารณาจากราคาขายดีพบว่าตลาดสมาร์ทโฟนราคาประหยัดในอินเดียตอนนี้เต็มไปด้วยโทรศัพท์ที่มักขายในราคา 70 ดอลลาร์สหรัฐ (2,100 บาท) ถึง 100 ดอลลาร์สหรัฐ (3,000 บาท) โดยนักวิเคราะห์ของ Counterpoint Research และ IDC คาดว่า ทั้ง google และ Jio จะพัฒนาสมาร์ทโฟนในราคาต่ำกว่า 50 ดอลลาร์สหรัฐ โดย Kiranjeet Kaur ผู้จัดการฝ่ายวิจัยอาวุโสของ IDC ตั้งข้อสังเกตว่าสมาร์ทโฟนที่ราคาสูงกว่า 50 ดอลลาร์สหรัฐ นั้นแพงเกินกว่าที่ชาวอินเดียในชนบทส่วนใหญ่จะสามารถจ่ายได้

ดังนั้น สมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้นราคาถูกจาก Jio และ Google อาจเป็นข่าวร้ายสำหรับผู้ผลิตสมาร์ทโฟนชาวจีนที่พยายามเจาะกลุ่มผู้ที่จะเริ่มใช้อินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรก แถม Canalys รายงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ยอดขายสมาร์ทโฟนในอินเดียลดลง 50% ในไตรมาสที่แล้วเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการปิดร้านและภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำเนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ดังนั้นสมาร์ทโฟนที่ถูกกว่าน่าจะยิ่งตอบโจทย์

โอกาสของกูเกิลที่มากกว่า ‘สมาร์ทโฟน’

Gateway House คาดว่าผู้ใช้สมาร์ทโฟนของประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าหรือ 900 ล้านคนภายในปี 2568 เนื่องจากระดับรายได้เพิ่มขึ้นและสมาร์ทโฟนราคาถูกลง แต่การขายสมาร์ทโฟนราคาถูกพิเศษน่าจะไม่ทำให้ Jio ทำเงินมากนัก ดังนั้น ความต้องการจริงน่าจะมาจากค่าบริการโทรศัพท์และการใช้งานดาต้าอื่น ๆ รวมถึงการนำเสนอแอปสำหรับดูหนังสตรีมเพลงและซื้อของออนไลน์อยู่แล้ว ดังนั้น เป็นเรื่องของการสร้างโปรไฟล์ผู้ใช้มากกว่า

“อินเดียกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี โดยปัจจุบันประชากรส่วนใหญ่ยังใช้ฟีเจอร์โฟนบนเครือข่าย 2G ดังนั้น การใช้สมาร์ทโฟน 4G หรือ 5G จะเป็น “win-win” สำหรับทั้งสอง เนื่องจาก Jio สามารถจัดหาแผนโปรโมชั่นแพ็กเกจใช้งานดาต้าให้กับผู้ใช้รายใหม่ในขณะที่ Google ให้บริการ YouTube, การค้นหา, แผนที่และแอปอื่น ๆ” Blaise Fernandes ผู้อำนวยการของ Gateway House กล่าว

ปัจจุบัน Android มีสัดส่วนในตลาดอินเดียถึง 91% ของระบบปฏิบัติการมือถือที่ใช้ในปี 2019 ตามข้อมูลของ Statista และยิ่ง Google สามารถเพิ่มผู้ใช้ลงในระบบ Android ได้มากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะสามารถขายโฆษณาให้กับผู้ใช้เหล่านี้ได้มากขึ้น ซึ่งเป็นเป้าหมายสุดท้ายของบริษัท โดยที่ผ่านมา รายได้จากโฆษณาถือเป็นสัดส่วนใหญ่ของ Alphabet บริษัทแม่ของ Google ซึ่งคิดเป็นมากกว่า 80% ของมูลค่าการซื้อขาย 162 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้ว

“อินเดียยังเป็นความฝันสำหรับบริษัทเทคโนโลยี ขณะที่ Big Data ที่ Google สามารถเก็บเกี่ยวได้จากผู้ใช้สมาร์ทโฟนชาวอินเดียทั้งใหม่และที่มีอยู่ ซึ่งจะช่วยให้เขาเข้าถึงได้ดีขึ้นและกลับมามียอดขายโฆษณาและรายได้จากการสมัครรับข้อมูลที่ดีขึ้น”

ความเชื่อมั่นในชาตินิยมของอินเดียกำลังเพิ่มสูงขึ้น เพราะก่อนที่ประเทศจะมีข้อพิพาทกับจีน นายกรัฐมนตรีโมดีและพรรคการเมืองในปกครองของเขาได้ผลักดันแนวคิด ‘India first’ โดยเฉพาะการเลือกใช้เทคโนโลยีมาหลายปีแล้ว ดังนั้น เหล่าเทคคอมปานีจากจีนกำลังเจอโจทย์ที่ยากยิ่งขึ้น เพราะไม่ใช่แค่ปัญหาข้อพิพาท แต่ ‘ค่านิยม’ ของคนอินเดียเองกำลังจะเปลี่ยนไป

Source

]]>
1291826