โควิด – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 22 May 2024 13:26:56 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 จับตาโควิดสายพันธุ์ใหม่ ‘FLiRT’ กําลังแพร่กระจายทั่วโลก https://positioningmag.com/1474665 Wed, 22 May 2024 13:26:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1474665 ดูเหมือนการระบาดของ COVID-19 กำลังแพร่กระจายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงหน้าร้อน ทําให้เกิดความกังวลในหมู่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเกี่ยวกับระบาดอีกครั้ง

สำหรับไวรัส COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลกในตอนนี้ถูกเรียกว่าสายพันธุ์ FLiRT ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสายพันธุ์ รุ่นหลานของโอมิครอน เนื่องจากโควิดสายพันธุ์ใหม่นี้เป็นรุ่นลูกของสายพันธุ์ JN.1 ที่กลายพันธุ์มาจากโอมิครอน อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานเพียงเล็กน้อยว่าสายพันธุ์ใหม่นั้นรุนแรงกว่าสายพันธุ์เก่า

ตามรายงานของ John Hopkins Bloomberg School of Public Health รายงานว่า ปัจจุบัน โควิดสายพันธุ์ KP.2 ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มสายพันธุ์ FLiRT ถือเป็นสายพันธุ์ส่วนใหญ่ที่ระบาดในสหรัฐอเมริกา โดยตามข้อมูลล่าสุดจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค พบว่า ผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ KP.2 คิดเป็น 28.2% เพิ่มขึ้นจาก 3.8% ณ สิ้นเดือนมีนาคม ส่วนสายพันธุ์ KP.1.1 ซึ่งเป็นอีกสายพันธุ์ย่อยของ FLiRT ก็เพิ่มขึ้นเป็น 7.1% ของจำนวนการติดเชื้อในปัจจุบัน 

ส่วนใน ยุโรป ก็พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยขณะนี้ตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ใน 14 ประเทศ ขณะที่ องค์การอนามัยโลก รายงานว่า การติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ยังจำกัดอยู่เฉพาะประเทศที่รายงานข้อมูลเข้ามา และข้อมูลแสดงให้เห็นว่าการติดเชื้อเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย จากระดับการติดเชื้อที่ต่ำ

อย่างไรก็ตาม เจนนิเฟอร์ ฮอร์นนีย์ ศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเดลาแวร์ มองว่า โควิดสายพันธุ์ใหม่นี้ไม่น่า ทําให้เกิดการติดเชื้อครั้งใหญ่ อย่างที่เกิดขึ้นในอดีต แต่ก็มีแนวโน้มว่าจะทำให้จำนวนผู้ป่วยในสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้นในอีกไม่กี่เดือนจากนี้ แต่อาการจะไม่รุนแรง เพราะประชากรส่วนใหญ่มีภูมิคุ้มกัน อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจะจับตาดูอย่างใกล้ชิดเพื่อดูว่า วัคซีนในปัจจุบันมีประสิทธิภาพเพียงใดต่อสายพันธุ์ใหม่

Source

]]>
1474665
‘จีน’ เผยจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดเฉพาะที่โรงพยาบาลเกือบ ‘6 หมื่นคน’ นับตั้งแต่เลิกนโยบายควบคุม https://positioningmag.com/1415496 Sun, 15 Jan 2023 10:50:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1415496 หลังจากที่มีการโจมตีว่า จีน ปกปิดตัวเลขจำนวนผู้เสียชีวิต ล่าสุด รัฐบาลได้เปิดเผยว่ามีจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 เกือบ 60,000 คนที่เสียชีวิตในโรงพยาบาล นับตั้งแต่ยกเลิกนโยบายปลอดโควิดเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากตัวเลขที่รายงานก่อนหน้านี้

นับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนธันวาคม รัฐบาลจีนได้ยกเลิกระบบควบคุมโควิดที่เข้มงวดนาน 3 ปี ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบผลการติดเชื้อ การจำกัดการเดินทาง และการปิดเมืองจำนวนมาก และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มีผู้ติดเชื้อทั่วประเทศถึง 1.4 พันล้านคน

Jiao Yahui หัวหน้าสำนักบริหารการแพทย์ภายใต้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (NHC) เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 8 ธ.ค. ถึง 12 ม.ค. จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรค COVID-19 ในโรงพยาบาลของจีนอยู่ที่ 59,938 ราย ในจำนวนผู้เสียชีวิตเหล่านั้น 5,503 รายมีสาเหตุจากการหายใจล้มเหลวเนื่องจากโควิด และส่วนที่เหลือเกิดจากการรวมกันของโควิดและโรคอื่น ๆ

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศคาดการณ์ว่า มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 อย่างน้อย 1 ล้านคนในปีนี้ แต่ก่อนหน้านี้จีนรายงานผู้เสียชีวิตเพียง 5,000 รายนับตั้งแต่เกิดโรคระบาด ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราการเสียชีวิตที่ต่ำที่สุดในโลก

องค์การอนามัยโลกกล่าวในสัปดาห์นี้ว่าจีนรายงานผู้เสียชีวิตจากโควิดต่ำกว่าความเป็นจริงอย่างมาก แม้ว่าขณะนี้จีนจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการระบาดของโรคก็ตาม

Yanzhong Huang นักวิชาการอาวุโสด้านสุขภาพโลกของสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในนิวยอร์ก กล่าวว่า การเสียชีวิตที่ เพิ่มขึ้น 10 เท่า ของการประกาศเมื่อวันเสาร์ บ่งชี้ว่า การระบาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ คนสูงอายุ

อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่า ยังไม่ชัดเจนว่าข้อมูลใหม่นี้สะท้อนถึงการเสียชีวิตที่แท้จริงหรือไม่ เนื่องจากแพทย์ไม่ต้องการรายงานการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับโควิด และตัวเลขดังกล่าวรวมเฉพาะการเสียชีวิตในโรงพยาบาลเท่านั้น

“ตัวอย่างเช่น ในชนบท ผู้สูงอายุจำนวนมากเสียชีวิตที่บ้านแต่ไม่ได้รับการตรวจหาเชื้อโควิด เนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงชุดทดสอบหรือไม่เต็มใจที่จะรับการตรวจ”

]]>
1415496
‘Master Card’ ชี้ ‘เงินเฟ้อ’ อยู่ในจุดสูงสุดแล้ว และอาจต้องใช้เวลา 3 ปี ถึงกลับสู่ระดับปี 2019 https://positioningmag.com/1412247 Tue, 13 Dec 2022 09:01:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1412247 หลังจากการระบาดของ COVID-19 ทั่วโลกผ่อนคลายลงเพราะการมาของวัคซีน แต่ก็มีสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ราคาวัตถุดิบและพลังงานทั่วโลกพุ่งสูงขึ้น นำไปสู่ภาวะ ‘เงินเฟ้อ’ อย่างไรก็ตาม Master Card ได้ออกมาประเมินว่าเงินเฟ้อได้แตะระดับสูงสุดแล้ว และคาดว่าภายใน 3 ปี จะกลับสู่ระดับเดียวกันกับปี 2019

เดวิด แมนน์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟริกา จาก Mastercard Economics Institute กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อได้ถึงจุดสูงสุดแล้ว อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อในปี 2023 จะยังคงสูงกว่าระดับก่อนเกิด COVID-19 และอาจต้องใช้เวลา 2-3 ปีในการกลับสู่ระดับเดียวกันกับปี 2019

“อัตราเงินเฟ้อพุ่งถึงจุดสูงสุดในปีนี้ และในปีหน้าแม้จะลดลง แต่ก็จะยังคงสูงกว่าอัตราที่เราเคยใช้ในช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด และคาดว่าอาจกลับไปสู่ระดับเทียบเท่ากับปี 2019 ได้”

อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น หลังจากที่ธนาคารกลางทั่วโลกได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อตอบสนองต่ออัตราเงินเฟ้อที่สูง ซึ่งรวมถึงธนาคารกลางจากกลุ่ม 10 ประเทศ เช่น ธนาคารกลางสหรัฐฯ ธนาคารแห่งอังกฤษ และธนาคารกลางออสเตรเลีย รวมถึงตลาดเกิดใหม่ เช่น อินโดนีเซีย ไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์

ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด เตรียมจะจัดการประชุมนโยบายเดือนธันวาคมในสัปดาห์นี้ ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 50 เบสิพพอยต์ ส่งผลให้ทั้งปี เฟดได้ปรับอัตราดอกเบี้ยแล้ว 3.75%

“เงินเฟ้อกลายเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ มันพุ่งสูงขึ้นและอยู่สูงมาก ซึ่งมันมีความเสี่ยงหากธนาคารกลางลงเอยด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าที่ต้องการ และมันจะส่งผลร้ายแรงขึ้นหากไม่รีบกลับตัว”

ที่น่าสนใจคือ แม้อัตราเงินเฟ้อจะสูง แต่ผู้บริโภคในสหรัฐฯ ยังคงเต็มใจที่จะใช้จ่ายตามดุลยพินิจในด้านต่างๆ เช่น การท่องเที่ยว โดยผู้บริโภคเลือกที่จะใช้จ่ายเพื่อซื้อประสบการณ์มากกว่าสินค้าที่จับต้องได้ โดยเขาเลือกที่จะประหยัดเงินเพื่อให้ใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นได้

Source

]]>
1412247
ข่าวดี! ‘WHO’ เผยจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดอยู่ในระดับ ‘ต่ำสุด’ ในรอบ 2 ปี https://positioningmag.com/1383100 Wed, 27 Apr 2022 08:57:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1383100 องค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 รายใหม่ในรอบสัปดาห์ได้ลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่มีนาคม 2020 พร้อมเตือนให้ทั่วโลกอย่าหยุดตรวจหาเชื้อ เพราะอาจขัดขวางความพยายามในการต่อสู้กับโรคระบาดใหญ่

จำนวนผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 รายใหม่ทั่วโลกในช่วง 7 วันที่ผ่านมาอยู่ที่ 15,668 ราย โดยผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในยุโรปและอเมริกา โดยจากข้อมูลของ WHO พบว่า ตัวเลขดังกล่าวลดลงจากจำนวนกว่า 18,000 รายในช่วงสัปดาห์ที่ 17 เมษายน

โดยทั้งจำนวนผู้เสียชีวิตและผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั่วโลกเริ่มลดลงตั้งแต่ปลายเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา ด้านจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ทั่วโลกในช่วง 7 วันที่ผ่านมามีมากกว่า 4 ล้านราย ตามข้อมูลของ WHO จำนวนดังกล่าวลดลงจากรายงานผู้ป่วยรายใหม่มากกว่า 5 ล้านราย เมื่อเทียบกับช่วงสัปดาห์ที่ 17 เม.ย.

“การเสียชีวิตที่ลดลงถือเป็นข่าวดีที่ แต่เราต้องยินดีด้วยความระมัดระวัง” เทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก กล่าว นอกจากนี้เขายังเตือนว่า หลายประเทศได้ลดการตรวจเชื้อ COVID-19 ซึ่งจำกัดความสามารถของ WHO ในการติดตามผลกระทบของไวรัสและรูปแบบการแพร่กระจายและวิวัฒนาการ

ไวรัสนี้จะไม่หายไปเพียงเพราะประเทศต่าง ๆ หยุดมองหามัน มันยังคงแพร่กระจาย ยังคงเปลี่ยนแปลง และยังคงสังหารอยู่ แม้ว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจะลดลง แต่เราก็ยังไม่เข้าใจผลที่ตามมาของการติดเชื้อในผู้ที่รอดชีวิตในระยะยาว”

ดร.บิล โรดริเกซ ซีอีโอของ FIND องค์กรไม่แสวงหากำไรด้านการวินิจฉัยโรคทั่วโลก กล่าวว่า WHO เรียกร้องให้ทุกประเทศรักษาระบบเฝ้าระวัง ซึ่งรวมถึงการทดสอบและการจัดลำดับจีโนม โดยอัตราการทดสอบ COVID-19 ทั่วโลกลดลงจาก 70-90% ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งการทดสอบที่ลดลงอาจทำให้ความสามารถของโลกในการรักษาโควิดด้วยการบำบัดแบบใหม่ลดลงไปด้วย

ด้าน Maria Van Kerkhove หัวหน้าฝ่ายเทคนิคด้าน COVID-19 ของ WHO เสริมว่า การที่ไม่ได้ตรวจหาเชื้อเหมือนก่อน อาจจำกัดการตรวจสบ COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน อย่างสายพันธุ์ BA.2 ที่แพร่ระบาดมากขึ้นในขณะนี้ ก็ถือเป็นสายพันธุ์ที่กระตุ้นให้เกิดการระบาดระลอกใหม่ในยุโรปและจีน ซึ่งกำลังต่อสู้กับการระบาดครั้งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2020

BA.2 ยังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา โดยคิดเป็น 68.1% ของเคสทั้งหมดที่หมุนเวียนในประเทศในช่วงสัปดาห์ที่สิ้นสุดในวันที่ 23 เมษายน ตามข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค ตัวแปรย่อยอีกตัวหนึ่งคือ BA.2.12.1 กำลังได้รับความสนใจในสหรัฐอเมริกาเช่นกัน ซึ่งคิดเป็น 28.7% ของผู้ป่วยรายใหม่ ข้อมูล CDC กล่าว

Source

]]>
1383100
สถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย จะหยุดผลิต ‘วัคซีนโควิด’ ล็อตใหม่ หลังกำลังผลิตล้นทั่วโลก https://positioningmag.com/1382486 Fri, 22 Apr 2022 13:33:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1382486 สถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย (Serum Institute of India) ผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ที่สุดของโลกและเป็นผู้จัดจำหน่ายวัคซีนป้องกันโควิด-19 รายสำคัญให้กับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา เตรียมหยุดการผลิตวัคซีนล็อตใหม่ หลังมียอดสต็อกเพิ่มขึ้นเป็น 200 ล้านโดส ท่ามกลางภาวะการผลิตวัคซีนที่เหลือล้นทั่วโลก 

เรามีสต็อกอยู่ราว 200 ล้านโดส เเละต้องการจะปิดการผลิตในเดือนธันวาคม” Adar Poonawalla ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสถาบันเซรุ่มฯกล่าว

โดยเขาเเสดงความกังวลถึง การหมดอายุของวัคซีนเเละเสนอให้บริจาคฟรีกับใครก็ตามที่ต้องการใช้

ความเคลื่อนไหวของ Serum Institute of India สะท้อนให้เห็นถึงปริมาณการผลิตวัคซีนที่ล้นเกิน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ต้องการอย่างมากเพื่อต่อสู้กับโรคระบาด

บรรดาผู้ผลิตวัคซีนทุ่มทุนเพิ่มกำลังการผลิตจำนวนมากในปีที่ผ่านมา เเต่ปัจจุบันประเทศส่วนใหญ่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิดครอบคลุมเเล้ว พร้อมปรับตัวใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับไวรัสทั่วโลก (ยกเว้นจีนและฮ่องกง) ทำให้ความเร่งด่วนในการฉีดเข็มบูสเตอร์ก็ลดลงตามไปด้วย

โดยเฉพาะในอินเดีย ที่เคยมีการระบาดหนัก จนถึงขั้นสั่งห้ามส่งออกวัคซีนที่ผลิตในประเทศ เพื่อให้แน่ใจว่ามีการผลิตที่เพียงพอสำหรับประชากรในท้องถิ่น เเต่ตอนนี้อัตราการฉีดวัคซีนอยู่ในระดับสูงเเล้วเเละเปิดให้ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปสามารถฉีดเข็มที่ 3 ได้

Serum Institute of India ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์หลักของโครงการ Covax จัดหาวัคซีนให้กับประเทศกำลังพัฒนา ที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์การอนามัยโลก เผยว่า กำลังร่างสนธิสัญญาเกี่ยวกับโรคระบาด เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนวัคซีนอย่างเสรี และประสานงานเเลกเปลี่ยนทรัพยากรที่จำเป็น อย่างวัตถุดิบสำหรับการผลิตวัคซีนเพื่อรับมือในวิกฤติครั้งต่อไป

โดยได้อ้างถึง มาตรการกีดกันการเข้าถึงวัคซีนของประเทศร่ำรวยอื่นๆ ที่นำไปสู่การขาดแคลนวัตถุดิบอันเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการผลิตวัคซีนในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ได้ 

 

ที่มา : Bloomberg 

]]>
1382486
‘หนี้รัฐบาล’ ทั่วโลกพุ่งไม่หยุด โควิด-เงินเฟ้อ-สงคราม กดดันหลายประเทศต้องกู้เพิ่ม https://positioningmag.com/1380944 Thu, 07 Apr 2022 11:09:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1380944 ปริมาณหนี้สาธารณะทั่วโลกปีนี้ มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น 9.5% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 71.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

จากรายงาน Sovereign Debt Index ประจำปีครั้งที่ 2 โดย Janus Henderson บริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์ในอังกฤษคาดการณ์ว่า ระดับหนี้ของรัฐบาลต่างๆ จะเพิ่มขึ้น 9.5% จากการกู้ยืมของประเทศเศรษฐกิจใหญ่ อย่างสหรัฐฯ ญี่ปุ่นเเละจีนเป็นหลัก เเละประเทศอื่นๆ ก็จะมีการกู้ยืมเพิ่มขึ้นเช่นกัน

ในปี 2021 รัฐบาลทั่วโลกมีหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น 7.8% หรือราว 65.4 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่ต้นทุนภาระหนี้ลดลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.01 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเพียง 1.6%

อย่างไรก็ตาม ต้นทุนภาระหนี้มีความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในปีนี้ ราว 14.5% คิดจากอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ที่ 1.16 ล้านล้านดอลลาร์

การระบาดของโควิดส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อการกู้ยืมของรัฐบาล และผลกระทบจะยังคงดำเนินต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง ขณะที่โศกนาฏกรรมในยูเครนยังมีแนวโน้มที่จะกดดันรัฐบาลตะวันตกให้กู้ยืมเงินมากขึ้น เพื่อใช้เป็นทุนในการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศที่เพิ่มขึ้น Bethany Payne ผู้จัดการพอร์ตการลงทุนพันธบัตรโลกของ Janus Henderson กล่าว

รัฐบาลเยอรมนี ให้คำมั่นแล้วว่าจะเพิ่มการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศให้มากกว่า 2% ของ GDP นับตั้งแต่รัสเซียบุกยูเครน

ด้านรายงานการกู้ยืมทั่วโลกล่าสุดจาก S & P Global Ratings ที่เผยแพร่เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ประเมินว่า การกู้หนี้สาธารณะชุดใหม่ในปีนี้อาจจะทะลุ 10.4 ล้านล้านดอลลาร์ สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนเกิดการระบาดใหญ่เกือบหนึ่งในสาม

Karen Vartapetov นักวิเคราะห์สินเชื่อจาก S & P Global Ratings ระบุว่าเราคาดว่าการกู้ยืมจะยังคงอยู่ในระดับสูง เนื่องจากความต้องการหมุนเวียนของหนี้ที่สูง เช่นเดียวกับความท้าทายของการดำเนินนโยบายการคลังหลังการระบาดใหญ่ อัตราเงินเฟ้อที่สูง ภูมิทัศน์ทางสังคมและการเมืองที่มีการแบ่งขั้ว

โดยผลกระทบทางเศรษฐกิจมหภาคทั่วโลก คาดว่าจะเพิ่มแรงกดดันต่อความต้องการเงินทุนของรัฐบาลมากขึ้น ในขณะที่เงื่อนไขทางการเงินที่เข้มงวดขึ้นก็จะทำให้ต้นทุนเงินทุนของรัฐบาลสูงขึ้นไปอีก

 

 

ที่มา : CNBC

]]>
1380944
‘ฮ่องกง’ ประกาศอัดฉีดเงิน ‘2 หมื่นล้านดอลลาร์’ หนุนเศรษฐกิจสู้โควิด https://positioningmag.com/1375110 Wed, 23 Feb 2022 12:29:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1375110 รัฐบาลฮ่องกงประกาศว่าจะทุ่มงบมากกว่า 1.7 แสนล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือราว 2.18 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อต่อสู้กับการระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่และสนับสนุนเศรษฐกิจ หลังได้ขยายมาตรการการควบคุมไวรัสไปถึงวันที่ 20 เมษายน

ฮ่องกงซึ่งถือเป็นเมืองกึ่งปกครองตนเองของจีนกำลังประสบกับการระบาดของ COVID-19 ระลอกที่ 5 โดยมีผู้ป่วยรายวันทะยานสูงเป็นประวัติการณ์ โดยล่าสุดมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่ม 8,674 รายในวันเดียว ขณะที่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แคร์รี แลม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้สั่งยกเลิกการล็อกดาวน์โดยสมบูรณ์ แต่ยังคงยึดมั่นนโยบาย Zero COVID ของจีน

“การแพร่กระจายของไวรัสได้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อผู้คนจำนวนมาก ทำให้ชีวิตและการทำงานของพวกเขาหยุดชะงัก และส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในช่วงเวลาวิกฤตินี้ เราจำเป็นต้องควบคุมทรัพยากรให้มากขึ้นเพื่อบรรเทาความทุกข์ยากของผู้คน และให้พื้นที่หายใจแก่ SMEs เพื่อทำให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพและรักษาความเชื่อมั่นของสาธารณชน” พอล ชาน รัฐมนตรีกระทรวงการเงิน กล่าว

ทั้งนี้ ฮ่องกงได้ออกมาตรการทางเศรษฐกิจ ได้แก่

  • ลดภาษีกำไร 100% สำหรับธุรกิจและภาษีเงินเดือนสำหรับบุคคลธรรมดา ต่อยอดที่ 10,000 ดอลลาร์ฮ่องกง (1,280 ดอลลาร์)
  • บัตรกำนัลการบริโภคมูลค่า 10,000 ดอลลาร์ฮ่องกง
  • เงินช่วยเหลือ 10,000 ดอลลาร์ฮ่องกง สำหรับผู้ว่างงานชั่วคราว
  • การสละสิทธิ์การเช่าสำหรับธุรกิจที่ต้องปิดเนื่องจากกฎโควิด

นอกจากนี้ยังจัดสรรงบประมาณ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์ฮ่องกงให้กับมาตรการ “ต่อต้านการแพร่ระบาด” ที่มุ่งส่งเสริมการทดสอบโควิด จัดหาชุดทดสอบ และให้การสนับสนุนแก่หน่วยงานของโรงพยาบาลของเมือง และงบอีก 6 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกงเพื่อซื้อวัคซีนเพิ่มเติมเพื่อเป็นยากระตุ้น

“เราได้จัดสรรเงิน 2 หมื่นล้านดอลลาร์สำหรับความต้องการอื่น ๆ ในการต่อสู้กับการแพร่ระบาด เราจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่เพื่อต่อสู้กับโรคระบาดหากจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรมากขึ้น” ชาน กล่าว

ที่ผ่านมา เศรษฐกิจโดยรวมของฮ่องกงร่วงติดต่อกัน 2 ปี และฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดในปี 2564 โดยมีอัตราการเติบโต 6.4% โดยในปี 2565 คาดการณ์การเติบโต 2-3.5%

อย่างไรก็ตาม การ์เซีย-เอร์เรโร กล่าวว่า การคาดการณ์การเติบโตของเมืองอยู่ในแง่ดี Natixis มองว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำกว่า 2% เล็กน้อยในปี 2565 โดยคาดว่าการระบาดในระลอกปัจจุบันจะเริ่มดีขึ้นประมาณปลายเดือนมีนาคม แต่หากไวรัสยังคงแพร่กระจายต่อไปเศรษฐกิจครึ่งปีแรกอาจติดลบ และการเติบโตในครึ่งปีแรกอาจไม่แข็งแกร่งเท่ากับครึ่งหลัง

ทั้งนี้ เศรษฐกิจของฮ่องกงได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศ และการระบาดใหญ่ของโควิดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

Source

]]>
1375110
‘WHO’ ย้ำโควิดจะไม่มีวันเป็น ‘โรคประจำถิ่น’ โดยจะยังคงสถานะ ‘โรคระบาด’ เสมอ https://positioningmag.com/1372728 Wed, 02 Feb 2022 10:33:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1372728 เมื่อสัปดาห์ที่แล้วองค์การอนามัยโลก (WHO) เตือนว่าเชื้อโควิดรุ่นต่อไปหรือ BA.2 จะติดต่อได้ง่ายกว่าโอมิครอน (Omicron : BA.1) โดยตามรายงานของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกาพบว่าการแพร่ระบาดมีจำนวนผู้ป่วยโรคเพิ่มขึ้นเหนือกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดย WHO ได้ออกมาย้ำว่า COVID-19 จะไม่กลายเป็นโรคประจำถิ่น (endemic one) และจะยังเป็นโรคระบาด (epidemic virus)

Raina MacIntyre ศาสตราจารย์ด้านความมั่นคงทางชีวภาพระดับโลกที่มหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ในซิดนีย์ กล่าวว่า แม้ว่าการระบาดของโรคประจำถิ่นอาจมีผู้ติดเชื้อได้เป็นจำนวนมาก แต่จำนวนผู้ป่วยจะไม่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเหมือนการระบาดของ COVID-19

“ในส่วนของโรคประจำถิ่นหากจำนวนผู้ป่วยเปลี่ยนแปลงก็มักจะช้า โดยทั่วไปจะใช้เวลาหลายปี ดังนั้น โรคระบาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาหลายวันถึงหลายสัปดาห์ไม่ใช่โรคประจำถิ่น”

นักวิทยาศาสตร์ใช้สมการทางคณิตศาสตร์ที่เรียกว่า R naught (หรือ R0) เพื่อประเมินว่าโรคแพร่กระจายได้เร็วแค่ไหน R0 ระบุว่าจะมีคนติดเชื้อจากผู้ติดเชื้อจำนวนเท่าใด โดยผู้เชี่ยวชาญที่ Imperial College London ประเมินค่าโอมิครอนอาจสูงกว่า 3 ซึ่งหาก R0 ของโรคมากกว่า 1 การเติบโตจะเป็นแบบ ทวีคูณ หมายความว่าไวรัสกำลังเป็นที่แพร่ระบาดมากขึ้น

“เป้าหมายด้านสาธารณสุขคือการรักษา R ที่มีประสิทธิผล ซึ่ง R0 ได้รับการแก้ไขโดยการแทรกแซง เช่น วัคซีน หน้ากาก หรือการบรรเทาทุกข์อื่น ๆ ให้ต่ำกว่า 1 แต่ถ้า R0 สูงกว่า 1 เรามักจะเห็นคลื่นแพร่ระบาดซ้ำสำหรับการติดเชื้อทางเดินหายใจที่แพร่ระบาด นี่คือเหตุผลที่เราต้องการวัคซีน เพื่อรักษา R ให้ต่ำกว่า 1 เพื่อให้เราสามารถอยู่กับไวรัสได้โดยไม่กระทบต่อสังคมครั้งใหญ่”

ทั้งนี้ MacIntyre กล่าวเตือนว่า “จะมีรูปแบบใหม่ๆ เพิ่มขึ้น” ขณะที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว WHO เตือนว่าเชื้อโควิดรุ่นต่อไปจะติดต่อได้ง่ายกว่าโอมิครอน และ Global Biosecurity ที่เป็นตัวแทนของกลุ่มแผนกวิจัยของ UNSW ที่ครอบคลุมเรื่องโรคระบาดได้โต้เถียงกันเมื่อปีที่แล้วว่า Covid จะยังคง เป็นโรคระบาดและจะเป็นตลอดไป

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้โควิดกลายเป็นโรคเฉพาะถิ่น ต้องมีผู้คนจำนวนมากพอที่จะได้รับการปกป้องภูมิคุ้มกันจากโควิด ตามรายงานของ American Lung Association ที่เน้นย้ำถึงความสำคัญของการฉีดวัคซีนจะทำให้ไวรัสเปลี่ยนสถานะออกจากสถานะการระบาดใหญ่

เทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลก กล่าวว่า มีโอกาสที่โควิดจะสิ้นสุดลงในปีนี้ หากดำเนินการตามแนวทางที่ถูกต้อง ซึ่งรวมถึงการจัดการวัคซีนและความไม่เท่าเทียมกันในการดูแลสุขภาพ

Source

]]>
1372728
กลุ่มประเทศร่ำรวย แห่ดึงตัว ‘พยาบาล’ จากประเทศยากจนในวิกฤตโควิด ซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำ https://positioningmag.com/1372265 Sun, 30 Jan 2022 07:49:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1372265 กลุ่มประเทศร่ำรวย มีความพยายามจะจ้างงาน ‘พยาบาล’ จากกลุ่มประเทศยากจนมากขึ้น ท่ามกลางการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่เเพร่กระจายไปทั่วโลก สะท้อนให้เห็นปัญหาความเหลื่อมล้ำเเละการขาดเเคลนบุคลากรทางการเเพทย์ที่รุนเเรงมากขึ้น 

Reuters รายงานจากคำกล่าวของ Howard Catton ซีอีโอของสภาพยาบาลนานาชาติ (ICN) ที่มีเครือข่ายกว่า 27 ล้านคนว่า

ความเสี่ยง ความเหน็ดเหนื่อยเเละการเจ็บป่วยจากการทำงานที่หนักเกินปกติ ส่งผลให้เกิดการลาออกของเจ้าหน้าที่จำนวนมาก ท่ามกลางยอดผู้ป่วยจากสายพันธุ์โอมิครอนที่เพิ่มขึ้น ทำให้ปัญหาการขาดเเคลนบุคลากรทางการเเพทย์อยู่ในระดับสูง

เหล่าประเทศตะวันตก อย่าง สหราชอาณาจักร เยอรมนี แคนาดา และสหรัฐฯ กำลังพยายามเเก้ไขปัญหานี้ ผ่านการเพิ่มการจ้างงานพยาบาลจากต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้เเนวโน้มของความไม่เท่าเทียมกันทางด้านสุขภาพเเละสาธารณสุขแย่ลงไปอีก

“ผมเกรงว่าวิธีแก้ปัญหาเช่นนี้ จะคล้ายกับกรณีที่กลุ่มประเทศร่ำรวยได้อาศัยอำนาจทางเศรษฐกิจ เพื่อซื้อและกักตุนอุปกรณ์ป้องกันโรคอย่างชุด PPE เเละวัคซีน”

จากข้อมูลของ ICN ระบุว่า ก่อนเกิดการระบาดใหญ่ ก็มีปัญหาการขาดแคลนพยาบาลทั่วโลกอยู่เเล้วถึง 6 ล้านคน โดยเกือบ 90% ของการขาดแคลนมักจะอยู่ในประเทศที่มีรายได้ต่ำถึงปานกลาง

การจ้างงานพยาบาลจากต่างประเทศ บางส่วนมาจากภูมิภาคแอฟริกาตอนใต้ทะเลทรายซาฮารา (sub-Saharan Africa) รวมถึงไนจีเรีย และบางส่วนของแคริบเบียน

โดยเหล่าพยาบาลจะได้รับแรงจูงใจด้วยข้อเสนอเงินเดือนที่สูงขึ้น สวัสดิการเเละเงื่อนไขที่ดีกว่าประเทศบ้านเกิด รวมถึงการอำนวยความสะดวกในการย้ายถิ่นฐาน

“หลายคนอาจจะมองว่านี่เป็นการที่ประเทศร่ำรวย หาทางลดค่าใช้จ่ายในการให้การศึกษาแก่พยาบาลใหม่และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข”

Howard Catton เรียกร้องให้มีการวางเเผนเพื่อเสริมกำลังเเรงงานอย่างจริงจังในระยะ 10 ปี เเละขอให้มีความร่วมมือกันในระดับโลก เพื่อให้มีการลงทุนที่เพิ่มขึ้นเเละได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่คำพูดสวยหรูเท่านั้น

 

ที่มา : Reuters

]]>
1372265
สหรัฐฯ พบ เชื้อโควิด ‘BA.2’ สายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน ระบาดไวกว่าเดิม ‘1.5 เท่า’ https://positioningmag.com/1372262 Sun, 30 Jan 2022 07:35:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1372262 ผู้ติดเชื้อ COVID-19 เกือบครึ่งหนึ่งในสหรัฐฯ ได้ยืนยันว่าติดเชื้อ COVID-19 สายพันธุ์ BA.2 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน (BA.1) ซึ่งสามารถแพร่เชื้อได้มากกว่าเดิม 1.5 เท่า แต่เท่าที่ค้นพบ BA.2 ยังไม่มีความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีน

นักวิทยาศาสตร์ของ Statens Serum Institut ซึ่งดำเนินการเฝ้าระวังโรคติดเชื้อในเดนมาร์ก ได้เปิดเผยว่าพบไวรัส COVID-19 สายพันธุ์ BA.2 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของ โอมิครอน (Omicron : BA.1) โดยตัวแปรดังกล่าว สามารถแพร่เชื้อได้มากกว่าสายพันธุ์โอมิครอนเดิม 1.5 เท่า โดยจำนวนผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ BA.2 นั้นแซงหน้า BA.1 กลายเป็นสายพันธุ์หลักของการระบาด

อย่างไรก็ตาม สายย่อยใหม่นี้ยังไม่มีความสามารถในการ ลดประสิทธิภาพของวัคซีน โดยวัคซีนนั้นมีประสิทธิภาพ 70% ในการป้องกันการเจ็บป่วยตามอาการจาก BA.2 เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพการป้องกัน 63% สำหรับสายพันธุ์โอมิครอนดั้งเดิม

“ปัจจุบันไม่มีหลักฐานว่าเชื้อสาย BA.2 นั้นรุนแรงกว่าเชื้อสาย BA.1” โฆษกของ CDC Kristen Nordlund กล่าว

แม้จะแพร่กระจายได้เร็วกว่าแต่องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังไม่ได้ระบุว่า BA.2 เป็นตัวแปรที่น่ากังวล อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ของ WHO ได้เตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าสายพันธุ์ใหม่จะเกิดขึ้นเมื่อโอมิครอนแพร่กระจายไปทั่วโลกในอัตราที่ไม่เคยมีมาก่อน มาเรีย แวน เคอร์คอฟ หัวหน้าฝ่ายเทคนิคด้านโควิด-19 ของ WHO เตือนเมื่อวันอังคารว่า เชื้อโควิดรุ่นต่อไปจะแพร่เชื้อได้ง่ายกว่า

ทั้งนี้ ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะระบุได้ว่า BA.2 สามารถแพร่เชื้อให้กับผู้ที่เคยติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนเดิมได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อก่อนหน้านี้น่าจะให้ภูมิคุ้มกันแบบครอสโอเวอร์บางอย่างกับ BA.2 ขณะที่ ไฟเซอร์ และ โมเดอร์นา เริ่มการทดลองทางคลินิกในสัปดาห์นี้โดยฉีดวัคซีนป้องกันเฉพาะสายพันธุ์โอมิครอน ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นว่าสายพันธุ์ใหม่จะเกิดขึ้นเมื่อภูมิคุ้มกันที่เกิดจากวัคซีนดั้งเดิมลดลง

Source

]]>
1372262