BEAUTRIUM – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 10 Jul 2024 04:01:52 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “Beautrium x Bonchon” คอลแลปข้ามขั้ว ส่งลิปทินต์ “ซอสไก่เกาหลี” จับกระแส “K-Beauty” https://positioningmag.com/1481965 Tue, 09 Jul 2024 07:53:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1481965 “Beautrium x Bonchon” จับมือข้ามขั้วอุตสาหกรรมสร้างผลิตภัณฑ์คอลแลป “Korean Spicy Chicken Tint Oil” ทำการตลาดเรียกเสียงฮือฮาด้วยผลิตภัณฑ์แหวกแนวที่จะเป็นของแถมแบบ Limited Edition ให้กับลูกค้าร้านบิวเทรี่ยม

ตัวผลิตภัณฑ์เป็นลิปสติกแบบเหลวที่ใช้แรงบันดาลใจจาก “ซอสไก่เกาหลี” ของบอนชอน ออกมาเป็น “ลิปทินท์” สีแดงขุ่นเหมือนซอส ทาแล้วทิ้งสเตนบนปากเหมือนเพิ่งรับประทานไก่บอนชอน (Bonchon) แต่ให้กลิ่นหอมหวานเหมือนลิปสติกปกติ พร้อมด้วยสารบำรุงริมฝีปาก

Korean Spicy Chicken Tint Oil เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีวางจำหน่าย แต่จะมอบให้กับลูกค้าร้านบิวเทรี่ยมที่ช้อปในสาขา Siam Square Flagship Store ครบ 999 บาท (มีจำนวนจำกัด) เท่านั้น

Beautrium x Bonchon
Korean Spicy Chicken Tint Oil จะมาในกล่องแพ็กเกจไก่ทอดของจริงของบอนชอน!

“อติโรจน์ โรจน์รัตนวลี” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท บิวเทรี่ยม จำกัด เปิดเบื้องหลังการจับมือคอลแลประหว่างวงการ “อาหาร” กับ “บิวตี้” ครั้งนี้ เกิดจากแคมเปญการตลาดของบิวเทรี่ยมเองที่มีแคมเปญใหญ่แห่งปี “Beautrium K-Beauty Fest” พุ่งเป้าตลาดเครื่องสำอางและความงามแบบเกาหลี นำแบรนด์เครื่องสำอางเกาหลีจัดโปรโมชันมากมายในร้าน

ทำให้บริษัทต้องการจะสร้างแรงกระเพื่อมเพิ่มขึ้นในกลุ่ม K-Beauty จึงใช้กลยุทธ์การตลาด “คอลแลป” สินค้าซึ่งกำลังเป็นที่นิยมและผู้บริโภคให้ความสนใจสูง โดยเลือกอุตสาหกรรมอาหารเพื่อความแปลกแหวกแนว จึงออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ลิปที่ได้แรงบันดาลใจจากอาหาร

ส่วนสาเหตุที่เลือกผนึกกำลังกับ “บอนชอน” เพราะมองว่าเป็นแบรนด์ร้านอาหารเกาหลีที่อยู่มานานในประเทศไทย มีฐานลูกค้าใกล้เคียงกันคือเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ และบอนชอนใช้สีแดงเป็นสีหลักเหมือนบิวเทรี่ยม ทำให้ภาพลักษณ์แบรนด์ไปด้วยกันได้

อติโรจน์กล่าวด้วยว่า กระแส K-Beauty ยังคงเป็นที่นิยมในไทย เฉพาะยอดขายของบิวเทรี่ยมนั้นเมื่อปี 2566 สินค้าบิวตี้ของเกาหลีทำยอดขายเติบโตถึง 200% จากปีก่อนหน้า และคาดว่าปี 2567 น่าจะโตต่อเนื่องอีก 150% เพราะทางร้านมีการจัดแคมเปญการตลาดและมีการนำเข้าแบรนด์เครื่องสำอางเกาหลีใหม่ๆ เข้ามาอีกจำนวนมาก

ตลาดเครื่องสำอางนำเข้าในไทยนั้น “เครื่องสำอางเกาหลี” ถือเป็นเครื่องสำอางจากต่างประเทศอันดับ 3 ที่มีการนำเข้า โดยข้อมูลจากสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า เมื่อปี 2566 ตลาดเครื่องสำอาง สบู่ และสกินแคร์ 5 อันดับแรกที่ประเทศไทยนำเข้ามามูลค่าสูงสุด ได้แก่ 1.ฝรั่งเศส (สัดส่วน 18.6%) 2.จีน (สัดส่วน 16.1%) 3.เกาหลีใต้ (สัดส่วน 12.1%) 4.สหรัฐอเมริกา (สัดส่วน 9.4%) และ 5.อินโดนีเซีย (สัดส่วน 8.7%)

]]>
1481965
BEAUTRIUM จากร้านเล็กๆ ที่ประตูน้ำ บุกเบิกโดย 2 พี่น้อง สู่อาณาจักรบิวตี้ 2,000 ล้าน https://positioningmag.com/1451163 Thu, 09 Nov 2023 08:19:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1451163 ตลาดมัลติแบรนด์สโตร์ยังคงเป็นตลาดเนื้อหอม โดยเฉพาะบิวตี้สโตร์ ตอนนี้มีหลากหลายแบรนด์ทั้งแบรนด์ไทย และต่างชาติต่างตบเท้าเข้ามา ยกตัวอย่างเช่น EVEANDBOY, Shephora, Multy, BEAUTRIUM และ KIS Beauty Store

BEAUTRIUM เป็นหนึ่งในแบรนด์ใหญ่สัญชาติไทย ที่มีอายุ 12 ปีแล้ว กำลังก้าวเข้าสู่รายได้หลัก 2,000 ล้านบาท โดยที่จุดเริ่มต้นของแบรนด์เกิดจากร้านเล็กๆ ที่ประตูน้ำเท่านั้น

BEAUTRIUM ได้เริ่มก่อตั้งในปี 2555 โดย 2 พี่น้อง บอย – จิรวุฒิ โรจน์รัตนวลี CEO และ แจ็ค – อติโรจน์ โรจน์รัตนวลี CMO ในขณะนั้นบอยอายุได้ 30 ปี และแจ็คอายุ 27 ปีเท่านั้น จริงๆ แล้วทั้งคู่มีธุรกิจครอบครัวเป็นโรงงานผลิตเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย รับผลิตแบบ OEM ให้แบรนด์ต่างๆ แต่เริ่มมองเห็นโอกาสของตลาดบิวตี้ เครื่องสำอางว่า ในยุคนั้นยังไม่มีร้านที่มีสินค้าแบบครบวงจรอยู่ในที่เดียว ใครที่อยากหาสกินแคร์ เครื่องสำอางต้องหาซื้อตามตู้กระจกตามศูนย์การค้า หรือดรักสโตร์ ประกอบกับทั้งคู่มีคอนเนกชั่นของกลุ่มเพื่อนที่อยู่ในแวดวงเครื่องสำอางอยู่ด้วย เลยตัดสินใจลงมาทำธุรกิจนี้

BEAUTRIUM
BEAUTRIUM สาขาแรกที่ประตูน้ำ

เลือกโลเคชั่นที่เลือกเปิดสาขาแรกก็คือ “ประตูน้ำ” (ศูนย์การค้าวอเตอร์เกท พาวิลเลี่ยน) เพราะตอนนั้นมีทั้งขายส่ง และขายปลีก เลยเลือกที่ประตูน้ำเพราะมีการขายส่งเสื้อผ้าเยอะ เป็นร้านเล็กๆ เป็นแค่โมเดลซื้อมาขายไป แต่พอเปิดร้านไปได้พักหนึ่งก็พบว่า ลูกค้าส่วนใหญ่จะซื้อปลีกเยอะ จึงย้ายร้านมาที่สยามสแควร์ ในตอนนี้เป็นดิจิทัลเกตเวย์ แต่ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็นเซ็นเตอร์พอยท์ ออฟ สยามสแควร์

คำว่า BEAUTRIUM มาจากการรวมกันของคำว่า Beauty สินค้าความสวยความงาม และ Atrium อาณาจักร ที่กว้างๆ รวมกันเป็นแหล่งรวบรวมสินค้า และนวัตกรรมต่างๆ

BEAUTRIUM

หลังจากเปิดสาขาที่สยามแล้ว ในปี 2559 ก็เริ่มจำหน่ายสินค้าอินเตอร์แบรนด์มากขึ้น ปี 2561 เริ่มจำหน่ายช่องทางออนไลน์ และปี 2566 ก็เริ่มขยายสาขาที่ต่างจังหวัดครั้งแรก ทำให้ปัจจุบัน BEAUTRIUM มีสาขารวมทั้งหมด 34 สาขา ภายในปีนี้จะเปิดเพิ่มอีก 3 สาขา สิ้นปีก็จะมีครบ 37 สาขา

ปัจจุบัน BEAUTRIUM มีสินค้าพันกว่าแบรนด์ รวมกว่า 100,000 SKU ภายในร้านเป็นกลุ่มสกินแคร์ และเครื่องสำอาง 70% ได้ขยายเพิ่มไลน์อื่นๆ เช่น บิวตี้ แกดเจ็ต, ไลฟ์สไตล์, น้ำหอม, ขนม และเครื่องดื่ม เพื่อให้ครอบคลุมทุกเจน และทุกไลฟ์สไตล์มากขึ้น

โอกาสอยู่ที่ต่างจังหวัด ต้องเปิดให้ครบทุกภาค

BEAUTRIUM มีพื้นที่ร้านค้าเฉลี่ยอยู่ที่ 200-700 ตารางเมตร แบ่งเป็น 4 โมเดล ได้แก่ แฟลกชิปสโตร์ มีพื้นที่ขนาดใหญ่สุด, เมก้า สโตร์, ร้านขนาดปกติ และร้านขนาดเล็ก พื้นที่ 150 ตารางเมตร เป็นโมเดลทดลองเน้นเข้าพื้นที่ชุมชน ลองเปิดสาขาแรกที่ตึกจี ทาวเวอร์ และกำลังศึกษาผลตอบรับอยู่

ในปีนี้ได้ประกาศงบลงทุน 2,000 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศภายในปี 2570 แต่แผนในระยะสั้นต้องการขยายสาขาให้ครบทุกภูมิภาคก่อนในปี 2567 ตอนนี้ยังขาดสาขาที่ภาคเหนือ ในปีหน้าจะขยายสาขาอีก 10 สาขา

BEAUTRIUM

จิรวุฒิ โรจน์รัตนวลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวเทรี่ยม จำกัด บอกว่า

“ในสิ้นปีนี้ BEAUTRIUM มีสาขารวม 37 แห่ง ใน 10 จังหวัด ตั้งเป้าว่าปีหน้าจะเปิดสาขาให้ครบทุกภูมิภาค ก่อนที่จะขยายให้ครบทุกจังหวัดภายในปี 2570 ซึ่งพื้นที่ต่างจังหวัดมีโอกาสสูง คู่แข่งน้อยกว่า ส่วนใหญ่จะเป็นร้านท้องถิ่นเจ้าใหญ่ที่อาจจะมีสินค้าไม่ครบ ตอนนี้พฤติกรรมของคนต่างจังหวัดไม่ต่างจากคนกรุงเทพฯ เท่าไหร่ มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น ต้องการสินค้าเหมือนกับคนกรุง”

อาณาจักรบิวตี้ 2,000 ล้าน

ในปีนี้ BEAUTRIUM มีอายุครบ 12 ปี เมื่อถามถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญของบริษัท สร้างการเติบโตแบบกก้าวกระโดดนั้น ต้องย้อนกลับไปปี 2561 ที่เริ่มขยายสาขาเยอะขึ้น และมีแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาเติม ทำให้ยอดขายเริ่มเติบโตสูงขึ้นเรื่อยๆ

และเมื่อปี 2565 ที่ผ่านมานี่เอง BEAUTRIUM มีรายได้แตะพันล้านครั้งแรก ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มคลายล็อกดาวน์ และเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวอย่างเต็มที่หลังจากสถานการณ์ COVID-19

BEAUTRIUM

คาดว่าปีนี้จะมีรายได้แตะ 2,000 ล้านบาท มีการเติบโต 112% แบ่งสัดส่วนรายได้เป็น สกินแคร์ 37% เครื่องสำอาง 35% น้ำหอม 8% และอื่นๆ 20% โดยที่ลูกค้ามีการใช้จ่ายเฉลี่ยที่ 800 บาท/บิล

หลังจากที่ขยายสาขาในไทยได้ครอบคลุมแล้ว ตอนนี้ยังเริ่มศึกษาตลาดต่างประเทศเพิ่มเติม เริ่มจากโซน CLMV และเอเชีย มีการศึกษาด้านกฎหมาย อ.ย. และสภาพธุรกิจแต่ละประเทศ ตอนนี้มองว่าประเทศเวียดนามน่าสนใจมากที่สุด เพราะมีหลายๆ อย่างใกล้เคียงประเทศไทย

]]>
1451163
ส่อง 5 แคมเปญ “แบรนด์” สินค้าในประเทศไทยฉลอง “Pride Month” ประจำปี 2020 https://positioningmag.com/1284283 Fri, 19 Jun 2020 12:41:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1284283 เดือนมิถุนายนเดือนแห่ง “Pride Month” เวียนมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว โดยความสำคัญของเดือนนี้คือการกาปฏิทินร่วมรณรงค์สร้างความเข้าใจต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTQ หลายแบรนด์ที่จำหน่ายสินค้า-บริการในประเทศไทยมีการออกแคมเปญร่วมสนับสนุน LGBTQ ในเดือนแห่งความภาคภูมิใจนี้ด้วย Positioning จึงขอยกตัวอย่างแคมเปญดีๆ ที่เราเห็นถึงความตั้งใจขับเคลื่อนสังคมให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ

ปีนี้เป็นปีที่ 51 นับจากการประท้วง Stonewall Riots ในสหรัฐอเมริกา และเป็นจุดเริ่มต้นของการรณรงค์เรียกร้องสิทธิชาวเกย์ และขยายครอบคลุมถึงผู้มีความหลากหลายทางเพศทั้งหมดในเวลาต่อมา โดยเลือกเอาเดือนมิถุนายนซึ่งเป็นเดือนที่เกิดเหตุการณ์เป็นเดือนแห่ง “Pride Month” ร่วมรณรงค์กันตลอดเดือน

ประวัติของ Stonewall Riots มาจากตำรวจบุกตรวจค้นผับ Stonewall Inns ซึ่งเป็นแหล่งรวมชาวเกย์และเลสเบี้ยนในนิวยอร์กในปี 1969 การบุกตรวจค้นมีการแยกเอาชายที่แต่งกายเป็นหญิงและหญิงที่แต่งกายเป็นชายไว้ต่างหาก เนื่องจากในยุคนั้นวิถี LGBTQ และการแต่งกายข้ามเพศถือว่าผิดกฎหมาย รวมถึงถูกตราหน้าว่ามีความผิดปกติทางจิต การบุกค้นครั้งนี้นำไปสู่ความรุนแรงทั้งจากผู้ถูกจับกุมต่อตำรวจ และจากตำรวจต่อชาวเกย์ จนเกิดการจลาจลประท้วงบนถนนต่อเนื่อง 6 วัน

ขบวนพาเหรด Pride Month ในเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ เดือนมิถุนายน 2019 (Photo: Shutterstock)

แม้การเรียกร้องสิทธิ LGBTQ จะส่งผลให้มุมมองของสังคมต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศดีขึ้นเป็นลำดับ แต่การเลือกปฏิบัติยังไม่หมดไปโดยสิ้นเชิง ทำให้ “Pride Month” ยังมีต่อเนื่อง ส่งผลให้ในปี 2019 มีผู้ร่วมงานเดินขบวนเทศกาลนี้ในนิวยอร์กถึง 5 ล้านคน และมีการจัดเทศกาลในทำนองเดียวกันทั่วโลก

ปี 2020 อาจจะเป็นปีที่การรณรงค์ “Pride Month” เงียบเหงาไปสักหน่อยเนื่องจากโรคระบาด COVID-19 ทำให้ไม่สามารถจัดการเดินขบวนรณรงค์ได้ แต่เหล่าแบรนด์สินค้าและบริการที่มีจุดยืนสนับสนุนความหลากหลายทางเพศเหล่านี้ ยังคงจัดแคมเปญหรือแนวนโยบายเพื่อแสดงจุดยืนของตนเอง ที่ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนโลโก้หรือออกสินค้าสีรุ้งเท่านั้น!

 

1.”แสนสิริ” – ลงนามกับ UN ผลักดันสิทธิ LGBTI

ปีนี้ “แสนสิริ” แบรนด์อสังหาริมทรัพย์ไทย ยกระดับการสนับสนุน LGBTI (เลสเบี้ยน เกย์ ไบเซ็กชวล บุคคลข้ามเพศ และบุคคลเพศกำกวม) ด้วยการลงนามในข้อตกลง UN Standards of Conduct for Business ซึ่งเป็นข้อตกลงเพื่อให้คำมั่นว่าบริษัทจะปฏิบัติตามหลักการทางธุรกิจ 5 ข้อเหล่านี้

  • เคารพสิทธิมนุษยชนของกลุ่ม LGBTI ในทุกการดำเนินการทางธุรกิจ
  • ขจัดการเลือกปฏิบัติกับกลุ่ม LGBTI ในสถานที่ทำงาน
  • ให้การสนับสนุนเชิงรุกแก่พนักงาน LGBTI สร้างสภาพแวดล้อมเชิงบวก ให้ความเชื่อมั่น ทำให้พนักงานทำงานร่วมกันได้อย่างมีเกียรติ
  • ป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่อาจเกิดจากการกีดกันโดยคู่ค้า คู่สัญญา ลูกค้า หรือบุคคลอื่นๆ
  • ผลักดันประเด็นความเท่าเทียมอย่างเป็นสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการพูดคุยในสังคม สนับสนุนทางการเงิน หรือปัจจัยอื่นๆ

โดยแสนสิริมีข้อปฏิบัติในองค์กรที่แสดงออกตามหลักการเหล่านี้แล้ว เช่น การจัดห้องน้ำแบบไม่ระบุเพศที่ชั้น 1 ของทุกตึกในสำนักงานใหญ่ หรือการเป็นพันธมิตรธนาคาร 4 แห่ง คือ ไทยพาณิชย์ กสิกรไทย ออมสิน และ ยูโอบี เพื่ออำนวยความสะดวกให้ครอบครัว LGBTI กู้ซื้อบ้านร่วมกันได้ง่ายขึ้น

ประเด็นการช่วยผลักดันให้ LGBTI กู้ซื้อบ้านร่วมกันเพื่อสร้างชีวิตคู่เป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากปกติแล้วธนาคารมักจะไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสหรือเป็นเครือญาติกู้สินเชื่อบ้านร่วมกัน เมื่อประเทศไทยยังไม่มีการจดทะเบียนสมรสเพศเดียวกัน ทำให้การกู้ซื้อบ้านของคู่รัก LGBTI ยุ่งยากขึ้น แต่ก็มีหลายธนาคารดังกล่าวข้างต้นที่มีเกณฑ์การตรวจสอบและอนุมัติให้แล้วในปัจจุบัน

 

2.โรงหนัง House Samyan – จัดพื้นที่ฉายให้หนัง LGBTQ

ไม่เพียงแต่เปลี่ยนโลโก้มีแถบธงสีรุ้งด้านล่าง เดือนนี้โรงหนัง House Samyan ยังมีโปรแกรมฉายภาพยนตร์เก่า 3 เรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตและความรักของ LGBTQ อย่าง Beautiful Thing (1996), Tangerine (2019) และ Portrait of a Lady on Fire (2019)

เดือนมิถุนายนปีนี้เป็นช่วงที่วิกฤตโรคระบาด COVID-19 เพิ่งคลี่คลาย และโรงภาพยนตร์เพิ่งได้รับอนุญาตให้กลับมาฉายได้ตามปกติ ทำให้ภาพยนตร์เด่นๆ หลายเรื่องเลือกจะเลื่อนเปิดฉายออกไปก่อน จนโรงภาพยนตร์ส่วนใหญ่ต้องดีลหนังเก่าที่ผู้ชมน่าจะสนใจดูซ้ำกลับมาฉายใหม่

สำหรับโรงหนัง House ก็เช่นกัน ภาพยนตร์หลายเรื่องในตารางเป็นการฉายซ้ำหนังเก่า โดยเลือกที่จะสนับสนุน “Pride Month” ด้วยการอุทิศพื้นที่ฉายราว 1 ใน 3 ให้กับหนัง LGBTQ ซึ่งมีส่วนช่วยเปิดพื้นที่ให้คอนเทนต์ของผู้มีความหลากหลายทางเพศไปสู่สังคมได้มากขึ้น

 

3.Guss Damn Good – เวิร์กช็อปค้นหารสไอศกรีม

ไอศกรีมรส Equality จาก Guss Damn Good ที่ได้จากการเวิร์กช็อปร่วมกับลูกค้าเมื่อปี 2019

มาถึงแบรนด์ของกินกันบ้าง แบรนด์ไอศกรีม Guss Damn Good ที่มี 9 สาขาหน้าร้านและจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเป็นแบรนด์ไอศกรีมคนไทยที่ก่อตั้งเมื่อปี 2014

ปีนี้น่าเสียดายที่วิกฤต COVID-19 ทำให้ Guss Damn Good ไม่สามารถจัดเวิร์กช็อปค้นหารสชาติไอศกรีมเพื่อเฉลิมฉลอง “Pride Month” ได้ แต่ได้นำรสชาติไอศกรีม Equality ที่ได้จากการเวิร์กช็อปปีที่แล้วกลับมาจำหน่ายใหม่ พร้อมกับการตกแต่งร้านด้วยธงสีรุ้งทั่วทั้งร้าน และเปลี่ยนสติกเกอร์ปิดกล่องจัดส่งพัสดุไอศกรีมเป็นสีรุ้ง

ย้อนไปปี 2019 แบรนด์ Guss Damn Good จัดเวิร์กช็อป We support LGBTQ+ เนื่องจาก “นที จรัสสุริยงค์” ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ เล็งเห็นถึงความไม่เท่าเทียมต่อ LGBTQ ในสังคมไทย เพราะพนักงานเพศหลากหลายของร้านคนหนึ่งถูกเลือกปฏิบัติจากลูกค้า

หน้าร้าน Guss Damn Good ประดับธงสีรุ้ง (Photo by Guss Damn Good)

ตัวแบรนด์ที่มีจุดยืนเป็นไอศกรีมที่ถ่ายทอดรสชาติความทรงจำ ต้องการให้ทานไอศกรีมแล้วนึกถึงบางสิ่งบางอย่างอยู่แล้ว จึงนำจุดยืนของแบรนด์มาช่วยสนับสนุน สร้างสรรค์เวิร์กช็อปกับลูกค้า จนออกมาเป็นไอศกรีมรส Equality (ความเท่าเทียม) และ Love is Love (รักก็คือรัก)

การจัดเวิร์กช็อปให้ลูกค้าเข้าร่วมคิดค้นรสชาติ ทำให้มีคนจำนวนมากขึ้นที่ได้ engagement กับการคิดคำนึงถึงสิ่งที่ต้องการจะสื่อถึงหรือเรียกร้องให้กับ LGBTQ ไม่ใช่แค่การหากิมมิกเพื่อขายสินค้าเท่านั้น

 

4.”เจนเนอราลี่” – ปลดล็อก “คู่ชีวิต” เป็นผู้รับประโยชน์กรมธรรม์

อีกแคมเปญที่มีผลต่อการใช้ชีวิตคู่ของคู่รักเพศเดียวกัน คือเรื่องของกรมธรรม์ประกันชีวิต ปีนี้ “เจนเนอราลี่” ออกแคมเปญ “Gen LOVE Wins เพราะความรักชนะทุกสิ่ง” โดยเปิดกว้างให้คู่ชีวิต LGBTQ สามารถระบุชื่อผู้รับประโยชน์ในกรมธรรม์ประกันชีวิตเป็นคู่ชีวิตของตนเองได้ เพียงแสดงหลักฐานการใช้ชีวิตร่วมกัน เช่น ภาพถ่ายบนโซเชียลมีเดีย ภาพถ่ายการสมรส หลักฐานการซื้อหรืออยู่บ้านเดียวกัน หลักฐานการทำธุรกิจร่วมกัน ทะเบียนสมรส (กรณีจดทะเบียนในต่างประเทศ)

ประเด็นนี้มีความสำคัญเพราะปกติแล้วการลงชื่อผู้รับประโยชน์ในกรมธรรม์ประกันชีวิต มักจะต้องระบุความสัมพันธ์ทางสายเลือดหรือทางกฎหมาย ขณะที่คู่รักเพศเดียวกันในไทยยังไม่ได้รับการรับรองให้จดทะเบียนสมรสได้ ทำให้บริษัทประกันแต่ละแห่งจะต้องมีนโยบายของบริษัทเองเพื่อรองรับ

นอกจากเจนเนอราลี่แล้ว ยังมีแบรนด์อื่นๆ ที่เปิดกว้างในประเด็นนี้เช่นกัน เช่น กรุงไทยแอ็กซ่า เมืองไทยประกันชีวิต เอฟดับบลิวดี ช่วยสนับสนุนให้ LGBTQ ดำเนินชีวิตได้อย่างเท่าเทียม

 

5.”Beautrium และ Levi’s” – สินค้าสีรุ้งส่งรายได้บริจาคให้ LGBTQ

(ซ้าย) แคมเปญจำหน่ายหน้ากากผ้าจาก Beautrium (ขวา) สินค้าคอลเลกชัน Levi’s Pride 2020 : Use Your Voice

วิธีสนับสนุน LGBTQ ที่ทำได้ไม่ยาก คือการสนับสนุนทางการเงิน โดยบางแบรนด์อาจจะจัดทำสินค้าการกุศลเพื่อระดมทุนไปบริจาคให้กับองค์กรที่เคลื่อนไหวเรื่องสิทธิบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ

เช่นปีนี้ Beautrium แบรนด์ร้านขายเครื่องสำอางแบบมัลติแบรนด์สัญชาติไทย เลือกผนวกการฉลอง “Pride Month” เข้ากับยุค COVID-19 ผลิตหน้ากากผ้าสายสีรุ้งในราคา 99 บาท รวมถึงลดราคาสินค้ากลางปีวันที่ 15-30 มิถุนายน 2563 รายได้จากการจำหน่ายหน้ากากและสินค้าลดราคาช่วงนี้ จะนำไปบริจาคให้กับองค์กรที่สนับสนุนกลุ่ม LGBT เช่น สื่อออนไลน์ Spectrum ที่มุ่งเน้นเสนอคอนเทนต์เรื่องเพศและสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ

หรือแบรนด์ Levi’s ที่ผลิตสินค้าคอลเลกชัน Levi’s Pride 2020 : Use Your Voice มีทั้งหมวก เสื้อยืด แจ็กเก็ตยีนส์ กระเป๋า โดยรายได้จะนำไปบริจาคให้กับ OutRight Action International องค์กรรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชน ยุติความรุนแรงต่อ LGBTI ในระดับสากล

แบรนด์และแคมเปญเหล่านี้คือตัวอย่างของการสนับสนุน “Pride Month” ที่มากไปกว่าการกล่าวถึง เปลี่ยนโลโก้ หรือผลิตสินค้าสีรุ้งมาจำหน่าย แต่พยายามสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ LGBTQ ใช้ชีวิตได้อย่างภาคภูมิใจและเท่าเทียมกับบุคคลรักต่างเพศมากขึ้น

]]>
1284283
เจาะสมรภูมิ “ร้านเครื่องสำอางมัลติแบรนด์” ทะลุองศาเดือด! หรือเกมนี้จะเป็นกระดานของ “ยักษ์ใหญ่” https://positioningmag.com/1247422 Tue, 24 Sep 2019 08:59:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1247422 สมรภูมิบิวตี้เชนรีเทลส่อแววทะลุองศาเดือด เมื่อยักษ์ใหญ่ “เซ็นทรัล” โดดร่วมวง ปั้น “ร้านคิส” รุกตลาด ส่งผลตลาดบิวตี้กว่า 2 แสนล้านบาทในไทยระอุ เปิดแผนค่ายเดิมต้องเร่งปรับตัวรับศึกกันจ้าละหวั่น

ตลาดรวมเครื่องสำอางเป็นตลาดที่ยังการมีการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง โดยยูโรมอนิเตอร์ระบุว่าในปี 2561 ที่ผ่านมาตลาดรวมทั่วโลกมีมูลค่ามากถึง 15,240,000 ล้านบาท เติบโต 4% ขณะที่มูลค่าตลาดเครื่องสำอางของประเทศไทยก็มีมูลค่า 220,800 ล้านบาท และเติบโต 7.4% มากกว่าตลาดโลก และมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องไปอีก 4 – 5 ปี โดยกลุ่มลูกค้าหลักที่ขับเคลื่อนภาพรวมตลาดดังกล่าวจะเป็นวัย 25 – 34 ปี ที่ครองสัดส่วนมากถึง 43%

ทั้งนี้ กลุ่มสกินแคร์ หรือดูแลผิว มีสัดส่วนมากที่สุดถึง 39%, กลุ่มทำความสะอาดร่างกายหรือไฮยีน สัดส่วน 31%, กลุ่มเกี่ยวกับเส้นผมสัดส่วน 14%, กลุ่มเมกอัพหรือเครื่องสำอางสัดส่วน 12% และกลุ่มน้ำหอม สัดส่วน 4%

ตลาดนี้ยังมีโอกาสและอนาคตอีกไกล เพราะไม่เช่นนั้น บิ๊กรีเทลอย่างกลุ่มเซ็นทรัลก็คงไม่กระโดดลงมาเล่นในสมรภูมินี้ และแน่นอนว่า ย่อมต้องส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการรายเดิมที่แข่งขันกันอยู่ก่อนแล้ว และเป็นปัจจัยเร่งที่ทำให้อุณหภูมิการแข่งขันร้อนแรงยิ่งขึ้นไปอีก

“เซ็นทรัล” ปั้นร้านคิส ยึดหัวหาด

น.ส.ธาพิดา นรพัลลภ กรรมการผู้จัดการ คิส บิวตี้ สโตร์ ในเครือเซ็นทรัลรีเทล เปิดเผยว่า กลุ่มเซ็นทรัลได้เปิดร้าน คิส (K I S) ซึ่งเป็นสเปเชียลตี้สโตร์ด้านสินค้าความงามและสุขภาพ เพื่อรุกตลาดนี้อย่างจริงจัง โดยวางแผนจะเปิดให้ได้ครบ 30 สาขา ในช่วงปี 2562 – 2566 เน้นเปิดในศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้า เบื้องต้นนี้จะเน้นไปที่ค้าปลีกในเครือเซ็นทรัล ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ก่อน

เซ็นทรัล ประเดิมสาขาแรกที่ชั้น 5 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ พื้นที่กว่า 1,000 ตารางเมตร และปี 2562 นี้จะเปิดอีก 2 สาขาที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว และห้างสรรพสินค้าเซ็น ใช้งบลงทุนรวม 170 ล้านบาท และมีแผนจะเปิดอีกเฉลี่ย 5 – 6 สาขาต่อปี โดยปีนี้ตั้งเป้ายอดขายไม่ต่ำกว่า 150 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การรุกของกลุ่มเซ็นทรัลในตลาดนี้มีความน่ากลัวมากแม้ว่าจะเพิ่งเข้าสู่ตลาดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการขยายสาขาที่จะมีความรวดเร็วและได้เปรียบในเรื่องทำเล เนื่องจากมีค้าปลีกในเครือมากมายรองรับไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นห้างเซ็นทรัล ห้างโรบินสัน หรืออื่นๆ จึงง่ายและเร็วกว่าค่ายอื่น ไม่เหมือนกับแบรนด์อื่นที่ต้องมองหาทำเลเอง ซึ่ง 3 สาขาแรกที่เปิดร้าน คิส เป็นคำตอบได้ชัดเจน เพราะเปิดในเครือข่ายค้าปลีกเซ็นทรัลด้วยกันเอง อีกทั้งเงินทุนก็มีความพร้อมอยู่แล้วในการทุ่มลงไปเพื่อทำการตลาดหรือการขยายสาขา

อีกความน่ากลัวสำหรับรีเทลเชนอื่นก็เช่น ประสบการณ์และความสามารถในตลาดนี้ของเซ็นทรัล ที่จะรุกผ่านร้านคิส ก็คือ ธุรกิจกลุ่มแผนกเครื่องสำอางหรือความงามของห้างเซ็นทรัลมีสัดส่วนรายได้ 24.5% จากรายได้รวมของห้างเซ็นทรัลที่มีประมาณ 45,000 – 50,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นรายได้ที่มากที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ เช่น แผนกนาฬิกามียอดขายประมาณ 3,000 กว่าล้านบาท ประมาณ 8%

เซ็นทรัลเองก็ไม่กลัวว่าธุรกิจจะมาทับซ้อนกัน เพราะมั่นใจว่าคนละกลุ่มเป้าหมาย และสินค้าและคอนเซ็ปต์ก็แตกต่างกันด้วย สำหรับในส่วนที่เป็นแผนกบิวตี้ลูกค้าที่มาซื้อสินค้าเฉลี่ย 4,000 บาทต่อบิล กลุ่มเป้าหมายหลักคืออายุ 30 – 45 ปี รองมาคือ อายุ 45 ปีขึ้นไป เป็นผู้หญิง 87% มีสินค้าประมาณ 300 แบรนด์

ขณะที่ร้านคิสจะมีสินค้าจำหน่ายมากกว่า 800 แบรนด์ มากกว่าในแผนกบิวตี้อีกหรือมากกว่า 80,000 เอสเคยู และมีสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟที่มีเฉพาะที่ร้านคิสเท่านั้น 10% เป็นสินค้าที่มีทุกกลุ่มทั้งตลาดแมส แมสทีจ เพรสทีจ ซึ่งแต่เดิมในแผนกบิวตี้ของเซ็นทรัลยังไม่ได้เน้นกลุ่มมิลเลนเนียมมากนัก

โดยคาดหวังอัตราการใช้จ่ายลูกค้าต่อบิลที่ร้าน คิส ประมาณ 1,300 บาท จับกลุ่มเป้าหมายหลักคือ กลุ่มมิลเลนเนียม อายุ 25 – 34 ปี ที่เป็นคนไทย 85% และต่างชาติ 15% ซึ่งกลุ่มนี้คือตัวหลักที่ผลักดันให้ตลาดรวมในไทยและตลาดโลกเติบโตด้วยเช่นกัน ด้วยสัดส่วนที่มากถึง 43%

“แอดคอสเม่” ลุยหน้าก่อน

ก่อนหน้านี้ค้าปลีกรายใหญ่อย่างบริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ก็รุกตลาดนี้ก่อนแล้ว ด้วยการร่วมมือกับไอสไตล์ อิงก์ จากประเทศญี่ปุ่น ตั้งบริษัท ไอสไตล์ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งกลุ่มไอสไตล์ของญี่ปุ่นถือหุ้น 70% และกลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ ถือหุ้น 30% จากทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท

ไทยก็เป็นเป้าหมายสำคัญอีกแห่งหนึ่งของไอสไตล์ หลังจากก่อนหน้านี้ขยายสาขาที่ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลีใต้ เนื่องจากมองเห็นโอกาสทางการตลาดของบิวตี้เทรนด์ในไทย โดยเปิดสาขาแรกของร้านแอดคอสเม่ในไทยเมื่อปลายปีที่แล้ว 2561 ที่ไอคอนสยาม และสาขาสองที่สยามเซ็นเตอร์ โดยมีเป้าหมายจะเปิดร้านแอดคอสเม่ให้ครบ 5 สาขาภายใน 3 ปีจากนี้

นอกจากนั้นจะทยอยรุกตลาดในหลายโมเดล ทั้งการเปิดหน้าร้านหรือสโตร์ การเปิดเว็บไซต์ขายผ่านอี-คอมเมิร์ซ มีเดียมาร์เกตติ้ง และการเปิดแอปพลิเคชัน ซึ่งเป็นโมเดลที่ในญี่ปุ่นดำเนินการอยู่แล้ว

นางอุสรา ยงปิยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามพิวรรธน์ รีเทล โฮลดิ้งจำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือทางธุรกิจครั้งนี้ของไอสไตล์กับสยามพิวรรธน์จะช่วยอำนวยความสะดวกให้ผลิตภัณฑ์เสริมความงามใหม่ๆ คุณภาพสูงจากประเทศญี่ปุ่นเป็นจำนวนมากที่ยังไม่เคยมีจำหน่ายในประเทศไทยมาก่อนได้เข้าสู่ตลาดและเข้าถึงผู้บริโภคในประเทศไทยเป็นครั้งแรก ถือเป็นการเพิ่มทางเลือกใหม่ๆ ให้แก่ผู้บริโภค

“บิวเทรี่ยม” เร่งหาฐานตลาดใหม่ๆ

“บิวเทรี่ยม” ถือเป็นเชนไทยรายหนึ่งที่มีการเติบโตอย่างน่าติดตาม ก็เริ่มมีการปรับตัวเป็นระลอกมาเรื่อยๆ เพื่อเตรียมรับมือกับศึกหนักทั้งศึกทางด้านเทคโนโลยีชอปปิ้งออนไลน์ และคู่แข่งที่เริ่มเข้ามากขึ้น ล่าสุดก็มีการปรับกลยุทธ์การตลาด ด้วยการร่วมมือกับทางบัตรเดอะวัน ของกลุ่มเซ็นทรัลเมื่อประมาณกลางปีนี้

นายจิรวุฒิ โรจน์รัตนวลี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บิวเทรี่ยม จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจเชนร้านจำหน่ายสินค้าเพื่อความงาม “บิวเทรี่ยม/BEAUTRIUM)” ของไทย กล่าวให้เหตุผลว่า การร่วมมือดังกล่าวก็เพื่อเป็นการแสวงหาโอกาสในการขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นรวมทั้งการพัฒนาโปรโมชั่นให้มีความหลากหลายและความแรงมากขึ้น สร้างความแข็งแกร่งให้แก่องค์กรด้วย เพราะเดิมทีฐานลูกค้าหลักของบิวเทรี่ยม คือ คนเริ่มทำงานใหม่ๆ ประมาณ 60% และเริ่มขยายสู่กลุ่มผู้หญิงวัยรุ่น นักเรียนนักศึกษาไม่นานนี้ ซึ่งเมื่อร่วมมือกับทางบัตรเดอะวันแล้ว จะทำให้ได้ขยายฐานในส่วนของผู้หญิงเพิ่มขึ้นจำนวนมาก เพราะกลุ่มผู้หญิงเป็นฐานหลักของเดอะวันซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงพอสมควร

นอกจากได้กลุ่มเป้าหมายใหม่เพิ่มแล้วยังมีโอกาสในการขยายฐานพันธมิตรเพิ่มด้วย จากกการขยายของเดอะวันเอง ทำให้ บิวเทรียมสามารถทำโปรโมชันที่หลากหลาย และดึงดูดผู้บริโภคได้ดีกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการที่ลูกค้าบิวเทรี่ยมสามารถสะสมคะแนนเดอะวันและสามารถนำคะแนนสะสมเดอะวันมาแลกเป็นส่วนลดและรับสิทธิพิเศษต่างๆ ทั้งจากในเครือเซ็นทรัลกับพันธมิตรนอกเครือ ซึ่งการซื้อ 25 บาทจะได้รับคะแนนเดอะวัน 1 คะแนน และในอนาคตลูกค้าบิวเทรี่ยมจะสามารถแลกคะแนนเดอะวันเป็นส่วนลดในร้านบิวเทรี่ยมได้ด้วย

อีกกลยุทธ์คือเรื่องของสินค้า ที่จะต้องเพิ่มอีกทั้งในกลุ่มเดิมเพื่อเพิ่มเอสเคยู ทั้งเมกอัพ สกินแคร์ น้ำหอม เป็นต้น อีกไม่ต่ำกว่า 20% จากเดิมที่มีสินค้าจำหน่ายในสโตร์มีประมาณ 1,000 แบรนด์ทั้งไทยและต่างประเทศ รวมมากกว่า 50,000 เอสเคยู

ส่วนแผนขยายสาขาในปี 2562 บริษัทฯ ตั้งงบประมาณลงทุนรวมไว้ที่ 150 ล้านบาท จะเปิดสาขาใหม่ 2 สาขา ลงทุนสาขาละ 30 ล้านบาท พื้นที่เฉลี่ย 300 ตารางเมตร จะเปิดปลายปีที่เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า กับเซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต ส่วนปลายปีที่แล้วได้ลงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท เปิดสาขาแฟลกชิปสโตร์ที่สยามสแควร์ สูง 4 ชั้น พื้นที่รวม 1,000 ตารางเมตร ขณะที่ปัจจุบันนี้มีสาขาเปิดบริการรวม 8 สาขา เปิดในกรุงเทพฯ ทั้งหมด สิ้นนี้ปีนี้คาดว่าจะมีครบ 10 สาขา นอกนั้นเป็นงบการตลาดและอื่นๆ

ปี 2562 นี้ จากการขยายสาขาและการปรับกลยุทธ์ของ บิวเทรียม เชื่อมั่นว่า จะทำรายได้โต 10% จากปีที่แล้วที่ทำรายได้ 500 ล้านบาท แต่ก็เป็นตัวเลขที่ได้มีการปรับยอดลงลงบ้างแล้ว จากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ว่าจะทำรายได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท

นายระวี พัวพรพงษ์ หัวหน้ากลุ่มธุรกิจเดอะวัน บริษัท เดอะวันเซ็นทรัล จำกัด กล่าวว่า ผู้ถือบัตรเดอะวันในปัจจุบันมีประมาณ 17 ล้านราย โดยสิ้นปีที่แล้ว (2561) มีประมาณ 15 ล้านราย และกลางปีนี้เพิ่มเป็น 16 ล้านรายแล้ว เฉลี่ยจะเพิ่มประมาณปีละ 2 ล้านราย และตั้งเป้าหมายอีก 5 ปีจากนี้จะมีผู้ถือบัตรเดอะวันรวม 20 ล้านราย

“บิวตี้บุฟเฟ่ต์” ปรับกลยุทธ์ขายแบรนด์อื่น

อีกรายที่อยู่ในวงการมานานและเป็นผู้นำทั้งในแง่ของจำนวนสาขาและรายได้รวมทั้งในแง่ของแบรนด์ อย่าง บิวตี้บุฟเฟ่ต์ ก็มิอาจอยู่เฉยเช่นกัน

ดร.พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ได้ปรับกลยุทธ์ธุรกิจใหม่ทั้ง 3 แบรนด์ร้านค้าที่ทำอยู่ โดยไม่เน้นการขยายสาขาจำนวนมาก แต่เน้นที่ประสิทธิภาพและการดำเนินธุรกิจและปรับรูปแบบใหม่ โดย 1. ร้านบิวตี้ บุฟเฟ่ต์ ซึ่งมี 259 สาขาขณะนี้จะเปิดกว้างนำสินค้าแบรนด์อื่นเข้ามาขาย จากเดิมที่ขายแต่แบรนด์ของบริษัททั้งหมด โดยเพิ่งเริ่มกับพันธมิตร 14 แบรนด์ชั้นนำ ก่อนจะเพิ่มอีกในปีถัดไปกับสาขาแรกที่เอ็มบีเคเซ็นเตอร์ และทยอยเพิ่มอีก เช่น เซ็นทรัลลาดพร้าว เซ็นทรัลชลบุรี และโรบินสันตรัง และคาดว่าอย่างช้าภายในปีหน้าจะทยอยวางครบ 120 สาขาเดิมที่สามารถทำได้ โดยตั้งเป้าสัดส่วนสินค้าของบริษัทฯ 80% และสินค้าของพันธมิตร 20%

2. ร้านบิวตี้คอตเทจ มีจำนวน 69 สาขา ก็ยังคงดำเนินต่อเนื่อง และ 3. ร้านบิวตี้มาร์เก็ต ที่มีเพียง 1 สาขา จะยกเลิกร้านนี้ และปรับคอนเซ็ปต์ด้วยการเปิดแบรนด์ใหม่ คือ ร้านเฟสติวัลเอาต์เลต จะมีรูปแบบที่เป็นการเปิดร้านชั่วคราว ตามงานเทศกาลต่างๆ ในสถานที่ต่างๆ เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง และอนาคตอจจะเปิดเป็นร้านแบบเอาท์เลตถาวร ซึ่งโมเดลนี้จะปรับราคาสินค้าลงมา 30% เพื่อเจาะตลาดแมส

ทั้งนี้ จากการปรับแผนธุรกิจใหม่ บริษัทฯ คาดหวังว่ารายได้รวมในปี 2562 นี้ จะมีประมาณ 2,200 ล้านบาท ซึ่งถือว่าดีขึ้นบ้าง จากที่ยอดขายตกลงมาเรื่อยๆ ในช่วงหลายปีมานี้ โดยปีที่แล้วยอดขาย 3,500 ล้านบาท ตกจากปี 2560 ที่ทำได้ 3,700 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นช่วงที่รายได้ลดลงมากที่สุดในรอบก่อตั้งมา 22 ปีก็ว่าได้

“เฮ้ สตรีท บิวตี้” ปั้นไซส์เล็กกองทัพมด

น.ส.จารุวัลย์ วงศ์เจษฏาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท C4 Global บริษัทในกลุ่มบริษัท ทาพาโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ TAPAC ผู้ดำเนินธุรกิจร้าน “เฮ้ สตรีท บิวตี้” ร้านเครื่องสำอางมัลติแบรนด์ เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทฯ ได้ขยายร้านขนาดเล็กหรือสมอลล์รีเทลสำหรับเฮ้ มินิ (HEJ Mini) ขนาดพื้นที่เฉลี่ย 10 ตารางเมตร มีสินค้าประมาณ 500 รายการ โดยมีแผนจะขยาย 50 จุดทั่วประเทศไทย ผ่านเครือข่ายศูนย์การค้าชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ

“เราวางแผนระยะยาว 3 – 5 ปีจากนี้จะขยายสาขาสมอลล์รีเทลสำหรับ HEJ Mini และ สินค้าแบรนด์ Secret J ทั่วประเทศ รวมเป็น 100 จุดขาย ส่วนปี 2562 นี้มีแผนเปิดร้าน “เฮ้ สตรีทบิวตี้” เพิ่มพร้อมเปิดตัวและขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในรูปแบบ สมอร์รีเทล สำหรับ HEJ Mini และสินค้าแบรนด์ Secret J อีก 50 จุดขาย โดยมั่นใจว่าจะมีผู้สนใจเข้ามาร่วมธุรกิจในรูปแบบสมอลล์รีเทลจำนวนมาก เพราะลงทุนไม่มาก รวมทั้งสินค้าจะเป็นที่ตอบรับของกลุ่มลูกค้ากลุ่มวัยรุ่น คนทำงาน หรือชาวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวในประเทศไทย”

ส่วนตลาดต่างประเทศ “เฮ้ สตรีท บิวตี้” สนใจตลาดกลุ่มประเทศ CLMV+I และคาดว่าจะเริ่มได้ในปี 2563 ซึ่งที่ผ่านมาได้เดินทางไปประเทศเวียดนาม กัมพูชา เพื่อหารือกับพันธมิตรศูนย์การค้าชั้นนำหลายแห่งแล้ว เช่น อิออนมอลล์ เวียดนาม จีก้ามอลล์ เป็นต้น

“ท็อปส์” ปรับโฉมโซนบิวตี้สู่ “ลุคส์”

เมื่อช่วงปีที่แล้ว ท็อปส์ ในเครือเซ็นทรัลก็ทำการปรับพื้นที่ของโซนสินค้าความงามและสุขภาพ โดยเปิดมุมใหม่ชื่อว่า ลุคส์ เริ่มที่ท็อปส์สาขาพระราม 3 เป็นแห่งแรก รวมทั้งเพิ่มกลุ่มสินค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภครุ่นใหม่ เช่น ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก หรือกลุ่มสินค้าที่มีความพรีเมี่ยมมากขึ้น เช่น กลุ่มสินค้าเกี่ยวกับดูแลเส้นผมที่ได้รับความไว้วางใจจากแฮร์ซาลอนชั้นนำ หรือผลิตภัณฑ์บิวตี้ที่นำเข้ามาจากหลากหลายประเทศทั้งจากเอเชีย และยุโรป

ภายในร้าน Looks แบ่งออกเป็น 7 โซนหลัก คือ โซนเครื่องสำอาง โซนผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกาย โซนผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า โซนผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพปาก โซนผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม โซนสินค้าเพื่อสุขภาพ และโซนสินค้าสำหรับคุณผู้ชาย

น.ส.ภัทรพร เพ็ญประพัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการตลาดและประชาสัมพันธ์ บจ.เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล กล่าวว่า ธุรกิจสินค้าบิวตี้ในไทยยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มลูกค้าเจนเนอเรชันวายมีความถี่ในการซื้อสินค้าเพื่อความงามเพิ่มขึ้น ในขณะที่กลุ่มลูกค้าวัยทำงานซึ่งมีอายุ 35 ปีขึ้นไป ให้ความสำคัญต่อการซื้อสินค้าในกลุ่มดูแลสุขภาพ บริษัทฯ คาดว่าจากการปรับโซนเดิมเป็นลุคส์จะเพิ่มยอดขายกลุ่มสินค้าสุขภาพและความงามได้ 15 – 20%

เมื่อค่ายเซ็นทรัลเปิดฉากรุกอย่างน่ากลัว การปรับตัวของค่ายเดิมก็ต้องเร่งเครื่องมากขึ้น จากนี้ไปสมรภูมิบิวตี้เชนรีเทล ย่อมแข่งขันกันรุนแรงมากขึ้นแน่นอน.

Source

]]>
1247422
เดอะวัน จับคู่ BEAUTRIUM ต่อยอด Loyalty Platform แชร์ฐานลูกค้า – บิ๊กดาต้า https://positioningmag.com/1233202 Wed, 05 Jun 2019 11:58:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1233202 “The 1” (เดอะวัน) Loyalty Platform ภายใต้กลุ่มเซ็นทรัลกรุ๊ปที่มีจำนวนสมาชิกกว่า 15 ล้านคน Active User ราว 60% กำลังเริ่มสยายปีกออกนอกเครือไปจับมือกับร้านค้าอื่นๆ หวังต่อยอด Eco System ให้มากขึ้น เพราะนอกจากจะได้ฐานลูกค้าเข้ามาแล้วสิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือ Data ที่สามารถนำไปต่อยอดเพื่อเจาะไปยังพฤติกรรมผู้บริโภคได้

ที่ผ่านมา The 1 มีการจับมือร้านค้าใหญ่ๆ ไปประมาณ 30 – 40 ราย เช่นปั๊มน้ำมันเกือบทุกแบรนด์และร้านค้าย่อยๆ ที่อยู่ตามต่างจังหวัดอีก 500 ราย โดยแบ่ง 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ อาหาร ช้อปปิ้ง และโรงแรมกับสปา

ภายในปีนี้ได้ตั้งเป้าจะเพิ่มร้านค้าขนาดใหญ่อีก 10 ราย เช่นกลุ่มคอนโดนิเมียมและโรงพยาบาลสำหรับแม่และเด็ก โดยจะอยู่ในรูปแบบสิทธิพิเศษอื่นๆ เช่นส่วนลดหรือที่จอด และตั้งเป้าเพิ่มร้านค้าขนาดเล็กอีก 500 ราย พร้อมเตรียมอัดงบกว่า 1,000 ล้านบาทสำหรับพัฒนาระบบต่างๆ

ขณะเดียวกันถึงจะมีหลากหลายแล้วยังมีอยู่กลุ่มหนึ่งที่ The 1 สนใจ คือร้านเครื่องสำอางมัลติแบรนด์ซึ่งจากดูมูลค่าตลาดแล้วจะพบว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นความสวยความงาม ก็เป็นสิ่งที่ผู้หญิงพร้อมจะควักเงินซื้อมาประทินโฉมตัวเอง

ข้อมูลจากยูโรมอนิเตอร์ได้เปิดเผยว่า ตลาดความงามไทยใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉยีงใต้ โดยปี 2018 เติบโต 7.31% มีมูลค่ากว่า 1.92 แสนล้านบาท ถือเป็นตัวเลขที่เติบโตต่อเนื่องที่ราว 7% มากว่า 5 ปี

ดังนั้นร้านค้าขนาดใหญ่รายล่าสุดที่ The 1 จับมือด้วยจึงเป็น “BEAUTRIUM” (บิวเทรี่ยม) บิวตี้มัลติแบรนด์สโตร์ที่เปิดมาแล้ว 7 ปี และมีสาขากระจายอยู่ในกรุงเทพฯ ทั้งหมด 8 สาขา

การจับมือในครั้งนี้ Win – Win ทั้ง 2 ฝ่าย เพราะในฝั่งของ The 1 นอกจากขยายกลุ่มสินค้าให้ครบคลุมยิ่งขึ้นยังจะได้ฐานลูกค้าวัยรุ่นอายุ 15 – 20 ปีต้นๆ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 50% ของ BEAUTRIUM เข้ามาเติมในฐานซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้ที่มีความสำคัญมากด้วยในอนาคตจะพัฒนาเป็นฐานลูกค้าหลักได้

ส่วน BEAUTRIUM ก็จะได้ฐานลูกค้าหลักของ The 1 เข้ามาเติมเต็มเช่นเดียวกันโดยกลุ่มที่ว่าคือผู้หญิงวัยทำงานที่มีกำลังซื้ออยู่เต็มกระเป๋า BEAUTRIUM ถึงกับคาดหวังว่ากลุ่มนี้จะเข้ามาดันรายได้ให้เติบโต 20%

เบื้องต้นทุกการช้อปในร้าน BEAUTRIUM 25 บาท จะได้รับคะแนน The 1 จำนวน 1 คะแนน ส่วนภายในไตรมาส 3 จะสามารถนำคะแนนมาเป็นส่วนลดได้ด้วยโดยการจับมือมีระยะเวลา 5 ปี

จริงๆ แล้ว BEAUTRIUM มีระบบ Loyalty Platform ของตัวเองอยู่แล้วและมีฐานสมาชิกหลักแสน ซึ่งหลังจากนี้ทุกรายจะโอนไปยัง The 1 โดยสาเหตุที่ไม่ทำเองเหมือนที่หลายๆ แบรนด์กำลังทำ จิรวุฒิ โรจน์รัตนวลี ประธานกรรมการบริหารบริษัทบิวเทรี่ยม จำกัด ให้เหตุผลว่า

ถ้าทำเองจะต้องมีต้นทุนในการบริการจัดการ แต่การร่วมมือกันจะทำให้ส่วนนี้ลดลง ที่สำคัญยังช่วยให้ฐานลูกค้าขนาดใหญ่ของ The 1 ซึ่งสามารถชักจูงมาทำความรู้จัก BEAUTRIUM ได้

สำหรับ BEAUTRIUM ภายในปีนี้เตรียมเปิดอีก 2 สาขาที่เซ็นทรัลพลาซา ปิ่นเกล้า และ เซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต ใช้งบลงทุนสาขาละ 30 ล้านบาท พื้นที่ 300 – 400 ตารางเมตร มีสินค้าทั้งหมด 1,000 แบรนด์ 50,000 SKU ในจำนวนนี้เป็นแบรนด์ที่ขายแบบเอ็กซ์คลูซีฟราว 5% ภายในปีนี้เพิ่มจำนวนแบรนด์ทั้งหมดอีก 20%

และถึงแม้ว่าอีก 2 สาขาจะเปิดในเครือเซ็นทรัล แต่การจับมือกับ The 1 ไม่ได้มีผลที่ทำให้การขยายสาขาต่อไปต้องอยู่ในเครือเซ็นทรัลอย่างเดียว หลักๆ ต้องดูทำเลและทราฟฟิกเป็นหลัก แต่ BEAUTRIUM ถือเป็นคอนเนคชั่นต่อไปได้

ภาพรวมของ BEAUTRIUM ปี 2018 มียอดขาย 500 ล้านบาท เติบโต 1 เท่าตัวมียอดใช้จ่ายต่อบิลเฉลี่ย 800 บาท นอกเหนือยอดขายในร้าน BEAUTRIUM ยังให้ความสำคัญกับยอดขายออนไลน์ด้วย

คาดว่าภายในปีนี้จะมียอดขายราว 10% จากเป้ารายได้ 700 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากเดิมที่ตั้งไว้ 1,000 ล้านบาท เนื่องจากกำลังซื้อถูกกระทบจากความไม่แน่นอนทางด้านเศรษฐกิจ

]]>
1233202