เผยดัชนีการเชื่อมต่อทางอากาศระหว่างเมืองทั่วโลก ประจำปี 2020 ซึ่งมีความสำคัญทั้งด้านเศรษฐกิจการค้าท่องเที่ยวเเละการลงทุน
โดยพบว่า การจัดอันดับของปีนี้มีการ “เปลี่ยนเเปลง” อย่างมาก อันเป็นผลจากการปิดพรมเเดรระหว่างประเทศ เพื่อสกัดการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดการเชื่อมต่อระหว่างเมือง “ภายในประเทศ” มากขึ้น
“กรุงลอนดอน” ของอังกฤษ เคยเป็นเมืองที่มีการเชื่อมต่อมากที่สุดอันดับหนึ่งของโลก ในเดือนกันยายน ปี 2019 ล่าสุดมีการเชื่อมต่อลดลงถึง 67% ในเดือนกันยายนปี 2020 ร่วงลงไปอยู่อันดับ 8
ส่วนจีน ได้ขึ้นมาเป็นประเทศ “ตัวท็อป” เเทน เมื่อส่ง เซี่ยงไฮ้ ขึ้นเป็นที่ 1 เเละยังมีเมืองใหญ่ๆ ติดอันดับอีกอย่าง ปักกิ่ง กวางโจว และเฉิงตู
โดยการเดินทางเเละเศรษฐกิจของจีน “ฟื้นตัว” อย่างรวดเร็ว หลังเป็นชาติเเรกที่มีการติดเชื้อ COVID-19 เมื่อช่วงปลายปี 2019 ที่ผ่านมาจากมาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวด
นครนิวยอร์กของสหรัฐฯ ที่เคยอยู่อันดับ 3 มีการเชื่อมต่อทางอากาศลดลง -66% หลุดตำเเหน่งจาก 10 อันดับแรก รวมไปถึง “กรุงโตเกียว” ของญี่ปุ่นที่เคยอยู่อันดับ 5 มีการเชื่อมต่อลดลง -65%
ด้านกรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทย ที่เคยอยู่อันดับ 7 มีการเชื่อมต่อลดลง -81% ส่วนฮ่องกงที่เคยอยู่อันดับ 8 มีการเชื่อมต่อลดลง -81% และกรุงโซลของเกาหลีใต้ที่เคยอยู่อันดับ 9 มีการเชื่อมต่อลดลง 69% ทั้งหมดนี้ต่างหลุดจาก TOP 10 เช่นเดียวกัน ขณะที่ ทวีปแอฟริกา ประสบปัญหาการเชื่อมต่อทางอากาศลดลงรุนเเรงที่สุด คือ -93%
IATA ระบุว่า การจัดอันดับ The World’s Most Connected City ในปีนี้ “ไม่มีผู้ชนะที่เเท้จริง มีเเต่ผู้ที่เจ็บน้อยกว่าเท่านั้น” เนื่องจากอันดับไม่ได้เปลี่ยนไปเพราะมีการเชื่อมต่อที่ดีขึ้น เเต่ดัชนีเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของธุรกิจการบินทั่วโลกที่กำลังอยู่ในขั้นสาหัส
หากการเดินทางระหว่างประเทศกลับมาเหมือนเดิม เมืองใหญ่ที่เคยติด TOP 10 เหล่านี้ ส่วนใหญ่ก็กลับมาติดอันดับได้อีกในช่วงกี่ปีข้างหน้า
ปัญหาสำคัญอีกประการ คือในเครือข่ายอุตสาหกรรมสายการบิน ยังมีเเรงงานที่อยู่บนความเสี่ยงจะสูญเสียตำเเหน่งอีก “หลายสิบล้านคน” โดยขณะนี้สนามบินหลายแห่ง ยังคงมีปริมาณผู้โดยสารลดลงกว่า 90% เเละยังต้องความหวังจากการพัฒนา “วัคซีน” ที่จะเข้ามาช่วยภาคการท่องเที่ยวเเละเดินทาง
ที่มา : SimpleFlying , IOL Travel
]]>
ในการจัดอันดับประจำปีโดยมาสเตอร์การ์ด อิงค์ พบว่ากรุงเทพฯ ครองแชมป์เมืองที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนมากที่สุดในโลกเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน โดยปีที่ผ่านมา กรุงเทพฯ ได้ต้อนรับนักท่องเที่ยว 22.78 ล้านคน และคาดว่าในปีนี้ จะเพิ่มขึ้นอีก 3.3% ขณะที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นั้นมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้และอังกฤษ
ปารีสและลอนดอน รั้งอันดับ 2 และ 3 ตามลำดับ โดยมีนักท่องเที่ยวขาเข้าเมืองละราวๆ 19.1 ล้านคน ตามมาด้วยดูไบ ซึ่งต้อนรับนักท่องเที่ยวประมาณ 15.9 ล้านคน
ส่วนเมืองอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างเช่น สิงคโปร์และกัวลาลัมเปอร์ รั้งอันดับ 5 และ 6 ตามลำดับ ขณะที่นิวยอร์ก อิสตันบูล โตเกียวและเมืองอัลตัลยาของตุรกี ก็ต่างติดเข้ามาในท็อปเท็นของโลกเช่นกัน ในการจัดอันดับ 200 เมืองน่าเที่ยวของโลกวัดตามจำนวนนักท่องเที่ยวและข้อมูลการใช้จ่ายเงิน
ในผลสำรวจยังพบด้วยว่านักท่องเที่ยวระหว่างประเทศทั่วทั้ง 200 เมืองนั้นเพิ่มขึ้นถึง 76% ในช่วง 10 ปีหลังสุด
แม้ กรุงเทพฯ ยังคงครองบัลลังก์แชมป์เอาไว้ได้อีกสมัย แต่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยกำลังเผชิญกับสภาวการณ์ที่สวนทางกัน ด้วยนักเดินทางขาเข้าในเดือนพฤษภาคม ลดลง 1.03% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ก่อนที่ในเดือนมิถุนายน จะฟื้นคืนสู่การเติบโต 0.89% เมื่อเทียบกับหนึ่งปีก่อนหน้านี้ ในขณะที่การท่องเที่ยวคิดเป็น 12% ของเศรษฐกิจไทย
ด้วยการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนค่อนข้างอ่อนแอและอุบัติเหตุเรือล่มเมื่อปีที่แล้ว ทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมายังประเทศไทยลดลงพอสมควรในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้
อย่างไรก็ตามตัวเลขที่ลดลงของนักท่องเที่ยวจีน ถูกชดเชยบางส่วนจากการเดินทางเข้าไทยมากขึ้นของนักท่องเที่ยวอินเดีย
ไทยคาดหมายว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากอินเดียมาเยือนในปี 2019 ราวๆ 2 ล้านคน มากกว่าที่วางเป้าหมายไว้ก่อนหน้านี้ ในขณะที่เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา รัฐบาลขยายเวลามาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมการขอตรวจลงตราเพื่อเข้าประเทศละ 2,000 บาท สำหรับนักท่องเที่ยวขาเข้าจาก 18 ประเทศ ในนั้นรวมถึงจีนและอินเดีย.
]]>