หลังจากได้รับเลือกจากบริษัทร่วมทุนระหว่าง ฮุนได (Hyundai) และ แอลจี (LG) ของเกาหลีใต้ให้สร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่รถอีวีมูลค่า 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จนทำให้อินโดนีเซียเป็นประเทศแรกในภูมิภาคที่มีโรงงานผลิตแบตฯ โดยปัจจุบัน แบตเตอรี่จากโรงงานในอินโดนีเซียส่วนใหญ่จะถูกส่งไปยังบริษัทในเครือ ฮุนได Hyundai ในเกาหลีใต้และอินเดีย
แน่นอนว่าอินโดนีเซียไม่คิดจะหยุดแค่นี้ โดยกำลังมองหาวิธีเพิ่มการลงทุนเพื่อให้มีความได้เปรียบในการแข่งขันเพื่อก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของอาเซียน โดยเริ่มออกมาตรการจูงใจเพื่อกระตุ้นตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็น การยกเว้นภาษี โดยรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้ามายังอินโดนีเซียจนถึงปี 2568 หากบริษัทต่าง ๆ มีการสร้างโรงงานผลิตและผลิตรถยนต์ในประเทศให้ได้จำนวนเท่ากับที่นำเข้าภายในสิ้นปี 2570
ซึ่งมาตรการต่าง ๆ ก็ดึงให้แบรนด์รถอีวีหลายแบรนด์ตบเท้ากันเข้ามาในตลาดอินโดนีเซีย อาทิ BYD, VinFast และ Wuling ที่ประกาศแผนว่าจะผลิตแบตเตอรี่ ที่โรงงานในอินโดนีเซียภายในสิ้นปี 2024 และจากมาตรการทั้งหลาย ทำให้ยอดขายรถอีวีในช่วงเดือนมกราคมถึงสิงหาคมปีนี้พุ่งเป็นกว่า 23,000 คัน จากปีที่ผ่านมามียอดขาย 17,000 คัน ตามข้อมูลจากสมาคมยานยนต์อินโดนีเซีย
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีโรงงานผลิตแบตฯ แห่งแรกของภูมิภาค และเป็นประเทศที่มีปริมาณสำรองนิกเกิลมากที่สุดในโลก แต่บรรดานักวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่า ประเทศยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายอันเนื่องมาจาก ศักยภาพในการแปรรูปและการกลั่นที่ไม่ดี เนื่องจากขาดอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ทำให้นิกเกิลต้องผ่านการแปรรูปจากเกาหลีใต้และจีนก่อน
อีกทั้งยังมีความกังวลด้าน สิ่งแวดล้อม โดยนักสิ่งแวดล้อมเตือนว่า การทำเหมืองนิกเกิลเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการ ตัดไม้ทำลายป่า ในอินโดนีเซีย นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของแบตเตอรี่ประเภทอื่น ๆ เช่น แบตเตอรี่ลิเธียมไออนฟอสเฟต (LFP) ที่มีราคาถูกกว่า ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในจีน ก็อาจส่งผลกระทบต่อความต้องการแบตฯ ที่อินโดนีเซียกำลังผลิตอยู่ด้วย
อีกสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ การแข่งขัน โดยเฉพาะจาก ประเทศไทย ซึ่งไทยเองก็พยายามจะเป็น EV HUB โดยไทยเองก็สามารถดึงดูดให้หลายแบรนด์ตั้งโรงงานผลิตในประเทศ ซึ่งถือเป็นจุดได้เปรียบ เพราะหากแบรนด์นั้น ๆ มีโรงงานในบางประเทศแล้ว ก็อาจไม่จำเป็นต้องลงทุนตั้งโรงงานในอินโดนีเซีย
โดยข้อมูลของ ธนาคารกรุงศรีอยุทธยา พบว่า ในช่วงต้นปี 2566 ไทยมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากที่สุด โดยคิดเป็นสัดส่วน 78.7% ตามมาด้วยอินโดนีเซียที่ 8%
ก็ต้องยอมรับว่าอินโดนีเซียมีความได้เปรียบทั้งในแง่ประชากร และทรัพยากรที่หลายประเทศไม่มี แต่ประเทศอื่น ๆ ก็มีจุดแข็งของตัวเอง อาทิ ไทยเองก็มี Know how จากรถยนต์สันดาป และเข้าสู่ตลาดอีวีค่อนข้างเร็วกว่าหลายประเทศ ก็คงต้องรอดูกันว่าใครจะชิงความได้เปรียบจนขึ้นเป็น EV HUB ของภูมิภาคได้
]]>ตามรายงานโดย Rho Motion เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในเดือนกรกฎาคม โดยรวมทั้ง รถไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (BEV) และ ปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs) มียอดรวมทั่วโลกอยู่ที่ 1.35 ล้านคัน โดยเฉพาะประเทศจีนมียอดขายที่ 8.8 แสนคัน เพิ่มขึ้น +31% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ขณะที่ตลาด ยุโรป มียอดขาย ลดลง -7.8% ในเดือนกรกฎาคม โดยตลาด เยอรมนี ที่ถือเป็นตลาดใหญ่สุดของยุโรป ลดลง -12% ส่วนในตลาด สหรัฐอเมริกาและแคนาดา ยอดขาย เพิ่มขึ้น +7.1%
ที่น่าสนใจคือ รถปลั๊กอินไฮบริด กำลังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในตลาดจีน ยอดขายของรถปลั๊กอินไฮบริดช่วง 7 เดือนแรกเพิ่มขึ้นถึง +70% จากปีที่แล้ว สอดคล้องกับยอดขายของค่ายผู้ผลิตรถยนต์ที่ใหญ่สุดในจีนและใหญ่สุดในโลกอย่าง BYD ที่ยอดขายรถ PHEV เติบโตถึง +44% ขณะที่รถ BEV เติบโต +13%
ทั้งนี้ สมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแห่งประเทศจีน (China Passenger Car Association) เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ในประเทศจีนในเดือนกรกฎาคม หดตัว -5% แต่ภาค การส่งออกเพิ่มขึ้น +20% โดยยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านคัน โดยขายภายในประเทศประมาณ 1.6 ล้านคัน ลดลง 10% จากปีก่อน ส่วนการส่งออกเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% เป็น 399,000 คัน รถยนต์ที่ขายไป มากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นรถยนต์พลังงานใหม่
]]>พฤติกรรมการตัดสินใจซื้อรถของคนไทยเปลี่ยนไป โดยมีความ ซับซ้อน ใช้เวลาตัดสินใจนาน และต้องการข้อมูลที่รอบด้าน มากยิ่งขึ้น พฤติกรรมการซื้อรถของคนไทยมีพัฒนาการที่แตกต่างไปจากอดีตใน 3 ประเด็น ได้แก่
สงครามราคาในตลาดรถยนต์ไทยจะยังทวีความรุนแรง แต่ประสิทธิผลของกลยุทธ์ดังกล่าวมีแนวโน้มลดลง เพราะผู้บริโภคเกิดความเคยชินและหันมารอมากขึ้น SCB EIC ประเมินว่า การปรับลดราคาขายรถยนต์จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและขยายวงกว้าง โดย Segment ที่คาดว่าจะมีความรุนแรงสูงสุด คือ
ผลพวงจากการจัดโปรโมชันที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งจะทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อรถใหม่ออกไป เพื่อรอให้ราคาปรับลดลงอีกในอนาคต
มูลค่าคงเหลือของรถยนต์ไฟฟ้า ทั้ง BEV (ใช้ไฟฟ้า 100%) และ Hybrid มีแนวโน้ม ลดลงมากถึงเกือบ 50% จากราคาขาย เมื่อใช้งานไปเพียงแค่ 1 ปี เท่านั้น มูลค่าซากของรถยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเมื่อใช้งานไปเพียง 1 ปี จะเสื่อมค่าลงมากถึง 50% ขณะที่ รถสันดาปสามารถรักษามูลค่าในปีแรกไว้ได้ถึง 67% ของราคารถใหม่ โดยปัจจัยที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเสื่อมค่าลงมากนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจาก ราคาขายที่ถูกปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความกังวลของภาคธุรกิจต่ออุปสงค์ของ EV ในตลาดรถยนต์มือ 2
ค่าใช้จ่ายผันแปรจากการใช้งานรถ BEV ต่ำกว่ารถสันดาป และ Hybrid ค่อนข้างมาก แต่ต้องจับตาต้นทุนแฝงจากปัญหาความไม่เพียงพอของสถานีชาร์จสาธารณะ การใช้งานรถ BEV ก่อให้เกิดรายจ่ายจากการชาร์จไฟฟ้าเพียง 62 บาท/วัน ต่ำกว่าค่าเชื้อเพลิงของรถสันดาป กว่าเท่าตัว ด้านค่าใช้จ่ายการ เช็กระยะ ซึ่งถูกกว่ารถประเภทอื่น ๆ ถึง 3 เท่า อย่างไรก็ตาม ต้องจับตาต้นทุนแฝงอื่น ๆ เช่น ค่าเสียโอกาสจากการรอชาร์จไฟเนื่องจากสถานีชาร์จสาธารณะมีไม่เพียงพอ รวมถึงค่าเดินทางและระยะเวลาซ่อมที่ยาวนาน เพราะอุปทานอะไหล่ยนต์ในประเทศมีจำกัด รวมถึงศูนย์ซ่อมบำรุงและอู่ซ่อมรายย่อยก็มีน้อยและกระจายตัวไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่
แม้ค่าพลังงานและการเช็กระยะจะถูกกว่า แต่ เบี้ยประกัน รถ BEV แพงกว่ารถสันดาป และ Hybrid กว่าเท่าตัว เนื่องจากราคาขายที่ถูกปรับลดลงต่อเนื่อง รวมถึงระบบนิเวศน์ EV ในประเทศไทยยังพัฒนาได้ไม่เท่าทันกับความต้องการของตลาด ปัจจัยสำคัญที่กดดันให้เบี้ยประกันรถ BEV ผันผวนและยังอยู่ในระดับสูง คือ การคำนวณทุนประกันทำได้ยาก เพราะ
ดังนั้น เบี้ยประกันรถ EV จะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง แม้จะทยอยปรับลดลงบ้างตามทิศทางการพัฒนาระบบนิเวศ EV ของไทยที่กำลังมีความพร้อมยิ่งขึ้น ทั้งจากการลงทุนขยายอุปทานอะไหล่ยนต์ในประเทศ รวมถึงการเร่งพัฒนาธุรกิจอู่ซ่อมและฝีมือแรงงานให้ตอบโจทย์
อย่างไรก็ตาม รถ BEV เป็นตัวเลือกการขับขี่ที่ตอบโจทย์ความ ประหยัดในระยะยาว ได้ดีที่สุด แม้ว่าการใช้งานช่วง 2 – 3 ปีแรกจะมีต้นทุนการถือครองที่สูงกว่ารถประเภทอื่น ๆ เนื่องจากภาระเบี้ยประกันและค่าเสื่อมที่อยู่ในระดับสูง การเปรียบเทียบความคุ้มค่าตลอดอายุการใช้งาน 10 ปี ถือว่าภาระรายจ่ายของ รถสันดาปสูงที่สุด ขณะที่รถไฮบริดจะมีต้นทุนการใช้งานต่ำมากในระยะสั้น จากนั้นจะทยอยปรับเพิ่มขึ้นตามภาระค่าเชื้อเพลิง สำหรับรถ BEV ถือเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ความคุ้มค่าในระยะยาว เพราะค่าใช้จ่ายการชาร์จไฟฟ้าและค่าซ่อมบำรุงที่อยู่ในระดับต่ำสามารถชดเชยภาระเบี้ยประกันที่โดยรวมยังแพงกว่ารถยนต์ประเภทอื่น ๆ
]]>The Times สื่อในประเทศอังกฤษ รายงานข่าวว่า Volvo แบรนด์รถยนต์ในทวีปยุโรป ที่ปัจจุบันมีเจ้าของคือ Geely แบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศจีน ได้เตรียมย้ายกำลังการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ากลับสู่ทวีปยุโรปอีกครั้ง ซึ่งสาเหตุสำคัญมากจากเพื่อต้องการลดความเสี่ยงจากภาษีนำเข้าสินค้า
โดยแหล่งข่าวของสื่ออังกฤษรายงานว่าโรงงานผลิตของ Volvo ได้ระงับการขายรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศจีนซึ่งส่งออกไปยังทวีปยุโรปแล้ว นอกจากนี้สื่อรายดังกล่าวยังได้รายงงานว่า จะมีการย้ายกำลังการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในรุ่น EX30 และ EX90 จากจีนไปยังเบลเยียมอีกด้วย
นอกจากนี้กำลังการผลิตในยุโรปนั้นอาจรวมถึงการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าของ Volvo ไปยังสหราชอาณาจักรด้วย
สาเหตุสำคัญที่ทำให้บริษัทเตรียมแผนดังกล่าวเนื่องจากสหภาพยุโรปนั้นกำลังพิจารณาจะมีการขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า หลังจากมีการสอบสวนว่าจีนมีการใช้เงินอุดหนุนดังกล่าวจริงหรือไม่ เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้าจากประเทศจีนนั้นมีราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับผู้ผลิตในยุโรป ส่งผลทำให้ผู้ผลิตในทวีปยุโรปประสบปัญหา
อย่างไรก็ดีจีนได้ออกมาปฏิเสธเรื่องดังกล่าวว่า จีนไม่เคยมีการอุดหนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า และมองว่ารถยนต์ไฟฟ้าของจีนนั้นได้รับความนิยมเนื่องจากราคาและรถยนต์ไฟฟ้าของจีนสามารถแข่งขันกับผู้เล่นรายอื่นๆ ได้
ปัญหาการทะลักเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 มหาอำนาจย่ำแย่ลง เนื่องจากยุโรปนั้นอุตสาหกรรมยานยนต์ถือเป็นเครื่องจักรทางเศรษฐกิจสำคัญของทวีป มีการจ้างงานจำนวนมาก รวมถึงซัพพลายเออร์หลากหลายแห่ง และถ้าหากอุตสาหกรรมดังกล่าวได้รับผลกระทบ ย่อมกระเทือนถึงเศรษฐกิจยุโรปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
]]>สำนักข่าว Reuters ได้รายงานข่าว โฆษกของกระทรวงการต่างประเทศของจีนได้กล่าวถึงประเด็นที่กำลังเผ็ดร้อนอยู่ในเวลานี้คือ รถยนต์ไฟฟ้าจีนได้ออกสู่ท้องตลาดโลกและกำลังตีตลาดในหลายประเทศนั้นรัฐบาลจีนได้มีการสนับสนุนผ่านเม็ดเงินอุดหนุนหรือไม่
Mao Ning โฆษกของกระทรวงการต่างประเทศของจีนได้กล่าวถึงในกรณีดังกล่าวว่า รถยนต์ไฟฟ้าของจีนได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดต่างประเทศ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นผลมาจากความได้เปรียบในการแข่งขันและกฎหมายตลาด
โฆษกของกระทรวงการต่างประเทศของจีน ยังกล่าวเสริมในเรื่องดังกล่าวว่า จีนไม่ได้มีการให้เงินอุดหนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าแต่อย่างใด ซึ่งเงินอุดหนุนดังกล่าวนั้นถือว่าเป็นสิ่งต้องห้ามตามกฎเกณฑ์ขององค์การการค้าระหว่างประเทศ (WTO)
ไม่เพียงเท่านี้ โฆษกของกระทรวงการต่างประเทศของจีน ยังกล่าวว่าในปี 2023 ที่ผ่านมา รถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีนได้ส่งออกสู่สหรัฐอเมริกาเพียงแค่ 13,000 คันเท่านั้น ด้วยตัวเลขดังกล่าวสหรัฐอเมริกาไม่สามารถที่จะกล่าวหาจีนได้
ในช่วงที่ผ่านมามีหลายประเทศเริ่มกังวลถึงการเข้ามาตีตลาดของรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ที่มีการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า หรือแม้แต่ยุโรปที่กำลังสอบสวนในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากกังวลว่าการทะลักของรถยนต์ไฟฟ้าจีนอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมาก
ขณะที่ในมุมผู้บริหารอย่าง Elon Musk ซึ่งเป็น CEO ของ Tesla เคยกล่าวไว้เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมาว่า ถ้าหากไม่มีกำแพงด้านการค้าต่อผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีนแล้ว หัวเรือใหญ่ของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากสหรัฐฯ รายนี้มองว่า EV จากจีนเองจะทำลายคู่แข่งจากทวีปอื่นจนย่อยยับได้
ถ้อยแถลงดังกล่าวของโฆษกของกระทรวงการต่างประเทศของจีน ตามหลังมาจาก โจ ไบเดน ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวหาว่าจีนให้เงินอุดหนุนเพื่อทำให้สหรัฐอเมริกาท่วมท้นไปด้วยรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน ซึ่งสะท้อนความกังวลจากเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ในเรื่องดังกล่าว
]]>มีข่าวลือว่า รัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมแก้ไข ภาษีมาตรา 301 โดยจะมุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันเชิงกลยุทธ์และความมั่นคงของชาติ โดยจะเพิ่มอัตราภาษีใหม่กับ เซมิคอนดักเตอร์, อุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ และ รถยนต์ไฟฟ้า รวมถึง เวชภัณฑ์ เช่น เข็มฉีดยาและอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่ผลิตใน จีน
มีการคาดการณ์ว่า ภาษีรถอีวีของจีนจะเพิ่มขึ้นประมาณ 4 เท่า หรือคิดเป็น 100% ขณะที่ประธานคณะกรรมการการธนาคารวุฒิสภาต้องการให้ฝ่ายบริหารของไบเดน แบนรถยนต์ไฟฟ้าของจีนโดยสิ้นเชิง เนื่องจากความกังวลว่าอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อข้อมูลส่วนบุคคลของชาวอเมริกัน
ปัจจุบัน สหรัฐฯ มีการเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถอีวีจีนที่ 25% แต่เพราะราคาที่ไม่ได้สูงมากของรถอีวีจีน ทำให้ไม่ได้ติดปัญหาเรื่องกำแพงภาษีมากนัก ดังนั้น รถอีวีจีนจึงยังสามารถแข่งขันได้ในสหรัฐฯ แต่หากการขึ้นภาษีใหม่เกิดขึ้นจริง จะทำให้รถอีวีจีนที่ขายในสหรัฐอเมริกา อาจต้องขายในราคา เพิ่มขึ้นอีก 2 เท่า อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการนําเข้ารถยนต์จีนยังมีสัดส่วนค่อนข้างน้อย
ต้องยอมรับว่า การผลิตรถอีวีของจีนได้เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยย้อนกลับไปเมื่อปี 2015 ส่วนแบ่งตลาดรถอีวีของจีนมีเพียง 0.84% เท่านั้น ซึ่งใกล้เคียงกับสหรัฐฯ ที่มี 0.66% แต่ในปี 2023 ที่ผ่านมา ส่วนแบ่งตลาดรถอีวีของจีนก็พุ่งขึ้นเป็น 37% มากกว่าส่วนแบ่งของสหรัฐฯ ที่มี 7.6%
นอกจากนี้ จีนยังเดินหน้าส่งออกรถอีวีไปยังตลาดต่างประเทศจำนวนมาก หลังจากที่ตลาดจีนเริ่มมีการเติบโตที่ชะลอตัวลง และมีการแข่งขันราคาอย่างรุนแรง ทำให้สหรัฐฯ จึงพิจารณาปรับขึ้นอัตราภาษี เพื่อให้กำแพงภาษีที่สูงขึ้น อาจจะลดการนำเข้าและลดการแข่งขันในสหรัฐฯ
]]>ในเดือน มกราคม ที่ผ่านมา ทั่วโลกมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 1 ล้านคัน ซึ่งถือเป็นยอดจำหน่าย สูงที่สุด เท่าที่เคยมีมาในเดือนมกราคม โดยเพิ่มขึ้น +69% จากเดือนมกราคม 2566 ที่มียอดขาย 6.6 แสนคัน อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับยอดขายของเดือนธันวาคม 2566 ที่เป็นเดือนที่มียอดขายสูงสุดที่ 1.5 ล้านคัน ถือว่าลดลงเกือบ 5 แสนคัน
ขณะที่เดือน กุมภาพันธ์ ยอดขายลดลง 25% เหลือ 827,000 คัน เป็นผลมาจากยอดขายใน จีน ที่ลดลงมากกว่า 42% เมื่อเทียบกับเดือนมกราคมที่ตลาดจีนมียอดขายสูงถึง 640,000 คัน หรือคิดเป็นกว่าครึ่งของยอดขายรถอีวีทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ในเดือน มีนาคม ยอดขายรถอีวีก็พุ่งขึ้นสูงถึง 1.23 ล้านคัน ทั่วโลก โดยเติบโตขึ้น 12% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปี 2566 เนื่องจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น 27% ในตลาดจีนและ 15% ในตลาดสหรัฐฯ และแคนาดา แม้ว่าในตลาดยุโรปจะลดลง 9% ก็ตาม
“โดยรวมแล้ว การเติบโตของยอดขายชะลอตัว แต่ก็ยังค่อนข้างเป็นบวก” Charles Lester ผู้จัดการข้อมูลของ Rho Motion กล่าว
หลังจากเพิ่มขึ้นอย่างมากเป็นเวลาหลายปี ทำให้ความต้องการขายรถยนต์ไฟฟ้าลดลงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยส่วนหนึ่งมาจากการที่ผู้บริโภค รอให้รถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่แพง ออกสู่ตลาด อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการเติบโตจะชะลอตัวไปบ้าง แต่คาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกปีนี้จะเพิ่มขึ้นประมาณ 25-30%
ทั้งนี้ ในปี 2566 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกอยู่ที่ 13.6 ล้านคัน เติบโตขึ้น 31% จากในปี 2565 ตลาดเติบโตถึง 60%
reuters / X / greencarcongress
]]>Electrek เว็บไซต์ข่าวที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้า รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวหลายแห่ง รวมถึงอีเมลภายในองค์กร ได้ชี้ว่า Tesla ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศปลดพนักงานเป็นจำนวนมากกว่า 10% ขององค์กร เพื่อที่จะลดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพองค์กร
เว็บไซต์ดังกล่าวได้อ้างอิงจดหมายที่ Elon Musk ซึ่งเป็น CEO ของ Tesla ได้ส่งให้กับพนักงาน โดยชี้ว่าในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มีการขยายโรงงานขนาดใหญ่ไปทั่วโลก และเนื่องด้วยการเติบโตดังกล่าวทำให้มีหน้าที่ตำแหน่งงานที่ซ้ำซ้อน
ขณะเดียวกัน CEO รายดังกล่าวยังชี้ว่า การที่บริษัทต้องการจะเติบโตในก้าวต่อไปก็จะต้องมีการพิจารณาในเรื่องดังกล่าว ทำให้หลังจากมีการพิจารณาบริษัทได้ตัดสินใจที่จะปลดพนักงานมากกว่า 10% แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบ แต่ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำ เนื่องจากทำให้บริษัทมีความคล่องตัว มีนวัตกรรม และกระหายต่อการเติบโตในรอบต่อไป
Elon Musk เองยังได้กล่าวลากับพนักงานที่ถูกปลดด้วยความขอบคุณในการทำงานหนักและมีส่วนร่วมมากมายในภารกิจของบริษัท ขณะเดียวกันเขาได้กล่าวกับพนักงานที่ยังอยู่กับบริษัทต่อว่ายังมีภารกิจมากมายรออยู่
สำหรับพนักงานที่โดนปลดนั้นคาดว่าจะมีจำนวนมากกว่า 10% ของทั้งองค์กร ซึ่งคาดว่าจะอยู่มากกว่า 14,000 ราย
ข่าวการปลดพนักงานดังกล่าวนตามหลังมาจากยอดส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัทนั้นทำได้ต่ำกว่าที่คาด และในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาบริษัทต้องงัดกลยุทธ์ในการลดราคาเพื่อที่จะต่อสู้กับคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน หรือแม้แต่ผู้ผลิตหลายรายในยุโรปและสหรัฐอเมริกา
สถานการณ์ของ Tesla และผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าหลายรายทั่วโลกในเวลานี้ถือว่าไม่สู้ดีมากนัก เนื่องจากความต้องการรถยนต์ไฟฟ้านั้นไม่เติบโตเท่าที่ควร และยังรวมถึงการแข่งขันอย่างดุเดือด จนทำให้ท้ายที่สุดบริษัทรายใหญ่จากสหรัฐอเมริการายนี้ต้องงัดมาตรการในการลดค่าใช้จ่ายด้วยการปลดพนักงานออกมา
]]>หวัง เหวินเทา (Wang Wentao) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จีน ได้กล่าวในการประชุมระหว่างผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์จีน และผู้แทนของหอการค้าจีนประจำสหภาพยุโรป โดยเขากล่าวว่าจีนไม่ได้ให้การอุดหนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า แต่ชี้ว่านวัตกรรมและหลากหลายปัจจัยที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าจีนประสบความสำเร็จ
การประชุมดังกล่าวนั้นมีแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็น BYD Geely หรือแม้แต่ SAIC รวมถึงผู้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่อันดับต้นๆ ของโลกอย่าง CATL และรวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง
สำหรับจุดมุ่งหมายในการประชุมดังกล่าวนั้นเพื่อที่จะตอบสนองในเรื่องที่ สหภาพยุโรป (EU) เตรียมเข้าสืบสวนผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มาจากประเทศจีนหลายแบรนด์ หลังจากที่มีข้อกล่าวหาว่าแบรนด์เหล่านี้อาจได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ทำให้การแข่งขันเกิดความไม่ยุติธรรม
นอกจากนี้ยังรวมถึงราคารถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีนถือว่ามีราคาถูก เมื่อเทียบกับราคารถยนต์ไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายยุโรป ส่งผลทำให้ผู้ผลิตหลายรายในยุโรปเองประสบปัญหาความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งถ้าหากผู้ผลิตในทวีปยุโรปนั้นต่อสู้ไม่ได้นั้นอาจกระทบต่อการจ้างงาน ทำให้มีการสอบสวนจาก EU ตามมา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จีนได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ EU และสหรัฐอเมริกาได้กล่าวว่าผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีนได้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจำนวนมากออกมา โดยเขาชี้ว่าไม่พบเรื่องดังกล่าว และยังชี้ว่าผู้ผลิตจากจีนนั้นพึ่งพาเรื่องนวัตกรรม เทคโนโลยี หรือแม้แต่เรื่องของ Supply Chain ไม่ได้เกิดจากการพึ่งภาการอุดหนุนของรัฐบาลเพื่อที่จะชิงความได้เปรียบแต่อย่างใด
ไม่เพียงเท่านี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จีน ยังมองว่าการที่ EU เข้ามาสืบสวนเรื่องดังกล่าวถือว่าเป็น ‘การกีดกันทางการค้า’ อีกด้วย
นอกจากนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จีน ยังได้ให้คำแนะนำกับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีนว่า เมื่อเผชิญความท้าทายและความไม่แน่นอนจากภายนอก องค์กรต่างๆ ควรที่จะฝึกฝนทักษะภายใน ยึดมั่นการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม รวมถึงเสริมสร้างการบริหารความเสี่ยง เป็นต้น
]]>ในอดีตค่ายรถยนต์ของญี่ปุ่นอาจจะต้องแข่งกับค่ายรถจากฝั่งยุโรปและแข่งขันกันเอง แต่ตอนนี้ทุกค่ายคงตระหนักได้ว่า คู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดในตลาดก็คือ ค่ายรถอีวีจีน ทำให้ นิสสัน (Nissan) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจแบบไม่ผูกมัด (Memorandum of Understanding – MoU) กับ ฮอนด้า (Honda) ค่ายรถยนต์คู่แข่ง เพื่อร่วมมือกันในการผลิตส่วนประกอบสำคัญสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและปัญญาประดิษฐ์ในแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ยานยนต์
โดยความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยให้ทั้งสองบริษัทประหยัดต้นทุนในการผลิต เพราะทำให้มี Economy of scale ที่มากขึ้น ซึ่งจะยิ่งช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นสามารถแข่งขันกับค่ายรถอีวีจากจีน โดยเฉพาะ บีวายดี (BYD) จากจีนที่เพิ่งบุกตลาดประเทศญี่ปุ่น รวมถึง เทสลา (Tesla) ด้วย
“ผู้เล่นหน้าใหม่มีความก้าวร้าวมากและกำลังบุกเข้ามาด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง เราไม่สามารถชนะการแข่งขันได้ ตราบใดที่เรายึดมั่นในแนวคิดและแนวทางแบบดั้งเดิม” มาโกโตะ อุชิดะ ซีอีโอของนิสสัน กล่าว
อย่างไรก็ตาม นิสสันและฮอนด้า ยังไม่ได้หารือเกี่ยวกับการลงทุนร่วมกัน แต่ก็เปิดรับความเป็นไปได้ในอนาคต รวมถึงยัง เปิดกว้างในการร่วมมือกับพันธมิตร ที่มีอยู่หากมีโอกาสเกิดขึ้น
“เราถูกจำกัดด้วยเวลา ดังนั้น จำเป็นต้องทำให้เร็ว เพื่อที่ภายในปี 2030 เราจะอยู่ในตำแหน่งที่ดี เราจึงต้องตัดสินใจตั้งแต่ตอนนี้”
ทั้งนี้ ฮอนด้าตั้งเป้าที่จะเพิ่มอัตราส่วนรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงเป็น 100% ของยอดขายทั้งหมดภายในปี 2040 ส่วนนิสสันถือเป็นผู้บุกเบิกด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ด้วยรุ่น Leaf
ที่ผ่านมา ทั้งฮอนด้าและนิสสัน ได้พิจารณาเตรียมลดกำลังการผลิตในประเทศจีน โดยสาเหตุสำคัญคือผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นต้องแข่งขันกับค่ายรถยนต์ไฟฟ้าของจีน โดยนิสสันเตรียมลดกำลังการผลิตในจีนสูงสุดถึง 30% เหลือ 1.6 ล้านคัน/ปี ส่วนฮอนด้านั้นจะลดกำลังการผลิตราว 20% เหลือ 1.2 ล้านคันต่อปี
]]>