วรางคณา อัครสถาพร ผู้จัดการใหญ่ ของบริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ในเครือ XSpring กล่าวว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนในปั
สำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลที่รองรับในช่วงเริ่มต้นได้แก่ Bitcoin และ Ethereum โดยให้อัตราส่วนการให้สินเชื่อโดยเทียบกับมูลค่าหลักประกัน (LTV) อยู่ที่ 50% เช่น ถ้าหาก Bitcoin มีมูลค่า 1 ล้านบาท ก็จะได้วงเงินที่ 500,000 บาท เป็นต้น ขณะเดียวกันอัตราดอกเบี้ยนั้นจะคิดไม่เกิน 15% ต่อปี และหลังจากนี้จะขยายไปยังสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ ในภายหลัง
ในเรื่องของความเสี่ยงนั้นทาง XSpring ได้เตรียมความพร้อมในเรื่องดังกล่าว ถ้าหากราคาสินทรัพย์ที่มาเป็นหลักประกันลดลง ก็จะมีการแจ้งเตือนกับลูกค้า และถ้าหากลูกค้าต้องการเพิ่มวงเงินก็สามารถติดต่อทางบริษัทเพื่อที่จะขอเพิ่มวงเงินได้ โดยนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาเป็นหลักประกันเพิ่มเติม
วงเงินที่ของบัตรกดเงินสดนี้จะเริ่มต้นที่ 10,000 บาท สูงสุดอยู่ที่ 1 ล้านบาท ระยะเวลาในการทำบัตรเงินสดนี้จะอยู่ที่ราวๆ 1 สัปดาห์ และจะใช้เวลาน้อยกว่านี้ถ้าหากเป็นลูกค้าของแพลตฟอร์ม XSpring อยู่แล้ว
ทาง XSpring คาดการณ์ว่า ความร่วมมือดังกล่าว ภายใน 3 ปี จะทำให้สามารถขยายฐานลูกค้านักลงทุนได้ถึง 5 ถึง 10% จากจำนวนบัญชีทั้งหมดที่ซื้อขายในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทย หรือคิดเป็นยอดสินเชื่อได้ 5,000 ถึง 7,000 ล้านบาท
ขณะที่ พิชามน จิตรเป็นธรรม ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร-ธุรกิจสินเชื่อบุคคลของ KTC กล่าวว่าความร่วมมือกับ XSpring ในครั้งนี้ นับเป็นมิติใหม่ของวงการสินเชื่
CoinMarketCap ระบุว่า บิตคอยน์ทะยานพุ่งเกิน 45,000 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกในชั่วข้ามคืน และถือเป็นสถิติสูงสุดในรอบหนึ่งเดือน หลังจากที่เดือนมกราคมเรียกได้ว่าแทบทั้งตลาดคริปโตติดตัวแดง โดยบิตคอยน์ดิ่งต่ำสุด 35,479 ดอลลาร์ จากที่เคยไต่ระดับสูงสุดในเดือนพฤศจิกายน 2021 ที่มูลค่า 68,990 ดอลลาร์
ยังไม่ชัดเจนว่าอะไรเป็นสาเหตุของการพุ่งขึ้นครั้งล่าสุด แต่ราคาของสกุลเงินดิจิทัล ได้ปรับตัวดีขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ในที่สุดก็พุ่งทะลุ 40,000 ดอลลาร์อีกครั้งหลังจากขาดทุนนานหลายสัปดาห์ แต่มูลค่าก็ยังหายไป 34% เมื่อเทียบกับระดับสูงสุดตลอดกาล
ในขณะเดียวกัน Ethereum ซื้อขายที่ 3,218.98 ดอลลาร์ โดยยังติดลบมากกว่า -34% จากระดับสูงสุดตลอดกาลที่ 4,891.70 ดอลลาร์ ส่วนเหรียญมีมอย่าง shiba inu ก็เพิ่มขึ้นมากกว่า +20% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา
“บิตคอยน์กำลังฟื้นตัว และจะรักษาโมเมนตัมนี้ได้” Craig Erlam นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสของ Oanda กล่าว
นักลงทุนรู้สึกกระวนกระวายใจเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลและสินทรัพย์เสี่ยงอื่น ๆ นับตั้งแต่ธนาคารกลางสหรัฐส่งสัญญาณว่าอาจผ่อนคลายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในเชิงรุกมากกว่าที่คาดไว้ ขณะที่หลายรัฐบาลเองก็ปราบปรามด้วยเช่นกัน สำนักข่าว Reuters รายงานเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าธนาคารกลางของรัสเซียได้เสนอห้ามใช้คริปโตและการขุด
ทั้งนี้ รัสเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการขุดคริปโตที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยธนาคารกลางของรัสเซียมองว่า สกุลเงินดิจิทัลอาจเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางการเงินของประเทศ โดยมาตรการดังกล่าวของรัสเซียมีขึ้นเพียงไม่กี่เดือนหลังจากที่ จีน เปิดตัวการปราบปรามคริปโตเคอร์เรนซีอย่างเต็มรูปแบบโดยห้ามทั้งการซื้อขายและการขุด
ส่วนประเทศอินเดียที่ทำท่าว่าจะแบน แต่ล่าสุดได้ อินเดียกำลังวางแผนที่จะเปิดตัว รูปีเวอร์ชันดิจิทัล และกลายเป็นประเทศล่าสุดที่เร่งสร้างสกุลเงินเสมือนที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ
]]>นักลงทุนกล่าวว่า การเคลื่อนไหวของ Bitcoin เกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันกับการที่ออปชันมูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์หมดอายุในวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยกูรูอย่าง Jackson Hole, Wyoming ของประธาน Fed Chair Jerome Powell ได้ออกมาบอกว่ามูลค่า Bitcoin กำลังจะปรับขึ้น หลังจากที่เห็นว่าทรัพย์สินชนิดอื่น ๆ มีมูลค่าสูงขึ้น
โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมามูลค่า Bitcoin เพิ่มขึ้นสูงถึง $51,026.24 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม ตามรายงานของ Coin Metrics โดยเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมามูลค่า Bitcoin ได้ทะลุ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยนักวิเคราะห์เชื่อว่ามูลค่า Bitcoin ยังสูงขึ้นได้อีก
ด่านมูลค่าของ Ethereum เพิ่มขึ้นเป็น $4,025.75 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม โดยการเติบโตของมูลค่ามีปัจจัยมาจากการที่นักลงทุนให้ความสนใจในการเงินแบบกระจายศูนย์ หรือ DeFi แอปพลิเคชันและ NFT หรือโทเค็นที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้ แม้ว่าโดยทั่วไปราคาของ Bitcoin เป็นผู้นำสินทรัพย์ crypto อื่น ๆ ซึ่งการซื้อขายมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวด้วย Bitcoin แต่นักลงทุนบอกว่าไม่ใช่กรณีนี้
Jesse Proudman ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ของ Makara ที่ปรึกษา robo กล่าวว่า สถาบันหลายแห่งที่มีความสนใจใน Bitcoin ได้เปลี่ยนไปเป็น Ethereum และจะเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ ‘ร้อนแรงต่อไป’ ซึ่ง Ethereum ถือเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับสองรองจาก Bitcoin
]]>Neilmaldrin Noor โฆษกของสำนักงานสรรพากรอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า ตอนนี้กำลังอยู่ในระหว่างการหารือในเรื่องการเรียกเก็บภาษีจากนักลงทุนที่ทำกำไร จากการซื้อและขายคริปโตเคอร์เรนซี (cryptocurrency)
“โดยส่วนต่างราคาที่เพิ่มขึ้นจากการทำธุรกรรมดังกล่าว ต้องคิดเป็นภาษีเงินได้”
อินโดนีเซียเป็นประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่สั่งห้ามใช้คริปโตเคอร์เรนซี สำหรับการชำระเงินแทนเงินสด แต่ยังเปิดให้ทำการซื้อ–ขายสกุลเงินดิจิทัลต่าง ๆ ได้
Indodax แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตฯ ที่อ้างว่าใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย ระบุว่า จำนวนสมาชิกในเดือนเมษายนที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นแตะ ’สามล้านคน’ หลังตลาดเติบโตขึ้นอย่างมาก เเละมูลค่าของเหรียญดิจิทัลชื่อดังอย่าง Bitcoin , Ethereum เเละสินทรัพย์คริปโตฯ อื่น ๆ พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ โดยเมื่อเดือนที่เเล้ว Dogecoin ก็มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากกว่า 700%
ช่วงที่ผ่านมา ทางการอินโดนีเซียเเละอีกหลายประเทศ ได้เเจ้งเตือนนักลงทุนเกี่ยวกับ ’ความเสี่ยง’ ของการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล เนื่องจากไม่มีมูลค่าพื้นฐานและราคามีความผันผวนสูง
สำหรับการจัดเก็บภาษีการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลของไทย ภายใต้ พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร ฉบับที่ 19 พ.ศ.2561 ซึ่งมีผลใช้บังคับมาตั้งแต่ 14 พฤษภาคม 2561 ระบุว่า กรณีมีการถือหรือครอบครองโทเคนดิจิทัล โดยนักลงทุนผู้ถือหรือผู้ครอบครองมีสิทธิ์ได้รับส่วนแบ่งกำไรหรือผลประโยชน์อื่นใดในลักษณะเดียวกัน เงินได้ดังกล่าวจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ 15% จากผลประโยชน์นั้นก่อนที่จะมีการจ่ายให้กับนักลงทุนที่เป็นผู้ถือหรือผู้ครอบครอง กรณีเป็นการซื้อขายในประเทศไทย
คือ หากขายเหรียญดิจิทัลแล้ว ‘ได้กำไร’ ราคาขายมากกว่าต้นทุนที่ซื้อมา ก่อนที่นักลงทุนจะได้รับเงิน ผู้ขายจะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% จากกำไร ก่อนจะจ่ายเงินให้ลูกค้าที่เป็นนักลงทุน จากนั้นแม้ว่าจะถูกหัก ณ ที่จ่ายไปแล้ว 15% แต่ยังต้องนำเงินได้ดังกล่าวมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสิ้นปีด้วย
ที่มา : Reuters , Yahoo Finance
]]>ราคาที่ร่วงหนักในสัปดาห์นี้ ทำให้มูลค่ารวมของตลาดสกุลเงินดิจิตอลหล่นลงไปอยู่ที่ 385 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของตอนพีคเมื่อเดือนมกราคม จากข้อมูลของ Coinmarketcap.com
บิตคอยน์ สกุลเงินดิจิตอลที่ใหญ่สุดและเป็นที่รู้จักมากสุด ราคาร่วงไป 12 เปอร์เซ็นต์ในวันศุกร์ อยู่ที่ราคา 7,910 ดอลลาร์ใน Bitstamp ต่ำสุดในรอบ 2 เดือน นับเฉพาะในสัปดาห์นี้ก็รูดลงมามากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์
สกุลเงินดิจิตอลที่ใหญ่ลำดับสองและสามอย่าง Ethereum และ Ripple ก็พากันร่วงกราวถึง 23 และ 31 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา
นักลงทุนรายย่อยพากันอัดเงินเข้าไปในสกุลเงินดิจิตอล เพราะถูกจูงใจว่าราคาจะพุ่งกระฉูด แต่บรรดาหน่วยงานที่กำกับดูแลด้านการลงทุนพากันบอกว่าเงินดิจิตอลมีการเก็งกำไรกันหนักและเป็นการลงทุนที่อันตราย รวมถึงกำลังขบคิดกันอยู่ว่าจะจัดการอย่างไร
เมื่อวันพฤหัสบดี อินเดียบอกว่าจะขจัดการใช้เงินดิจิตอลพวกนี้ เช่นเดียวกับจีนและเกาหลีใต้ที่บอกว่าจะแบน หลังจากที่ราคาพุ่งกระฉูดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
การแฮกเงินดิจิตอลในญี่ปุ่นมูลค่ามหาศาลถึง 530 ล้านดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้เกิดความกังวลด้านความปลอดภัย 2015
สนับสนุนข่าวโดย : mgronline.com/around/detail/9610000011148
]]>