Facebook – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 11 Apr 2024 04:18:38 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Meta เปิดตัวชิปเร่งประมวลผล AI รุ่นใหม่ ใช้เทคโนโลยีการผลิต 5 นาโนเมตร หวังลดการพึ่งพาจาก Nvidia https://positioningmag.com/1469864 Thu, 11 Apr 2024 03:01:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469864 เมต้า (Meta) เจ้าของ Social Network ไม่ว่าจะเป็น Facebook หรือ Instagram ได้เปิดตัวชิปเร่งการประมวลผลปัญญหาประดิษฐ์รุ่นใหม่ ซึ่งใช้เทคโนโลยีการผลิต 5 นาโนเมตร ซึ่งมีความสามารถมากกว่ารุ่นก่อนหน้า นอกจากนี้บริษัทยังต้องการลดการพึ่งพาชิปจาก Nvidia ลง

Meta เจ้าของแพลตฟอร์ม Social Network ได้เปิดตัวชิปเร่งการประมวลผลปัญญหาประดิษฐ์ (AI) รุ่นใหม่ ซึ่งความสามารถของชิปรุ่นใหม่นี้ประมวลผลด้าน AI ได้เร็วมากขึ้นถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับชิปในรุ่นก่อนหน้า นอกจากนี้ยังใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ 5 นาโนเมตรซึ่งทำให้ประหยัดพลังงานลดลง

สำหรับงานที่ใช้เทคโนโลยี AI ของ Meta จนต้องมีการผลิตชิปออกมาเพื่อเร่งการประมวลผลนั้น เช่น เรื่องการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในด้านโฆษณา เพื่อหากลุ่มลูกค้า หรือแม้แต่การใช้ประมวลผลด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ AI ซึ่งชิปดังกล่าวจะใช้ในศูนย์ข้อมูลของบริษัท

Meta ยังชี้ว่าการผลิตชิปรุ่นใหม่นี้เป็นส่วนสำคัญของแผนระยะยาวในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานด้าน AI ของบริษัท

ไม่เพียงเท่านี้ ชิปดังกล่าวของ Meta ยังใช้เทคโนโลยีการผลิต 5 นาโนเมตรจาก TSMC ผู้ผลิตชิปรายใหญ่จากไต้หวัน ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวจะทำให้ชิปของบริษัทนั้นประหยัดพลังงานเมื่อเทียบกับชิปรุ่นก่อนหน้า

ก่อนหน้านี้ Mark Zuckerberg ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง Meta เคยกล่าวว่าในปี 2024 บริษัทจะสั่งชิปเร่งการประมวลผล AI ในรุ่น H100 จาก Nvidia เพิ่มเติมอีก 350,000 ชุด ซึ่งจะทำให้บริษัทมีชิปเร่งการประมวลผลมากถึง 600,000 ชุด ซึ่งถือว่าใช้เม็ดเงินระดับมหาศาลในการซื้อชิปรุ่นดังกล่าว

ในช่วงที่ผ่านมาเทรนด์การใช้ AI ได้ทำให้ชิปของ Nvidia ถูกบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกาหรือแม้แต่คู่แข่งจากจีน ได้ทำการกว้านซื้อเพื่อที่จะนำไปประมวลผลด้าน AI ซึ่งส่งผลทำให้บริษัทผลิตชิปรายดังกล่าวกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้นแตะหลักล้านล้านเหรียญสหรัฐ

นักวิเคราะห์บางรายคาดยังว่า Nvidia นั้นอาจมีรายได้จากการขายชิปเร่งประมวลผล AI ได้มากถึง 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2027 และคู่แข่งรายอื่นไม่มีใครสามารถเข้ามาเทียบเคียงได้

อย่างไรก็ดีเนื่องด้วยความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลทำให้บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น Microsoft หรือ Amazon หรือไม่เว้นแต่ Meta ต่างต้องการที่จะลดการพึ่งพาชิปจาก Nvidia ให้ได้มากที่สุด และชิปที่บริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้จ้างผลิตยังสามารถกำหนดสเปกตามความต้องการได้อีกด้วย

]]>
1469864
หลอกกันไม่ได้แล้วนะ! “Meta” จะเริ่มติดป้ายเตือน “คอนเทนต์ที่สร้างโดย AI” ภายในพฤษภาคมนี้ https://positioningmag.com/1469438 Mon, 08 Apr 2024 11:47:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469438 “Meta” อัปเดตนโยบายคอนเทนต์รอบใหม่ โดยจะเริ่มบังคับให้ติดป้ายเตือนว่าเป็น “คอนเทนต์ที่สร้างโดย AI ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้ บังคับใช้ทุกแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียในเครือ ได้แก่ Facebook, Instagram และ Threads

สืบเนื่องจากข้อแนะนำจาก “Oversight Board” หรือคณะกรรมการอิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบนโยบายด้านเนื้อหาบนแพลตฟอร์มของ Meta แจ้งว่า โซเชียลมีเดียของบริษัทมีนโยบายเกี่ยวกับคอนแทนต์ AI ที่ ‘แคบเกินไป’ ทำให้ Meta จะเริ่มปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้

โดยคอนเทนต์ที่เป็นภาพ เสียง และวิดีโอทั้งหมดที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเครื่องมือ AI จะต้องมีป้ายเตือนกำกับไว้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเองโดยสมัครใจของผู้โพสต์ หรือเมื่อเครื่องมือ AI ของ Meta เองสามารถตรวจจับได้ว่า คอนเทนต์นั้นๆ ถูกสร้างขึ้นโดย AI อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้ข้อมูลรายละเอียดว่าจะมีการตรวจจับด้วยระบบไหน

ก่อนหน้านี้ นโยบายเกี่ยวกับคอนเทนต์ AI ของ Meta มีอยู่ข้อเดียวเท่านั้น คือ ห้ามลงโพสต์วิดีโอที่ปรากฏภาพเคลื่อนไหวของบุคคลที่พูดอะไรออกมาโดยที่เขาหรือเธอไม่ได้พูดจริงๆ แต่เป็นการสร้างขึ้นของ AI (Deepfake) นั่นทำให้นโยบายนี้ไม่ครอบคลุมมากพอไปถึงคอนเทนต์สร้างโดย AI อื่นๆ ที่กำลังท่วมท้นอยู่ในโลกอินเทอร์เน็ตขณะนี้

“ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงปีที่แล้วเพียงปีเดียว มีการพัฒนาเครื่องมือ AI ที่สร้างคอนเทนต์รูปภาพหรือเสียงได้เสมือนจริงมากขึ้น และเทคโนโลยีพวกนี้ก็กำลังพัฒนายิ่งขึ้น” Meta ระบุในบล็อกโพสต์แถลงเกี่ยวกับนโยบายนี้ “ตามที่ Oversight Board แจ้งมา การติดป้ายเตือนว่าเป็นคอนเทนต์ที่ AI สร้างขึ้นนั้นสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่านโยบายห้ามโพสต์วิดีโอที่แสดงให้เห็นว่าบุคคลหนึ่งกำลังพูดหรือทำอะไรที่เขาหรือเธอไม่ได้ทำจริง”

Meta ย้ำว่าสำหรับคอนเทนต์ที่สร้างโดย AI แต่สื่อสารสิ่งที่ผิดกฎร้ายแรงของแพลตฟอร์ม เช่น การรังแก ชักนำการเลือกตั้ง การคุกคามทางเพศ เหล่านี้จะถูกแบนออกจากระบบตามปกติแม้จะเป็นภาพหรือเสียงที่ทำขึ้นจาก AI ก็ตาม

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของ Meta หากสามารถทำได้จริงน่าจะช่วยให้ชุมชนผู้ใช้โซเชียลมีเดียใช้วิจารณญาณได้ดีขึ้นมาก Positioning พบว่าโลกอินเทอร์เน็ตปัจจุบันมีภาพที่ผลิตจากเครื่องมือ AI จำนวนมากที่เหมือนจริงอย่างมาก และถูกผู้โพสต์พิมพ์ข้อความประกอบเพื่อชี้นำว่าเป็นภาพที่เกิดขึ้นจริงอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งอาจจะนำไปสู่ข่าวปลอม (Fake News) ความเข้าใจที่ผิดในสังคม หรือการหลอกลวงต่อไปในอนาคตได้

Source

]]>
1469438
เอไอก็เอาไม่อยู่! ‘Meta’ รับ ยังดีไม่พอจัดการ ‘มิจฉาชีพ’ วอนผู้ใช้ช่วย ‘รีพอร์ต’ บัญชีสแกมอีกแรง https://positioningmag.com/1449412 Thu, 26 Oct 2023 11:51:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1449412 หลังจากคนไทยคุ้นเคยกับการใช้อินเทอร์เน็ต การช้อปออนไลน์ก็กลายเป็นอีกสิ่งที่ทำติดอันดับโลก รวมถึงการใช้ QR Payment ไทยถือเป็น Top5 ของโลกเลยทีเดียว และเมื่อคนไทยคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีก็คือ มิจฉาชีพ

อาชญากรรมออนไลน์ไทยเฉลี่ย 2.5 แสนคดี/ปี

พ.ต.อ.เจษฎา บุรินทร์สุชาติ ผู้กำกับการ กลุ่มงานรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์จากกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 ที่เปิดให้มีการแจ้งอาชญากรรมทางออนไลน์พบว่า มีการแจ้งรวมกว่า 3 แสนคดี หรือเฉลี่ยกว่า 700 คดี/วัน

รูปแบบอาชญากรรมออนไลน์ สามารถแยกได้เป็น 14 ประเภท แต่ที่มีจำนวนเยอะสุดอันดับ 1 คือ การซื้อขายออนไลน์ เช่น ได้ของไม่ตรงปก คิดเป็น 40% หรือกว่า 130,000 คดี ตามด้วย

  • หลอกทำภารกิจหรือเล่นเกม
  • หลอกทำงานออนไลน์
  • แก๊งคอลเซ็นเตอร์
  • หลอกลงทุน

“ในแต่ละปีความเสียหายจากมิจฉาชีพในไทยมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งมิจฉาชีพก็เอาเงินไปลงทุนเทคโนโลยี และคนเพิ่มเติม ทำให้เครือข่ายมีความซับซ้อนและกระจายในหลายประเทศ ทำให้จับได้ยากขึ้น มีกลโกงรูปแบบใหม่ ๆ มากขึ้น โอกาสหลงเชื่อก็เยอะขึ้น” พ.ต.อ.เจษฎา กล่าว

พ.ต.อ.เจษฎา บุรินทร์สุชาติ ผู้กำกับการ กลุ่มงานรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์จากกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

98% ของบัญชีสแกมที่เจอถูกปิดโดยเอไอ

เฮเซเลีย มาร์กาเรต้า ผู้จัดการฝ่ายนโยบายสาธารณะด้านนโยบายเศรษฐกิจจาก Meta ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า การป้องกันไม่ให้โฆษณาบนแพลตฟอร์มถูกใช้งานเพื่อการหลอกลวงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งแพลตฟอร์มก็ได้ กำหนดมาตรฐานการโฆษณาที่ได้รับอนุญาต และหากตรวจจับโฆษณาที่ละเมิดมาตรฐานการโฆษณา แพลตฟอร์มก็จะดำเนินการ ไม่อนุมัติ โฆษณาดังกล่าวในทันที

โดย Meta ได้ใช้ เอไอ เพื่อตรวจสอบเนื้อหาและบัญชีที่ละเมิดนโยบายของแพลตฟอร์ม โดยไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 Meta ได้เดินหน้าลบบัญชีปลอมออกกว่า 676 ล้านบัญชีทั่วโลก โดย 98.8% ถูกตรวจพบและลบออกไปโดยเอไอก่อนที่จะมีการรายงานจากผู้ใช้

นอกจากนี้ Meta ก็มี คน ที่คอยตรวจสอบ 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วัน อย่างไรก็ตาม ทาง Meta ไม่ได้เปิดเผยว่ามีเจ้าหน้าที่ที่ดูแลส่วนนี้มากน้อยเพียงใด

เฮเซเลีย มาร์กาเรต้า ผู้จัดการฝ่ายนโยบายสาธารณะด้านนโยบายเศรษฐกิจจาก Meta ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ซ้ายของภาพ) อิง ศิริกุลบดี ผู้จัดการฝ่ายนโยบายสาธารณะประจำ Facebook ประเทศไทยจาก Meta (ขวาของภาพ)

ยอมรับว่ายังมีช่องโหว่เพราะมิจฉาชีพเก่งขึ้น

เฮเซเลีย ยอมรับว่า แม้บัญชีหรือโพสต์สแกมจะถูกเอไอสกัดกั้นนับล้านบัญชีแต่ก็ยังมีบางส่วนที่หลุดรอดมาได้ ซึ่งแพลตฟอร์มไม่ได้พอใจ และจะพยายามหาทางสกัดกั้นเพิ่มเติม รวมถึงอยากขอให้ ผู้ใช้งานช่วยกันรีพอร์ตบัญชีสแกม ซึ่งเพียงแค่คนเดียวรีพอร์ตทาง Meta ก็เทคแอคชั่นทันที แต่ไม่สามารถระบุระยะเวลาในการดำเนินการได้ เพราะขึ้นอยู่กับระยะเวลาการตรวจสอบ ซึ่งการตรวจสอบเบื้องต้นจะใช้เอไอ และมีมนุษย์คอยตรวจสอบอีกครั้ง

“เราพยายามเต็มที่ และต้องพยายามเพิ่ม ระบบก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบเสมอไป และต้องยอมรับว่ามิจฉาชีพพยายามหาช่องโหว่เพื่อให้หลุดรอดการตรวจสอบ เช่น ใช้สัญลักษณ์แปลก ๆ แทนพยัญชนะ ซึ่งเราก็พยายามสอนเอไอให้ฉลาดขึ้นเพื่อตรวจจับให้ได้ และใช้มนุษย์คอยตรวจซ้ำ”

ปัจจุบัน Meta มีผู้ใช้งานกว่า 3.88 พันล้านคน/เดือน มีมากกว่า 10 ล้านธุรกิจทั่วโลกใช้โฆษณาบน Meta และมากกว่า 200 ล้านธุรกิจ ใช้เทคโนโลยีของ Meta ในการทำธุรกิจ

พร้อมร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อสกัดกั้น

อิง ศิริกุลบดี ผู้จัดการฝ่ายนโยบายสาธารณะประจำ Facebook ประเทศไทยจาก Meta กล่าวว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Meta ได้ร่วมทำงานใกล้ชิดกับพันธมิตรหลายภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกระทรวงดีอีเอส สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเมื่อทางหน่วยงานแจ้งข้อมูลเข้ามาก็พร้อมดำเนินการปิดกั้น

นอกจากนี้ Meta ยังสร้างการตระหนักรู้และแคมเปญการให้ความรู้ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้คนสามารถรู้เท่าทันกลลวงและรู้วิธีการรายงานเนื้อหาเข้ามาได้ อาทิ แคมเปญ #StayingSafeOnline ภายใต้โครงการ We Think Digital Thailand โครงการหลักในการเสริมทักษะดิจิทัลของ Meta โดยแคมเปญดังกล่าวได้เข้าถึงชาวไทยเป็นจำนวนกว่า 30 ล้านคนแล้วในปัจจุบัน ตั้งแต่มีการเปิดตัวในปี 2564

ปัจจุบัน ตำรวจไซเบอร์ได้เปิดสายด่วน 1441 เพื่อขอความช่วยเหลือหรือปรึกษาปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวมถึงแจ้งเบาะแสได้ทันที

]]>
1449412
งานเข้า ‘Meta’ หลังทนาย 42 คนยื่นฟ้องข้อหาออกแบบอัลกอริทึมที่ทำให้ “เยาวชนเสพติด” การใช้งาน https://positioningmag.com/1449277 Wed, 25 Oct 2023 11:37:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1449277 แม้จะมีข้อมูลว่า Facebook อาจไม่ได้เป็นที่นิยมของ วัยรุ่น แต่ไม่ใช่กับ Instagram เพราะถือว่ายังคงเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมของวัยรุ่น อย่างไรก็ตาม ด้วยจุดนี้เองทำให้กลุ่มทนาย 42 คน ร่วมกันฟ้องร้อง Meta ว่าทำให้ วัยรุ่นเสพติดการใช้ Facebook และ IG

ปัจจุบัน จำนวนผู้ใช้งานแพลตฟอร์มของ Meta อยู่ที่ 3.88 พันล้านคน/เดือน หรือคิดเป็นประชากร ครึ่งโลก ที่ใช้งาน แน่นอนว่ากลุ่ม วัยรุ่น ก็ต้องรวมอยู่ในจำนวนดังกล่าวแน่นอน ส่งผลให้ กลุ่มทนายทั่วไป 42 คน ฟ้อง Meta โดยอ้างว่า ฟีเจอร์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของ Facebook และ Instagram นั้น ดึงดูดและมุ่งเป้าไปที่เด็กและวัยรุ่น

ส่งผลให้ขณะนี้ Meta กำลังเผชิญกับการฟ้องร้องหลายคดีเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวในหลายเขต โดยอัยการสูงสุดจาก 33 รัฐ ได้ยื่นฟ้อง Meta ซึ่งคดีดังกล่าวถือเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของรัฐที่มีลำดับความสำคัญในการปกป้องเด็กและวัยรุ่นจากอันตรายทางออนไลน์

โดยกลุ่มทนายระบุว่า Meta ได้ออกแบบผลิตภัณฑ์ Facebook และ Instagram เพื่อให้วัยรุ่นใช้งานได้นานขึ้นและกลับมาซ้ำหลายครั้ง ผ่านการออกแบบอัลกอริทึม การแจ้งเตือนมากมาย ส่งผลให้เกิดการเลื่อนฟีดแพลตฟอร์มอย่างไม่สิ้นสุด นอกจากนี้ กลุ่มทนายยังรวมฟีเจอร์ที่มองว่า ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของวัยรุ่นผ่านการเปรียบเทียบทางสังคมหรือส่งเสริมความผิดปกติของร่างกาย เช่น “การถูกใจ” ​​หรือฟิลเตอร์รูปภาพ

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กลุ่มพันธมิตรอัยการสูงสุดของรัฐได้ร่วมมือกันเพื่อติดตาม Meta แต่ในปี 2020 มีรัฐจำนวน 48 รัฐได้ฟ้องร้องบริษัทในเรื่อง การต่อต้านการผูกขาด นอกจากนี้ รัฐบาลกลางยังกล่าวหาว่า Meta ละเมิดพระราชบัญญัติคุ้มครองความเป็นส่วนตัวออนไลน์ของเด็ก หรือ COPPA โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปีโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง โดยรัฐต่าง ๆ กำลังหาทางยุติสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็นแนวทางปฏิบัติที่เป็นอันตรายของ Meta เช่นเดียวกับบทลงโทษและการชดใช้ค่าเสียหาย

“Meta ตระหนักดีถึงผลกระทบด้านลบที่การออกแบบอาจมีต่อผู้ใช้รุ่นเยาว์” ทนายความ กล่าว

ที่ผ่านมา เคยมีการรั่วไหลของเอกสารภายในของบริษัท ที่เปิดเผยการวิจัยภายในเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของตนเกี่ยวกับ ผลกระทบของ Instagram ที่มีต่อวัยรุ่น โดยพบว่า “เด็กสาววัยรุ่น 32% รู้สึกแย่เกี่ยวกับร่างกายของตนเอง โดย Instagram ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกแย่ลง” 

สื่อแฉ ‘Facebook’ ศึกษาผลด้านลบของ ‘Instagram’ ต่อวัยรุ่นกว่า 3 ปีแต่ไม่เปิดเผย

ทั้งนี้ จากการสำรวจของ Pew Research Center ระบุว่า วัยรุ่นจำนวนมากเลิกใช้งาน Facebook แต่ Instagram ยังคงได้รับความนิยมในสหรัฐฯ โดยวัยรุ่นที่ใช้ Instagram ในสหรัฐฯ มีประมาณ 22 ล้านคน/วัน

Source

]]>
1449277
ยอมจ่ายไหม? ‘Facebook’ และ ‘Instagram’ เตรียมเพิ่มแพ็กเกจ ‘ไร้โฆษณา’ ในยุโรปราคา 400 บาท/เดือน https://positioningmag.com/1446835 Thu, 05 Oct 2023 06:48:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1446835 เชื่อว่าหลายคนน่าจะเบื่อกับโฆษณาที่ต้องเห็นในหลาย ๆ แพลตฟอร์มรวมไปถึง Facebook และ Instagram ล่าสุด ทาง Meta ก็ได้เปิดตัวแพ็กเกจแบบเสียเงินรายเดือน เพื่อที่จะ “ไม่เห็นโฆษณา” ในยุโรป

Meta วางแผนที่จะให้ผู้ใช้ Facebook และ Instagram ในยุโรปมีตัวเลือกในการชําระเงินเพื่อใช้งานแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียแบบไม่มีโฆษณา เนื่องจากยุโรปได้ออกกฎหมายความเป็นส่วนตัวของข้อมูลที่เข้มงวด เบื้องต้น คาดว่าค่าบริการ เวอร์ชั่นเดสก์ท็อป จะอยู่ประมาณ 10 ยูโรต่อเดือน (ราว 390 บาท) และหากผู้ใช้มีบัญชีอื่น ๆ ที่เชื่อมกันก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มประมาณ 6 ยูโรต่อบัญชี

ส่วนถ้าเป็นการใช้ผ่านมือถือ ค่าแพ็กเกจจะแพงกว่า โดยอยู่ที่ประมาณ 13 ยูโร (ราว ๆ 500 บาทต่อเดือน) เนื่องจากต้องหักส่วนแบ่งบางส่วนให้กับทั้ง Apple App Store และ Google Play Store

อย่างไรก็ตาม Meta ยังไม่ได้กำหนดวันเปิดตัวชัดเจน แต่คาดว่าจะเปิดให้ใช้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เพื่อให้สอดคล้องกับกฎความเป็นส่วนตัวของข้อมูลของสหภาพยุโรป ที่ต้องได้รับการยินยอมจากผู้ใช้ก่อนจะแสดงโฆษณาตามความสนใจของผู้ใช้

ทั้งนี้ Meta ระบุว่า แพลตฟอร์มไม่ได้บังคับให้ผู้ใช้งานต้องจ่ายเงินแต่อย่างใด โดยผู้ใช้ยังสามารถใช้งานได้ฟรีตามปกติ แต่ก็ยังต้องเห็นโฆษณาตามเดิม

Meta ยังเชื่อในรูปแบบการให้บริการฟรี อย่างไรก็ตาม เรายังคงสํารวจทางเลือกต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าเราปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านกฎระเบียบที่กําลังพัฒนา”

Source

]]>
1446835
อินโดนีเซียแบนธุรกรรม E-commerce ผ่านเครือข่ายสังคม TikTok Shop และผู้เล่นรายอื่นได้รับผลกระทบทันที https://positioningmag.com/1445869 Wed, 27 Sep 2023 16:08:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1445869 รัฐบาลอินโดนีเซียใช้ยาแรง ประกาศแบนธุรกรรม E-commerce ผ่านเครือข่ายสังคม โดยแพลตฟอร์มที่ได้รับผลกระทบทันทีคือ TikTok และอาจรวมถึง Facebook ด้วย เหตุผลที่มีการแบนเพื่อต้องการปกป้องผู้ประกอบการภายในประเทศ

รัฐบาลอินโดนีเซียประกาศแบนการทำธุรกรรม E-commerce ผ่านเครือข่ายสังคม ซึ่งจะส่งผลทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถที่จะจ่ายเงินซื้อสินค้าผ่านเครือข่ายสังคม (Social Network) ได้ โดยข้อระเบียบดังกล่าวมีผลบังคับใช้ทันที และต้องทำตามภายใน 7 วัน ถ้าหากยังฝ่าฝืนต่อก็อาจมีสิทธิ์ถูกระงับการใช้งานในประเทศได้

กระทรวงการค้าของอินโดนีเซียให้เหตุผลว่าต้องการที่จะคุ้มครองผู้ประกอบการภายในประเทศ เนื่องจากการซื้อสินค้าผ่านเครือข่ายสังคมนั้นถูกเอาเปรียบในเรื่องของราคา ซึ่งเครือข่ายสังคมกำลังคุกคามพ่อค้าแม่ค้าที่มีธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กในประเทศ

นอกจากนี้กฎระเบียบดังกล่าวยังกำหนดให้แพลตฟอร์ม E-commerce ต้องกำหนดราคาขั้นต่ำที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับสินค้าบางรายการที่ซื้อโดยตรงจากต่างประเทศ

ปัจจุบันธุรกิจของพ่อค้าแม่ค้าที่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งมีจำนวนมากถึง 64.2 ล้านคน เป็นเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ของเศรษฐกิจอินโดนีเซีย โดยคิดเป็นสัดส่วน 61% ของ GDP อินโดนีเซีย

รัฐมนตรีกระทรวงการค้าของอินโดนีเซียกล่าวว่า กฎระเบียบดังกล่ามีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มั่นใจว่าการแข่งขันทางธุรกิจ นั้นมีความยุติธรรม โดยเขามองว่าปัจจุบันเครือข่ายสังคมหลายแห่งได้เพิ่มบริการทั้ง E-commerce หรือแม้แต่บริการด้านการเงิน แต่กลับกันเขามองว่าบริการ E-commerce ไม่มีทางที่จะมีบริการเครือข่ายสังคม

ผลกระทบจากกฎระเบียบดังกล่าว กระทบกับแพลตฟอร์มที่เน้นด้าน Social Commerce ซึ่งได้แก่ TikTok ที่เพิ่งจะมีการเปิดตัว TikTok Shop ไป โดยที่กฎระเบียบดังกล่าวอาจทำให้บริษัทต้องแยกตัวแอปออกมาใหม่

ก่อนหน้านี้ TikTok เองได้เปิดบริการในประเทศที่มองว่าเป็นตลาดสำคัญก่อนเพื่อน อย่างเช่น TikTok Shop หรือแม้แต่บริการสตรีมมิ่งเพลง โดยบริษัทได้กล่าวว่าตลาดในอินโดนีเซียถือเป็นประเทศที่มีความสำคัญมากประเทศหนึ่ง จากปัจจัยของผู้ใช้งานจำนวนมาก

นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ว่า Facebook เองก็อาจได้รับผลกระทบดังกล่าวจากกกฎระเบียบนี้ด้วย

อย่างไรก็ดีผลประโยชน์ดังกล่าวกลับตกอยู่กับพ่อค้าแม่ค้าในประเทศ หรือแม้แต่แพลตฟอร์ม E-commerce ในประเทศอย่าง Tokopedia ของ GoTo หรือแม้แต่ Shopee ของ Sea

ที่มา – Tech Wire Asia, Reuters, The Jakarta Post

]]>
1445869
“ทรูโด” เดือดจัด! Facebook บล็อกการเผยแพร่ “ข่าว” บนแพลตฟอร์ม ท่ามกลางวิกฤตไฟป่า “แคนาดา” https://positioningmag.com/1441873 Tue, 22 Aug 2023 04:57:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1441873 “แคนาดา” เกิดวิกฤตไฟป่าขึ้น แต่ประชาชนไม่สามารถติดตามข่าวผ่านทางโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook ได้สะดวก เหตุเพราะ Meta สั่งบล็อกการเผยแพร่ “ข่าว” ต่างๆ บนแพลตฟอร์มนี้ หลังรัฐบาลแคนาดาออกกฎหมายไล่บี้ให้บริษัท “แบ่งกำไร” กับสำนักข่าว ร้อนถึงนายกรัฐมนตรี “จัสติน ทรูโด” ออกโรงวิจารณ์ Meta “เห็นกำไรเหนือกว่าความปลอดภัยของประชาชน”

Facebook และ Instagram เริ่มบล็อกการเข้าถึงลิงก์ “ข่าว” บนแพลตฟอร์มของตนเองใน “แคนาดา” ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2023 โดยผู้ใช้แพลตฟอร์มหากเลื่อนเจอลิงก์คอนเทนต์ข่าว จะปรากฏข้อความขึ้นว่า “ผู้ใช้ในแคนาดาจะมองไม่เห็นคอนเทนต์นี้ เพื่อตอบสนองการออกกฎหมายของรัฐบาลแคนาดา คอนเทนต์ข่าวจะไม่สามารถมองเห็นได้ในแคนาดา”

Meta ทำเช่นนี้เพื่อตอบโต้รัฐบาลแคนาดาซึ่งเริ่มออก “กฎหมายข่าวออนไลน์” มาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2023 กฎหมายนี้ว่าด้วยการบังคับให้แพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Google, Meta ต้องเจรจาสัญญา “แบ่งกำไร” ให้กับสำนักข่าวต่างๆ ที่นำข่าวมาลงเผยแพร่ในแพลตฟอร์ม เห็นได้ว่าการบล็อกการเผยแพร่ลิงก์ข่าวบน Facebook – Instagram นั้นทำไปเพื่อที่บริษัท Meta จะได้ไม่ต้องแบ่งกำไรให้กับสำนักข่าวต่างๆ ตามกฎหมายกำหนด

Facebook บล็อก ข่าว
ข้อความที่ปรากฏบน Facebook แคนาดา หากมีการโพสต์ลิงก์ข่าวจากสำนักข่าวต่างๆ

อย่างไรก็ตาม เมื่อ 3 วันที่ผ่านมา แคนาดาเกิดวิกฤตไฟป่ารุนแรงที่สุดในรอบ 40 ปี ไฟป่าแพร่กระจายเป็นวงกว้างและปัจจุบันยังไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งการเข้าถึงข่าวสารได้อย่างรวดเร็วจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ประชาชนอพยพหนีไฟป่าได้ทันเวลา แต่เมื่อ Facebook เลือกบล็อกข่าวบนแพลตฟอร์มไปก่อนหน้านี้ ทำให้ผู้อพยพหนีไฟป่าต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขาเข้าถึงข่าวสารได้ช้าลง

กลุ่มผู้อพยพในเขต Northwest Territories ซึ่งเสี่ยงต่อภัยไฟป่าที่กำลังเข้ามาใกล้ตัวเมือง Yellowknife ในระยะเพียง 15 กิโลเมตร บอกว่า การบล็อกข่าวบน Facebook ทำให้พวกเขาแชร์ข้อมูลที่สำคัญต่อการปกป้องชีวิตได้ช้าลง พวกเขาไม่สามารถแชร์วิดีโอการแถลงข่าวจากทางราชการหรือข่าวแจ้งเตือนการอพยพลงบน Facebook เพื่อให้คนในชุมชนของตนทราบได้เลย

ก่อนหน้านี้เคยมีข้อมูลว่า 77% ของชาวแคนาดามีการใช้งาน Facebook และ 1 ใน 4 ของชาวแคนาดาใช้ Facebook เพื่อติดตามข่าวสารต่างๆ แพลตฟอร์มนี้จึงถือเป็นช่องทางสำคัญในการรับทราบข้อมูล

เหตุนี้ “จัสติน ทรูโด” นายกรัฐมนตรีแคนาดา จึงเดือดจัดจากการตัดสินใจของ Meta เจ้าของแพลตฟอร์ม Facebook

ในช่วงการแถลงข่าวผ่านทางโทรทัศน์เมื่อวานนี้ (21 สิงหาคม 2023) ทรูโดจึงวิจารณ์ Meta ว่าตัดสินใจแบบที่ “เหลือจะเชื่อ” และกล่าวหาว่า Facebook “เห็นกำไรเหนือกว่าความปลอดภัยของประชาชน”

ขณะที่ “พาสคาล เซนต์อองจ์” รัฐมนตรีกระทรวงมรดกแห่งแคนาดา ระบุในโพสต์บนโซเชียลมีเดียของเธอว่า บริษัทนี้กำลังบล็อก “ข้อมูลที่สำคัญยิ่ง” ต่อผู้ใช้งาน และยังบอกด้วยว่า Meta เริ่มบล็อกข่าวทันทีทั้งที่กฎหมาย C-18 หรือกฎหมายข่าวออนไลน์ฉบับที่ว่านี้ ยังไม่ได้เริ่มมีผลบังคับใช้ด้วยซ้ำ เธอจึงเรียกการกระทำของ Meta ว่า “ไร้ความรับผิดชอบ”

ฟาก Meta ออกมาตอบโต้ว่า กฎหมายฉบับนี้ “ตราขึ้นโดยมีปัญหาตั้งแต่เรื่องพื้นฐานเพราะละเลยความเป็นจริงในวิธีการทำงานของแพลตฟอร์มของเรา”

ในถ้อยแถลงของบริษัทที่ส่งให้สำนักข่าว BBC นั้น Meta ระบุว่า กฎหมายฉบับนี้ ‘บังคับ’ ให้บริษัท “ต้องหยุดการเข้าถึงคอนเทนต์ข่าว เพื่อปฏิบัติตามระเบียบของกฎหมาย”

Meta ยังเสริมด้วยว่า บริษัทมีการเปิดใช้งานฟีเจอร์ “Safety Check” บนแพลตฟอร์มแล้ว เพื่อให้ผู้อพยพสามารถระบุบนโซเชียลมีเดียได้ว่าตัวเองปลอดภัย และเป็นช่องทางเข้าถึงข้อมูลจากหน่วยงานราชการได้โดยตรง ซึ่งปัจจุบันมีคนเข้าไปใช้ฟีเจอร์นี้แล้วกว่า 300,000 ราย

ความเห็นของชาวแคนาดาต่อเหตุการณ์ทั้งหมดนี้แยกเป็นหลายฝ่าย บางกลุ่มมองว่าเป็นความผิดของรัฐบาลที่ทำให้เกิดการบล็อกข่าวบน Facebook และมีผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนในเวลาต่อมา แต่บางกลุ่มก็มองว่าเป็นความรับผิดชอบของ Meta เองที่เลือกผลกำไรบริษัทมากกว่าจะทำตามกฎหมาย

Source

]]>
1441873
วิเคราะห์ธุรกิจของ Meta เมื่อ Subscription อาจเป็นโมเดลรายได้ใหม่อีกทาง หลังยอดโฆษณาผันผวน https://positioningmag.com/1436018 Thu, 29 Jun 2023 05:03:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1436018 เมต้า (Meta) ผู้ให้บริการ Social Network ไม่ว่าจะเป็น Facebook หรือ Instagram เป็นอีกบริษัทที่กำลังหารายได้เพิ่มเติมอย่างมาก ซึ่งหลายครั้งได้สร้างความปวดใจให้กับเจ้าของเพจ หรือแม้แต่แบรนด์ต่างๆ เนื่องจาก Reach ของเพจต่างๆ ลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน แม้ว่าจะมีความพยายามโพสต์หรือหาลูกเล่นใหม่แล้วก็ตาม

แต่ล่าสุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เราจะเห็นว่า Meta ได้ประกาศบริการที่ให้สมาชิกนั้นจ่ายเงินเพิ่มมากขึ้น ซึ่งล่าสุดนั้นมีมาแล้ว 2 บริการ ภายใน 1 สัปดาห์เท่านั้น (แม้ว่าจะมีการประกาศมาล่วงหน้าสักพักก็ตาม)

Positioning จะวิเคราะห์โมเดลธุรกิจว่าการที่ Meta ได้เข้าสู่โมเดลสมัครสมาชิก (Subscription) เพราะอะไร

ออก Meta Verified ในไทย

เจ้าของแพลตฟอร์ม Social Media ได้ประกาศเตรียมเปิดบริการ Meta Verified ที่ประเทศไทยเร็วๆ นี้ โดยบริการดังกล่าวทำเพื่อที่จะได้รับ Reach มากขึ้น หรือแม้แต่ป้องกันการสวมรอยจากบุคคลอื่น ราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 429 บาท

Meta ยังได้ประกาศว่าเตรียมเปิดบริการ Meta Verified ซึ่งเป็นบริการยืนยันตัวเอง ซึ่งผู้ใช้งานเลือกได้ว่าจะจ่ายเงินเพื่อยืนยันตัวเองบนแพลตฟอร์ม Facebook หรือ Instagram เพื่อที่จะได้รับ Reach มากขึ้น หรือแม้แต่ป้องกันการสวมรอยจากบุคคลอื่น

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาบริษัทได้ทดลองระบบดังกล่าวในประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ และขยายไปยังสหรัฐอเมริกา แคนาดา เป็นต้น โดยล่าสุดบริการดังกล่าวเตรียมเปิดตัวในประเทศกลุ่มละตินอเมริกา ก่อนที่จะขยายบริการทั่วโลกหลังจากนี้

สำหรับราคาในประเทศไทยนั้น Meta ได้ประกาศว่าราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 429 บาทต่อเดือนถ้าสมัครผ่านเว็บไซต์ แต่ถ้าหากสมัครผ่านแอปพลิเคชันทั้ง Facebook และ Instagram จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย

เมื่อบริษัทหารายได้เพิ่ม

ในช่วงที่ผ่านมา Meta ได้พยายามเข็นบริการ Subscription ออกมาหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Quest+ ซึ่งเป็นบริการเสริมของแว่นตา VR ของบริษัท ที่เริ่มต้นจ่ายเงินเพียง 7.99 ดอลลาร์สหรัฐ (แต่ถ้าหากจ่ายเงินเป็นรายปีก็จะได้ส่วนลด) เพื่อที่จะได้เกมใหม่ๆ มาเล่น

ซึ่งโมเดลการหารายได้จากบริการสมัครสมาชิกเพิ่ม ยังช่วยลดผลกระทบจากรายได้โฆษณาที่ไม่แน่นอนของบริษัทด้วย โดยในช่วงปี 2021 รายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ 117,929 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่ามากสุดเป็นประวัติศาสตร์ของบริษัท อย่างไรก็ดีรายได้ในปี 2022 กลับตกลงมาเหลือ 116,609 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น

รายได้ที่ลดลงไปในปี 2022 ที่ผ่านมา ส่งผลทำให้บริษัทต้องปรับลดพนักงานชุดใหญ่ และยังต้องปรับโครงสร้างบริหาร หรือแม้แต่การหารายได้อื่นๆ เพิ่มเติม ซึ่ง Mark Zuckerberg ได้กล่าวว่าปี 2023 จะเป็นปีในการรีดประสิทธิภาพของบริษัทออกมา

บริษัทแม่ของ Facebook ล่าสุดได้ออกบริการ Meta Verified สำหรับยืนยันตัวเอง – ภาพจาก Meta

นักวิเคราะห์คาดรายได้เพิ่ม

คาดการณ์จาก Bank of America มองว่าบริการ Meta Verified จะมีผู้ใช้งานทั่วโลกประมาณ 12 ล้านรายภายในปี 2024 ทำให้สถาบันการเงินรายดังกล่าวมองว่าบริการนี้จะเพิ่มรายได้กับบริษัทมากถึง 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐ

โดยบทวิเคราะห์ดังกล่าวมองว่าลูกค้าหลักของบริการดังกล่าวคือเจ้าของเพจ หรือบรรดาเจ้าของแบรนด์ต่างๆ มากกว่าที่จะคนทั่วๆ ไป เนื่องจากเพจต่างๆ หรือแบรนด์ที่ต้องการจ่ายเงินกับบริการเหล่านี้ต้องการที่จะเพิ่ม Reach ซึ่งจะส่งผลต่อรายได้ หรือแม้แต่การรับรู้ของแบรนด์มากกว่า

แต่ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะคู่แข่งหลายเจ้าได้ใช้โมเดลแบบนี้ด้วย

การที่ Meta ได้ใช้โมเดล Subscription นั้นไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด ก่อนหน้านี้สำหรับการยืนยันตัวเองก่อนหน้านี้ในหลาย Social Network ถือว่าเป็นบริการฟรี สำหรับยืนยันตัวตนโดยเฉพาะผู้ที่มีชื่อเสียง หรือมีความเสี่ยงที่จะโดนปลอมตัวตนได้

โดยคู่แข่งของ Meta ไม่ว่าจะเป็น Twitter นั้นได้เปิดบริการ Verified ขึ้นมา โดยแยกเป็น Account ประเภทส่วนบุคคลที่มีราคาไม่แพง ขณะที่ Account ประเภทธุรกิจนั้นจะมีราคาแพงมากกว่า ขณะที่ Snapchat เองก็มี Snapchat+ ซึ่งมีผู้ใช้งานมากถึง 2 ล้านคน ซึ่งค่าบริการรายเดือนอยู่ที่ 3.99 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น

คำถามหลังจากนี้คือจะมีผู้ใช้งานจ่ายเงินให้กับบริการดังกล่าวมากแค่ไหน

]]>
1436018
Meta เปิดตัวบริการ Quest+ สำหรับแว่น VR ของบริษัท คิดค่าบริการเดือนละ 7.99 ดอลลาร์ https://positioningmag.com/1435807 Tue, 27 Jun 2023 17:48:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1435807 Meta เจ้าของบริการ Social Network ไม่ว่าจะเป็น Facebook หรือแม้แต่ Instagram ล่าสุดได้ประกาศเปิดตัวบริการ Quest+ ซึ่งเป็นบริการจ่ายเงินรายเดือนสำหรับแว่น VR ของบริษัทแล้ว หลังจากที่ธุรกิจดังกล่าวประสบปัญหาขาดทุนตลอดในช่วงที่ผ่านมา

บริษัทแม่ของ Facebook ได้ประกาศเปิดตัวบริการ Subscription สำหรับแว่น VR ของบริษัทโดยคิดเงินในอัตรา 7.99 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน และยังมีโปรโมชันถ้าหากจ่ายค่าบริการเป็นรายปีจะอยู่ที่ 59.99 ดอลลาร์ต่อปี โดยจะมีการแถมเกมใหม่บนแพลตฟอร์มให้กับสมาชิกเดือนละ 2 เกม

โดยบริการดังกล่าจะรองรับแว่น VR ของบริษัทหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น Quest 2 และ Quest Pro นอกจากนี้ยังพร้อมรองรับแว่นตารุ่นใหม่ล่าสุดของบริษัทคือ Quest 3 ด้วย

ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา แม้จะมีข่าวบริษัทจะปลดพนักงานจำนวนมากถึง 11,000 คน เนื่องจากบริษัทได้ปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่และรวมถึงลดต้นทุนของบริษัท อย่างไรก็ดีในส่วนของพนักงานที่เกี่ยวข้องกับเกมบนแว่น VR ของบริษัทนั้นจะไม่ถูกปลด และจะมีการจ้างพนังานในส่วนดังกล่าวมากขึ้น

นอกจากนี้ Meta เองก็ยังหันมาโฟกัสกับการพัฒนาเกมบน VR เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เพราะว่าปกติแล้วบริษัทจะเน้นไปยังการผลักดันโลกของ Metaverse มากกว่า

ผลประกอบการในไตรมาส 1 ของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา ธุรกิจ Reality Labs ที่ใช้พัฒนาเทคโนโลยี AR และ VR ขาดทุนจากการดำเนินงานถึง 4,280 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยมากถึง 452,000 ล้านบาท ทำให้คาดว่าการออกบริการสมัครสมาชิกนั้นส่วนหนึ่งทำเพื่อลดการขาดทุนลง

]]>
1435807
สื่อบน Facebook กำลังจะตาย? หลังผลสำรวจพบการปรับ ‘อัลกอริทึม’ ทำยอดเข้าชมลด 50% https://positioningmag.com/1434684 Tue, 20 Jun 2023 01:41:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1434684 อย่างที่หลายคนรู้ว่า Facebook แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่มีผู้ใช้กว่า 2.93 พันล้านคนต่อเดือน แทบจะมีการเปลี่ยนแปลง อัลกอริทึม ในการแสดงผลแทบจะตลอดเวลา และในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผู้ให้บริการด้าน สื่อ กลายเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการปรับอัลกอริทึมใหม่นี้

จากการเผยแพร่ข้อมูลของ Echobox ซึ่งเป็นบริษัทด้านการบริหารจัดการโซเชียลมีเดีย ได้เปิดเผยว่า จากการรวบรวมข้อมูลจากบริษัทด้านสื่อกว่า 2,000 รายทั่วโลก ที่เป็นลูกค้าของ Echobox พบว่า ยอดการเข้าชมที่มาจากแพลตฟอร์ม Facebook ลดลงประมาณ 50% เป็นเวลาประมาณ 1 ปีมาแล้ว และการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในอัลกอริทึมในเดือนพฤษภาคมทำให้ การเข้าชมเว็บไซต์ข่าวและสื่อลดลงไปอีก

พนักงานคนหนึ่งในเว็บไซต์ข่าวกีฬาและวัฒนธรรมซึ่งมีผู้ติดตาม Facebook หลายล้านคน เปิดเผยว่า ได้สังเกตเห็นการลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงกลางถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ตอนแรกเราคิดว่ามันเป็นเพราะคอนเทนต์ของบริษัทที่อาจไม่ดึงดูด แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับพบว่า สื่ออื่น ๆ ก็เจอปัญหาเดียวกับเรา

“การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเริ่มต้นในเดือนกุมภาพันธ์และแย่ลงในเดือนมีนาคม จากนั้นแนวโน้มก็ยิ่งลดลงอีก สำหรับเราแล้ว Facebook ถือเป็นแพลตฟอร์มที่สำคัญสำหรับเรา เนื่องจากผู้ชมของเราอยู่บน Facebook ซึ่งคิดเป็นประมาณ 25% ของการเข้าชมของเรา และคุณไม่มีทางรู้ว่าอะไรจะเปลี่ยนไป มันทำให้ยากต่อการวางแผนสำหรับอนาคต” Robert Chappell บรรณาธิการบริหารของ Madison 365 ซึ่งเป็นห้องข่าวที่ไม่แสวงหาผลกำไรกล่าว

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกำลังทำให้ ธุรกิจสื่อดิจิทัลที่ตั้งหลักอยู่บน Facebook กำลังเผชิญความเปราะบางมากขึ้น เพราะหลายบริษัทแทบไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพึ่งพาช่องทางที่ใหญ่ที่สุดของโซเชียลมีเดีย และเมื่อผู้คนไม่สามารถเข้าถึงโพสต์ของเพจสำนักข่าวเหล่านั้นได้ ซึ่งนั่นก็กลายเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ธุรกิจของบริษัทต้องปิดตัวลง เช่น การยื่นฟ้องล้มละลายที่ Vice Media และการปิดตัวของ BuzzFeed News

“ต้องยอมรับก่อนว่า Facebook ไม่ได้ปิดว่าแพลตฟอร์มจะเน้นที่วิดีโอมากขึ้น ทำให้ไปลดความสำคัญของคอนเทนต์ที่เป็นข้อความและรูปภาพ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการเข้าถึงของคอนเทนต์วิดีโอก็ลดลงเช่นกัน ดังนั้น มันแสดงให้เห็นว่าอัลกอริทึมกำลังมีปัญหา” Antoine Amann CEO Echobox กล่าว

สุดท้าย การที่สื่อจะอยู่ได้อย่างยั่งยืนคงจะต้องลดการพึ่งพาแต่ Facebook หรือสร้างแพลตฟอร์มที่จะสนับสนุนสื่อด้วยกัน ในกรณีที่อัลกอริทึมของ Facebook เลวร้ายลงไปอีก แต่ก็ต้องยอมรับว่า การจะให้เลิกพึ่งพาโซเชียลมีเดียที่มีผู้ใช้เกือบ 3 พันล้านคนคงไม่ใช่เรื่องง่าย ลงได้แต่หวังว่า Facebook จะมีการปรับอัลกอริทึมใหม่ที่สมดุลมากขึ้นในอนาคต

Source

]]>
1434684