IOS – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 18 Mar 2024 11:33:54 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สื่อนอกรายงาน “Apple” ซุ่มดีล “Gemini” เครื่องมือ AI ของ “Google” มาเป็นฟีเจอร์บน “iOS” https://positioningmag.com/1466683 Mon, 18 Mar 2024 11:15:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1466683 สำนักข่าว Bloomberg รายงานจากแหล่งข่าววงในว่า “Apple” กำลังเจรจาดีลกับ “Google” เพื่อดึง “Gemini” มาเป็นฟีเจอร์เครื่องมือ AI ในระบบ “iOS” ของ iPhone คาดระบบ AI ของบริษัทเองพัฒนาไม่ทันตลาด

แหล่งข่าววงในกล่าวกับทาง Bloomberg ว่า Apple กำลังขอลิขสิทธิ์เทคโนโลยี AI ของ Google เพื่อมาใช้อัปเดตบน iOS ภายในปีนี้ นอกจากนี้ Apple ยังมีการเจรจากับทาง OpenAI ด้วยอีกทางหนึ่งเพื่อนำโมเดล GPT มาใช้บน iOS เช่นกัน

ที่ผ่านมา Apple ได้รับแรงกดดันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ว่าจะต้องลงทุนและออกฟีเจอร์ด้าน AI ให้ทันกับตลาด ท่ามกลางบริษัทเทคมากมายที่มีการพัฒนาด้าน AI ไปแล้ว เช่น OpenAI, Microsoft, Anthropic และ Google จนกระทั่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา “ทิม คุก” ซีอีโอของ Apple ต้องเอ่ยปากว่าบริษัทจะมีฟีเจอร์ Gen AI ภายในปีนี้

จากการดูประกาศรับสมัครงานของบริษัท Apple ตั้งแต่ปี 2023 จะเห็นได้ว่า Apple มีการทำงานทั้งกับเครื่องมือ Gen AI ภายนอกและเครื่องมือภายในที่พัฒนาเอง อย่างไรก็ตาม การเข้าเจรจากับบริษัทภายนอก (third-party) เพื่อนำเทคโนโลยี AI มาใช้งาน สะท้อนให้เห็นว่า Apple อาจจะไม่ได้พัฒนาด้าน AI ของตัวเองได้เร็วอย่างที่คาดหวังไว้

โมเดล AI ของ Apple เองอาจจะนำมาใช้ในฟีเจอร์บางอย่างสำหรับการอัปเดตซอฟต์แวร์ “iOS 18” ที่มักจะประกาศเป็นประจำทุกเดือนมิถุนายนของทุกปีที่งาน Worldwide Developer Conference (WWDC) อย่างไรก็ตาม การหาพันธมิตรภายนอกสำหรับโมเดล Gen AI คาดว่าอาจจะนำมาใช้ในฟีเจอร์ที่เกี่ยวกับการสร้างภาพขึ้นมาใหม่และการช่วยในการเขียนของผู้ใช้

ฟากเครื่องมือ “Gemini” ของ Google เองก็ยังมีปัญหาในการใช้งาน การประมวลผลออกมายังทำได้ไม่ถูกต้อง และเมื่อสัปดาห์ก่อน Google ประกาศว่าบริษัทได้ ‘บล็อก’ การค้นหาที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งทุกหัวข้อบน Gemini ทั่วโลกแล้ว อย่างไรก็ตาม สำนักข่าว TechCrunch สำรวจพบว่าผู้ใช้ก็ยังหาทางเลี่ยงการควบคุมนี้ด้วยการป้อนรูปแบบคำถามให้เลี่ยงข้อบังคับพวกนี้ได้อยู่

แม้ว่าจะมีอุปสรรคอยู่บ้าง แต่ Google ก็ยังได้เปรียบในตลาดในการออกฟีเจอร์ใช้งานของกลุ่มสมาร์ทโฟน เมื่อต้นปีนี้เอง บริษัทเพิ่งจะร่วมเป็นพันธมิตรกับ Samsung เพื่อนำ Gemini ไปใช้เป็นฟีเจอร์ของสมาร์ทโฟนซีรีส์ Galaxy S24 เช่น ถอดเทปจากการบันทึกเสียงและสรุปเป็นข้อความสั้นๆ (มีประโยชน์ในการจดโน้ตการประชุม), ปรับแต่งภาพ ลบวัตถุ เติมส่วนของภาพที่ขาดหาย, ลากวงกลมรอบสิ่งของบนภาพเพื่อให้ AI ค้นหาข้อมูลให้ ทั้งนี้ ฟีเจอร์เหล่านี้ Google เองมีการนำไปใช้กับมือถือ Pixel ของบริษัทด้วยเช่นกัน

Source

]]>
1466683
ศาลสั่ง ‘Apple’ ห้ามจำกัดตัวเลือก ‘ชำระเงิน’ ใน App Store หลังถูก ‘Epic Games’ ฟ้องข้อหาผูกขาด https://positioningmag.com/1351388 Sun, 12 Sep 2021 04:38:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1351388 ย้อนไปเมื่อช่วงเดือนสิงหาคมปี 2020 ‘Epic Games’ พยายามที่จะให้ผู้เล่นสามารถชำระเงินเกม Fortnite ผ่านระบบของตนเองได้ โดยไม่ต้องชำระผ่าน App Store เพื่อจะได้ไม่เสียค่าธรรมเนียมส่วนต่าง 30% ให้กับ ‘Apple’  ทำให้ Apple ไม่พอใจถึงกับแบนเกมออกจาก App Store จนนำไปสู่การฟ้องร้องข้อหา ‘ผูกขาด’

ล่าสุด จากการตัดสินของผู้พิพากษาของรัฐบาลกลางโดยผู้พิพากษา Yvonne Gonzalez Rogers ได้ตัดสินให้ Apple ห้ามไม่ให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ส่งลิงก์หรือการสื่อสารอื่น ๆ ที่นำผู้ใช้ออกจากการซื้อในแอปของ Apple อีกต่อไป จากที่ผ่านมา Apple มีกฎห้ามแจ้งลิงก์ชี้ช่องทางจากภายในแอปเอง โดยอ้างเหตุผลเรื่องความปลอดภัย

แม้ Apple จะชนะจาก 9 ใน 10 ข้อหา และได้ระบุว่า Apple ไม่ได้ผูกขาด และ ความสำเร็จไม่ผิดกฎหมาย แต่จากนี้เมื่อผู้บริโภคสามารถชำระเงินจากช่องทางอื่นได้ Apple อาจต้องสูญเสียรายได้จากค่าธรรมเนียมส่วนต่างของ App Store ที่กำหนดไว้ 15-30% ซึ่ง Apple สามารถทำรายได้จากส่วนนี้ถึง 6.4 หมื่นล้านดอลลาร์ และหลังจากศาลตัดสินทำให้หุ้นของ Apple ร่วงกว่า 3%

“ศาลสรุปว่าข้อกำหนดในการป้องกันการบังคับให้ชำระเงินผ่านลิก์อื่นนอกจากภายใน App Store ของ Apple ซ่อนข้อมูลที่สำคัญจากผู้บริโภคและยับยั้งทางเลือกของผู้บริโภคอย่างผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ศาลไม่สามารถสรุปได้ในท้ายที่สุดว่า Apple เป็นผู้ผูกขาดภายใต้กฎหมายต่อต้านการผูกขาดของรัฐบาลกลางหรือของรัฐ” Rogers ระบุ

ทางด้าน Epic Games จะต้องจ่ายค่าส่วนต่าง 30% จากรายได้ที่ได้ย้อนหลัง โดยนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2020 จนถึงวันพิจารณาคดี โดยเป็นเงินกว่า 3.6 ล้านดอลลาร์ หรือราว 118 ล้านบาท ส่วน Apple มีสิทธิ์ที่จะนำเกมของ Epic Games ออกจาก App Store ได้เช่นเดิม เพราะถือว่าละเมิดสิทธิ์ก่อนจะมีการฟ้องร้อง

Kate Adams ที่ปรึกษาทั่วไปของ Apple กล่าวว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งกับคำตัดสินของศาล และเราถือว่านี่เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่สำหรับ Apple”

ขณะที่ Tim Sweeney CEO ของ Epic Games วิจารณ์คำตัดสินในแถลงการณ์บน Twitter ว่า “การพิจารณาคดีในวันนี้ไม่ใช่ชัยชนะสำหรับนักพัฒนาหรือผู้บริโภค โดย Epic กำลังต่อสู้เพื่อการแข่งขันที่ยุติธรรมระหว่างวิธีการชำระเงินในแอปและร้านแอปสำหรับผู้บริโภคนับพันล้านราย”

Source

]]>
1351388
ตรวจพบ ‘Mac M1’ เกือบ 3 หมื่นเครื่องติด ‘ไวรัส’ ลึกลับ https://positioningmag.com/1320333 Mon, 22 Feb 2021 07:23:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1320333 ‘Apple’ ที่สร้างระบบปฏิบัติการ macOS, iOS ซึ่งหลายคนเชื่อว่า ‘ปลอดภัยที่สุดในโลก’ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าระบบปฏิบัติการดังกล่าวจะไม่มีข้อผิดพลาดหรือจุดบอด เพราะนักวิจัยจากบริษัทรักษาความปลอดภัย ‘Red Canary’ ระบุว่าเครื่อง Mac เกือบ 30,000 เครื่องทั่วโลกติดมัลแวร์ลึกลับ

หลังจากที่เปิดตัว Mac ที่มีชิป ‘M1’ ของตัวเองไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน ล่าสุด ก็มีการตรวจพบไวรัสตัวแรกของ CPU นี้ โดยมัลแวร์ที่บริษัทตรวจพบนั้นถูกเรียกว่า ‘Silver Sparrow’ หรือ ‘นกกระจอกสีเงิน’ โดยจะบังคับให้ Mac ที่ติดเชื้อตรวจสอบสวิตช์ควบคุมชั่วโมงละครั้ง

อย่างไรก็ตาม ไวรัสดังกล่าวจะยังไม่ได้แสดงพฤติกรรมที่พบได้จากแอดแวร์ทั่วไป ที่มักกำหนดเป้าหมายไปที่ระบบ macOS ดังนั้น จึงยังไม่ชัดเจนว่าเป้าหมายของมัลแวร์คืออะไร แต่ที่น่าสงสัยอีกจุดคือ Silver Sparrow มีกลไกการทำลายตัวเองที่ดูเหมือนจะไม่มีการใช้งาน นอกจากนี้ยังไม่ชัดเจนว่าอะไรจะก่อให้เกิดการใช้ฟังก์ชันนั้น

“แม้ว่าเรายังไม่ได้สังเกตเห็นว่า Silver Sparrow นั้นมีน้ำหนักการคุกคามที่เป็นอันตรายเพิ่มเติม แต่อัตราการติดเชื้อที่ค่อนข้างสูงนั้นบ่งชี้ว่า Silver Sparrow เป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงพอสมควร”

ทั้งนี้ มัลแวร์ Silver Sparrow ได้กระจายตัวใน Mac ราว 153 ประเทศ โดยมีรายงานความเข้มข้นที่สูงขึ้นในสหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, แคนาดา, ฝรั่งเศส และเยอรมนี ตามข้อมูลจาก Malwarebytes ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่บล็อกการโจมตีของ ransomware

Source

]]>
1320333
นักวิเคราะห์มอง ‘iPhone 12’ จะเป็นกุญแจสำคัญสู่การ ‘อัปเกรดเครื่อง’ ครั้งใหญ่ของผู้ใช้ Apple https://positioningmag.com/1301832 Fri, 16 Oct 2020 08:11:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1301832 เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา Apple ได้เปิดตัว iPhone 12 ที่รองรับ 5G ถึง 4 รุ่น ได้แก่ ได้แก่ iPhone 12 Mini ขนาดหน้าจอ 5.4 นิ้ว, iPhone 12 รุ่นมาตรฐานที่มีหน้าจอ 6.1 นิ้วขนาดเดียวกับปัจจุบัน รวมถึง iPhone 12 Pro หน้าจอ 6.1 นิ้ว ที่มีสเปกสูงกว่า และ iPhone 12 Pro Max ซึ่งจะมีหน้าจอที่ใหญ่ที่สุด 6.7 นิ้ว

แม้ว่าเครือข่าย 5G ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ในประเทศ ‘จีน’ นั้นกำลังเร่งขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมพื้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้ยอดขายสมาร์ทโฟน 5G พุ่งในจีนสูงขึ้นโดยเฉพาะจากผู้เล่นในประเทศอย่าง ‘หัวเว่ย’ (Huawei) แต่ Apple กำลังเข้าสู่ปาร์ตี้ 5G ซึ่งถือเป็นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ โดยข้อมูลจจากบริษัทวิจัย Canalys ระบุว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้มีสมาร์ทโฟนเพียง 13% ในตลาดที่รองรับ 5G และมีกลุ่มผู้บริโภคเพียง 6% ที่มองว่า 5G เป็นปัจจัยหลักในการซื้อสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่

“หากเรามองย้อนกลับไป ในไตรมาส 2 ของปีสมาร์ทโฟนเกือบครึ่งหนึ่งที่จัดส่งในประเทศจีนมีการเชื่อมต่อ 5G ในบรรดาผู้จำหน่าย 5 อันดับแรกในจีน Apple เป็นรายเดียวที่ไม่มีโมเดล 5G ดังนั้น การอัปเกรด 5G จะเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับ Apple ในการดึงดูดความสนใจของตลาดจีนต่อไป” Will Wong ผู้จัดการฝ่ายวิจัยของ IDC กล่าว

จีนเป็นตลาดสมาร์ทโฟน 5G ที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นประเทศที่มีการเชื่อมต่อ 5G มากที่สุดตามรายงานของ CCS Insight บริษัทวิเคราะห์ตลาด ดังนั้น จีนยังคงเป็นส่วนประกอบสำคัญในความสำเร็จของ Apple เนื่องจากเราคาดการณ์ว่าประมาณ 20% ของการอัปเกรด iPhone จะมาจากจีน โดยประเทศจีนถือเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ซึ่งดูเหมือนจะสามารถควบคุมไวรัส COVID-19 ได้อยู่หมัด เพราะเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการใช้จ่ายของผู้บริโภค

Daniel Ives นักวิเคราะห์ของ Wedbush Securities กล่าวว่า ความต้องการจากจีนจะเป็น “จุดเริ่มต้นของการใช้งาน 5G super-cycle หรือ วงจรการอัปเกรดเครื่องครั้งใหญ่ของผู้ใช้ Apple”

ที่ผ่านมา Apple ถือเป็นแบรนด์ที่ชาวจีนชื่นชอบ โดยเฉพาะ iPhone 11 และ iPhone SE ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภคชาวจีน ขณะที่โทรศัพท์จอใหญ่เป็นที่นิยมมากในจีน ดังนั้น ผู้บริโภคชาวจีนน่าจะชื่นชอบ iPhone 12 และ iPhone 12 Pro เนื่องจากทั้ง 2 รุ่นมีหน้าจอขนาด 6.1 นิ้วแม้ว่ารุ่น Pro จะมีกล้องสเปกสูงกว่าและมีราคาแพงกว่า แต่ iPhone 12 Pro Max ที่มีหน้าจอ 6.7 นิ้วอาจมีราคาแพงเกินไปสำหรับผู้บริโภคส่วนใหญ่ในประเทศจีน

“ฉันเชื่อว่า 12 และ 12 Pro ในแง่ของราคาและขนาดหน้าจอจะดึงดูดผู้บริโภคได้มากกว่า 12 Pro Max แม้ว่าจะมีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ที่สุด แต่ราคาอาจไม่น่ารักเท่าไหร่”

นักวิเคราะห์ยังตั้งข้อสังเกตว่า iPhone 12 และ iPhone 12 Pro จะวางจำหน่ายเร็วกว่า iPhone Mini และ iPhone 12 Pro Max และคาดว่า Apple จะจัดส่ง iPhone ได้ประมาณ 220 ล้านเครื่องในปี 2021 ซึ่งจะเพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบเป็นรายปี

Source

]]>
1301832
ย้อนรอยเทรนด์ ‘Avatar’ ฟีเจอร์เก่าที่กลับมา ‘ฮิต’ ใหม่ในโลก Social https://positioningmag.com/1299329 Wed, 30 Sep 2020 09:58:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1299329 หากย้อนไปประมาณช่วงกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ใครที่ไถ Facebook อยู่คงจะได้เห็นเพื่อน ๆ หลายคนแชร์รูป ‘ตัวการ์ตูน’ ที่เป็น อวาตาร์ แทนตัวคนนั้น ๆ กันเต็มฟีด ซึ่งก็ไม่ต้องไปหาแอปอะไรมาสร้าง แต่ Facebook นี่แหละที่เปิดให้ผู้ใช้สร้างกันได้เองผ่านฟีเจอร์อวาตาร์ (Avatar) และมาปลายเดือนนี้ LINE ก็เปิดให้ผู้ใช้ได้สร้างอวตาร์ของตัวเองด้วยเช่นกัน ดังนั้น Positioning จะพาไปย้อนรอยถึงเทรนด์การสร้างอวตาร์กัน ว่ามันเริ่มต้นมาได้อย่างไร

อย่างที่หลายคนรู้ ว่าเทรนด์การสร้างอวาตาร์นี่ไม่ใช่อะไรที่ใหม่เลย เพราะหากย้อนไปเมื่อปี 2018 ที่เป็นช่วงเริ่มต้นของยุคทองแห่งแอปพลิเคชันจดจำใบหน้าด้วยเทคโนโลยี AI ส่งผลให้สมาร์ทโฟนตัว Top ก็มีฟีเจอร์ให้สร้างอวาตาร์ได้ อย่าง Samsung Galaxy S9 และ S9+ ที่มีฟีเจอร์สร้าง ‘AR Emoji’ ไว้ใช้งานได้ด้วยตัวเอง หรืออย่างฝั่ง iOS ที่สามารถให้ผู้ใช้สร้าง ‘Memoji’ ได้เช่นกัน (ตั้งแต่ iOS 12 ขึ้นไป) แน่นอนว่าฟีเจอร์ดังกล่าวสามารถสร้างความ ‘ว้าว’ ให้กับสินค้าได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

จากนั้นในปีเดียวกัน ก็มีแอปพลิเคชันอย่าง ‘ZEPETO’ (เซ็ปเพ็ตโต้) แอปสัญชาติเกาหลีที่ใช้สร้างอวาตาร์ไว้เล่นกับเพื่อน แต่ไม่ใช่แค่สร้างมาเป็นสติกเกอร์ไว้เอามาแชร์บน Social เท่านั้น แต่เพราะสามารถทำวิดีโอภาพเคลื่อนไหวได้ สามารถใช้อวาตาร์สร้างปฏิสัมพันธ์ พบปะผู้คนที่เข้ามาเล่นด้วยกันกับเพื่อนได้ เช่น ถ่ายภาพร่วมกัน และมีเกมให้เล่นเพื่อเก็บเหรียญเพื่อซื้อชุดต่าง ๆ ส่งผลให้ในขณะนั้น ZEPETO มียอดดาวน์โหลดมากที่สุดในจีนและไทยเลยทีเดียว

นอกจากนี้ก็มี Bitmoji ของ Snapchat ก็ได้รับความนิยมเช่นกัน จากความฮิตดังกล่าว ส่งผลให้เจ้าพ่อ Social Media อย่าง Facebook ก็หันมาเพิ่มฟีเจอร์อวาตาร์อย่างที่เรา ๆ กำลังเล่นกันอยู่ โดยเปิดตัวครั้งแรกเมื่อกลางปี 2019 โดยเริ่มที่สหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย ก่อนจะมาเปิดตัวที่ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย และอีกหลายประเทศไปเมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา และล่าสุดก็มาถึงคิวของ ‘LINE’ ที่เพิ่มฟีเจอร์อวาตาร์ให้ได้เล่นกัน โดยสามารถนำอวาตาร์มาทำเป็นภาพนิ่งหรือวิดีโอได้ แถมสามารถเอาตัวอวาตาร์ไปถ่ายภาพแบบ AR ได้ด้วย

จะเห็นว่าฟีเจอร์อวาตาร์ไม่ใช่อะไรที่ ‘ใหม่’ แต่ก็ถือว่าเป็นอะไรที่ออกมาสร้างสีสันบนโลก Social ได้ดี แถมมีโอกาสสร้างรายได้ในอนาคต เช่น ซื้อชุดหรือสกินเสริม อย่างไรก็ตาม เพราะไม่ได้มีการต่อยอดอะไรเหมือนกับ ‘เกม’ ที่จะทำให้ผู้ใช้ยอมจ่าย แต่ใช้แค่สร้างอวาตาร์ของตัวเองไว้เป็นสติกเกอร์เพื่อสร้างสีสันเท่านั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่กระแสการสร้างอวาตาร์จะมาไวและไปไว (มาก) ไม่ว่าจะมาในยุคไหนสมัยไหนก็ตาม

]]>
1299329
‘iOS 14’ ทำพิษระบบ ‘Audience Network’ ของ ‘Facebook’ คาดรายได้อาจหาย 50% https://positioningmag.com/1294277 Thu, 27 Aug 2020 04:24:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1294277 ปัจจุบัน ผู้ลงโฆษณาสามารถใช้หมายเลขรหัสอุปกรณ์เฉพาะที่เรียกว่า IDFA (identifier for advertisers) เพื่อกำหนดเป้าหมายโฆษณาและประเมินประสิทธิภาพได้ดีขึ้น แต่ใน ‘iOS 14’ แต่ละแอปที่ต้องการใช้ IDFA จะต้องขอให้ผู้ใช้ให้อนุญาตก่อน ซึ่งนั่นทำให้ ‘Facebook’ ยอมรับว่ากระทบกับระบบ ‘Audience Network’ ที่ใช้ระบุกลุ่มเป้าหมาย

สำหรับ Audience Network นั้นเป็น Ad placement (ตำแหน่งการแสดงผลโฆษณา) ชนิดหนึ่ง โดยจะไปแสดงอยู่บนแอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์ ที่มีการติดตั้งโค้ดจาก Facebook เพื่อให้โฆษณาไปแสดงอยู่ในตำแหน่งต่าง ๆ ตามที่เจ้าของแอปเซตเอาไว้ โดยที่ยังคงความสามารถของการตั้งกลุ่มเป้าหมายแบบ People-Based ของ Facebook เอาไว้อยู่

โดย Facebook เคยเตือนก่อนหน้านี้ว่า iOS 14 อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจโฆษณา เนื่องจากระบบ Audience Network เพราะไม่สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ระบบดังกล่าวนั้นช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์มือถือกว่า 19,000 รายทั่วโลกสามารถให้บริการโฆษณาในแอปที่กำหนดเป้าหมายไปยังผู้ใช้ตามข้อมูลของ Facebook ซึ่ง Facebook ได้การจ่ายเงินหลายพันล้านเหรียญสหรัฐให้กับธุรกิจเหล่านั้นด้วย

ดังนั้น การตัดเส้นทางในการโฆษณาย่อมส่งผลกระทบต่อรายได้ของธุรกิจขนาดเล็กอย่างแน่นอน ซึ่งที่ผ่านมามีผู้คนมากกว่า 1 พันล้านคนเห็นโฆษณา Audience Network อย่างน้อยหนึ่งรายการทุกเดือน

เป็นที่รู้กันว่ารายได้เกือบ 100% ของ Facebook มาจากการโฆษณา แต่ยังไม่มีตัวเลขแน่ชัดว่ารายได้จาก Audience Network เทียบกับโฆษณาอื่น ๆ บน Facebook คิดเป็นสัดส่วนกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด แต่คาดว่ารายได้จากผู้เผยแพร่โฆษณาแบบ Audience Network อาจลดลงมากกว่า 50% และผลกระทบต่อ Audience Network บน iOS 14 อาจมีมากกว่าเรื่องรายได้อีกมาก ดังนั้น Facebook กำลังดำเนินการตามกลยุทธ์ระยะสั้นและระยะยาวเพื่อสนับสนุนผู้เผยแพร่โฆษณาผ่านการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้

“เราทราบดีว่าสิ่งนี้อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสามารถของผู้เผยแพร่โฆษณาในด้านการสร้างรายได้ผ่าน Audience Network และเมื่อ Audience Network ไม่มีประสิทธิภาพใน iOS 14 ก็แปลว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะพัฒนาระบบ Audience Network สำหรับ iOS ในอนาคต” Facebook กล่าวในบล็อกโพสต์

ทั้งนี้ Apple ยังไม่ได้บอกว่า iOS 14 จะเปิดตัวเมื่อใด แต่คาดว่าจะเปิดตัวในปีนี้

Source

]]>
1294277
2018 ปีแห่งความหวังหรือปีที่พลาดพลั้งของ “แอปเปิล” https://positioningmag.com/1154075 Mon, 22 Jan 2018 03:40:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1154075 เริ่มเข้าสู่ปี 2018 เป็นธรรมดาที่บริษัทยักษ์ใหญ่จะถูกจับตา โดยเริ่มมีข้อมูลบางอย่างที่สะกิดให้นักวิเคราะห์หลายคนต้องลุกขึ้นมาดูสถานการณ์ของบริษัทแอปเปิล (Apple) ในฐานะยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยีกันอีกแล้ว กับการดึงข้อมูลย้อนหลังเกี่ยวกับตลาดของ iOS เมื่อเทียบกับแอนดรอยด์มาพิจารณาของกันทาร์ (Kantar) และพบว่า iOS เริ่มจะเสียท่าให้กับแอนดรอยด์มากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วในหลาย ๆ ตลาด 

โดยข้อมูลจากกันทาร์ ระบุว่า ในช่วงเดือนกันยายน – พฤศจิกายน 2017 ที่ผ่านมานั้น แอปเปิลได้สูญเสียส่วนแบ่งการตลาดในสหรัฐอเมริกา ยุโรป อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน และญี่ปุ่น ให้กับแอนดรอยด์ โดยตลาดที่ลดแรงที่สุดคือญี่ปุ่น ที่จากเดิมมีส่วนแบ่งในปี 2016 ที่ 57 เปอร์เซ็นต์ ลดลงมาเหลือ 51.5 เปอร์เซ็นต์ในปี 2017 รองลงมาคืออังกฤษที่ลดลง 4.2 เปอร์เซ็นต์ และสหรัฐอเมริกาตามมาเป็นอันดับสามที่ปรับตัวลดลง 2.8 เปอร์เซ็นต์ จาก 43.6 เปอร์เซ็นต์ในปี 2016 ลงมาเหลือ 39.8 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้

ส่วนตลาดที่ทำให้ชื่นใจได้บ้างก็คือตลาดจีน ที่แอปเปิลยังโตต่อเนื่องจากปีที่แล้ว จาก 19.7 เปอร์เซ็นต์เป็น 24.3 เปอร์เซ็นต์ หรือเพิ่มขึ้น 4.6 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ดี แอปเปิลไม่ใช่แบรนด์ที่เป็นผู้นำในตลาดจีน ดังนั้นการโตของแอปเปิลจึงเป็นการชิงส่วนแบ่งมาจากบริษัทเช่น เสี่ยวหมี่ (Xiaomi) ซัมซุง (Samsung) หัวเว่ย (Huawei) เป็นหลัก โดยสมาร์ทโฟนตัวท็อปอย่างไอโฟนเท็น (iPhone X) มีส่วนแบ่งตลาดในจีนอยู่ที่ 6 เปอร์เซ็นต์

แต่การที่จีนกลายเป็นตลาดที่มีความสำคัญต่อแอปเปิลมากขึ้นทุกทีนี้ (ปัจจุบันเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสาม) ก็ทำให้แอปเปิลมีความเสี่ยงในสายตาของนักวิเคราะห์ได้เช่นกัน เนื่องจากนโยบายของรัฐบาลจีนจะมีอานุภาพรุนแรงมากขึ้น และอาจชี้ชะตาบริษัทได้เลยทันที

“แอปสโตร์” ขุมทรัพย์ใหม่

กล่าวถึงข่าวร้ายกันไปมากแล้ว ลองมาฟังข่าวดีกันบ้าง นั่นคือเมื่อพิจารณาตัวเลขส่วนแบ่งในตลาดโลกแล้วพบว่า iOS มีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นจาก 19.7 เปอร์เซ็นต์ในปี 2016 เป็น 24.3 เปอร์เซ็นต์ในปี 2017 แถมตัวเลขรายได้จากแอปสโตร์ (App store) ในวันที่ 1 มกราคม 2018 ก็ทำได้สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2008 ที่ 300 ล้านเหรียญสหรัฐในวันที่ 1 มกราคม 2018 ซึ่งตัวเลขนี้แซงหน้ายอดขายของแอปสโตร์ในวันที่ 1 มกราคม 2017 ที่ 240 ล้านเหรียญสหรัฐไปอย่างขาดลอย

ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผลประกอบการของแอปสโตร์เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งนี้ ได้มีการวิเคราะห์ว่ามาจากการปรับปรุงแอปสโตร์ใหม่ และเปิดตัวออกมาเมื่อเดือนกันยายน 2017 พร้อมกับการอัปเดตระบบปฏิบัติการ iOS 11 ซึ่งทำให้ผู้ที่เข้ามาในแอปสโตร์นี้สามารถพบแอปพลิเคชันใหม่ ๆ ที่น่าสนใจได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้น ด้วยฟีเจอร์หนึ่งที่ชื่อว่า “App of the Day” ที่จะดึงแอปหรือเกมใหม่มาแสดงในจุดนี้ทุก ๆ วันเพื่อสร้างการรับรู้ (Awareness) และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงเกมหรือแอปพลิเคชันที่อาจไม่เป็นที่รู้จักนักก็ยังทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดี ซึ่งข้อมูลจาก แอปโทเปีย (Apptopia) บริษัทวิจัยที่เก็บข้อมูลด้านแอปพลิเคชันเป็นการเฉพาะพบว่า ฟีเจอร์ App of the Day นี้สามารถเพิ่มการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันในหนึ่งวันได้มากถึง 2,172 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว 

สำหรับยอดขายที่เพิ่มขึ้นของแอปสโตร์นี้ ยังสามารถนำไปใส่ในงบการเงินให้นักลงทุนได้เห็นด้วยว่า แอปเปิลมีแหล่งน้ำอีกบ่อนอกเหนือจากการมุ่งขายแต่ตัวเครื่องไอโฟนเพียงอย่างเดียว และบ่อน้ำบ่อนี้ก็เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แล้วด้วย นอกจากนั้น แอปเปิลยังมีความพยายามในการสร้างบ่อน้ำใหม่ ๆ อีกหลายบ่อ เช่น ARKit และ Apple Watch เพื่อมาช่วยไดรฟ์ยอดขายแอปพลิเคชันในแอปสโตร์เพิ่มด้วย 

ในมุมของนักวิเคราะห์อย่างโฮเรซ เดดิว (Horace Dediu) จาก Asymco แล้ว คาดการณ์ว่า ภายในสิ้นปีนี้ เป็นไปได้ที่ยอดการใช้จ่ายของคอนซูเมอร์บนแอปสโตร์นั้นจะพุ่งขึ้นเป็น 100 ล้านเหรียญสหรัฐต่อวัน และอาจทำให้แอปสโตร์กลายเป็นแหล่งรายได้ขุมใหม่ที่อาจทำเงินให้กับแอปเปิลได้ในระดับแสนล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2019 ก็เป็นได้

นำเงินกลับบ้าน

การประกาศครั้งใหญ่ของแอปเปิลเมื่อวันพุธที่ผ่านมาอีกเรื่องหนึ่งคือการนำเงินจากต่างประเทศ 245,000 ล้านเหรียญสหรัฐกลับมายังสหรัฐอเมริกา หลังมีการลดอัตราภาษีจาก 35 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 15.5 เปอร์เซ็นต์ และการประกาศแผนการสร้างแคมปัสแห่งที่สองในสหรัฐอเมริกา ซึ่งคาดว่าจะสร้างงานให้ได้ถึง 20,000 ตำแหน่ง และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้ถึง 350,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วง 5 ปี ซึ่งถือเป็นยาหอมชั้นดีให้กับคนอเมริกัน หลังจากเริ่มเกิดกระแสไม่พอใจบริษัทเทคโนโลยีกันอีกครั้งที่ทำให้ค่าครองชีพในย่านที่ตั้งบริษัทขยับตัวขึ้นสูงจนคนยากจนไม่สามารถอาศัย หรือทำมาหากินในแหล่งนั้นได้อีก ดังเช่นกรณีการขว้างปาสิ่งของใส่รถบัสพนักงานของแอปเปิล (และกูเกิล) จนได้รับความเสียหายไปหลายคัน

จากภาพรวมในช่วงต้นปีที่ผ่านมา อาจพอทำนายได้ว่า สิ่งที่ท้าทายในปีนี้ของแอปเปิลจึงอาจเป็นการบาลานซ์ความต้องการทุก ๆ ด้าน ทุก ๆ ฝ่ายให้ลงตัว และไม่ปล่อยให้ตัวเลขยอดขายบางอย่างสุดโต่งจนเกินไป รวมถึงต้องเริ่มการ “ให้” กลับคืนสู่สังคมอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น จับต้องได้มากขึ้น เพื่อให้องค์กรของตัวเองสามารถอยู่ได้อย่างปลอดภัยไม่ว่าจะที่ใดในโลก.

ที่มา : mgronline.com/cyberbiz/detail/9610000005996

]]>
1154075
สาวกไอโฟนว่าไง? แอปเปิล รับจงใจ “ชะลอการทำงานเครื่องรุ่นเก่า” เสนอลดราคาค่าเปลี่ยนแบตฯ เหลือ 900 บาท https://positioningmag.com/1152063 Fri, 29 Dec 2017 03:23:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1152063 แอปเปิลออกแถลงการณ์รับจงใจ “ชะลอการทำงาน” ไอโฟนรุ่นเก่าจริง ตั้งแต่ระบบปฏิบัติการ iOS 10.1.2 แต่ทำเพื่อบรรเทาปัญหาแบตเตอรีเสื่อม ซึ่งอาจนำไปสู่กรณีเครื่องดับโดยไม่ได้ตั้งใจ ยื่นข้อเสนอลดราคาเปลี่ยนแบตฯ เหลือ 29 ดอลลาร์สหรัฐฯ (950 บาท) ให้ผู้ใช้ตั้งแต่ไอโฟน 6 เป็นต้นไป พร้อมอัปเดตระบบให้ผู้ใช้ตรวจสอบสภาพความเสื่อมแบตฯ ได้ง่ายช่วงต้นปีหน้า

จากปัญหามีผู้ใช้ออกมาเปิดหลักฐานแฉแอปเปิล (Apple) ว่า เจ้าพ่อไอโฟนจงใจ “ชะลอการทำงาน” ของไอโฟนรุ่นเก่าทั้ง ไอโฟน 6, ไอโฟน 6 พลัส, ไอโฟน 6 เอส, ไอโฟน 6 เอสพลัส และไอโฟน เอสอี เพื่อรักษาอายุการใช้งานแบตเตอรี โดยแอปเปิลใช้วิธีควบคุมความเร็วของโปรเซสเซอร์ให้น้อยลงตามความจุแบตเตอรีที่ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ท่ามกลางเสียงวิจารณ์หนาหูว่า ความหวังดีของแอปเปิลอาจเป็นการบีบให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครื่องใหม่ จนในที่สุดมีผู้ใช้ส่งเรื่องฟ้องร้องการกระทำดังกล่าวของแอปเปิล

ช่วงบ่ายวานนี้ (28 ธ.ค.) แอปเปิลได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ (คลิกอ่านฉบับเต็ม) โดยอธิบายว่า การปรับลดความเร็วของซีพียูดังกล่าวอยู่ในระบบปฏิบัติการตั้งแต่เวอร์ชัน iOS 10.1.2 เพื่อลดโอกาสการปิดเครื่องโดยอัตโนมัติของไอโฟนจากปัญหาแบตเตอรีเสื่อมสภาพ

“ประการแรก และสำคัญที่สุด เราไม่เคย และจะไม่ทำการอะไรก็ตามที่จงใจลดอายุการใช้งานของสินค้าแอปเปิล หรือลดระดับประสบการณ์การใช้งานสินค้าของผู้บริโภค เพื่อผลักให้เขาไปซื้อเครื่องรุ่นใหม่” แถลงการณ์ผ่านเว็บไซต์ระบุ และกล่าวต่อว่า “เป้าหมายของเราตลอดมา คือ ต้องการสร้างสรรค์สินค้าที่ผู้บริโภครัก และความพยายามที่จะทำให้ไอโฟนสามารถใช้งานได้ยาวนานที่สุดเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญของเป้าหมายนั้น”

แถลงการณ์ของยักษ์ใหญ่ไอทียังระบุด้วยว่า เพื่อช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวบริษัทยื่นขอเสนอให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนแบตเตอรีไอโฟนรุ่นเก่าที่หมดประกันแล้วได้ในราคาถูกลง 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ จาก 79 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 2,600 บาท) เหลือเพียง 29 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 950 บาท) โดยข้อเสนอดังกล่าวมีสำหรับผู้ที่ซื้อไอโฟน 6 และไอโฟนรุ่นที่ออกหลังจากนั้น โดยผู้ใช้สามารถนำเครื่องเข้ารับบริการได้ทั่วโลกตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมกราคม 2561 จนกระทั่งธันวาคม 2561

นอกจากนี้ ยังระบุด้วยว่า บริษัทจะอัปเดตระบบปฏิบัติการ iOS ในช่วงต้นปี 2561 เพื่อให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสภาพของแบตเตอรีของไอโฟนได้อย่างสะดวกมากขึ้น.

ที่มา : mgronline.com/cyberbiz/detail/9600000130902

]]>
1152063