Import-Export – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 07 Sep 2023 09:56:15 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เศรษฐกิจจีนยังน่ากังวล ตัวเลขภาคการส่งออกถดถอย 4 เดือนติด นักวิเคราะห์คาดจีนจะกระตุ้นการบริโภคในประเทศ https://positioningmag.com/1443693 Thu, 07 Sep 2023 09:53:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1443693 ภาคการส่งออกของจีนยังถดถอยต่อเนื่อง ล่าสุดในเดือนสิงหาคม ตัวเลขการส่งออกของจีนถดถอยที่ 8.8% อย่างไรก็ดีนักวิิเคราะห์คาดว่าการส่งออกและการนำเข้าที่ลดลงอาจใกล้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว รวมถึงจีนอาจมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเน้นการบริโภคในประเทศมากขึ้น

หน่วยงานศุลกากรของจีนได้เปิดเผยตัวเลขการส่งออกของจีนในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาถดถอยที่ 8.8% เมื่อเทียบกับปี 2022 ที่ผ่านมา ซึ่งตัวเลขดังกล่าวนั้นถดถอยมาเป็นระยะเวลา 4 เดือนติดต่อกันแล้ว ปัจจัยดังกล่าวทำให้นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขเศรษฐกิจจีนหลังจากนี้มีโอกาสพลาดเป้าที่รัฐบาลวางไว้ว่าจะเติบโตที่ 5% แม้ว่า GDP ของจีนในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาจะเติบโตมากถึง 6.3% ก็ตาม 

สำหรับตัวเลขการส่งออกของจีนที่ถดถอยมาจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่สดใสมากนัก ความต้องการสินค้าลดลงจากประเทศต่างๆ จากผลของการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อดึงให้ตัวเลขเงินเฟ้อกลับลงมา นอกจากนี้ยังรวมถึงท่าเรือใหญ่ๆ ของจีนได้รับผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่นที่พัดเข้าในช่วงที่ผ่านมา

ขณะเดียวกันปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ หรือแม้แต่ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ล่าสุดตัวเลขการนำเข้าสินค้าจีนในสหรัฐอเมริกานั้นลดลงเหลือแค่ 14.6% เท่านั้น ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมา จากความขัดแย้งดังกล่าว ก็ส่งผลต่อภาคการส่งออกของจีนเช่นกัน

ตัวเลขภาคการส่งออกของจีนที่น่าสนใจ (เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา)

  • ปริมาณการส่งออกโทรศัพท์มือถือถดถอยครั้งแรก โดยถดถอยถึง 20.5%
  • ปริมาณการส่งออกสินค้าประเภทของตกแต่งบ้านเติบโต 14.5%
  • ปริมาณการส่งออกยานยนต์เติบโต 35.2% (ได้ปัจจัยหลักจากการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า)
  • ปริมาณการส่งออกสินค้าไปยังญี่ปุ่นลดลง 19.7%
  • ปริมาณการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกา อาเซียน ไต้หวัน ดีกว่าเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดีตัวเลขดังกล่าวดีกว่าผลสำรวจนักนักวิเคราะห์ของ Reuters ซึ่งคาดไว้ว่าจะตัวเลขการส่งออกจะถดถอยมากถึง 9.2% ขณะที่ตัวเลขการนำเข้าสินค้าคาดว่าจะถดถอยที่ 9% ขณะที่ Wind บริษัทด้านข้อมูลการเงินและเศรษฐกิจในจีนคาดว่าภาคการส่งออกของจีนจะถดถอยมากถึง 9.5% ด้วยซ้ำ

ไม่เพียงเท่านี้การนำเข้าสินค้าของจีนในเดือนที่ผ่านมาก็ถดถอยถึง 7.3% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาด้วย

ในช่วงที่ผ่านมาจีนได้ออกมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็น มาตรการให้ผู้บริโภคซื้อรถยนต์ไฟฟ้ากับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น เพื่อฟื้นเศรษฐกิจกลับมาโตอีกรอบ หรือแม้แต่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อจะทำให้อัตราการขอสินเชื่อกลับมาเติบโตมากขึ้น

บทวิเคราะห์ของ UOB ได้มองว่าการส่งออกและการนำเข้าที่ลดลงอาจใกล้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว หลังจากจีนได้นำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์จำนวนมาก และมองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจีนมีเสถียรภาพบ้างแล้ว หลังจากถดถอยลงอย่างมากนับตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นมา แต่สถาบันการเงินจากสิงคโปร์รายนี้ยังคาดการณ์ว่าปีนี้ส่งออกจีนจะถดถอย 6%

ขณะที่บทวิเคราะห์จาก Bank Of America คาดว่าตัวเลขการส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคของจีนจะยังอ่อนแอต่อไป แม้ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาจะดูดีก็ตาม และคาดว่าจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เน้นการบริโภคในประเทศ หลังจากออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ออกมา

ที่มา – BBC, Al Jazeera, บทวิเคราะห์จาก Bank of America และ UOB

]]>
1443693
จับตา ‘คลัสเตอร์โรงงาน’ หากคุมไม่อยู่ โควิดลุกลาม-ยืดเยื้อ ฉุด ‘ส่งออก’ เสียหาย 1.9 แสนล้าน https://positioningmag.com/1344693 Fri, 30 Jul 2021 10:29:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1344693 โจทย์ใหญ่ ‘คลัสเตอร์โรงงานหากคุมไม่อยู่ โควิดลุกลามยืดเยื้อ เสี่ยงกระทบภาคส่งออกตัวหลักฟื้นเศรษฐกิจไทยต้องสะดุด เสียหายถึง 1.9 แสนล้านบาท ฉุดการเติบโตต่ำกว่า 7%  ชะลอดีมานด์ตลาดอาเซียน เเนะรัฐเร่งทำ Bubble and Sealed ฉีดวัคซีนให้แรงงานภาคการผลิตโดยเร็ว 

ข้อมูลล่าสุดจาก Thai Stop Covid โดยกรมอนามัย ระบุว่า นับตั้งแต่เดือนเมษายนจนถึงเดือนกรกฎาคม 2564 มีโรงงานผลิตที่ต้องเผชิญกับปัญหาการติดเชื้อโควิดแล้วมากถึง 1,607 โรงงาน เป็นโรงงานขนาดใหญ่ 67% ซึ่งมีแรงงานจำนวนมาก มีทั้งโรงงานผลิตเพื่อใช้ภายในประเทศและป้อนตลาดต่างประเทศ 

คลัสเตอร์โรงงาน จึงเป็นคลัสเตอร์ใหญ่ นอกเหนือไปจากแคมป์ก่อสร้าง

โรงงานส่วนใหญ่ที่พบปัญหาการติดเชื้อจะอยู่ใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหาร อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์ยางพาราและผลิตภัณฑ์สิ่งทอ

โดยประเทศไทยมีโรงงานใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมนี้มากถึง 11,637 แห่ง มีแรงงาน 1.96 ล้านคน และมีมูลค่าตลาดต่อปีเท่ากับ 8.87 ล้านล้านบาท มีสัดส่วนส่งออกกว่า 57% และจากการที่เป็นอุตสาหกรรมที่มีการใช้แรงงานค่อนข้างมาก เมื่อมีผู้ติดเชื้อจึงมีโอกาสที่จะเกิดการแพร่กระจายสูง ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้มาตรการปิดโรงงานหยุดกระบวนการผลิตชั่วคราวได้ 

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินว่า หากมีการปิดคลัสเตอร์โรงงาน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมข้างต้นเป็นเวลา 2 สัปดาห์เพื่อควบคุมการระบาด จะก่อให้เกิดการสูญเสียมูลค่า 3.5 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 4% ของมูลค่าตลาด 

สำหรับอุปทานสินค้าป้อนตลาดจากโรงงานในอุตสาหกรรมอาหารยานยนต์ ยางพาราและพลาสติก จะได้รับผลกระทบจากการปิดโรงงานเร็วที่สุด เพราะมีสินค้าคงคลังน้อยกว่าช่วงปกติ

ดังนั้น หากไม่สามารถควบคุมการระบาดคลัสเตอร์โรงงานได้ ภาครัฐต้องมีการล็อกดาวน์โรงงานเพิ่มขึ้น หรือขยายระยะเวลาปิดโรงงานออกไป คาดว่าจะทำให้ปัญหา Supply Disruption ชัดเจนมากขึ้น และส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกที่เป็นเครื่องยนต์หลักในการฟื้นเศรษฐกิจครั้งนี้ 

นอกจากสินค้าส่งออกทั้ง 5 กลุ่มอุตสาหกรรมเเล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจอาเซียนได้รับผลกระทบจากการเผชิญกับยอดผู้ติดเชื้อโควิดใหม่เพิ่มสูงขึ้นมากขึ้น โดยเฉพาะ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม ทำให้ประเทศเหล่านี้ต้องกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั้งประเทศ ส่งผลต่อความต้องการสินค้าส่งออกจากไทยในช่วงครึ่งปีหลัง

การส่งออกใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรม คิดเป็น 2 ใน 3 ของมูลค่าการส่งออกไปตลาดอาเซียน ซึ่งในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้มีมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท

เเนะทำ ‘Bubble and Sealed’ ในโรงงาน เร่งฉีดวัคซีน สกัดความเสียหาย 

เมื่อพิจารณาประเทศคู่ค้าหลัก ทั้งสหรัฐฯ จีน และยุโรป ที่เศรษฐกิจฟื้นตัวชัดเจนต่อเนื่อง สะท้อนจากการส่งออกไปตลาดคู่ค้าหลักในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ที่ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปี 2563 ถึง 23.4% และมีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง

เหล่านี้ จะช่วยชดเชยผลกระทบจากการชะลอตัวลงของตลาดอาเซียนที่ในช่วงครึ่งปีแรกขยายตัวได้ 11.2% ส่งผลให้การส่งออกรวม 5 กลุ่มอุตสาหกรรมยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง

ประกอบกับ หากสามารถเร่งหยุดยั้งการระบาดของคลัสเตอร์โรงงานได้เร็ว จะหนุนให้ภาพรวมการส่งออกสินค้าไทยทั้งปี 2564 ขยายตัวได้ในระดับสูงที่ 9.4% เพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อน

เเต่หากไม่สามารถควบคุมคลัสเตอร์โรงงานได้ ทำให้กระบวนการผลิตหยุดไปอีก 2 สัปดาห์ จะเกิดความเสียหาย 1.9 แสนล้านบาท เป็นปัจจัยฉุดการส่งออกทั้งปีโตได้เพียง 6.8%

ttb analytics เเนะว่า เพื่อลดการระบาดและลุกลามของคลัสเตอร์โรงงาน รัฐต้องมีกระบวนการเร่งตรวจหาและคัดแยกผู้ติดเชื้อออกจากโรงงาน เเละการทำ Bubble and Sealed เพื่อควบคุมดูแลรักษาผู้ติดเชื้อในโรงงานไม่ให้แพร่กระจายออกไป

ต้องเร่งฉีดวัคซีนให้กับแรงงานภาคการผลิตที่มีจำนวนมาก ถือเป็นมาตรการเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องควรร่วมมือดำเนินการ เพื่อให้ภาคการผลิตและส่งออกของไทยยังรักษาอัตราการเติบโตได้ต่อเนื่อง ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว

 

 

]]>
1344693
นิชคาร์กรุ๊ป ร่วมกับซิมป์สันมารีน ลุยธุรกิจนำเข้าซุปเปอร์ยอร์ชระดับหรู สู่กรุงเทพมหานคร https://positioningmag.com/1095271 Wed, 22 Jun 2016 07:03:32 +0000 http://positioningmag.com/?p=1095271 นิช มารีน โดย บริษัท นิช คาร์ กรุ๊ป จำกัด ผู้นำเข้ารถยนต์ แลมโบร์กินี, แมคลาเรน, ปากานี, โคนิกเซ็กก์, โลตัส และฮัมเมอร์ อย่างเป็นทางการแต่เพียงรายเดียวในประเทศไทย ขยายธุรกิจสู่เรือซุปเปอร์ยอร์ชสุดหรู ด้วยความร่วมมือกับบริษัทซิมป์สันมารีน จำกัด บริษัทชั้นนำในการทำธุรกิจเกี่ยวกับเรือยอร์ชระดับหรูในภูมิภาคเอเชีย นำเข้าซุปเปอร์ยอร์ชระดับโลก อาทิ Monte Carlo Yachts, Beneteau Sail and Power, Lagoon, CNB และ Viking
วิทวัส ชินบารมี กรรมการผู้จัดการ บริษัท นิช คาร์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า “ในประเทศไทย กลุ่มผู้มีความสนใจในเรือซุปเปอร์ยอร์ชมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มลูกค้าของนิชคาร์กรุ๊ปเองซึ่งมีความหลงใหลทั้งในเครื่องยนต์ของซุปเปอร์คาร์ระดับโลก และยังมีความชื่นชอบในเรือซุปเปอร์ยอร์ชหรูหราเพื่อการพักผ่อนอันเหนือระดับ โดยนิชคาร์กรุ๊ปมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับซิมป์สัน มารีน บริษัทที่มีประสบการณ์บริหารจัดการธุรกิจเรือซุปเปอร์ยอร์ชได้อย่างดีเยี่ยม ให้บริการการดูแลรักษา พร้อมโปรแกรมการเช่าเหมาลำ ซึ่งจะดำเนินการภายใต้การดูแลของนิชมารีน ก่อตั้งขึ้นเพื่อดูแลธุรกิจด้านเรือยอร์ชโดยเฉพาะ ให้การดูแลลูกค้า ณ ศูนย์บริการในกรุงเทพฯ เอื้อในการเข้าถึงของลูกค้าทั้งในเขตภาคกลางและภาคเหนือของประเทศไทย”
เซอจิโอ โลเคียโน ผู้จัดการฝ่ายขาย บริษัท ซิมป์สันมารีน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ด้วยประสบการณ์ในธุรกิจเรือซุปเปอร์ยอร์ชระดับหรู มากกว่า 30 ปี ของเรา บวกกับชื่อเสียงที่ดีของนิชคาร์กรุ๊ปในฐานะผู้นำเข้ารถหรูระดับโลกอย่างเป็นทางการหลากหลายแบรนด์ เราเชื่อมั่นว่า กลุ่มลูกค้าของนิชคาร์กรุ๊ป จะมีความยินดีและตื่นเต้นในการเข้าถึงความสนุกสนานของซุปเปอร์ยอร์ชได้โดยง่ายยิ่งขึ้นผ่านการดูแลของนิชมารีน”
บริษัทซิมป์สันมารีน ก่อตั้งโดย ไมค์ ซิมป์สัน มีสำนักงาน 20 แห่งในเอเชีย รวมทั้งในจังหวัดภูเก็ตซึ่งก่อตั้งเป็นระยะเวลาเกือบ 15 ปี โดยถือเป็นผู้หนึ่งที่สร้างความตื่นตัวและความสนใจในการแล่นเรือยอร์ชในท้องทะเลของประเทศไทย ปัจจุบัน มีสำนักงาน 2 แห่งในประเทศไทย ที่ อ่าวปอแกรนด์มารีน่า จังหวัดภูเก็ต และโอเชี่ยนมารีน่าในพัทยา จังหวัดชลบุรี
เมื่อเร็วๆ นี้ นิชคาร์กรุ๊ปและซิมป์สันมารีน ได้ร่วมฉลองความร่วมมือ ด้วยการส่งมอบซุปเปอร์ยอร์ชลำแรก รุ่น Monte Carlo Yachts 86 ให้แก่ลูกค้า และพร้อมแล้วที่จะร่วมกันนำเสนอประสบการณ์เรือยอร์ชระดับหรู เพื่อการพักผ่อนอันเหนือระดับ สู่ประเทศไทย
]]>
1095271
เครือเฮอริเทจ ผู้นำอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อสุขภาพที่ดีของผู้บริโภค https://positioningmag.com/1094346 Mon, 13 Jun 2016 03:55:01 +0000 http://positioningmag.com/?p=1094346 เครือเฮอริเทจ ผู้นำเข้า ผลิต และส่งออก สินค้าของว่าง อาหาร และเครื่องดื่ม หลากหลายแบรนด์ อาทิ ถั่วและผลไม้อบแห้งแบรนด์ “เฮอริเทจ”, อัลมอนด์จากแคลิฟอร์เนีย “บลูไดมอนด์”, ผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้จากธรรมชาติ 100% “เซนเซชั่น”, ขนมขบเคี้ยวประเภทถั่วและเมล็ดพืช “นัทวอล์คเกอร์”, ถั่วพิทาชิโอ “ซันคิสต์”, ข้าวโพดอบกรอบเคลือบคาราเมลผสมถั่วพรีเมี่ยม “วันเดอร์พัฟฟ์ ป๊อบคอร์น”, คุกกี้และช็อคโกแลต “ฟรังซัวส์”, ผลิตภัณฑ์อาหารจีน “โกลด์ฟิช”, ผลิตภัณฑ์วุ้นเส้น “เฟิร์สดราก้อน”, และน้ำแร่ธรรมชาติจากอิตาลี “แมนเจียโตเรล่า” ร่วมงานแสดงสินค้าอาหาร THAIFEX – World of Food ASIA 2016 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็คอารีน่า เมืองทองธานี เมื่อเร็วๆ นี้

ภายในงาน เครือเฮอริเทจได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่หลากหลายรายการ ไฮไลท์อยู่ที่ นมอัลมอนด์ แบรนด์บลูไดมอนด์ ซึ่งมีโครงการผลิตเองในประเทศไทย พร้อมจำหน่ายในปี 2560 เพื่อลดต้นทุนการผลิต เอื้อให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง ในราคาที่จับต้องได้ ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งเสริมสุขภาพที่ดีของผู้บริโภค

คุณวิทวัส พลไพศาล รองประธานกรรมการ เครือเฮอริเทจ กล่าวว่า “เครือเฮอริเทจเชื่อมั่นอย่างยิ่งในความเป็นธรรมชาติของสินค้า เราจะให้ผู้บริโภคได้ทานสิ่งที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด ใช้เทคนิคการแปรรูปอาหารแบบดั้งเดิม ไม่มีการใช้สารเคมี หรือสีสังเคราะห์ ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภค ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทอยากให้ผู้ผลิตทุกท่านยึดมั่นเป็นมาตรฐาน”

“เรามีสินค้าอาหารหลายประเภท ส่งออกสู่กว่า 60 ประเทศ ทั่วโลก และพยายามเพิ่มสินค้าใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความหลากหลาย เพื่อให้ลูกค้ามาหาเรา ในความที่เรามีสินค้าครบครันเป็น One Stop Service สำหรับเขา เรามีโรงงานตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา จีน และอยู่ในระหว่างการสร้างโรงงานแห่งใหม่เพิ่มเติมในประเทศไทย เพื่อเพิ่มกำลังผลิตตามจำนวนสินค้าและธุรกิจที่เติบโตยิ่งขึ้น โดยมีโครงการผลิตนมอัลมอนด์เองในประเทศไทย ภายใต้ตราสินค้า “บลูไดมอนด์” ซึ่งเป็นแบรนด์ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นที่รู้จักทั่วโลก ในปัจจุบันมีวางจำหน่ายในเวอร์ชั่นที่เรานำเข้ามาจากต่างประเทศ ซึ่งมีราคาค่อนข้างสูง เราจึงวางแผนที่จะผลิตในประเทศ เพื่อลดต้นทุน ทั้งด้านแรงงานและภาษีนำเข้า เพื่อให้ผู้บริโภคชาวไทยได้บริโภคนมอัลมอนด์ ในราคาที่ไม่แตกต่างจากนมประเภทอื่นๆ ในต่างประเทศโดยเฉพาะที่อเมริกา ผู้บริโภคหันมาทานนมอัลมอนด์ในสัดส่วนที่มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”

“เราต้องการให้คนไทยได้รู้จักนมอัลมอนด์มากขึ้น  เนื่องจากมีคุณค่าทางอาหารที่สูงมาก มีแคลอรี่ที่น้อยกว่านมถั่วเหลือง เนื่องจากนมถั่วเหลืองจำเป็นต้องใส่น้ำตาลในปริมาณที่สูงเพื่อดับกลิ่น นมอัลมอนด์มีรสชาติที่ดีกว่าจึงสามารถใส่น้ำตาลในปริมาณที่น้อยกว่าได้ ซึ่งในผลิตภัณฑ์ของเรา มีทั้งรสชาติที่ไม่ใส่น้ำตาลเลย (Unsweetened) และรสชาติดั้งเดิม (Original) ซึ่งใส่น้ำตาลเล็กน้อย นมอัลมอนด์เหมาะเป็นอย่างยิ่งในการเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคที่แพ้แลคโตสในนมวัว หรือผู้บริโภคที่ต้องการหลีกเลี่ยงนมถั่วเหลืองด้วยเหตุผลของปฏิกิริยาการเร่งฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งมีผลข้างเคียงก่อให้เกิดมะเร็งเต้านม”

สินค้าใหม่อื่นๆที่เปิดตัวในงาน THAIFEX ในปีนี้ อาทิ ข้าวโพดอบกรอบเคลือบคาราเมล วันเดอร์พัฟ ป๊อบคอร์น ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงหลังจากเปิดตัวเมื่อปีที่ผ่านมา กับ 3 รสชาติใหม่ รสต้มยำ บาร์บีคิว และคาราเมลชีส แบรนด์เซนเซชั่นเปิดตัวไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ อาทิ น้ำผึ้งแท้และแยมจากธรรมชาติ พร้อมด้วยน้ำผลไม้มิกซ์เบอร์รี่ อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระเข้มข้น แบรนด์ เฮอริเทจ ถุงฟ้า นำเสนอเมล็ดธัญพืชเกรดพรีเมี่ยม อาทิ เมล็ดแฟลกซ์, คีนัว, คานิฮัว, เมล็ดอมารันทฮ์และเมล็ดบักวีต แบรนด์ เฮอริเทจ ถุงแดง นำเสนอผลิตภัณฑ์ประเภทแป้งในการประกอบอาหาร อาทิ แป้งสาลี ผงอัลมอนด์ ข้าวโอ๊ต แป้งแพนเค้ก ผงฟู เบกกิ้งโซดา เป็นต้น

“เราผลิตน้ำผลไม้ธรรมชาติ 100% ภายใต้แบรนด์เซนเซชั่นเองในประเทศไทย โดยใช้ความหวานจากน้ำผลไม้แทนการเติมน้ำตาล เมื่อก่อนเรานำเข้าบรรจุภัณฑ์สำเร็จ แต่ในปัจจุบันเรานำเข้าและผลิตเอง และส่งออกสู่ต่างประเทศ กลายเป็น Products of Thailand สร้างมาตรฐานทางคุณภาพให้แก่ประเทศไทย นอกจากนี้ เรายังเป็นผู้นำเข้า น้ำแร่แมนเจียโตเรล่า จากประเทศอิตาลี โดยหลังจากการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เราพบจุดเด่นในด้านรสชาติที่ดี เหมาะกับอาหารทุกประเภท มีค่าไนเตรทที่ต่ำ และสารซิลิก้าที่สูงซึ่งช่วยเพิ่มความผ่องใส่และความชุ่มชื้นของผิว โรงงานตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ ท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ จึงเป็นน้ำแร่ที่มีความบริสุทธิ์สูง”

เครือเฮอริเทจยึดมั่นการส่งมอบสินค้าอาหารและเครื่องดื่มคุณภาพสูงให้แก่ผู้บริโภค ทุกขั้นตอนการผลิตคำนึงถึงสุขภาพของผู้บริโภคเป็นหลัก โดยงาน THAIFEX ในปีนี้ สินค้าทุกรายการได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้เข้าชมงาน ทั้งจากนักธุรกิจและประชาชนทั่วไป

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.heritagethailand.com หรือติดตามกิจกรรมของเครือเฮอริเทจได้ที่เฟสบุ้ค https://www.facebook.com/Heritagesnacksandfood หรือ โทร 02-621-6126-7

]]>
1094346
ภาพรวมเศรษฐกิจไทยไม่หวือหวา แต่โลจิสติกส์และอุตสาหกรรมยังขยายตัวดี https://positioningmag.com/63051 Tue, 19 Apr 2016 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=63051

สยามกลการอุตสาหกรรม ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยูนิแคริเออร์ ฟอร์คลิฟท์ (UniCarriers forklift) อย่างเป็นทางการ ชี้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยไม่หวือหวา แต่โลจิสติกส์และอุตสาหกรรมยังขยายตัวดี รับอานิสงส์รัฐ-เอกชนเดินหน้าลงทุนชูจุดยุทธศาสตร์ดันไทยเป็นฮับ หลังเปิด AEC กางแผนปี 2559 รุกทำตลาดรถฟอร์คลิฟท์ในประเทศ เจาะอุตสาหกรรมและคลังสินค้าเน้นงานบริหารโครงการขนส่งเคลื่อนย้ายในคลังสินค้าแบบครบวงจรสร้างมูลค่าเพิ่มจากงานบริการเพื่อความคุ้มค่าของลูกค้า ตั้งเป้ายอดขายปี ’59 แตะ 900 คัน หนุนรายได้โต 1,500 ล้าน

นายประธานวงศ์ พรประภา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามกลการอุตสาหกรรม จำกัด หนึ่งในผู้นำธุรกิจนำเข้าและจัดจำหน่ายรถยก ยูนิแคริเออร์ ฟอร์คลิฟท์ (UniCarriers Forklift) ซึ่งเป็นแบรนด์ชั้นนำระดับโลก พร้อมบริการงานขนส่งเคลื่อนย้ายภายในคลังสินค้า-โรงงานอุตสาหกรรมแบบครบวงจร เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศจะไม่ขยายตัวแบบหวือหวามากนัก แต่อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ยังทรงตัวอยู่ได้ เนื่องจากยังมีความต้องการในประเทศมากขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งที่ใช้บริการขนส่งเคลื่อนย้ายภายในประเทศและส่งออกต่างประเทศจึงถือเป็นการผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางระบบโลจิสติกส์การค้าครบวงจรระดับภูมิภาค ทั้งนี้คาดว่าภาพรวมการลงทุน การขยายตัวของธุรกิจโลจิสติกส์ในภาคการผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ดี เนื่องจากในปีนี้ภาครัฐจะมีการขับเคลื่อนการลงทุนในเมกะโปรเจกต์ต่างๆจำนวนหลายโครงการ ซึ่งจะส่งผลให้ภาคเอกชนเกิดการลงทุนใหม่ๆ หรือขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติมด้วยเช่นกัน

ขณะเดียวกันมองว่าการเปิด AEC จะทำให้เกิดความคึกคักด้านการลงทุนจากต่างชาติที่จะเข้ามาในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้น แม้ว่าการลงทุนที่เกิดขึ้นนั้นอาจไม่ได้เกิดในประเทศโดยตรง แต่ไทยยังถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการขนส่งและโลจิสติกส์ที่ต้องใช้เป็นเส้นทางผ่าน หรือการใช้ไทยเป็นฐานการผลิตและกระจายการลงทุนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน

“การขยายตัวของธุรกิจโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมดังกล่าว ถือเป็นโอกาสที่ดีของบริษัทในการขยายฐานลูกค้าและการให้บริการ โดยบริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์ด้านการขายและบริการในทุกๆด้านแบบครบวงจร โดยเน้นการให้คำแนะนำหรือร่วมกับลูกค้าสร้างระบบ รูปแบบ การจัดการงานเคลื่อนย้ายสินค้าในคลังสินค้า-โรงงานอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดความสูญเสียในพื้นที่การทำงาน ควบคุมการเคลื่อนย้ายอย่างมืออาชีพ ลดขั้นตอนการทำงานที่ไม่จำเป็น สามารถกำหนดวันและเวลาที่ชัดเจนได้ รวมไปถึงการสร้างบริการหลังการขายที่ดี ทั้งนี้เชื่อว่ารูปแบบที่ขายและบริการแบบครบวงจรจะสามารถลดความเสี่ยงของลูกค้าได้ในระยะยาว”นายประธานวงศ์ กล่าว

อีกทั้งบริษัทเตรียมความพร้อมเปิดศูนย์บริการเพิ่มอีก 2-3 สาขา อาทิ ปราจีนบุรี พระราม 2 เป็นต้น จากเดิมมี 4 สาขา ประกอบด้วย ศรีนครินทร์ (สำนักงานใหญ่) ปทุมธานี(คลองหลวง) ระยอง และนครราชสีมา และศูนย์บริการเคลื่อนที่ (Mobile Service) ประกอบด้วย อุดรธานี นครปฐม และเชียงใหม่ ตัวแทนจำหน่ายปัจจุบัน ประกอบด้วย สงขลา(หาดใหญ่) นครศรีธรรมราช(ทุ่งสง) และสุราษฎร์ธานี ขณะเดียวกันมีแผนทำตลาดบริการใหม่ๆ เช่น การควบคุมเครน ควบคู่ไปกับแผนพัฒนาบุคลากรทั้งช่างบริการและนักขับรถฟอร์คลิฟท์ให้มีความเชี่ยวชาญเพียงพอต่อความต้องการใช้งานของลูกค้าและการเติบโตของตลาดในอนาคตอย่างต่อเนื่อง

นายสยาม ก้องภักดีสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามกลการอุตสาหกรรม จำกัด เปิดเผยว่าปัจจุบันประเทศไทยถือเป็นตลาดรถฟอร์คลิฟท์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความต้องการในการใช้รถใหม่ไม่ต่ำกว่า 9,000 คันต่อปี รองลงมาคือ อินโดนีเซีย และเวียดนาม เนื่องจากมีนักลงทุนต่างประเทศเข้าไปลงทุนในภาคผลิตต่างๆมากขึ้น ทำให้มีการเติบโตของอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ รูปแบบธุรกิจของบริษัทมีทั้งการขายรถโฟล์คลิฟท์ ใหม่-เก่า, บริการให้เช่ารถโฟล์คลิฟท์ ใหม่-เก่า, การเช่ารถโฟล์คลิฟท์พร้อมนักขับ และบริการเคลื่อนย้ายสินค้าภายในคลังสินค้า-โรงงานอุตสาหกรรมแบบครบวงจร ซึ่งที่ผ่านมาบริการด้านต่างๆของบริษัทได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ปัจจุบันสัดส่วนพอร์ตรถเช่าอยู่ที่ 70% และรถขาย 30%

“ในปีนี้เราคาดว่าจะสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่ 900 คัน หรือคิดเป็น 1,500 ล้านบาท เนื่องจากความต้องการใช้รถฟอร์คลิฟท์ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องส่วนปี ‘58 บริษัทฯทำรายได้รวมมากกว่า 1,400 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทจะเดินหน้าสร้างมูลค่าเพิ่มจากงานบริการเป็นหลัก โดยมองว่าเป็นการสร้างความคุ้มค่าให้กับลูกค้า และรักษาระดับการเติบโตของอัตรากำไรของบริษัทได้ดีอย่างต่อเนื่อง” นายสยาม กล่าว

]]>
63051
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ร่วมกับสมาพันธ์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทย และ สมาคมผู้ผลิตผลิตภัณฑ์แนวดีไซน์ แถลงข่าวงาน BIG+BIH ครั้งที่ 38 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “โฉมใหม่…ใหญ่กว่า…ดีกว่า” https://positioningmag.com/58448 Thu, 18 Sep 2014 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=58448

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศผนึกกำลังกับสมาพันธ์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทยและสมาคมผู้ผลิตผลิตภัณฑ์แนวดีไซน์ จัดเต็ม “งานแสดงสินค้า BIG+BIH ครั้งที่ 38” “โฉมใหม่…ใหญ่กว่า…ดีกว่า” ระหว่างวันที่ 19-23 ตุลาคมนี้ ณ ไบเทค บางนา พบไฮไลท์มากมายในงาน Showcase สินค้าใหม่ นับร้อยรายการ และการเปิดตัวครั้งแรกกับสินค้าเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งที่มีดีไซน์ ในโซน H.O.T. เพื่อคอยต้อนรับผู้ซื้อจากทั่วโลก ประมาณ 12,000 คน ที่จะสั่งซื้อสินค้า คาดจะมีการซื้อขายประมาณ 3,000ล้านบาท

ร้อยเอกสุวิพันธุ์ ดิษยมณฑล รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ  เปิดเผยว่า งานแสดงสินค้าของขวัญและงานแสดงสินค้าของใช้ในบ้าน (Bangkok International Gift Fair 2014 and Bangkok International Houseware Fair 2014) หรือที่เรียกโดยย่อว่า “BIG+BIH” จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “ASEAN LIFE+STYLE” เพื่อสร้างประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกสินค้าของขวัญของตกแต่งบ้านและของใช้ในบ้านที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน เพื่อมุ่งเน้นให้เป็นงานระดับนานาชาติ และเพื่อเป็นสื่อนำผู้ซื้อจากประเทศต่างๆทั่วโลกมาพบผู้ผลิตและผู้ส่งออกไทย ก่อให้เกิดการขยายตัวของการส่งออกของสินค้าดังกล่าว โดยในปีนี้มีผู้ประกอบการเข้าร่วมงานประมาณ 600 รายทั้งในไทยและต่างประเทศ (อาทิ ญี่ปุ่น ไต้หวัน อินโดจีน)

ผู้เข้าชมงานจะได้พบกับสินค้า 1,600 คูหา บนพื้นที่ทั้งหมด 40,000 ตารางเมตร ของไบเทค บางนา  ซึ่งประกอบด้วย 6 ประเภทสินค้าหลักนับพันรายการ ได้แก่ สินค้าของขวัญ ของที่ระลึก ของตกแต่งบ้านและงานหัตถกรรม สินค้าดอกไม้ ต้นไม้ประดิษฐ์ เครื่องหอมและสบู่  สินค้าเคหะสิ่งทอ ของขวัญและของตกแต่งทำจากผ้า สินค้าเครื่องเขียนและอุปกรณ์สำนักงาน สินค้าเครื่องประดับตกแต่งในเทศกาลคริสต์มาส เทียน สินค้าของเล่น สินค้าของใช้ในครัวเรือน และ สินค้า GREEN AND ECO เพื่อนำมาให้ผู้ซื้อจากทั่วโลกสั่งซื้อ

ร้อยเอกสุวิพันธุ์  กล่าวต่อไปว่า “งานแสดง BIG+BIH ในครั้งนี้มีไฮไลท์มากมายทั้งของภาครัฐและเอกชนโดยรูปแบบของงานจะเน้นคอนเซ็ปต์ “โฉมใหม่…ใหญ่กว่า…ดีกว่า” นำเสนอสินค้าไลฟ์สไตล์ดีไซน์รุ่นใหม่มากมาย โดยผู้เข้าชมงานจะได้พบสินค้าที่มีนวัตกรรมใหม่ งานดีไซน์ใหม่ๆ และสินค้าที่ตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะกลุ่มอีกด้วย ในส่วนของกรมฯ ได้จัดเตรียมพื้นที่แสดงและนิทรรศการมากมายอาทิโซน Design Hall ที่คัดสรรสินค้าคุณภาพทุกหมวดหมู่มารวมกันไว้ที่เดียวกัน ยังมีโซน DEmark  เป็นนิทรรศการผลงานการออกแบบยอดเยี่ยม สินค้า 40 รายการที่ได้รับรางวัล Design Excellence Award ปี 2013 และในจำนวนนี้ 25 รายการได้รับรางวัล G-Mark จากประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย” ร้อยเอกสุวิพันธุ์  กล่าว

ฝ่าย นายจิรบูลย์ วิทยสิงห์ เลขาธิการสมาพันธ์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทย ในฐานะหน่วยงานผู้ร่วมจัดงานได้กล่าวว่า “ในส่วนของสมาพันธ์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทยจะมีการเสนอสินค้าไลฟ์สไตล์ดีไซน์รุ่นใหม่ล่าสุดนับร้อยรายการ ของทุกหมวดหมู่ผ่านรูปแบบโชว์เคสจัดวางอยู่ด้านหน้าสุดของฮอลล์ 101 – 105 เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ซื้อที่มองหา คอลเล็กชั่นใหม่ล่าสุด” นายจิรบูลย์ กล่าว

สำหรับผู้ร่วมจัดงานอีกหน่วยงานหนึ่ง คือ นายเอกรัตน์ วงษ์จริต อุปนายกสมาคมผู้ผลิตผลิตภัณฑ์แนวดีไซน์ ได้กล่าวว่า “ในส่วนของสมาคมฯจะมีการเปิดตัวโซนใหม่ H.O.T. (Hospitality Objects Thailand) บนพื้นที่ 7,000 ตร.ม.ของ HALL 106 ซึ่งจะนำเสนอเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งดีไซน์ใหม่สำหรับธุรกิจโรงแรมที่อยู่อาศัย ภัตตาคาร  ร้านอาหาร คาเฟ่และผับ ที่ต้องการเน้นบรรยากาศภายในร้านให้โดดเด่น แปลกและใหม่ล้ำเกินใคร  มีการเนรมิต Hall 106 เพื่อสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ซื้อ/ ผู้เข้าชมงานด้วย นิทรรศการอื่นๆประกอบด้วย I+D Style Cafe (T-Style) ซึ่งเป็นโครงการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการสินค้านวัตกรรมและสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นิทรรศการโครงการพัฒนาสินค้าสำหรับผู้สูงอายุ ภายใต้ชื่อ  “60+ Elderly Products of Thailand” ซึ่งจะมีการจำลองห้องนอนและห้องนั่งเล่นให้ผู้ซื้อได้มองเห็นภาพ และอื่นๆ” นายเอกรัตน์ กล่าว

ร้อยเอกสุวิพันธุ์ กล่าวในช่วงท้ายของงานแถลงข่าวว่า “เราเชื่อมั่นว่าจุดเด่นไฮไลท์ของงานทั้งหมดที่กล่าวมา รวมไปถึงรูปแบบการจัดงานที่แปลกและใหม่กว่าเดิมจะช่วยให้ผู้เข้าชมงาน/ผู้ซื้อตัดสินใจสั่งซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการไทยมากยิ่งขึ้น และจะช่วยส่งเสริมการส่งออกสินค้าดีไซน์ ไลฟ์สไตส์ไทยไปสู่ตลาดโลกต่อไป โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานในวันเจรจาธุรกิจกว่า12,000 คน และมียอดการสั่งซื้อกว่า 3,000 ล้านบาท” ร้อยเอกสุวิพันธุ์  กล่าวเน้น

งาน BIG+BIH แบ่งการจัดงานเป็น 2 ช่วงเวลา โดย 3 วันแรกคือ 19-21 ตุลาคม จะเปิดสำหรับการเจรจาธุรกิจเริ่มตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น. และ 2 วันสุดท้าย (22-23 ตุลาคม) สำหรับขายปลีกให้ประชาชนทั่วไป ตั้งแต่เวลา 10.00-21.00 น. ผู้สนใจเข้าชมงานสามารถลงทะเบียนได้ที่ www.bigandbih.com และ www.ditp.go.th หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร สายด่วน DITP 1169

]]>
58448
THAIFEX-2014 กระตุ้นตลาดอาหารไทยคึกคัก เผยผู้ซื้อไทย-ต่างชาติแห่ร่วมงานกว่า 1 แสนคน https://positioningmag.com/57987 Mon, 09 Jun 2014 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=57987

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ปลื้มความสำเร็จของงานแสดงสินค้าอาหาร THAIFEX – World of food ASIA 2014 เผยตัวเลขผู้ซื้อทั้งไทยและต่างประเทศตบเท้าเข้าร่วมงานกว่า 1 แสนราย ย้ำต่างชาติเชื่อมั่นอุตสาหกรรมอาหารไทยสุดแข็งแกร่ง พร้อมผลักดันครัวไทยสู่ครัวโลกตามเป้าหมาย

นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงผลสำเร็จของการจัดงานแสดงสินค้าอาหาร 2557 หรือ THAIFEX – World of food ASIA 2014 ซึ่งมีขึ้นเมื่อวันที่ 21 -25 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ว่า ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แม้จะจัดงานท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบให้ต่างชาติหรือคู่ค้ายกเลิกการเข้าร่วมงาน โดยในปีนี้มีผู้ประกอบการเข้าร่วมออกบูธจำนวน 1,526 บริษัท รวม 3,435 คูหา อีกทั้ง ยังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ซื้อรายใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ ฮ่องกง สหรัฐอเมริกา จีน มาเลเซีย แคนาดา ซาอุดิอาระเบีย เนเธอร์แลนด์ เม็กซิโก และเกาหลีใต้ เดินทางมาร่วมชมงาน จำนวน 103,283 ราย แบ่งเป็นผู้ชมงานในวันเจรจาธุรกิจ จำนวน 28,631ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2556 ร้อยละ 4.64 ส่วนผู้ชมงานในวันจำหน่ายปลีก จำนวน 74,652 ราย เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ร้อยละ 12.59 สำหรับนักธุรกิจจากต่างประเทศที่เข้าร่วมชมงานสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย สหรัฐอเมริกาและสิงคโปร์

ในส่วนของมูลค่าการสั่งซื้อสินค้าระหว่างงานปีนี้มีมูลค่ารวมกว่า 5,474 ล้านบาท แบ่งเป็นมูลค่าการสั่งซื้อทันที113 ล้านบาท โดยประเภทสินค้าที่มีการสั่งซื้อทันที สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.ข้าวและผลิตภัณฑ์จากข้าว 2. เทคโนโลยีการผลิตอาหาร 3. อาหารทะเล 4. เครื่องปรุงรสและอาหารสำเร็จรูป  5. ขนมหวานและขนมขบเคี้ยว สำหรับมูลค่าการสั่งซื้อในอีก 1 ปีข้างหน้า ประมาณ  5,290 ล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีการผลิตอาหาร

“การจัดงาน THAIFEX ในปีนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ทั้งในแง่ของจำนวนผู้เข้าร่วมงาน และผู้เข้าชมงานที่เพิ่มสูงขึ้น จึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อ ผู้ประกอบการ ตลอดจนนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ และที่สำคัญยังเป็นการส่งเสริมธุรกิจการส่งออกอาหารไทยให้ขยายตัวเพิ่มมากขึ้นด้วย ตอกย้ำความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นครัวของโลก และเป็นศูนย์กลางการค้าและการกระจายสินค้าอาหารในภูมิภาคเอเชีย” นางนันทวัลย์ กล่าว

สำหรับผู้สนใจเกี่ยวกับการจัดงาน THAIFEX – World of food ASIA 2015 ซึ่งจะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 20-24 พฤษภาคม 2558 ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เพื่อเตรียมความพร้อมของธุรกิจอาหาร  ก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอย่างเต็มตัว สามารถติดตามข้อมูลได้ทางเว็บไซต์ www.ditp.go.thwww.thaitradefair.com

]]>
57987
ทีเอ็มบีร่วมโครงการ GTFP ของไอเอฟซี หนุนผู้นำเข้า-ส่งออกไทย ไปโตในตลาดเกิดใหม่ แบบไม่ต้องกังวลเรื่องความเสี่ยง https://positioningmag.com/57241 Sun, 22 Sep 2013 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=57241

ทีเอ็มบี และไอเอฟซี ร่วมป้องกันความเสี่ยงสำหรับผู้นำเข้า – ส่งออก สนับสนุนผู้ประกอบการไทยที่ต้องการขยายธุรกิจหรือเปิดตลาดใหม่ไปยังตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) โดยการเข้าร่วมในโครงการ Global Trade Finance Program (GTFP) และเป็นแบงก์ไทยแห่งแรกที่เข้าร่วมโครงการนี้

นายเซอร์จิโอ พิเมนต้า ผู้อำนวยการ ไอเอฟซี ภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กล่าวว่า “ไอเอฟซี มีความยินดีที่ได้สานต่อความร่วมมือกับทีเอ็มบี ในการนำเสนอบริการใหม่ที่จะช่วยสนับสนุนลูกค้าทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยการตกลงร่วมมือในโครงการ GTFP นี้ จะทำให้ทีเอ็มบีเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายธนาคาร กว่า 500 แห่ง ทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธนาคารชั้นนำในประเทศตลาดเกิดใหม่ “นับตั้งแต่ พ.ศ. 2548 โครงการ GTFP ได้ออกเอกสารค้ำประกันกว่า 15,000 ชุด มูลค่าร่วม 23,000 ล้านบาท สำหรับสัญญาการชำระเงินที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศในตลาดเกิดใหม่ และในปีงบประมาณ 2556 ไอเอฟซีได้ดำเนินการสนับสนุนทางการเงินเพื่อการค้าระหว่างประเทศในกลุ่มประเทศที่ยากจนที่สุดของโลกรวมเป็นเงิน 3,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดย 80% เป็นการค้ำประกันให้แก่ธุรกิจ เอสเอ็มอี”

นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบี เปิดเผยว่า ทีเอ็มบีเป็นธนาคารพาณิชย์ไทยแห่งแรกที่ได้เข้าร่วมโครงการ Global Trade Finance Program (GTFP) กับไอเอฟซี ซี่งเป็นโครงการที่ช่วยให้ธนาคารสามารถเสนอผลิตภัณฑ์ทางด้านการค้าระหว่างประเทศ (Trade Finance) ให้กับผู้นำเข้า – ส่งออกไทยที่สนใจทำธุรกิจในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) โดยทีเอ็มบีมองว่าการนำเข้า – ส่งออกเป็นเฟืองจักรสำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งแต่เดิมตลาดการค้าหลักของไทยจะเน้นที่ตลาดในทวีปอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และยุโรป ต่อมาเมื่อมีวิกฤติเศรษฐกิจที่กระทบต่อประเทศเหล่านี้ การนำเข้า-ส่งออกไปยังตลาดนี้ก็หดตัวลง ประกอบกับกลุ่มประเทศที่เป็นตลาดเกิดใหม่ เช่น ประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ( กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม) ตะวันออกกลาง แอฟริกา และ ละตินอเมริกามีการขยายตัวเร็วขึ้น การนำเข้า – ส่งออกของสินค้าไปยังประเทศในตลาดเกิดใหม่จึงมีความสำคัญมากขึ้นเป็นลำดับ อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยที่จะทำธุรกรรมการค้าต่างประเทศในตลาดเกิดใหม่ อาจจะยังไม่มีความมั่นใจในตัวคู่ค้าและธนาคารในต่างประเทศของตลาดเกิดใหม่เหล่านั้น จึงอาจจะทำให้โอกาสในการขยายธุรกิจจึงเป็นไปอย่างจำกัด

ไอเอฟซี ซึ่งเป็นองค์กรในกลุ่มธนาคารโลก ที่มีเป้าหมายในการช่วยพัฒนาภาคเอกชน จงได้ทำโครงการ GTFP Global Trade Finance Program for Thai Importers & Exporters นี้ขึ้น โดยทำหน้าที่ในการค้ำประกันการรับเงิน – จ่ายเงินระหว่างธนาคารของคู่ค้าในตลาดเกิดใหม่ให้กับธนาคารสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าว ทีเอ็มบีจึงได้เข้าร่วมเป็นธนาคารเครือข่ายของโครงการนี้ เพื่อสนับสนุนให้ผู้นำเข้า-ส่งออกไทยมีโอกาสที่จะขยายตลาดไปยังประเทศเกิดใหม่ได้ง่ายขึ้น สามารถป้องกันความเสี่ยงได้โดยมีค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม

ทั้งนี้ ไอเอฟซีมีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ AAA และ มีจำนวนธนาคารเครือข่ายที่เข้าร่วมโครงการนี้ อยู่ในประเทศต่างๆ ครอบคลุม 100 ประเทศทั่วโลก หรือกว่า 250 ธนาคาร โดยทำหน้าที่เป็นผู้เข้ามาค้ำประกันการรับเงิน – จ่ายเงินของธนาคารในเครือข่ายดังกล่าว ทำให้การทำธุรกรรมการค้าต่างประเทศมีความน่าเชื่อถือที่สูงมากขึ้น

ทีเอ็มบีเชื่อว่าลูกค้ามีความต้องการที่จะขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่จึงเชื่อมั่นว่าโครงการ GTFP นี้จะทำให้ลูกค้ามั่นใจในการรับเงิน-จ่ายเงิน ได้รับความสะดวก คล่องตัวในการทำธุรกรรม และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคู่ค้าในการขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ ในปีที่ 2555 ทีเอ็มบีและไอเอฟซี ได้ร่วมมือกันในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในประเทศไทยมาแล้ว

]]>
57241
กสอ. แนะอุตสาหกรรมอาหารไทยบุกตลาดอิเหนา พร้อมเผยอินโดฯ ปี 57 กลุ่มตลาดพรีเมี่ยม โต 20% https://positioningmag.com/57163 Fri, 06 Sep 2013 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=57163

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งนำอุตสาหกรรมไทยเจาะตลาดอินโดนีเซีย ประเดิมโชว์ศักยภาพอุตสาหกรรมไทยในงานแสดงอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มระดับนานาชาติ ณ ประเทศอินโดนีเซีย 2013 “Interfood Indonesia 2013” พร้อมชูโครงการ เพิ่มศักยภาพธุรกิจ SMEs สู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เพื่อติวเข้มผู้ประกอบการไทยให้พร้อมสำหรับการลงทุน โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารตลาดพรีเมี่ยม ในระดับ B – A ซึ่งมีสัดส่วน 10 – 15 % ของประชากรทั้งหมด หรือคิดเป็น 24.5 ล้านคน เพื่อเจาะตลาดอินโดนีเซียที่มีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 20 % ต่อปี ทั้งนี้สถิติการส่งออกของไทยไปอินโดนีเซียในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2556 มีมูลค่ากว่า 5.07 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม กสอ. เผย 8 อันดับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงในตลาดอินโดนีเซีย อาทิ อุตสาหกรรมเครื่องดื่มชูกำลัง อุตสาหกรรมผลไม้แปรรูป อุตสาหกรรมแปรรูปเนื้อสัตว์ และอุตสาหกรรมขนมขบเขี้ยว เป็นต้น ซึ่งจาก 6 ใน 8 กลุ่มอุตสาหกรรมล้วนแล้วแต่เป็นสินค้าบริโภค พร้อมเผยแผนผลักดันผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันได้ใน AEC ผ่าน 5 กิจกรรมหลัก ได้แก่ 1.การฝึกอบรมติวเข้มแก่ผู้ประกอบการ 2.การพัฒนาผู้ประกอบการเชิงลึก 3.การพัฒนาแรงงานอุตสาหกรรม 4.การเพิ่มประสิทธิภาพให้กับวิสาหกิจ และ 5. การสร้างเครือข่ายธุรกิจ นอกจากนั้นยังโชว์แผนยุทธศาสตร์ในปี 2557 ที่จะเพิ่มขีดความสามารถควบคู่กับการสร้างความเชื่อมโยงสู่ตลาดในภูมิภาคอาเซียนผ่าน 4 กิจกรรม ได้แก่ 1.การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการบริหารจัดการ 2.การจัดพื้นที่อุตสาหกรรม 3.การสนับสนุนการเชื่อมโยงอุตสาหกรรม 4.การขยายโอกาสเข้าสู่ตลาดสากล โดยคาดว่ายุทธศาสตร์ดังกล่าวจะสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการกว่า 500 ราย ในการเพิ่มมูลค่าการส่งออกในภูมิภาคอาเซียนได้กว่า 2,000 ล้านบาท

นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า ประเทศอินโดนีเซียถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนสำหรับผู้ประกอบการไทย โดยอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างมากในประเทศอินโดนีเซีย 8 อันดับ ได้แก่ อุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมอาหารทะเลแช่แข็ง อุตสาหกรรมอาหารพร้อมรับประทาน (R-T-E) อุตสาหกรรมเครื่องดื่มชูกำลัง อุตสาหกรรมผลไม้แปรรูป อุตสาหกรรมแปรรูปเนื้อสัตว์ และอุตสาหกรรมขนมขบเขี้ยว โดยจาก 6 ใน 8 อุตสาหกรรมดังกล่าว เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมประเภทอาหารและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยมีความแข็งแกร่ง และมีศักยภาพในการลงทุนและผลิตเพื่อการส่งออก ดังนั้น กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมจึงมีการส่งเสริมผู้ประกอบการให้สามารถพัฒนาอุตสาหกรรมให้สามารถแข่งขันรวมถึงขยายตลาดสู่ประเทศอินโดนีเซียได้ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ หลักสูตรเจาะลึกตลาดอินโดนีเซีย โอกาสสำหรับธุรกิจไทย ภายใต้โครงการเพิ่มศักยภาพธุรกิจ SMEs สู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน กิจกรรมสัมมนาวิชาการ กิจกรรมการจับคู่ธุรกิจ และกิจกรรมการจัดแสดงสินค้าเพื่อพัฒนาพันธมิตรทางธุรกิจ ฯลฯ

นายกอบชัย กล่าวต่อว่า ตามที่ กสอ. ได้จัด โครงการ “เพิ่มศักยภาพธุรกิจ SMEs สู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยเจาะลึกตลาดอินโดนีเซียนั้น ได้ต่อยอดให้แก่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการกว่า 20 ราย เข้าร่วมงานแสดงสินค้า“Interfood Indonesia 2013” โดยงานมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น เทคโนโลยีการผลิต ส่วนผสม/สารปรุงแต่ง วัตถุดิบ อุปกรณ์ และบริการ ที่เกี่ยวข้อง ได้มีโอกาสในการแสดงสินค้าที่มีศักยภาพ สินค้าที่มีการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ หรือมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยและนำไปสู่การพัฒนาตลาด การจับคู่ทางธุรกิจ และเกิดความร่วมมือกัน ในการนี้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม พิจารณาแล้วเห็นว่างานแสดงสินค้านี้จะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการไทยในด้านการตลาด และการสร้างเครือข่ายกับผู้ประกอบการประเทศอินโดนีเซีย ตลอดจนเพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางและโอกาสทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการไทย รวมถึงเพื่อเป็นการสร้างเครือข่ายธุรกิจอุตสาหกรรมไทย ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 28 – 30 สิงหาคม ณ Jakarta International Expo ประเทศอินโดนีเซีย ภายในงาน มีบูธแสดงสินค้าจากผู้ประกอบการทั่วอาเซียนและทั่วโลก กว่า 1,000 ราย ในกว่า 40 ประเทศ

นายกอบชัย กล่าวต่อว่า เป็นโอกาสทางธุรกิจอันดีที่ผู้ประกอบการไทยจะบุกตลาดอาหารแปรรูปในอินโดนีเซีย ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตของตลาดเพิ่มขึ้นกว่า 20 % ต่อปี เนื่องจากมีจำนวนประชากรกว่า 237.6 ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ของประชากรในภูมิภาคอาเซียน โดยในปี 2554 อินโดนีเซียมีมูลค่าการนำเข้าสินค้าในหมวดหมู่อาหารกว่า 8,707.3 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ และมีการเติบโตของตลาดอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากประชากรมีจำนวนมากจึงไม่สามารถผลิตได้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนในประเทศ และต้นทุนการผลิตสินค้าประเภทอาหารภายในประเทศที่ค่อนข้างสูง ฉะนั้น จึงนิยมนำเข้าสินค้าอาหารแปรรูปเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอาหารแปรรูปในระดับพรีเมี่ยมที่มีผู้ผลิตในท้องตลาดน้อยราย แต่กลับมีกลุ่มผู้บริโภคในระดับ B – A โดยมีสัดส่วน 10 – 15% ของประชากรทั้งหมด หรือคิดเป็น 24.5 ล้านคน โดยผู้บริโภคกลุ่มนี้มีกำลังการซื้อสูงและมักจะมีพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปที่นำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งอาหารแปรรูปจากประเทศไทยถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับผู้บริโภคชาวอินโดนีเซียมักจะนิยมซื้อ เนื่องจากอาหารแปรรูปจากไทยมีคุณภาพดี ราคาถูก และมีความหลากหลาย ซึ่งชาวอินโดนีเซียเองคุ้นเคยกับประเภทของอาหารไทยเป็นอย่างดี นอกจากนั้น รัฐบาลอินโดนีเซียเองยังให้สิทธิประโยชน์ทางด้านการค้าแก่ผู้ประกอบการไทย ภายใต้ข้อตกลง CEPT ที่ลดกำแพงภาษีการค้าลงเหลือร้อยละ 0 – 5 ซึ่งจะเอื้อประโยชน์อย่างมากต่อการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ แต่ยังมีผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารของไทยน้อยรายที่คิดจะเข้าไปลงทุนและทำการตลาดในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งส่วนใหญ่ที่ลงทุนมักจะเป็นการทำธุรกิจในลักษณะการร่วมทุน (joint venture) มากกว่าการลงทุนโดยตรง เนื่องจากขาดโอกาสในการเปิดตลาดอินโดนีเซีย ทั้งนี้ สถิติการส่งออกของไทยไปอินโดนีเซียในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2556 มีมูลค่ากว่า 5.07 พันล้านบาท นายกอบชัย กล่าวสรุป

นายกอบชัย กล่าวต่อว่า ตั้งแต่ปี 2553 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เร่งผลักดันให้อุตสาหกรรมไทยให้สามารถแข่งขันได้ใน AEC เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีนโยบายส่งเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมเป้าหมายใน 9 สาขา ได้แก่ อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ อุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือน อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมสินค้า Lifestyle อุตสาหกรรมรองเท้าและผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง และอุตสาหกรรมก่อสร้าง ให้สามารถสร้างมูลค่าการส่งออก รวมทั้งลงทุนในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งทางกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้จัดกิจกรรมส่งส่งเสริมผู้ประกอบการไทยในเวทีประชาคมอาเซียน เพื่อยกระดับขีดความสามารถของธุรกิจในทุกๆด้าน เช่น ด้านการลงทุน ด้านแรงงาน ด้านการตลาด ด้านการเจรจาธุรกิจ ด้านมาตรฐานสินค้า ด้านกฎระเบียบและข้อบังคับของการค้าระหว่างประเทศ ผ่าน 5 กิจกรรมหลัก ได้แก่

1. ฝึกอบรมติวเข้มสร้างความตระหนักรู้ให้กับผู้ประกอบการพร้อมการประเมินตนเอง (self assessment) วิเคราะห์ SWOT ของตนเอง รวมทั้งวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย งบประมาณ และผลกำไร เป็นต้น ทั้งก่อนและหลังการสัมมนา เพื่อให้ทราบสถานการณ์ปัจจุบันของกิจการของตนเอง และวางแนวทางในการก้าวสู่ AEC ด้วยแผนที่ธุรกิจหรือ Business Roadmap โดยมีเป้าหมายดำเนินการในปีงบประมาณ 2556 แก่ผู้ประกอบการในพื้นที่ดังกล่าวจำนวน 12,000 ราย

2. พัฒนาผู้ประกอบการเชิงลึก ด้วยวิธีการฝึกอบรมให้กับผู้ที่มีความรู้ในการประกอบกิจกรรมในระดับหนึ่งแล้ว เช่น ความรู้เรื่องภาษีนำเข้าของแต่ละประเทศ กฎระเบียบ ประเพณี ค่านิยมและศาสนา เป็นต้น ตั้งเป้าดำเนินการแก่ผู้ประกอบการในพื้นที่ จำนวน 5,000 ราย

3. พัฒนาแรงงานอุตสาหกรรม เน้นไปที่บุคลากรในโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มเติมความรู้ และเตรียมพร้อมต่อการปรับตัวสู่ AEC เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต การส่งต่อและรับช่วงงาน เป็นต้น ซึ่งเป็นการให้ความรู้ในเชิงลึกในรายสาขา โดยมีเป้าหมายพัฒนาแรงงานในพื้นที่จำนวน 5,000 ราย

4. พัฒนาวิสาหกิจ โดยให้ผู้ประกอบการที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจเดียวกันรวมกลุ่มกัน เพื่อให้ที่ปรึกษาเข้าไปให้คำแนะนำและเพิ่มเติมความรู้เกี่ยวกับการวางกำหนดนโยบาย ระบบการบริหารจัดการ การทำแผนกลยุทธ์ การกำหนดเป้าหมาย การประมาณการพัฒนาศักยภาพต่าง ๆ รวมทั้งการประเมินการใช้ทรัพยากรไม่ว่าจะเป็น แรงงาน วัตถุดิบ และเงินลงทุน เป็นต้น ซึ่งมีเป้าหมายในพื้นที่เข้าร่วมกับโครงการ จำนวน 650 กิจการ

5. การสร้างเครือข่ายธุรกิจ ด้วยการอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการสร้างเครือข่ายในการประกอบกิจการกับประเทศใกล้เคียง อาทิ เวียดนาม พม่า กัมพูชา และลาว เป็นต้น เพื่อสร้างความร่วมมือในระบบห่วงโซ่การผลิต ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างเครือข่ายในพื้นที่ได้ไม่ต่ำกว่า 10 เครือข่าย

อย่างไรก็ดีในปี 2557 ทางกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมมีแผนที่จะยกระดับอุตสาหกรรม SMEs ผ่านแผนยุทธศาสตร์การเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการและภาคอุตสาหกรรมในการแข่งขัน และการสร้างความเชื่อมโยงสู่พื้นที่และตลาดอาเซียน ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้นการพัฒนาองค์กรโดยสร้างความแข็งแกร่งจาก ผ่าน 4 กิจกรรม ดังนี้

1. การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการบริหารจัดการ โดยเฉพาะ Labor Productivity และ Total Factor Productivity

2. การจัดพื้นที่อุตสาหกรรม (Zoning Planning) ในแต่ละพื้นที่อย่างเหมาะสม ให้สอดคล้องกับทุกด้าน เช่น วัตถุดิบ การขนส่ง สิ่งแวดล้อม และชุมชน เป็นต้น

3. การสนับสนุนการเชื่อมโยงอุตสาหกรรม ทั้งภายในกลุ่มสาขา และการเชื่อมโยงข้ามกลุ่มสาขา รวมถึง Cluster ใน ASEAN production chain ที่ต้องการทรัพยากรจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์

4. การขยายโอกาสเข้าสู่ตลาดสากล โดยเฉพาะตลาด ASEAN โดยพัฒนาสินค้าเข้าสู่มาตรฐานสากล ตรงตามความต้องการ และสินค้าที่มีโอกาสสูงในการเจาะตลาด

ด้าน นางสาวพัชราภรณ์ วงศ์สุวรรณ ผู้จัดการฝ่ายการส่งออกและการตลาด บริษัท ทรอปิคานา ออยล์จำกัด หนึ่งในผู้ประกอบการที่บุกตลาดในงาน “Interfood Indonesia 2013” กล่าวว่า บริษัทผลิตและจัดจำหน่ายน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น และเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำมันมะพร้าว ได้แก่ แชมพู สบู่เหลว ครีมทาผิว น้ำมันหอมระเหย โทนเนอร์ เป็นต้น โดยมีตลาดการส่งออกสินค้าหลักอยู่ที่ประเทศ รัสเซีย จีน ออสเตรเลีย และในกลุ่มประเทศอาเซียน ได้แก่ สิงคโปร์ เป็นต้น ซึ่งได้รับการตอบรับสินค้าเป็นอย่างดี โดยสามารถเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่รักสุขภาพ เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นของบริษัทเป็นน้ำมันมะพร้าวที่ปราศจากสารเคมีใดๆ และยังอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งในด้านความงาม และการป้องกันโรค โดยทางบริษัทมีแผนที่จะเจาะกลุ่มตลาดในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มมากขึ้นจึงได้เข้าร่วมโครงการเจรจาการค้าธุรกิจ Business Matching ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ประเทศอินโดนีเซีย โดยมองว่าอินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีประชากรจำนวนมาก หรือกว่า 240 ล้านคน ซึ่งสินค้าของบริษัทเป็นสินค้าพรีเมี่ยมที่คาดว่าจะสามารถตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่รักสุขภาพและผิวพรรณภายในประเทศได้ และแนวโน้มของกลุ่มผู้รักสุขภาพภายในประเทศน่าจะมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยดูได้จากสัดส่วนตลาดของเครื่องสำอางบำรุงผิวในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสินค้าประเภท น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นในตลาดอินโดนีเซียยังมีผู้จำหน่ายน้อยรายที่มีคุณภาพเทียบเท่ากับสินค้าของบริษัท โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มมูลค่าการส่งออกสินค้าสู่ประเทศอินโดนีเซียได้กว่า 20 ล้านบาท อีกทั้งการเจรจาการค้าธุรกิจในครั้งนี้ยังถือเป็นการสำรวจความต้องการสินค้าของกลุ่มคนรักสุขภาพในอินโดนีเซีย ซึ่งทางบริษัทเคยได้เข้าร่วมโครงการเจรจาการค้าธุรกิจ Business Matching ที่ประเทศญี่ปุ่น และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยมียอดการสั่งซื้อสินค้าในประเทศญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามคาดการณ์ว่าการเจรจาการค้าธุรกิจในประเทศอินโดนีเซียครั้งนี้จะสามารถเพิ่มยอดขายการส่งออกของบริษัทได้กว่า 10 % และมีการส่งออกในอินโดนีเซียอย่างต่อเนื่อง

นางสาวปกรณ์พรรณ เผือกสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท จิมส์กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า บริษัทผลิตและจัดจำหน่าย กาแฟสำเร็จรูป ครีมซุปแบบผง เครื่องดื่มผง เครื่องแกงผง ผงปรุงรส และแป้งชุบทอด โดยมีกาแฟสำเร็จรูปเป็นผลิตภัณฑ์หลักภายใต้ชื่อ Jim Coffee โดยบริษัทรับผลิตให้แก่บริษัทอื่น ๆ (OEM) และส่งขาย ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) มีสัดส่วนการขายในประเทศ 90 % และต่างประเทศ 10 % ได้แก่ ประเทศ ลาว พม่า เวียดนาม และอินโดนีเซีย บริษัทมีกำลังการผลิต 250 ตัน/เดือน โดยมีโรงงานในประเทศ 2 แห่ง ซึ่งตั้งอยู่ใน อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี และมีโรงงานอยู่ในประเทศพม่า บริษัทมียอดขาย 300 – 400 ล้านบาท / ปี ทางบริษัทมองว่าการเข้าร่วมเจรจาทางธุรกิจในครั้งนี้ น่าจะเป็นโอกาสในการเพิ่มยอดขายในอินโดนีเซียเพิ่มมากขึ้น เนื่องจาก ทางบริษัทได้ส่งออกสินค้าในอินโดนีเซียอยู่แล้ว แต่ช่องทางการจัดจำหน่ายในประเทศอินโดนีเซียยังคงจำกัด ฉะนั้น การเจราจาในครั้งนี้จึงเป็นการสร้างโอกาสในการทำธุรกิจร่วมกับตัวแทนจำหน่ายภายในประเทศ รวมทั้ง เป็นการศึกษาโอกาสในการลงทุนเปิดโรงงานภายในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งการเข้าร่วมการเจรจาธุรกิจในครั้งนี้คาดว่าจะมียอดสั่งสินค้าจากตัวแทนจำหน่ายกว่า 50 ล้านบาท ทั้งนี้ ในอนาคตบริษัทมีแผนที่จะส่งออกในประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอาเซียนมากยิ่งขึ้น ได้แก่ประเทศ กัมพูชา สิงคโปร์ และมาเลเซีย รวมทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับประเภทของอาหารในประเภทภูมิภาคอาเซียนมากยิ่งขึ้น ซึ่งทางบริษัทได้เคยเข้าร่วมการเจรจาธุรกิจ Business Matching ณ ประเทศเวียดนามและออสเตรเลีย ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างในด้านการเปิดตลาดการค้าระหว่างประเทศ โดยคาดว่าการเจรจาธุรกิจที่ประเทศอินโดนีเซียจะสร้างมูลค่าทางการส่งออกสินค้าได้กว่า 30 ล้านบาท

]]>
57163
ส่งออกของไทยไปจีนปี’56 … จับตาครึ่งหลังของปี ลุ้นเติบโตในแดนบวก https://positioningmag.com/56987 Sat, 03 Aug 2013 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=56987

การส่งออกของไทยไปจีนในครึ่งแรกของปีหดตัวร้อยละ 3.6 (YoY) โดยมีแรงฉุดจากการส่งออกในช่วงไตรมาส 2/2556 เป็นสำคัญ ซึ่งตลาดจีนในช่วงเวลาดังกล่าวค่อนข้างชะลอตัวด้วยทั้งปัจจัยจากแรงกดดันของเศรษฐกิจโลก รวมไปถึงการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในประเทศจำกัดให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในไตรมาส 2/2556 ขยายตัวชะลอลงมาที่ร้อยละ 7.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) จากที่ขยายตัวร้อยละ 7.7 (YoY) ในไตรมาสแรก ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ขยายตัวร้อยละ 7.6 (YoY)

ขณะที่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า หากครึ่งหลังของปีนี้การบริโภคและการผลิตในจีนสามารถปรับตัวไปพร้อมกับการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของทางการจีน รวมถึงดูดซับแรงสนับสนุนจากมาตรการอำนวยความสะดวกทางธุรกิจต่างๆ ของทางการจีน จนกระทั่งเป็นแรงส่งให้กิจกรรมเศรษฐกิจต่างๆในจีนเริ่มกระเตื้องขึ้น การส่งออกของไทยไปจีนในปี 2556 น่าจะเติบโตได้ใกล้เคียงกับค่ากลางที่คาดไว้ที่ร้อยละ 0.7 โดยมีกรอบประมาณการอยู่ที่หดตัวร้อยละ 4.3 ถึงขยายตัวร้อยละ 2.3

ส่งออกไทยไปจีนครึ่งแรกหดตัวร้อยละ 3.6 (YoY)

ต้องยอมรับว่าตลาดจีนในปีนี้คงยากที่จะคาดหวังถึงการขยายตัวในเกณฑ์สูงดังเช่นที่ผ่านมา จะเห็นได้จากการส่งออกของไทยไปจีนชะลอตัวมาตั้งแต่ต้นปีจนกระทั่งหดตัวต่อเนื่องตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ครึ่งแรกของปี 2556 หดตัวร้อยละ 3.6 (YoY)

ล่าสุดการส่งออกของไทยไปจีนเดือนมิถุนายนมีมูลค่า 1,901 ล้านดอลลาร์ฯ หดตัวร้อยละ 16.7 (YoY) หดตัวมากขึ้นจากเดือนพฤษภาคมและกลายเป็นการหดตัวมากที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี ขณะที่การนำเข้าสินค้าจากจีนในเดือนมิถุนายนมีมูลค่า 2,960 ล้านดอลลาร์ฯ หดตัวร้อยละ 5.1 (YoY)

สินค้าส่งออกส่วนใหญ่ในช่วงเดือนมิถุนายนเติบโตช้าลงอันเกิดจากการชะลอตัวของจีนเองส่งผลต่อการส่งออกของไทยในภาพรวม ขณะที่บางสินค้าเกิดจากปัจจัยเฉพาะด้าน อาทิ สินค้าเกษตรบางรายการหดตัวจากราคาสินค้าที่ปรับตัวลดลงในปีนี้โดยเฉพาะยางพารา สำหรับสินค้าในกลุ่มคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบหดตัวต่อเนื่อง จากการโยกย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการบางรายในห่วงโซ่การผลิตออกจากจีนหรือไทยไปยังประเทศอื่น อย่างไรก็ดี ยังมีสินค้าส่งออกบางรายการที่ยังเติบโตได้ อาทิ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ผลิตภัณฑ์ยาง น้ำมันสำเร็จรูป ผลไม้ และวงจรพิมพ์ เป็นต้น

ในช่วงครึ่งหลังของปี การส่งออกของไทยไปจีนอาจเผชิญความท้าทายค่อนข้างมากซึ่งต้องจับตาภาคธุรกิจในประเทศจีนท่ามกลางการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อขับเคลื่อนการบริโภคให้เป็นแกนนำเศรษฐกิจแทนภาคการส่งออกและการลงทุนนับจากนี้ไป ภายใต้แนวโน้มดังกล่าวผู้ส่งออกสินค้าไทยที่มีจีนเป็นตลาดหลักอาจจำเป็นต้องปรับตัวพร้อมรับแนวโน้มข้างหน้าที่การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของจีนคงทำให้เศรษฐกิจจีนเติบโตในอัตราที่ช้าลงกว่าในอดีตที่ผ่านมา

เกาะติดความเคลื่อนไหวเศรษฐกิจจีน ความหวังส่งออกไทยไปจีน

ล่าสุดทางการจีนได้มีมาตรการเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งมาตรการต่างๆ น่าจะมีผลช่วยผลักดันเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปีให้เป็นไปในแนวทางที่ดีขึ้นได้ โดยเน้นการช่วยเหลือไปที่ธุรกิจ SMEs เป็นสำคัญ อาทิ

• ขับเคลื่อนธุรกิจขนาดเล็ก ด้วยการช่วยลดต้นทุนทางธุรกิจ โดยทางการจีนงดเว้นการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value – added Tax: VAT) ที่เก็บจากส่วนต่างของราคาวัตถุดิบและต้นทุนของสินค้าที่ผลิต และภาษีธุรกิจ (Turnover tax) ที่เก็บจากรายได้ของธุรกิจ สำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มียอดขายไม่เกิน 20,000 หยวน/เดือน (3,226 ดอลลาร์ฯ/เดือน) มีผลบังคับใช้วันที่ 1 สิงหาคม 2556 นี้ เอื้อประโยชน์ต่อบริษัทขนาดเล็กกว่า 6 ล้านราย และกระตุ้นการจ้างงานและรายได้ให้แก่แรงงานรวมกว่า 10 ล้านคน

• ปรับลดขั้นตอนทางศุลกากรและค่าธรรมเนียมการส่งออก เพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือธุรกิจส่งออก ที่เผชิญผลกระทบจากทั้งภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและค่าเงินหยวนที่ในปีนี้เคลื่อนไหวในทิศทางแข็งค่าขึ้น โดยในเดือนมิถุนายน การส่งออกของจีนหดตัวร้อยละ 3.1 (YoY) สูงสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งล่าสุดในปี 2552

• เพิ่มความคล่องตัวในการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ สนับสนุนภาคธุรกิจที่เกี่ยวพันกับต่างประเทศ โดยสำนักงานบริหารเงินตราต่างประเทศ (The State Administration of Foreign Exchange: SAFE) ผ่อนคลายกฎเกณฑ์การควบคุมเงินตราต่างประเทศสำหรับธุรกิจบริการ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 เพื่อช่วยลดภาระแก่ธุรกิจในภาคบริการที่กว่าร้อยละ 88 เป็นธุรกิจขนาดเล็ก โดยปรับลดขั้นตอนและเอกสารที่ใช้ในการอนุมัติแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเพื่อให้เกิดความคล่องตัว นักธุรกิจในภาคบริการสามารถทำธุรกรรมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศกับธนาคารพาณิชย์ได้โดยตรง การทำธุรกรรมที่มีมูลค่าไม่เกิน 50,000 ดอลลาร์ฯ สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องยื่นเอกสารการค้าเพื่อขออนุมัติแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ บริษัทที่ทำการค้าขายระหว่างประเทศ สามารถเก็บเงินตราต่างประเทศเอาไว้ในบัญชีในต่างประเทศได้ยาวนานมากขึ้น รวมทั้งการปรับลดความเข้มงวดในการตรวจสอบ จะใช้วิธีสุ่มตรวจเป็นครั้งคราว เพื่อป้องกันความเสี่ยง

นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนและปฏิรูปทางเศรษฐกิจที่จะมีผลในระยะยาวด้วย อาทิ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีน ยังคงเป็นมาตรการที่ภาครัฐบาลให้ความสำคัญและดำเนินอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะก่อให้เกิดอานิสงส์ต่อภาคการผลิตและการบริโภคโดยรวม อันจะช่วยทั้งการกระจายรายได้ และเสริมความมั่นคงในเชิงเศรษฐกิจจีนระยะยาว อาทิ ระบบรถไฟ เพิ่มแผนการลงทุนในโครงการก่อสร้างระบบรถไฟ 690 พันล้านหยวน (112 พันล้านดอลลาร์ฯ) ในปีนี้ ซึ่งรวมถึงการซื้อรถไฟ และค่าบำรุงรักษา และก่อสร้างถนนสายหลักรวมถึงถนนในระดับมณฑล ด้วยเงินลงทุน 66.9 พันล้านหยวน (หรือ 10.8 พันล้านดอลลาร์ฯ) ในปี 2556 อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนลงทุนเพื่อขยายถนนและการเชื่อมต่อเส้นทางต่างๆ ในช่วงปี 2556 – 2573 ภายใต้วงเงิน 4.7 ล้านล้านหยวน

อย่างไรก็ตาม การดำเนินนโยบายปฏิรูปทางเศรษฐกิจของจีนก็อาจส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจบางส่วน ดังตัวอย่างเช่น มาตรการลดกำลังการผลิตส่วนเกินกระทบ 19 สาขาอุตสาหกรรม เกี่ยวข้องกับ 1,400 บริษัทในจีน บ่งชี้ความมุ่งมั่นในการปรับสมดุลเศรษฐกิจของจีนอย่างแท้จริง ซึ่งจะทยอยบังคับใช้ในเดือนกันยายน และจะครอบคลุมทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้ โดยอุตสาหกรรมที่ถูกกระทบเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมหนักที่ผลิตสินค้าจำพวกวัตถุดิบอันก่อให้เกิดมลภาวะและมีกำลังการผลิตเกิน ได้แก่ การหลอมเหล็ก หลอมเหล็กกล้า ถ่านหิน เหล็กหุ้มทองแดง หินแก๊สแคลเซียม อะลูมิเนียม ทองแดง ตะกั่ว สังกะสี ปูนซิเมนต์ กระจกแผ่นเรียบ โรงงานกระดาษ แอลกอฮอลล์ ผงชูรส กรดมะนาว การฟอกหนัง การฟอกย้อม ใยสงเคราะห์ และแบตเตอรี่ตะกั่ว อุตสาหกรรมดังกล่าวใช้วัตถุดิบที่มีในประเทศ จึงไม่กระทบต่อการนำเข้าสินค้าจากไทยเท่าใดนัก แต่อาจส่งผลโดยอ้อมกดดันการผลิตและการใช้จ่ายในประเทศเติบโตช้าลงได้ในระยะข้างหน้า

โดยสรุป การส่งออกของไทยไปจีนตลอดปีนี้อาจไม่สดใสดังเช่นที่ผ่านมา โดยยังคงต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจจีนในช่วงที่เหลือของปี 2556 ท่ามกลางการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของทางการจีนที่ส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมจำกัดการผลิตและการบริโภคในประเทศ อันเป็นความท้าทายต่อภาคธุรกิจในประเทศจีนในการปรับตัวไปพร้อมกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจขนานใหญ่ของจีนในครั้งนี้ อย่างไรก็ดี ทางการจีนได้ส่งสัญญาณประคองการเติบโตทางเศรษฐกิจให้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่ร้อยละ 7.5 และทยอยอออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ซึ่งยังคงต้องจับตาดูผลของแรงเสริมที่เข้ามาพยุงเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปีนี้อย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ ท่ามกลางการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ จีนยังมีแรงหนุนจากความแข็งแกร่งของการบริโภคในประเทศที่เริ่มเด่นชัดมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นตัวช่วยพยุงเศรษฐกิจในภาพรวมในระยะข้างหน้า ตามความมุ่งหวังของทางการจีนที่ต้องการให้เพิ่มน้ำหนักให้การบริโภคมีบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จะเห็นได้จากยอดค้าปลีกของจีนขยับตัวสูงขึ้นตลอดไตรมาส 2 โดยที่ในเดือนมิถุนายนขยายตัวสูงสุดในรอบปีที่ร้อยละ 13.3 (YoY) แตะมูลค่า 1.88 ล้านล้านหยวน ผลักดันยอดค้าปลีกครึ่งปีแรกแตะ 11.08 ล้านล้านหยวน (1.8 ล้านล้านดอลลาร์ฯ) เติบโตในเกณฑ์สูงที่ร้อยละ 12.7 (YoY) ซึ่งถ้าหากทิศทางดังกล่าวสามารถรักษาการเติบโตได้เช่นนี้ตลอดช่วงที่เหลือของปี ก็อาจช่วยบรรเทาการชะลอตัวของการส่งออกไทยไปจีนได้อีกทางหนึ่ง

ด้วยภาวะดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในกรณีพื้นฐานหากเศรษฐกิจจีนกระเตื้องขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2556 การส่งออกไทยไปจีนในปี 2556 นี้มีโอกาสเติบโตใกล้เคียงร้อยละ 0.7 โดยมีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 27,000 ล้านดอลลาร์ฯ ขณะที่การนำเข้าของไทยจากจีนอยู่ที่ขยายตัวร้อยละ 3.8 มีมูลค่านำเข้าจากจีน 38,300 ล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งจะทำให้ไทยขาดดุลการค้าสูงขึ้นมาอยู่ที่ 11,300 ล้านดอลลาร์ฯ

]]>
56987