จีนเตรียมกระตุ้นให้ประชาชนซื้อรถยนต์ไฟฟ้ากับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น เพื่อฟื้นเศรษฐกิจกลับมาโตอีกรอบ

ภาพจาก Shutterstock
รัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนอีกครั้ง โดยล่าสุดมีมาตรการให้ประชาชนซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ หรือแม้แต่รถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากตัวเลขค้าปลีกในประเทศจีนเติบโตลดลงเหลือเพียงแค่ 3.1% ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา 

รัฐบาลจีนเตรียมออกมาตรการให้ประชาชนซื้อรถยนต์ไฟฟ้ากับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น เนื่องจาก 2 ภาคอุตสาหกรรมนั้นมีบริษัทจีนที่ผลิตสินค้าดังกล่าวเป็นจำนวนมาก โดยมาตรการดังกล่าวนี้รัฐบาลจีนได้เข็นออกมานั้นเพื่อที่จะกระตุ้นภาคเศรษฐกิจหลังจากที่ตัวเลขการเติบโตนั้นแย่กว่าที่คาดไว้

มาตรการดังกล่าวตามเมืองต่างๆ ของประเทศจีนนั้น รัฐบาลท้องถิ่นไม่ต่ำกว่า 13 มณฑลได้สนับสนุนให้มีการซื้อรถยนต์คันที่สอง นอกจากนี้ยังสนับสนุนการขายรถยนต์มือสอง นอกจากนี้ยังสนับสนุนมาตรการซื้อรถยนต์ที่ไม่ใช้เครื่องยนต์สันดาป เช่น รถยนต์ไฟฟ้า ฯลฯ ยาวไปจนถึงปี 2027

ขณะเดียวกันมาตรการดังกล่าวนี้ออกมาเพื่อป้องกันการตัดราคา หลีกเลี่ยงไม่ให้รัฐบาลท้องถิ่นของจีนต้องออกมาตรการปกป้องแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ หลังหลายเดือนที่ผ่านมามีสงครามตัดราคารถยนต์ไฟฟ้า หลายแบรนด์ในจีนรวมถึงแบรนด์ยุโรปได้ลดราคาตาม Tesla ลงมาเพื่อที่จะดึงดูดลูกค้า จนท้ายที่สุดต้องมีการเซ็นสัญญาสงบศึก

นอกจากนี้ในแถลงการณ์ที่แยกออกมาอีกชิ้นนั้น รัฐบาลจีนได้สนับสนุนการขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มมากขึ้น โดยสนับสนุนให้ประชาชนซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ประเภทที่เน้นการใช้นวัตกรรมมากขึ้น ขณะเดียวกันก็จะสนับสนุนให้บริษัทในประเทศผลิตสินค้าประเภทนี้มากขึ้น

แม้ว่าในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา GDP ของจีนจะเติบโตมากถึง 6.3% แต่ถ้าหากเทียบต่อไตรมาสแล้ว การเติบโตของเศรษฐกิจจีนเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนเติบโตแค่ 0.8% เท่านั้น ทำให้นักวิเคราะห์ของหลากหลายสถาบันการเงินมองว่าเศรษฐกิจจีนอาจหมดแรงขับเคลื่อนแล้วด้วยซ้ำ

มาตรการดังกล่าวของจีนต้องการที่จะให้สิทธิประโยชน์กับผู้ผลิตสินค้าที่มีนวัตกรรมมากขึ้น ซึ่งสินค้าทั้ง 2 ประเภทข้างต้นถือว่าอยู่ในหมวดสินค้ามีนวัตกรรม หลังจากในช่วงที่ผ่านมาประเทศจีนขึ้นชื่อว่าเป็นผู้รับผลิตสินค้าให้กับผู้ผลิตรายอื่นจนได้ฉายาว่าโรงงานผลิตของโลกนั่นเอง และรัฐบาลพยายามผลักดันสินค้าที่มี Value Added เพิ่มมากขึ้น

ที่มา – China Daily, Reuters