Robot – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 22 Jun 2021 11:30:24 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Hyundai ปิดดีลซื้อกิจการ Boston Dynamics สำเร็จ ลุยพัฒนา ‘หุ่นยนต์’ เสริมการสัญจรอัจฉริยะ https://positioningmag.com/1338200 Tue, 22 Jun 2021 09:34:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1338200 อีกความเคลื่อนไหวของวงการยานยนต์เเห่งอนาคต เมื่อ Hyundai ยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้ ปิดดีลเข้าซื้อกิจการ Boston Dynamics สำเร็จ ขึ้นถือหุ้นใหญ่ 80% ด้วยมูลค่า 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.5 หมื่นล้านบาท) เตรียมต่อยอดพัฒนาหุ่นยนต์ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ยกระดับการสัญจรอัจฉริยะ

‘Boston Dynamics’ ก่อตั้งเมื่อปี 1992 เป็นธุรกิจที่แยกออกมาจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) โดยในปี 2013 ทาง Google ได้เข้ามาซื้อกิจการเป็นเจ้าเเรก ต่อมาได้ขายให้กลุ่ม SoftBank จากญี่ปุ่นในช่วงปี 2017

ทั้งนี้ หลังการเข้ามาของ Hyundai ทาง SoftBank จะยังคงถือหุ้นอยู่ราว 20%

Boston Dynamics โด่งดังมาจากการพัฒนา ‘Spot’ หุ่นยนต์สุนัขสีเหลืองขาลุย ที่สามารถสำรวจพื้นที่ต่างๆ เข้าไปในที่เเคบเเละมืด เเละปีนที่สูงในอย่างคล่องเเคล่ว ถูกนำไปใช้ในหลายอุตสาหกรรม อย่างธุรกิจขุดเจาะน้ำมันและก๊าซ สำรวจป่า เหมืองเเร่ หรือเเม้กระทั่งตอนจับคนไม่ใส่หน้ากากในช่วงโควิด-19

นอกจากนี้ ยังได้เปิดตัว ‘Stretch’ หุ่นยนต์เชิงพาณิชย์ตัวแรกของบริษัท ที่ออกแบบมาเฉพาะ สำหรับคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้า

การเข้าซื้อกิจการ Boston Dynamics ของ Hyundai ในครั้งนี้ มีเป้าหมายใหญ่ คือการสร้าง ‘Robotics Value Chain’ ที่ครอบคลุมเครือข่ายทั้งการผลิตส่วนประกอบเเละสร้างหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติต่างๆ

พร้อมทรานส์ฟอร์มบริษัทสู่ผู้ให้บริการโซลูชัน ‘Smart Mobility’ การสัญจรอัจฉริยะ รองรับเทรนด์ในอนาคต ซึ่งก่อนหน้านี้ Hyundai ได้ทุ่มลงทุนไปในหลายเทคโนโลยี เช่น ระบบขับเคลื่อนด้วยตนเอง ปัญญาประดิษฐ์ โรงงานอัจฉริยะ ฯลฯ

ในด้านวิทยาการหุ่นยนต์ บริษัทมีเป้าหมายที่จะพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงที่ช่วยยกระดับชีวิตของผู้คนและส่งเสริมความปลอดภัย เพื่อความก้าวหน้าของมนุษยชาติ

ข้อตกลงนี้คาดว่าจะช่วยให้ Hyundai และ Boston Dynamics ใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของกันและกัน ทั้งในด้านการผลิต โลจิสติกส์ การและระบบอัตโนมัติ ขยายไลน์สินค้า การบริการ และส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก

เมื่อไม่นานมานี้  Boston Dynamics ถูกวิจารณ์เรื่องการนำหุ่นยนต์สุนัข Spot ไปใช้ในกองทัพ เเต่อย่างไรก็ตาม ในคลิปโปรโมตความร่วมมือใหม่ล่าสุดกับ Hyundai จะเป็นการนำหุ่นยนต์สุนัขมาช่วยนำทางสำหรับคนตาบอดและเป็นผู้ช่วยในโรงพยาบาล เป็นต้น

 

ที่มา : Engadget , Techcrunch , hyundainews 

]]>
1338200
อังกฤษชี้ ภายใน 10 ปี งาน 4 ล้านตำแหน่งถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ https://positioningmag.com/1140408 Wed, 20 Sep 2017 06:28:34 +0000 http://positioningmag.com/?p=1140408 ไม่เฉพาะตลาดแรงงานในสหรัฐอเมริกาที่เริ่มกังวลว่าหุ่นยนต์จะเข้ามาแทนที่ตำแหน่งงานของมนุษย์ เพราะในอังกฤษเองก็มีความกังวลดังกล่าวเกิดขึ้นแล้วเช่นกัน และผลสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้พบว่า งานราว 4 ล้านตำแหน่งในภาคเอกชนของอังกฤษมีสิทธิถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์ภายใน 10 ปีข้างหน้า 

โดยนักวิจัยเผยว่า 13 เปอร์เซ็นต์ของพนักงานในภาคเอกชนเชื่อว่าในอีกสิบปีข้างหน้าจะมีตำแหน่งงานหายไปจากท้องตลาด 30 เปอร์เซ็นต์อันเนื่องมาจากปัญญาประดิษฐ์ โดยงานที่มีความเสี่ยงต่อการถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติคืองานด้านการเงิน บัญชี คมนาคมขนส่ง งานในภาคการผลิต งานด้านสื่อ การตลาด การโฆษณา งานด้านค้าปลีก งานด้านไอที-เทเลคอม และงานด้านกฎหมาย เป็นต้น

Royal Society of Arts หรือ RSA ซึ่งเป็นผู้จัดทำการวิจัยดังกล่าวเผยว่า ผลการศึกษานี้เป็นตัวเลขที่ไม่แย่มากนัก เมื่อเทียบกับการศึกษาวิจัยในอดีต 

อย่างไรก็ดี ในส่วนของผู้นำองค์กรนั้นมองว่าการมาถึงของเทคโนโลยีใหม่ ๆ นั้นจะช่วยเพิ่มทางเลือกมากกว่าจะทำให้ตำแหน่งงานนั้น ๆ หายสาบสูญไป อีกทั้งยังอาจเกิดตำแหน่งงานใหม่ ๆ ตามมาได้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น งานดูแลบ้าน ที่สามารถนำระบบอัตโนมัติหรือหุ่นยนต์มาช่วยดูแลคนชรา และคอยเตือนให้รับประทานยาตามแพทย์สั่ง รวมถึงไว้ใช้ในกรณีมอนิเตอร์การเดินเหินภายในบ้าน เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของพยาบาล นอกจากนี้ ยังมีบริษัทชื่อ Three Sisters Home Care ที่กำลังทดลองนำหุ่นยนต์มาช่วยอุ้มผู้ป่วย ซึ่งจะทำให้ลดการจ้างผู้ดูแลลงได้ จากเดิมที่อาจต้องจ้างสองคน ก็อาจเหลือเพียงหนึ่งคน

ทาง RSA ยังได้มีการเตือนด้วยว่า อังกฤษควรมีการลงทุนในหุ่นยนต์ให้มากกว่านี้ มิเช่นนั้นอาจเสี่ยงที่จะตามหลังประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เยอรมนี สเปน และอิตาลีที่มีการลงทุนทั้งผลิตหุ่นยนต์และจัดซื้อหุ่นยนต์มากกว่าได้ โดย RSA มองว่า หุ่นยนต์สามารถเข้ามาทำงานแทนมนุษย์ได้ดีในงานที่สกปรก เช่น งานจัดการขยะ หรืองานอันตราย เช่น งานที่เกี่ยวข้องกับสารเคมี ซึ่งหุ่นยนต์มีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าและมีความเสี่ยงน้อยกว่านั่นเอง

แม้ว่าการมาถึงของหุ่นยนต์จะหมายถึงประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นหลายประการ แต่ก็มีความกังวลไม่น้อยว่า แล้วใครจะได้ประโยชน์จากการใช้หุ่นยนต์มากที่สุด เป็นคนส่วนใหญ่หรือแค่คนส่วนน้อยที่ถือครองทรัพยากรส่วนใหญ่เอาไว้ รวมถึงว่าแรงงานหลังจากมีหุ่นยนต์เข้ามาทำงานแทนแล้วจะได้รับค่าตอบแทนในลักษณะใด 

แต่บางทีคำตอบของคำถามเหล่านี้อาจไม่มีทางมาถึงจนกว่าจะเกิดสถานการณ์จริง ๆ ขึ้นก่อนก็เป็นได้


ที่มา : mgronline.com/cyberbiz/detail/9600000096306

]]>
1140408
หุ่นยนต์มาแล้ว ! ญี่ปุ่นเริ่มทดสอบใช้ส่งสินค้า https://positioningmag.com/1134790 Wed, 02 Aug 2017 03:27:16 +0000 http://positioningmag.com/?p=1134790 มีรายงานจาก JapanTimes ว่าบริษัท ZMP ในกรุงโตเกียวเริ่มทดสอบบริการหุ่นยนต์ส่งของอัตโนมัติแล้ว โดยมาในชื่อ คาร์ริโร เดลิเวอร์รี่ (CarriRo Delivery) ลักษณะเป็นหุ่นยนต์ทรงกล่องสูงประมาณ 1 เมตร ที่สามารถแล่นบนฟุตบาทได้ ซึ่งทางบริษัทระบุว่ามันสามารถรับน้ำหนักได้มากถึง 100 กิโลกรัมเลยทีเดียว

สำหรับการให้บริการนั้น ทางบริษัทเผยว่า หุ่นยนต์ส่งของอัตโนมัติตัวนี้เหมาะสำหรับการขนส่งสิ่งของมากกว่าโดรน เนื่องจากมันรองรับพัสดุที่มีน้ำหนักมาก ๆ ได้ รวมถึงอาหารที่มีโอกาสหกได้น้อยกว่าโดรนนั่นเอง

ด้านฮิซาชิ ทานิกุจิ ซีอีโอของ ZMP กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ บริษัทได้จับมือกับผู้ให้บริการส่งซูชิแบบเดลิเวอร์รี่ ชื่อ Ride On Express ในการทดสอบการทำงานของระบบบนพื้นที่ส่วนบุคคลมาแล้ว โดยที่ตัวหุ่นมาพร้อมกับกล้องดิจิตอลและเซนเซอร์นำทาง มันวิ่งได้เร็วสูงสุดที่ 6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสามารถเลือกเส้นทางได้เองโดยอาศัยข้อมูลจากแผนที่ที่โหลดเข้ามา แต่ก็สามารถเปลี่ยนมาควบคุมผ่านรีโมตคอนโทรลได้หากต้องการ

สำหรับลูกค้าสามารถปลดล็อดและนำสิ่งของที่หุ่นยนต์มาส่งออกมาได้ด้วยการป้อนรหัสที่ระบบส่งมาให้ทางสมาร์ทโฟน

ส่วนการพัฒนาหุ่นยนต์ให้มีความสามารถมากขึ้นนั้น ทาง ZMP และพาร์ทเนอร์หวังว่ารัฐบาลจะมีการอนุญาตให้สามารถทำการทดสอบยานพาหนะบนถนนสาธารณะได้เพื่อให้พวกเขาบรรลุเป้าหมายดังกล่าว และทาง ZMP หวังว่า CarriRo Delivery จะได้รับการปฏิบัติด้วยเหมือนกับรถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าสำหรับผู้ใหญ่ด้วย

โดยญี่ปุ่นอาจเป็นประเทศล่าสุดที่เริ่มมีการทดสอบหุ่นยนต์ลงมาให้บริการส่งของอัตโนมัติ แต่ในออสเตรเลียก็มีบริการของ Pizza Enterprises ทดสอบแล้ว หรือในสหรัฐอเมริกาก็มีแอมะซอน (Amazon) ที่เริ่มใช้โดรนในการส่งพัสดุเช่นกัน 


ที่มา : manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9600000078072

]]>
1134790
เตรียมตกงานแล้วหรือยัง ? เมื่อหุ่นยนต์ครองโลก ค้าปลีก-อาหารเจอแน่ นักบินเสี่ยงตกงานมากกว่านักข่าว https://positioningmag.com/1133157 Mon, 17 Jul 2017 08:21:35 +0000 http://positioningmag.com/?p=1133157 ผู้คนในสหรัฐอเมริกากำลังวิตกกังวลกันอย่างมากก็คือ การถูกหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ “แย่งงาน” โดยมีการคาดการณ์ว่างานหลายล้านตำแหน่งมีสิทธิถูกระบบอัตโนมัติเข้าทำแทน และจากแนวโน้มดังกล่าวนั้นยังพบอีกด้วยว่า “ผู้หญิงมีความเสี่ยงที่จะตกงานมากกว่าผู้ชาย”

ตัวเลขดังกล่าวเป็นรายงานของ Institute for Spatial Economic Analysis หรือ ISEA ที่พบว่า ลักษณะงานที่ส่วนใหญ่แล้วว่าจ้าง “ผู้หญิง” อยู่ทุกวันนี้ เช่น งานแคชเชียร์ เป็นงานที่มีโอกาสถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติถึง 97 เปอร์เซ็นต์ ภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยข้อมูลจาก ISEA ระบุว่า ผู้ที่ทำหน้าที่แคชเชียร์ในสหรัฐอเมริกานั้นเป็นผู้หญิงถึง 73 เปอร์เซ็นต์ (ตัวเลขจากปี 2016)

นอกจากนี้ การจัดอันดับของ ISEA โดยพิจารณาตามเชื้อชาติถึงความเสี่ยงที่จะตกงานยังพบด้วยว่า แรงงานที่เป็นชาวละตินอเมริกา และชาวแอฟริกัน-อเมริกัน นั้นมีโอกาสเสี่ยงที่จะเสียตำแหน่งงานให้กับระบบอัตโนมัติ 25 เปอร์เซ็นต์และ 13 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ ขณะที่แรงงานจากเอเชียนั้นมีความเสี่ยงประมาณ 11 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับแรงงานผิวขาว

ทั้งนี้ รายงานดังกล่าวเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลการจ้างงานในปี 2016 จากงานวิจัยของอ็อกฟอร์ด และสถิติจากสำนักงานแรงงาน (Bureau of Labor) ว่า ตำแหน่งงานใดบ้างที่จะได้รับผลกระทบสูงสุดจากระบบอัตโนมัติ เพื่อจะได้ทราบกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากการถูกเลิกจ้าง ในกรณีที่นายจ้างหันไปพึ่งพาระบบอัตโนมัติหรือเครื่องจักรแทนแรงงานคน

ISEA พบว่า ปัจจัยที่มีผลมากที่สุดต่อการตกงานคือ “ระดับการศึกษา” คนที่ไม่จบแม้กระทั่งมัธยมปลายจะเสี่ยงต่อการสูญเสียโอกาสในการหารายได้สูงกว่าคนที่จบปริญญาเอกประมาณ 6 เท่า เพราะคนเหล่านี้สามารถทำงานได้เฉพาะงานที่ไม่มีความซับซ้อนมากนัก และที่สำคัญ งานเหล่านั้นกำลังจะถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์

นักวิจัยเจ้าของรายงานดังกล่าวระบุว่าการมาถึงของเทคโนโลยียุคใหม่นี้กำลังจะเกิดผลลัพธ์ในอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นคือการจ้างคนที่ต้องตกงานเพราะระบบอัตโนมัติให้เข้าไปทำงานอื่น ๆ ทดแทน แต่ก็ไม่สามารถการันตีได้ว่างานรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นนั้นจะทำให้คนในกลุ่มเสี่ยงมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพหรือไม่

ค้าปลีก – ร้านอาหาร ติดโผ เสี่ยงสูง

ส่วนหนึ่งที่ทำให้อาชีพหลายอาชีพเสี่ยงตกงานก็คือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ธุรกิจสามารถนำเทคโนโลยีเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ในการขายได้มากขึ้นแทนการจ้างพนักงาน ยกตัวอย่างเช่น แท็บเล็ตกลายเป็นอุปกรณ์ช่วยงานขายที่มีประสิทธิภาพผู้บริโภคสามารถเช็กข้อมูลของสินค้าได้จากแท็บเล็ตที่มีให้บริการได้เลย หรือในกรณีของห้าง Lowe ที่นำหุ่นยนต์เข้ามาช่วยในการแนะนำสินค้า และช่วยหาสินค้าที่ลูกค้าต้องการ

ภาพจากห้าง Lowe ที่นำหุ่นยนต์มาใช้ในการแนะนำสินค้าให้กับลูกค้า

ธุรกิจร้านอาหารก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดย มร.เกร็ก ครีด (Greg Creed) ซีอีโอของแบรนด์ยัม (Yum) ออกมาประกาศเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาว่า เครื่องจักรจะเข้าแทนที่แรงงานคนในร้านอาหารในอีก 10 ปีข้างหน้าอย่างแน่นอน ซึ่งรูปแบบการเปลี่ยนแปลงจะเหมือนกับการต้มกบ ที่จะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปทีละน้อย ๆ เมื่อรู้สึกตัวอีกที ซึ่งอาจเป็นช่วงปี 2025 – 2030 ภาพเหล่านั้นจึงจะชัดขึ้น โดยร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่บริษัทถือครองอยู่ก็คือ เคเอฟซี (KFC) ทาโคเบลล์ (Taco Bell) และพิซซ่าฮัท (Pizza Hut)

รู้จักเว็บไซต์ “Will Robots Take My Job?” 

นักบินเสี่ยงตกงานสูงกว่านักข่าว

สำหรับใครที่อยากประเมินว่าโอกาสที่เราจะตกงานนั้นมีมากน้อยเพียงใด สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ “Will Robots Take My Job?” แล้วลองกรอกชื่อตำแหน่งงานที่ทำอยู่ลงไป และเว็บไซต์จะตอบกลับมาเป็นเปอร์เซ็นต์ของความเสี่ยงในการสูญเสียงาน เช่น ตำแหน่งผู้สื่อข่าวนั้น พบว่า ณ ปัจจุบันมีความเสี่ยงอยู่ที่ 11 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ตำแหน่งนักบิน (สายการบินพาณิชย์) นั้นมีความเสี่ยงถึง 55 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากเป็นตำแหน่งงานที่มีรายได้ดี และหากมีระบบอัตโนมัติเข้าทำงานแทนจะส่งผลให้ภาคธุรกิจประหยัดงบประมาณได้อีกมาก ส่วนอีกตำแหน่งงานที่เสี่ยงไม่แพ้กันคือ นักสืบ กับระดับความเสี่ยง 31 เปอร์เซ็นต์

อาชีพสร้างหนังเสี่ยงต่ำ

https://willrobotstakemyjob.com/ ได้ระบุถึงงานในตำแหน่งที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ เช่น อะนิเมเตอร์ ผู้สร้างสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ ผู้สร้างภาพยนตร์ กลับเป็นงานที่มีความเสี่ยง “ต่ำมาก” ที่ 1.5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ในปัจจุบันนั้น ยังมีความสามารถที่จำกัดอยู่พอสมควร

แต่สิ่งที่สหรัฐอเมริกาและอีกหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกต้องกังวลก็คือ เทรนด์ของร้านค้าปลีกที่กำลังจะเลิกจ้างพนักงานมากขึ้นเรื่อย ๆ และนำระบบอัตโนมัติเข้ามาแทนที่ ดังเช่นกรณีของ เซเว่น – อีเลฟเว่น และแอมะซอนที่ใช้ระบบอัตโนมัติคิดเงินแทนแคชเชียร์ ซึ่งปัจจุบัน ตัวเลขการจ้างงานในตำแหน่งนี้ของสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 6 – 7.5 ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ของประชากรวัยแรงงานทั้งประเทศ ดังนั้น หากเกิดการทยอยเลิกจ้างขึ้นจริง ผลกระทบที่ตามมาจะหมายถึงเศรษฐกิจในภาพรวมที่อาจได้รับผลกระทบไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


ที่มา : http://mgronline.com/asp-bin/PrintNews.aspx?NewsID=9600000068224 

]]>
1133157
เอาละสิ ! “แจ็ค หม่า” ทำนาย อีก 30 ปี หุ่นยนต์จะก้าวขึ้นเป็น “ผู้บริหารระดับสูง” ในองค์กรธุรกิจ https://positioningmag.com/1124120 Mon, 01 May 2017 05:40:15 +0000 http://positioningmag.com/?p=1124120 นิวยอร์กโพสต์ สื่อต่างประเทศ (27 เม.ย.) รายงานคำทำนายของแจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบา ว่า ในอีก 30 ปีข้างหน้า ปกนิตยสารไทม์ จะนำภาพของหุ่นยนต์ขึ้นปกในฐานะผู้บริหารที่ดีที่สุดแห่งปี เพราะการปฏิวัติหุ่นยนต์ทำให้จักรกลสามารถทำงานได้รวดเร็วและมีเหตุผลมากกว่ามนุษย์ อีกทั้งไม่มีความหวั่นไหวทางอารมณ์

แจ็ค หม่า กล่าวสุนทรพจน์ในประเทศจีนเมื่อวันจันทร์ที่ 24 เมษายน ว่า บริษัทที่ไม่ปรับตัว ปฏิรูปหน่วยงานทั้งระบบจัดเก็บข้อมูล และปัญญาประดิษฐ์ให้เข้ากับแรงงานและธุรกิจของพวกเขา จะประสบความล้มเหลว

แจ็ค หม่า ยังกล่าวเตือนว่า ผู้นำองค์กรที่ไม่เข้าใจเทคโนโลยี ควรสรรหาคนหนุ่มรุ่นใหม่เข้ามาทำงาน เพื่อรับมือกับยุคที่จะมาถึง และเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม โลกต้องเปลี่ยนวิธีการศึกษา และสร้างวิธีการทำงานกับหุ่นยนต์ไว้

“15 ปีที่แล้ว ผมกล่าวปราศัยราว 200-300 ครั้ง เพื่อเตือนทุกคนว่าอินเทอร์เน็ตจะส่งผลกับทุกอุตสาหกรรม แต่ผู้คนไม่ฟังเพราะตอนนั้น ผมยังไม่มีชื่อเสียง ไม่เป็นที่รู้จัก” แจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบา ซึ่งมีฉายาว่า อเมซอนแห่งจีน

อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวข้างหน้า แจ็ค หม่า ยังมีความหวังกับความสัมพันธ์ของมนุษย์และหุ่นยนต์ ซึ่งตรงข้ามกับทัศนะของ อีลอน มัสก์ เศรษฐีหนุ่มอัจฉริยะ ผู้มีความสามารถในการสร้างเทคโนโลยีเป็นชีวิตจิตใจ และเป็นต้นแบบของโทนี่ สตาร์ก ในหนังฟอร์มยักษ์ไอรอนแมน Ironman โดย อีลอน มัสก์ เห็นว่าปัญญาประดิษฐ์จะเป็นภัยคุกคามต่อมนุษยชาติ

“จักรกลจะทำในสิ่งที่มนุษย์ ไม่สามารถทำได้” หม่า กล่าวฯ และว่า “จักรกลจะเป็นผู้ร่วมงานของมนุษย์มากกว่าจะเป็นศัตรู”

ที่มา : http://manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9600000043703

]]>
1124120
เตรียมตัวให้ดี ! 6 อาชีพเสี่ยงถูกแทนที่โดยหุ่นยนต์ AI https://positioningmag.com/1122743 Tue, 18 Apr 2017 16:30:20 +0000 http://positioningmag.com/?p=1122743 รายงานจาก ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส (PwC) เผยปัญญาประดิษฐ์มีแนวโน้มแทนที่แรงงานมนุษย์ หลังถูกพัฒนาต่อยอดจากไอโอทีจนเกิดเป็นเครื่องจักรอัจฉริยะ สามารถเลียนแบบพฤติกรรมและตัดสินใจแทนมนุษย์ในเรื่องต่างๆ ชี้เริ่มเห็นสัญญาณการลงทุนเอไอและหุ่นยนต์ทั่วโลกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยคาดว่าเอไอจะเข้ามาพลิกโฉมตลาดแรงงาน รวมทั้งกลยุทธ์การพัฒนาทักษะและจัดหาบุคลากรขององค์กร พร้อมระบุประโยชน์จากการเข้ามาของเอไอจะช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่บริษัท-ลดอุบัติเหตุ-เพิ่มความปลอดภัยในชีวิต-ลดค่าใช้จ่าย-เพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้ใช้ แนะทุกอุตสาหกรรมอย่ากลัว เร่งปรับตัวและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้

น.ส.วิไลพร ทวีลาภพันทอง หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษา บริษัท PwC Consulting (ประเทศไทย) เปิดเผยถึงรายงาน Leveraging the upcoming disruptions from AI and IoT ที่ทำการศึกษาผลกระทบจากการเข้ามาของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence : AI) และเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (The Internet of Things : IoT) ว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เอไอ หรือความฉลาดเทียมที่สร้างขึ้นให้กับเครื่องจักรและคอมพิวเตอร์มีศักยภาพในการทำงานเทียบเท่ากับมนุษย์จะเข้ามาพลิกโฉมตลาดแรงงานทั่วโลก ขณะที่เมื่อมีการนำเอไอมาพัฒนาต่อยอดกับอินเทอร์เน็ตเชื่อมต่ออุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ รถยนต์ โทรทัศน์ ทำให้เกิดเป็นเครื่องจักรอัจฉริยะ (Smart machines) และสามารถทำงานได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นว่าหลายๆ อุตสาหกรรมเริ่มหันมาลงทุนและพัฒนาเพื่อนำนวัตกรรมเหล่านี้มาใช้กับธุรกิจแล้ว

น.ส.วิไลพร ทวีลาภพันทอง หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษา บริษัท PwC Consulting (ประเทศไทย)

“เรามองว่ามีความจำเป็นอย่างมากที่วันนี้ภาคธุรกิจต้องมีกลยุทธ์ในการนำเอไอมาผนวกใช้กับไอโอทีเพื่อบริหารจัดการข้อมูลเชิงลึกเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน วันนี้เราเห็นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตระหว่างคนกับคน คนกับสิ่งของ หรือสิ่งของกับสิ่งของ เช่น กล้องวงจรปิดหรือเครื่องใช้ต่างๆ ในบ้านที่เราสามารถควบคุมด้วยอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ และอื่นๆ ศักยภาพของเอไอเมื่อถูกผสมผสานเข้ากับไอโอทีจะปลดล็อกมูลค่าทางธุรกิจและเปลี่ยนโฉมตลาดแรงงาน ทักษะแรงงานที่นายจ้างต้องการ รวมถึงการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลในทุกอุตสาหกรรมก็จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง” น.ส.วิไลพรกล่าว

ทั้งนี้ เอไอจะเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการข้อมูลของไอโอที ทั้งการจัดเก็บ รวบรวม ประมวลผลเชิงลึก ผ่านการเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine learning) โดยรายงานระบุว่า ด้วยความสามารถในการทำงานแบบเรียลไทม์ผ่านการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ของเครื่องจักรอัจฉริยะซึ่งถูกพัฒนาต่อยอดจากเอไอและไอโอทีจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจอย่างมหาศาล และส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนในเอไอทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยในระยะข้างหน้า

นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่ากระแสของการนำเอไอมาผนวกใช้กับไอโอทีกับภาคธุรกิจจะยังได้รับแรงกดดันจากพนักงานขององค์กรที่ต้องการได้รับความสะดวกสบายในการทำงานมากขึ้นผ่านแอปพลิเคชันของเอไอ เฉกเช่นเดียวกับการใช้ชีวิตประจำวันที่บ้าน

“เอไอ” แทนที่ตลาดแรงงานมนุษย์

น.ส.วิไลพรกล่าวต่อว่า เนื่องจากวิวัฒนาการของเอไอกำลังเข้ามาปฏิวัติการทำงานในโลกอุตสาหกรรม จะส่งผลให้ตลาดแรงงานได้รับผลกระทบ รวมทั้งองค์กรต่างๆ ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การจ้างงานและเสริมสร้างทักษะของพนักงานที่มีอยู่เพื่อตอบโจทย์ตลาดที่ต้องการแรงงานที่มีทักษะสูงขึ้น ขณะที่ลดสัดส่วนจำนวนพนักงาน (Headcount) ขององค์กรลง

รายงานของ PwC ระบุว่า อาชีพที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเข้ามาของเอไอมากที่สุด ได้แก่ ผู้ช่วยส่วนตัว คนขับรถแท็กซี่ พนักงานเก็บเงิน พนักงานรับโทรศัพท์ พนักงานต้อนรับ และพนักงานธนาคาร นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่าจะมีอาชีพอื่นๆ ด้วยที่ได้รับผลกระทบหลังจากที่เอไอถูกนำมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจมากขึ้นเรื่อยๆ

“การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตลาดแรงงานทั่วโลกถือเป็นความท้าทายขององค์กรที่ต้องคิดใหม่ ทำใหม่ ทั้งในแง่การวางกลยุทธ์ในการบริหารงานทรัพยากรบุคคล ทักษะที่ต้องการ และการฝึกอบรมพนักงาน ซึ่งวันนี้หลายบริษัททั้งขนาดเล็กและใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจในการนำเอไอมาใช้กับธุรกิจ” น.ส.วิไลพรกล่าว

สำหรับประเทศไทย น.ส.วิไลพรกล่าวเสริมว่า ปัจจุบันหลายๆ องค์กรเริ่มมีการปรับตัว โดยนำระบบเอไอและหุ่นยนต์มาใช้แทนที่แรงงานมนุษย์บ้างแล้ว เช่น ธุรกิจค้าปลีกที่มีบริการระบบชำระเงินค่าสินค้าอัตโนมัติภายในซูเปอร์มาร์เก็ต หรือธนาคารพาณิชย์ที่จัดตั้งกองทุนเพื่อการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ อีกทั้งมีการลดจำนวนพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ และนำระบบอัตโนมัติมาใช้ตามสาขาของธนาคารเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ธุรกิจรายอื่นๆ ก็มีการศึกษา พัฒนา และลงทุนด้านเอไอและหุ่นยนต์ เพื่อนำมาใช้สร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจในยุคดิจิตอลเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดสอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล

5 การเปลี่ยนแปลงจากการเข้ามาของเอไอ

นอกจากเหนือจากตลาดแรงงานที่จะได้รับผลกระทบจากการเข้ามาของเอไอแล้ว การขยายตัวของสินค้าและบริการอัจฉริยะต่างๆ จะยิ่งผลักดันให้ผู้ประกอบการต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบผลิตภัณฑ์และบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย โดยเอไอจะทำให้เกิดผู้เล่นหน้าใหม่ๆ ในตลาด รวมทั้งการล้มหายไปของคู่แข่งที่ปรับตัวไม่ได้

คาดการณ์การลงทุนของธุรกิจทั่วโลกด้าน IoT ในปี ค.ศ.2020 (ที่มา : รายงาน Leveraging the upcoming disruptions from AI and IoT โดย PwC)

ทั้งนี้ รายงานชี้ให้เห็นว่า การนำเอไอมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ 5 ประการ ดังนี้

• รายได้สูงขึ้น โดยธุรกิจ 3 ประเภทที่มีโอกาสในการเพิ่มรายได้จากการผนวกไอโอทีเข้ากับเซ็นเซอร์อัจฉริยะ อุปกรณ์เชื่อมและเอไอ ได้แก่ ผู้ผลิตอุปกรณ์ไอโอที (IoT device manufacturers) ผู้ให้บริการและจำหน่ายข้อมูลไอโอที (IoT data and information providers/ aggregators) และบริษัทที่นำเสนอบริการแอปพลิเคชันเซ็นเซอร์อัจฉริยะ

• ความปลอดภัยเพิ่มขึ้น ระบบการตรวจสอบแบบเรียลไทม์จะช่วยป้องกันการเกิดภัยพิบัติ และเพิ่มความปลอดภัยในด้านต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น กล้องรักษาความปลอดภัยที่ใช้เอไอในการแยกแยะระหว่างคน สัตว์ และยานพาหนะออกจากกัน โดยกล้องยังสามารถทำการเปิดไฟ หรือส่งสัญญาณเตือนภัยต่างๆ ผ่านระบบเซ็นเซอร์

• การสูญเสียจากอุบัติเหตุและเหตุไม่คาดฝันลดลง ระบบการตรวจสอบแบบเรียลไทม์จะช่วยลดการสูญเสียของชีวิตและทรัพย์สิน

• ค่าใช้จ่ายลดลง การมีระบบการตรวจสอบและควบคุมอัจฉริยะที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้า มิเตอร์บ้านอัจฉริยะ (Home smart metres) หรือแม้แต่เครื่องใช้ภายในบ้านที่ควบคุมด้วยระบบเซ็นเซอร์ จะช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติการของธุรกิจและที่อยู่อาศัย

• ประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าเพิ่มขึ้น เซ็นเซอร์อัจฉริยะยังมีความสามารถถูกปรับเข้ากับพฤติกรรมของผู้ใช้แต่ละคนได้ผ่านการเรียนรู้พฤติกรรมการใช้งานและความชอบของลูกค้า ยกตัวอย่างเช่น เครื่องวัดอุณหภูมิภายในบ้านอัจฉริยะ (Smart thermostat) ที่สามารถปรับอุณหภูมิภายในบ้านให้เหมาะสมกับสภาพอากาศที่ผู้อยู่อาศัยต้องการผ่านการตั้งค่าในระบบ และแสดงผลข้อมูลไปยังโทรศัพท์มือถือ หรือ นาฬิกาอัจฉริยะ

นอกจากนี้ รายงานของ PwC ยังระบุว่า ในปัจจุบันอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น สายการบิน ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการผลิต และแท่นขุดเจาะน้ำมันหลายแห่ง ได้เริ่มนำนวัตกรรมเอไอมาผนวกใช้กับไอโอทีเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานแล้ว

“วันนี้ผู้ประกอบการไม่ว่าขนาดใหญ่หรือขนาดเล็กต้องเร่งปรับตัวในการนำเอไอมาใช้ในการพัฒนารูปแบบการทำธุรกิจ ไม่ว่าเอไอจะกลายเป็นภัยคุกคามต่อตลาดแรงงานในอนาคตหรือไม่ก็ตาม เรามองว่าทุกฝ่ายต้องอ้าแขนรับการเปลี่ยนแปลง และไม่กลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้น ในระยะข้างหน้า ตลาดเอไอจะยิ่งใหญ่ขึ้นและจะถูกพัฒนาอย่างรวดเร็ว มีความฉลาด และความยืดหยุ่นมากขึ้น จนในที่สุดกลายเป็นสมองของเครื่องจักรอย่างสมบูรณ์แบบ” น.ส.วิไลพรกล่าวทิ้งท้าย

ที่มา : http://manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9600000039147

]]>
1122743
มาแล้ว ! “Kokoro” หุ่นยนต์สาวขายประกัน ที่สนามบินนาริตะ https://positioningmag.com/1119890 Tue, 21 Mar 2017 05:10:58 +0000 http://positioningmag.com/?p=1119890 สนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่น อีกหนึ่งจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวในช่วงหน้าร้อนนี้มีการโปรโมตพนักงานใหม่แล้ว โดยเธอคนนี้เป็นหุ่นยนต์ชื่อ โคโคโระ (Kokoro) หน้าที่ คือ ขายประกันภัยให้กับนักท่องเที่ยว รวมถึงสามารถบอกทางไปห้องน้ำ และร้านอาหารได้ด้วย

หุ่นยนต์โคโคโระ พัฒนาโดยผู้สร้าง Hello Kitty ร่วมกับบริษัทซอฟต์แวร์ เคียวเอ ซังเงียว (Kyoei Sangyo) โดยเธอสามารถยิ้มได้อย่างอ่อนหวานสไตล์สาวญี่ปุ่น รวมถึงแต่งกายเรียบร้อยดูดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้พัฒนาไม่ได้สร้างขามาให้เธอแต่อย่างใด ส่วนภาษาที่เธอโต้ตอบได้ก็มีเพียง 2 ภาษา คือ อังกฤษ และญี่ปุ่น

โดยเทคโนโลยีด้านเสียงที่ทำให้หุ่นยนต์สามารถโต้ตอบได้อย่างลื่นไหลนั้น มาจากผลงานการพัฒนาของบริษัท AITalk by AI สำหรับภาษาญี่ปุ่น และ Acapela TTS สำหรับภาษาอังกฤษ

บริษัทที่โคโคโระทำงานให้นั้น มีชื่อว่า “Greenport” เป็นเอเจนซี่ขายประกันภัย และรับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ งานของเธอ คือ การเพิ่มยอดขายประกันภัยในกลุ่มนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น เนื่องจากทางสนามบินพบว่า มีนักท่องเที่ยวถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ที่บินจากสนามบินนาริตะไม่ได้ซื้อประกันภัยใดๆ เลยแม้แต่ชิ้นเดียว

อย่างไรก็ดี ในสัปดาห์แรกของการทดลองทำงานที่สนามบิน โคโคโระถูกถามเรื่องทางไปห้องน้ำ และร้านอาหารมากพอๆ กับการขายประกันภัยเลยทีเดียว

สำหรับการอัปเกรดหุ่นยนต์รอบใหม่ คาดว่าจะมีขึ้นในราวเดือนกรกฎาคม โดยจะปรับปรุงในเรื่องของการพูดให้สมูทขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ส่วนใครที่อยากพบหุ่นยนต์ตัวนี้สามารถไปพบได้ที่เทอร์มินอล 1 ชั้น 4

ที่มา : http://manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9600000028668

]]>
1119890
เตรียมตกงาน ! หุ่นยนต์พลิกเบอร์เกอร์มาแล้ว คาดแย่งงานกลุ่มวัยรุ่นในตลาดฟาสต์ฟู้ด https://positioningmag.com/1118784 Thu, 09 Mar 2017 08:10:23 +0000 http://positioningmag.com/?p=1118784 เรียกว่าเตรียมตกงานกันอีกกลุ่ม แถมเป็นแรงงานกลุ่มสำคัญเสียด้วย นั่นก็คือ แรงงานกลุ่มวัยรุ่นในร้านฟาสต์ฟู้ดประเภทเบอร์เกอร์ เพราะมีการเปิดตัวหุ่นยนต์ที่สามารถพลิกเบอร์เกอร์บนเตาย่างออกมาแย่งตลาดกันแล้ว

หุ่นยนต์ดังกล่าวผลิตโดย Miso Robotics มีชื่อว่า “ฟลิปปี้” (Flippy) และเป็นหุ่นยนต์ที่ทำงานโดยมีปัญญาประดิษฐ์ควบคุม กลุ่มเป้าหมายของตลาด คืออุตสาหกรรมอาหาร เช่น ภัตตาคารต่างๆ ซึ่งทางผู้ผลิตวางโพสิชันเอาไว้ในฐานะหุ่นยนต์ผู้ช่วยในครัว

เครื่องช่วยสำหรับการย่างเบอร์เกอร์

โดยฟลิปปี้มาพร้อมเซนเซอร์ และกล้องจำนวนมากที่ช่วยในการวิเคราะห์เนื้อบนเตาย่างว่า เป็นเนื้อประเภทใด ยกตัวอย่างเช่น หากมันวิเคราะห์ได้ว่าเป็นเนื้อไก่ ระบบก็จะมีวิธีวัดความสุกสำหรับเนื้อไก่ แต่ถ้าเป็นเนื้อชนิดอื่น ก็จะมีวิธีวัดแบบอื่นแตกต่างกันไป

ตัวช่วยสำหรับการทอด

ความอัจฉริยะอีกประการหนึ่งก็คือ เมื่อเครื่องวัดได้ว่า เนื้อนั้นย่างสมบูรณ์ดีแล้ว มันสามารถตักเนื้อชิ้นนั้น ขึ้นมาวางบนขนมปังได้อย่างนุ่มนวล แต่ความสามารถของฟลิปปี้ยังไม่หมดแค่นั้น มันยังสามารถหั่นผัก ทอดอาหาร หรือแม้แต่จัดจานได้ด้วย เรียกได้ว่า เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของมนุษย์เลยทีเดียว

ตัวช่วยสำหรับจัดจาน

ซึ่งประเด็นนี้ หากใครยังจำได้ถึงร้าน Cafe X ในซานฟรานซิสโก ที่มีหุ่นยนต์ทำหน้าที่ขายกาแฟภายในคีออสเล็กๆ แล้วก็ล่ะก็ เป็นไปได้ว่า ในอนาคตเราอาจต้องซื้อเบอร์เกอร์กับร้านที่ทำงานโดยหุ่นยนต์แต่เพียงลำพังบ้างก็เป็นได้ เพราะในกรณีของฟลิปปี้นั้น หากมันรวมร่างกับแอปพลิเคชันสั่งอาหารที่ต้องชำระเงินล่วงหน้า แล้วค่อยมารับอาหารจากหน้าร้าน ก็เรียกได้ว่า มันแทบจะเปิดร้านเบอร์เกอร์ได้โดยลำพังแล้วนั่นเอง

ที่มา : http://manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9600000024144

]]>
1118784
ระวัง ! 9 อาชีพ ที่จะถูกทดแทนด้วยหุ่นยนต์ AI https://positioningmag.com/1118179 Mon, 06 Mar 2017 03:57:56 +0000 http://positioningmag.com/?p=1118179 หากเอ่ยถึงอาชีพ “นักแสดง นักจิตวิทยา คุณครู นักดนตรี นักข่าว” อาชีพเหล่านี้อาจถูกมองว่าเป็นอาชีพที่ยังปลอดภัยในยุคแห่งการ Disruption โดย Artificial Intelligence หรือ AI แต่ก็มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่เผยออกมาว่า ความคิดนั้น อาจไม่ถูกต้องอีกต่อไปเสียแล้ว

โดยมีรายงานจากสถาบันแมคคินซีย์ โกลบอล (Mckinsey Global Institute) ประมาณการว่า งานกว่าครึ่งที่มีอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ จะถูกทดแทนด้วยระบบอัตโนมัติภายในปี ค.ศ. 2055 ซึ่งเป็นไปได้ว่า เมื่อยุคนั้นมาถึง มนุษย์อาจยังไม่พร้อมสำหรับการถูกแทนที่โดยหุ่นยนต์ และหลายคนที่ไม่ได้เตรียมตัวก็จะไม่สามารถหางานใหม่ไปทำได้

แต่หากมองในความเป็นจริง ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะการพัฒนาเทคโนโลยีในอดีตก็เพื่อเข้ามาทำงานแทนมนุษย์มาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว

แต่ที่ผ่านมา ความสามารถของเครื่องจักรนั้นคือการทำงาน ทำงาน และทำงาน มันไม่มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ได้ดีนัก งานส่วนใหญ่ที่เครื่องจักรในอดีตทำได้คืองานที่ไม่ต้องอาศัยทักษะมากนัก บ้างก็เป็นงานที่เน้นผลิตในปริมาณมาก ๆ ต้องแข่งกับเวลา ซึ่งอาชีพอย่างนักบำบัด คนทำงานเพื่อสังคม ครู ผู้จัดการ อาจารย์พิเศษ จึงไม่ต้องกังวลแต่อย่างใด

แต่สถานการณ์ในปี ค.ศ. 2017 นั้นเปลี่ยนไปแล้ว เพราะปีนี้ AI มีความก้าวหน้าไปถึงขั้นอัจฉริยะ การประมวลผลด้านภาษาของ AI ก็ก้าวหน้ามากถึงมากที่สุด อาชีพที่เคยมองว่าหุ่นยนต์ไม่สามารถขึ้นมาเป็นคู่เทียบของมนุษย์นั้นจึงไม่ใช่เช่นนั้นอีกต่อไป

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อสิบปีก่อน ความสามารถของระบบนำทางให้ตัวรถขับหลบสิ่งกีดขวางนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ แต่ปัจจุบัน บริษัทเทคโนโลยีจำนวนมาก รวมถึงบริษัทผู้ผลิตรถยนต์กำลังสร้างรถยนต์ที่ขับเคลื่อนได้เองโดยไม่ต้องมีคนขับแล้ว ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีระดับนี้ได้ทำให้ปัญหาด้านระบบนำทางในอดีตกลายเป็นเรื่องจิ๊บ ๆ ไปเลยทีเดียว

ซึ่งลักษณะของงานที่คอมพิวเตอร์สามารถทำแทนในปัจจุบันได้แก่

1. ผู้บริหารระดับกลาง

ผู้บริหารระดับกลางเป็นอาชีพที่เสี่ยงอันดับหนึ่ง หลังจากที่เคยถูกมองว่า จำเป็นต้องมี เพราะต้องรับคำสั่งจากผู้บริหารระดับสูงมาถ่ายทอดสู่พนักงานระดับปฏิบัติการ แต่ในเดือนที่ผ่านมา บริษัทเฮดจ์ฟันด์ยักษ์ใหญ่ Bridgewater Associate ได้ออกมาประกาศว่าจะพัฒนา PriOS Project ซึ่งเป็นอัลกอริธึมมาใช้ในด้านการบริหารงาน และการตัดสินใจต่อปัญหาต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการจ้างงาน และการไล่พนักงานออกด้วย โดยคาดว่าจะนำมาใช้งานจริงได้ไม่เกิน 5 ปีนี้ ซึ่งนั่นอาจทำให้ความจำเป็นที่จะต้องมีผู้บริหารระดับกลางหมดไป

2. นักกฎหมาย

เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินชื่อ DoNotPay ปัญญาประดิษฐ์ด้านกฎหมาย ผลงานของ Joshua Browder เด็กหนุ่มอัจฉริยะวัย 20 ปีที่จะมาช่วยประหยัดเงินในการจ้างทนายให้กับผู้ใช้งานได้ โดยที่มาของ DoNotPay นั้น เกิดจากการที่ Browder ถูกเรียกเก็บค่าปรับอย่างไม่เป็นธรรมจากหน่วยงานท้องถิ่นของเมือง ถึง 30 ใบในเดือนเดียว เขาจึงพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ขึ้นมาช่วยเหลือคนที่ประสบปัญหาแบบเดียวกันเสียเลย โดยให้ผู้ประสบปัญหามากรอกแบบสอบถาม แล้วให้ปัญญาประดิษฐ์วิเคราะห์ว่า คนคนนั้นทำผิดกฎหมายหรือไม่ ซึ่งหากปัญญาประดิษฐ์วิเคราะห์แล้วว่าคนคนนั้นไม่ผิด มันจะร่างจดหมายโต้แย้งให้กับลูกความของมันโดยอัตโนมัติ

โดยหลังจากเปิดทดลองให้บริการฟรี 21 เดือน ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐฯ Browder เผยว่า DoNotPay มีส่วนร่วมในเคส 250,000 เคส และเป็นเคสที่ชนะคดีถึง 160,000 เคส คิดเป็นมูลค่า 4 ล้านเหรียญสหรัฐ หรืออาจเทียบได้ว่า สถิติชนะคดีของแชตบอตตัวนี้ สูงถึง 64 เปอร์เซ็นต์ เลยทีเดียว

3. นักข่าว

อาชีพนักข่าวก็มี AI bot ที่ถูกสร้างขึ้นมาทำงานแทนแล้วเช่นกัน โดยบริษัทชื่อ Narrative Science และ Automated Insights ได้พัฒนาอัลกอริธึมสำหรับเขียนข่าวกีฬา และข่าวธุรกิจขึ้นมาใช้แล้ว แถมมีลูกค้าเป็นสื่อสำนักดังอย่างเช่น ฟอร์บส์ (Forbes) และ The Associate Press อีกด้วย ซึ่งในเดือนมิถุนายนเมื่อปี 2015 ผู้ก่อตั้ง Narrative Science อย่าง Kris Hammond ได้ออกมาคาดการณ์ว่า ในปี ค.ศ. 2030 ประมาณ 90% ของอาชีพนักข่าวจะถูกแทนที่ด้วย AI ส่วนผู้ได้รับรางวัลพูลิตเชอร์ก็อาจเป็น AI ด้วยก็เป็นได้

4. นักจิตวิทยา

ในอนาคต ไม่ยากเลยที่จะมี Social Robot สำหรับใช้สอนเด็กออทิสติก หรือหุ่นยนต์สัตว์เลี้ยงที่มาคอยอยู่เคียงข้างคนสูงอายุ ที่ป่วยด้วยโรคความจำเสื่อม นอกจากนี้ หน่วยงานด้านการทหารของสหรัฐอเมริกาก็มีการใช้ นักบำบัดแบบเวอร์ชวลในการสกรีนทหารที่ประจำการอยู่ในอัฟกานิสถานว่าป่วยด้วยโรค PTSD หรือไม่แล้วเช่นกัน

(หมายเหตุ : PTSD เป็นโรคทางจิตเวชที่เกิดขึ้นหลังจากประสบเหตุการณ์ที่น่ากลัวและร้ายแรงจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด

เหตุการณ์ที่ทำให้เกิด PTSD ไม่ใช่เหตุร้ายทั่วๆไป เช่น หกล้ม รถเฉี่ยวกัน หรือลืมของไว้บนรถแท็กซี่ แต่จะต้องเป็นเหตุการณ์ที่น่ากลัวและร้ายแรงมากจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด เข่น สึนามิ น้ำป่า ดินถล่มทับบ้าน พายุพัดบ้านพัง เกิดเหตุวินาศกรรม สงคราม จลาจล โดนปล้นหรือข่มขืน โดยที่ผู้ที่ป่วยเป็น PTSD อาจเป็นผู้ประสบเหตุเองโดยตรงหรือเพียงแค่ได้เห็นเหตุการณ์หรือได้รับรู้เรื่องราวจากข่าวหรือคำบอกเล่าของผู้อื่นก็ได้ แต่จะต้องมีปฏิกริยาเป็นความตื่นกลัวและรู้สึกว่าตนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ (อ้างอิงข้อมูลจาก ศูนย์วิทยบริการ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา)

ฟอร์ด อีกหนึ่งบริษัทที่มีการลงทุนใน AI อย่างหนักในช่วง 2 – 3 ปีมานี้

5. ครู

ด้วยซอฟต์แวร์เช่น McGraw-Hill Connect และ Aplia ที่ช่วยบรรดาคุณครูบริหารจัดการการจัดการเรียนการสอนของนักเรียนได้นับร้อยนับพันคนในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ ในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ก็มีการใช้หุ่นยนต์สอนนักเรียนฝึกพูดภาษาอังกฤษแล้วด้วย

6. นักแสดง

ด้วยเทคโนโลยีดิจิตอล ทำให้เราได้เห็นนักแสดงที่เสียชีวิตไปแล้วอย่าง Peter Cushing และอีกหลายคนกลับมามีชีวิตโลดแล่นบนจอภาพยนตร์ได้ใหม่ แถมยังสมจริงมากอีกด้วย นั่นจึงทำให้ในอนาคต อาชีพนักแสดง อาจกลายเป็นอาชีพที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทคโนโลยีแทนแล้วนั่นเอง

7. นักเขียน

อย่าประมาท AI ว่าจะเขียนหนังสือไม่ได้ เพราะ AI อย่าง Watson จากค่ายไอบีเอ็มได้ตีพิมพ์หนังสือตำราอาหารของตัวเองออกมาแล้วในปี 2015

8. บริการรับส่งสิ่งของ

การใช้หุ่นยนต์คอยให้บริการรับส่งสิ่งของเป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยขึ้น เช่น โรงแรม Aloft มีการทดลองนำหุ่นยนต์ชื่อ Botlr มาให้บริการจัดส่งผ้าขนหนูและของใช้ในห้องน้ำไปให้ลูกค้าถึงหน้าห้อง ที่สำคัญ หุ่นยนต์ตัวนี้ไม่ต้องการทิปแต่อย่างใด ขอเพียงทวีตถึงมันบ้างก็พอแล้ว หรือสตาร์ทอัปอย่าง Starship Technology ผู้พัฒนาหุ่นยนต์ส่งของออกวิ่งให้บริการแล้วเช่นกัน

9.คนขับรถ

ในกรณีนี้อาจต้องยกเคสของอูเบอร์ (Uber) กับลิฟต์ (Lyft) สองผู้ให้บริการแอปพลิเคชันเรียกรถแท็กซี่ในสหรัฐอเมริกาขึ้นมาเป็นตัวอย่าง เพราะทั้งสองบริษัทต่างออกมาเปิดเผยถึงแผนในอนาคตของบริษัทแบบไม่ปิดบังว่า มีแผนจะพัฒนารถอัตโนมัติออกมาใช้งาน โดยตอนนี้อยู่ขั้นทดสอบแล้ว (แน่นอนว่ามีคนขับแท็กซี่ออกมาประท้วงมากมาย) เหลือแค่รอให้ร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องผ่าน ก็อาจให้บริการได้ ซึ่งอาจเป็นช่วงปี ค.ศ. 2020 ที่หลายคนรอคอย

จะเห็นได้ว่า ชื่ออาชีพที่หลาย ๆ คนคิดว่ายังปลอดภัยนั้น เริ่มถูกบรรจุเข้าไปในฐานข้อมูลของอาชีพที่มีแนวโน้มว่าจะถูก AI เข้ามาแทนที่มากขึ้นทุกที แม้กระทั่งงานที่ต้องใช้ศิลปะสูง เช่น ครู หรือนักแสดง

ดังนั้น การเตรียมตัวให้อยู่รอดในโลกแห่งการทำงานในยุค AI ครองเมือง จึงควรเริ่มต้นเสียตั้งแต่วันนี้ ด้วยการมองหาทักษะใหม่ ๆ ที่ทำให้เราโดดเด่นเหนือ AI หรือสามารถอยู่ในบทบาทที่ได้รับสิทธิในการควบคุม AI ได้ ไม่ใช่รอจนวันนั้นมาถึงแล้วถูก AI ควบคุมแทนเสียเอง

ที่มา : http://manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9600000017064

]]>
1118179
แบรนด์พิซซ่าหน้าใหม่ในซิลิคอนวัลเลย์ ดึงหุ่นยนต์ทำงานแทนคนแล้ว https://positioningmag.com/1104463 Fri, 30 Sep 2016 04:02:46 +0000 http://positioningmag.com/?p=1104463 Zume Pizza แห่งเมาท์เทนวิว แคลิฟอร์เนียโชว์ความสำเร็จจากการนำหุ่นยนต์เข้ามาแทนที่เชฟแล้วอย่างเป็นทางการ พร้อมอ้างว่าสามารถประหยัดค่าแรงได้กว่าครึ่ง โดยได้นำเงินที่ประหยัดได้นั้นมาเพิ่มคุณภาพของวัตถุดิบแทน

“สิ่งที่เราทำคือการหันไปใช้งานระบบออโตเมชัน และหุ่นยนต์ในการผลิตพิซซ่าที่ดีขึ้นสู่ผู้บริโภค” จูเลีย คอลลินส์ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Zume Pizza กล่าว

โดยพิซซ่ายี่ห้อนี้ไม่มีหน้าร้านให้นั่งรับประทาน และจ้างพนักงานเพียงไม่กี่ตำแหน่งเท่านั้น (ซูเชฟ กับวิศวกรซอฟต์แวร์) เมื่อเทียบกับแบรนด์พิซซ่าอื่น ๆ อย่างไรก็ดี พนักงานที่จ้างเข้ามานั้นจะได้รับเงินเดือน และผลตอบแทน รวมถึงหุ้นของบริษัทอย่างเต็มที่ โดยมีการจ้างงานครั้งแรกเมื่อ 8 กันยายนปีที่แล้ว (บริษัทมีพนักงาน 50 คน เป็นพนักงานในระดับที่ไม่ต้องมีทักษะสูงนัก 32 คน ส่วนที่เหลือเป็นวิศวกรและผู้บริหาร) และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครลาออกจากบริษัท ซึ่งถือเป็นเรื่องที่แปลกมากหากเทียบกับร้านอาหารทั่วไป

คอลลินส์เผยว่า สภาพการทำงานของ Zume Pizza เป็นลักษณะ Co-bot หรือก็คือมนุษย์ทำงานร่วมกับหุ่นยนต์ ซึ่งค่อนข้างตอบโจทย์ความต้องการของบริษัทได้ดีกว่า

ด้วยเหตุนี้ สภาพการทำงานแบบ Co-bot จึงอาจก้าวขึ้นมาเป็นโมเดลในการทำงานของหลาย ๆ อุตสาหกรรมในอนาคตและทำให้มนุษย์บางส่วนต้องตกงานได้ ดังเช่นที่ฟอร์เรสเตอร์ได้เคยคาดการณ์เอาไว้ว่า งานในอาชีพบริการ การขับแท็กซี่ การขับรถบรรทุก จะถูกแย่งโดยหุ่นยนต์หรือระบบอัตโนมัติถึง 6 เปอร์เซ็นต์ของตำแหน่งงานทั้งหมด

ด้านงานของครัว Zume จะยกภาระงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ ให้กับหุ่นยนต์ เช่น การทาซอสมะเขือเทศลงบนแป้งพิซซ่า และการยกถาดพิซซ่าเข้าเตาอบอุณหภูมิ 800 องศาที่เกิดขึ้นหลายร้อยครั้งต่อวัน โดยคอลลินส์มองว่า การยกงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ รวมถึงงานที่อาจเป็นอันตรายต่อมนุษย์ให้หุ่นยนต์ทำเป็นเรื่องที่เหมาะสมดีแล้ว

มากไปกว่านั้นคือ พิซซ่ายี่ห้อดังกล่าวยังมาพร้อมนวัตกรรมที่สร้างความแตกต่างให้กับบริษัทด้วยการเก็บข้อมูลการสั่งซื้อของลูกค้า ทำให้ทราบว่า หากเป็นออเดอร์พิซซ่าในคืนที่มีการแข่งขันฟุตบอล ลูกค้าแต่ละหลายจะสั่งอะไร รวมถึงสามารถโหลดแป้งมาเตรียมไว้ได้ก่อนที่จะมีออเดอร์เข้ามาด้วย

สำหรับหุ่นยนต์จากร้านพิซซ่า Zume พัฒนาโดยบริษัท ABB ซึ่งทางบริษัทสั่งผลิตแบบแยกชิ้นส่วนและมาประกอบเอง รวมถึงมีสิทธิบัตรด้วย โดยต้นทุนของหุ่นยนต์นั้นอยู่ที่ 25,000 – 35,000 เหรียญสหรัฐต่อตัว ส่วนซอฟต์แวร์นั้นพัฒนาโดยบริษัท L2F ในซิลิคอนวัลเล่ย์

จะเห็นได้ว่า นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการลงทุนพัฒนาหุ่นยนต์ขึ้นใช้งานแทนมนุษย์ที่มีเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา โดยข้อมูลจาก CB Insights พบว่ามีการนำหุ่นยนต์เข้ามาทำงานมากกว่า 120 ดีลในช่วงปี 2015 เพิ่มขึ้นจากปี 2013 ที่มีแค่ 50 ดีลเท่านั้น และในปีนี้ (2016) ก็มีดีลเกิดขึ้นแล้วกว่า 100 ครั้ง

ที่มา: http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9590000098350

]]>
1104463