Shopee – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 13 Nov 2025 10:49:57 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Shopee ไม่เพียงส่งด่วน ‘ภายใน 1 ชม.’ แต่จะพาแบรนด์ไทยสู่เวทีโลก รับมือยุค E-Commerce แข่งเดือด https://positioningmag.com/1546815 Thu, 13 Nov 2025 06:31:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1546815 ไม่เพียงสร้างเสียงฮือฮากับการเปิดบริการส่งด่วน ‘ภายใน 1 ชม.’ แต่ในงาน  Shopee Summit Together We Grow เรายังได้เห็นทิศทางต่อไปของ Shopee ในยุคที่ E-Commerce แข่งขันกันอย่างดุเดือด ภายใต้เป้าหมายต้องการเป็น ‘สะพานดิจิทัล’ (Digital bridge) พาแบรนด์ไทยสู่ตลาดโลก

 

เป้าหมายดังกล่าว ก็เนื่องมาจาก Shopee มีแพลตฟอร์มอยู่ในหลายประเทศ และเห็นการเติบโตของแบรนด์ในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง จึงเปิดตัวโครงการ Shopee Global Sales ซึ่งยกระดับมาจากโครงการ Shopee International Platform (SIP) สนับสนุนการขยายธุรกิจของผู้ขายไทยสู่ตลาดโลก ไม่เฉพาะตลาดในอาเซียนเท่านั้น

 

โดยการพาแบรน์สู่ตลาดโลก ผ่านโครงการดังกล่าวได้เริ่มดำเนินการแล้วในฟิลิปปินส์ ช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ ก่อนจะขยายสู่สิงคโปร์ และมาเลเซีย ช่วงไตรมาส 4 ปี 2568 รวมถึงมีแผนขยายไปยังอีกหลายประเทศในปี 2569

 

‘ฮันดิกา จาห์จา’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ช้อปปี้ (ประเทศไทย) กล่าวว่า กว่าสิบปีที่ผ่านมา Shopee ได้เข้ามาเปลี่ยนภูมิทัศน์การช้อปปิ้งออนไลน์ของไทย และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนไทยหลายล้านคน โดยในส่วนของผู้ขาย Shopee เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยทุกขนาดสามารถแสดงศักยภาพและขยายธุรกิจได้กว้างขึ้น

 

อีกทั้งมีบทบาทในการขับเคลื่อนและยกระดับธุรกิจของผู้ขายให้เติบโตอย่างยั่งยืน และสามารถเข้าถึงลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศได้มากขึ้น ซึ่งการก้าวสู่ทศวรรษใหม่ของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย Shopee ประกาศเดินหน้าภายใต้วิสัยทัศน์การเป็น ‘ประตูสู่เศรษฐกิจดิจิทัล’ (Gateway to the Digital Economy) สนับสนุน      ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงโอกาสทางธุรกิจได้อย่างเท่าเทียม ตั้งแต่ร้านค้าครอบครัว ผู้ผลิตชุมชน ไปจนถึงองค์กรและแบรนด์ระดับประเทศ โดยใช้พลังของเทคโนโลยีและเครือข่ายของช้อปปี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการเชื่อมโยงสินค้าไทยสู่ผู้บริโภคทั้งในประเทศและตลาดต่างประเทศ

 

“เรามุ่งเป็นสะพานดิจิทัล (Digital Bridge) ที่เชื่อมศักยภาพของผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดระดับภูมิภาค เพื่อให้ธุรกิจไทยสามารถเติบโตอย่างมั่นคง ยั่งยืน และเป็นที่ยอมรับบนแผนที่เศรษฐกิจดิจิทัลของโลก”

 

E-Commerce ในไทยโตน่าสนใจ

 

สำหรับตลาด E-Commerce ในไทยถือว่า มีการเติบโตน่าสนใจในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รวมถึงในปี 2569 ซึ่งคาดการณ์ว่า

 

E-Commerce จะคิดเป็น 53% ของเศรษฐกิจดิจิทัล

มีมูลค่า 34 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.1 ล้านล้านบาทไทย

เติบโต 15-20% ใน 4-5 ปีข้างหน้า

E-Commerce จะคิดเป็น 21.5 % ของธุรกิจรีเทลทั้งหมดในไทย

สรุปทิศทาง Shopee ในไทย

 

กลยุทธ์ของ Shopee ในไทยจะไม่ใช่แค่ ‘ขายของ’ แต่เน้นสร้าง ‘ประสบการณ’ โดยได้เปิด 4 ฟีเจอร์ใหม่ ประกอบด้วย

 

Prime Seller : เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ร้านค้า เป็นการอัปเกรดโปรแกรมส่งฟรีร้านโค้ดคุ้มและส่วนลดร้านโค้ดคุ้มให้ดียิ่งขึ้น อาทิ Affiliate for Seller คืนค่าคอมมิชชั่นสูงสุด 8% ต่อออเดอร์ ฯลฯ โดยจะมีสิทธิประโยชน์แบบสแตนดาร์ดและให้ตามช่วงฤดูกาล

 

Shopee Global Sales : 2026 พาไทย SME และแบรนด์ไทย บุกอาเซียนและตลาดโลก ลดความซับซ้อนของการส่งออกเพียงแค่ลงทะเบียนคลิกเดียว และ AI Translation ช่วยแปลภาษา

 

Speed Strategy : หลังจากเปิดตัวส่งภายใน 4 ชั่วโมง ตอนนี้มีบริการใหม่ ส่งทันทีภายใน 1 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าและเพิ่มโอกาสในการขายให้กับร้านค้า

 

Golden Tick Creator: รวมครีเอเตอร์ที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ เพื่อเลือกใช้ในการทำ Content commerce

ขณะที่การตลาด จะยกระดับการช้อปปิ้งด้วยแผน Marketing 360 ได้แก่

 

Reinvented In-App Experience : ดึง AI มาช่วยจัดการหน้าชอปสินค้าในรูปแบบ personalized ดีไซน์ให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลมากขึ้น

 

Dynamic Content Ecosystem : ยกระดับและผสมผสานคอนเทนต์ทั้งคลิปวิดีโอ ไลฟ์ ฯลฯ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการซื้อขาย

 

Seamless Social Integration : การเชื่อมต่อกับโซเชียลแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น Meta และ YouTube เพิ่มช่องทางมองเห็นสินค้าและเชื่อมต่อให้เกิดการซื้อขาย

 

Holistic Brand Building : สร้าง Brand Awareness ผ่านกิจกรรมทั้งออนไลน์ และออฟไลน์

 

Borderless Assortment & Product Launch : ดันสินค้าใหม่ให้ติดเทรนด์ และเพิ่มความหลากหลายของสินค้า

 

Unbearable Value for Users: การใช้ Voucher หลายต่อ, Shopee VIP พร้อมการรันตีราคาถูกสุด

 

 

สำหรับสินค้าที่ Shopee ให้ความสำคัญจะมี 4 หมวดหมู่หลัก

 

1.หมวดสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า

2.หมวดสินค้าแฟชั่น

3.หมวดสินค้าสินค้าอุปโภคบริโภค หรือ FMCG

4.หมวดสินค้าไลฟ์สไตล์

]]>
1546815
สรุปร่างประกาศ ‘คุมอีคอมเมิร์ซ’ เพื่อสกัด ‘ผูกขาด’ ในวันที่ตลาดถูกครองโดยมาร์เก็ตเพลสต่างชาติ https://positioningmag.com/1543839 Wed, 22 Oct 2025 07:07:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1543839 สถานการณ์อีคอมเมิร์ซไทย

ปัจจุบัน ตลาดอีคอมเมิร์ซไทย กว่าครึ่ง ครองโดย E-Marketplace ต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น Shopee, Lazada และ TikTok Shop จากประมาณการของ ป้อม ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Pay Solutions และในฐานะอนุกรรมาธิการการพาณิชย์ วุฒิสภา คาดว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยปี 2024 รวมยอดขายจากทั้ง 3 แพลตฟอร์มมีมูลค่าสูงถึง 2.1 ล้านล้านบาท ได้แก่

  • Shopee: 1.6 ล้านล้านบาท (40.9%)
  • Lazada: 6.6 แสนล้านบาท (34.9%)
  • TikTok Shop: 2.8 แสนล้านบาท (24.1%)

โดย ภาวุธ ตั้งข้อสังเกตว่า หลังจากที่อีมาร์เก็ตเพลสเจ้าตลาดที่เคย ขาดทุนสะสมมานาน แต่หลังจากที่กลายเป็น ช่องทางหลัก ของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ทำให้ปัจจุบันกลายเป็นช่วง ทำกำไร ของผู้เล่นเหล่านี้

อย่าง Shopee ที่เคย ขาดทุนสะสม 1.5 หมื่นล้านบาท แต่ในปีที่ผ่านมามี รายได้เกือบ 5 หมื่นล้านบาท เติบโต +69% กำไร 4.6 พันล้านบาท +113.82% ดังนั้น ด้วยอัตราเร่งนี้ คาดว่าจะใช้เวลาเพียง 2 ปี ลบการขาดทุนสะสมทั้งหมด และ Shopee ไม่ได้ทำแค่อีคอมเมิร์ซ แต่มีบริการทางการเงิน เช่น Spaylater ขายประกัน และ Food Delivery รวมแล้วมีบริษัทในกลุ่มประมาณ 9 บริษัท มีรายได้รวม 8.5 หมื่นล้านบาท

ด้าน Lazada ขาดทุนสะสม 1.3 หมื่นล้านบาท โดยปีที่ผ่านมา Lazada มี รายได้ 2.8 หมื่นล้านบาท +31.38% กำไร 836 ล้านบาท + 38.34% รวมรายได้ทั้ง 6 บริษัทในกลุ่มที่ 4.3 หมื่นล้านบาท กำไร 2.4 พันล้านบาท ด้าน TikTok Shop ปีเดียว ทำรายได้ 12,000 ล้านบาท ขาดทุน 3,600 ล้านบาท

4 ประเด็นใช้อำนาจเหนือตลาด?

ภาวุธ มองว่า E-Marketplace ต่างชาติอาจกำลัง ใช้อำนาจเหนือตลาด จาก 4 ประเด็น ได้แก่

  1. ค่าธรรมเนียม: จากที่ช่วงแรกที่แพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลสให้บริการฟรี แต่ปัจจุบันเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าคอมมิชชั่น ซึ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดย ภาวุธ ตั้งข้อสังเกตว่า ทั้ง Shopee และ Lazada มีการขึ้นค่าธรรมเนียมถึง 300% ภายในครึ่งปี ปัจจุบันค่าธรรมเนียมรวมแล้วอยู่ที่ 15-25%
  2. เลือกขนส่งเองไม่ได้: ร้านค้าไม่สามารถเลือกขนส่งเองได้ โดย ภาวุธ กล่าวว่า อาจมี ดีลลับ ระหว่างแพลตฟอร์มกับขนส่ง เพื่อให้บริษัทนั้น ๆ เป็นขนส่งรายเดียว ซึ่งทำให้แพลตฟอร์มได้กำไรมากขึ้น
  3. ไม่เปิดเผยข้อมูลผู้ซื้อกับร้านค้า: บางแพลตฟอร์มจะไม่เปิดเผยข้อมูลลูกค้าให้กับร้านค้ารู้ ดังนั้น ถือเป็นการกีดกันไม่ให้ลูกค้าซื้อตรงกับร้านค้าโดยไม่ผ่านแพลตฟอร์มหรือไม่
  4.  เปลี่ยนนโยบายหรือปิดร้าน โดยที่ไม่สามารถควบคุมได้ 

นอกจากนี้ ภาวุธ มองว่า ไม่ใช่แค่ปัญหาด้านการใช้อำนาจเหนือตลาด แต่ยังมีอีกหลายประเด็นที่กำลังทำให้ร้านค้ารายย่อยอยู่ยากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการที่คนทำธุรกิจทั่วประเทศต้องเข้า Marketplace แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ยังต้องเจอ ร้านจากต่างประเทศที่อาจจะทำไม่ถูกต้องถามกฎหมายไทย

“ไม่ใช่แค่ผูกขาดในตลาดอีคอมเมิร์ซ แต่อุตสาหกรรมอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นขนส่ง ธนาคาร ประกัน และสื่อโฆษณา เพราะบางแพลตฟอร์มมีอีโคซิสเต็มส์ครบ” ภาวุธ กล่าว

ขึ้นค่าแพลตฟอร์มเพื่อส่วนลด จะทำรายย่อยตาย

เจตน์ โสภิตวิริยาภรณ์ เจ้าของเพจ Jade : เลือดสาดมาร์เกตติ้ง กล่าวเสริมว่า ตนทำธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายกล้องติดรถยนต์ ปัจจุบันยอดขายหลักมาจาก Shopee (75%), Lazada (25%) และ TikTok (5%) ขณะที่ยอกขายผ่านเว็บไซต์ตัวเองแทบไม่มี และการขายบนแพลตฟอร์มอีมาร์เก็ตเพลสกำลังเผชิญความท้าทายขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าธรรมเนียม, การเลือกขนส่ง และการแข่งขัน

โดยเฉพาะในเรื่องของ ค่าธรรมเนียม ที่เข้าใจว่าแพลตฟอร์มเก็บไปส่วนหนึ่งเพื่อใช้เป็น ส่วนลดให้ลูกค้า แต่มองว่า แพลตฟอร์มไม่จำเป็นต้องขึ้นค่าธรรมเนียม เพื่อมาให้ส่วนลดเยอะ ๆ ก็ได้ เพราะจะทำให้ผู้ประกอบการ รายย่อยตาย อยู่ได้แค่รายใหญ่ นอกจากนี้ ขนส่ง ก็เป็นอีกประเด็นที่ร้าน เลือกเองไม่ได้ อีกทั้งบางแพลตฟอร์มยัง คิดค่าส่งเป็นรายได้ของร้าน ไม่ได้แยกระหว่างยอดขายกับค่าส่ง แปลว่าฐานภาษีของร้านจะยิ่งสูงขึ้นไปอีก

“มันจำเป็นไหมที่ต้องให้ส่วนลดเพื่อสปอยลูกค้าขนาดนั้น ทุกครั้งที่แพลตฟอร์มให้ส่วนลดลูกค้า แล้วมาขยับค่าธรรมเนียม มันอาจจะดีกับลูกค้าในระยะสั้น แต่ตอนนี้ร้านเล็กปิดไปเยอะมาก เพราะสู้รายใหญ่ที่ลงมาขายเองไม่ไหว เพราะส่วนลดที่ลูกค้าได้ มันถูกกว่าต้นทุนราคาขายส่งที่ผมต้องเปิดบิลเป็นล้านบาท แล้วอย่างนี้รายย่อยจะอยู่อย่างไร”

สุดท้าย การ แข่งกับผู้เล่นต่างชาติ ซึ่ง เจตน์ มองว่า ผู้ประกอบการไทย สู้ไม่ได้เพราะกฎระเบียบที่ไม่เอื้อ ซึ่งส่วนนี้อาจโทษแพลตฟอร์มอีมาร์เก็ตเพลสไม่ได้ แต่อยากให้กฎหมายไทยมีความเข้มงวดกับสินค้าจากต่างประเทศ

“อย่างร้านที่นำเข้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มาขาย สายไฟต้องมี มอก. ต้องโดน กสทช. ตรวจสอบ ต้องเสียภาษี แต่ร้านที่ส่งจากต่างประเทศ ไม่ต้องเสียภาษี บางทีก็เอา มอก. ปลอมมาสวม กลายเป็นว่าคนที่ทำธุรกิจแบบถูกต้อง ไม่สามารถสู้ได้ เพราะกฎระเบียบไม่ได้เอื้อให้ผู้ประกอบการไทยสู้”

สรุป ร่างประกาศคุมอีคอมเมิร์ซ

จากภาพรวมของอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซที่สะท้อนการยึดตลาด ส่งผลให้ สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ออกร่างประกาศแนวทางพิจารณาการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมและการกระทำอันเป็นการผูกขาด หรือลดการแข่งขัน หรือจำกัดการแข่งขันในการประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มหลายด้าน (Multisided Platform) ประเภทธุรกิจบริการดิจิทัลแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าหรือบริการ (e-Commerce)” โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 17 (3) แห่ง พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักคือ พฤติกรรมด้านราคา และ พฤติกรรมทางการค้าอื่น

1. พฤติกรรมด้านราคา (Price Behavior)

  • ห้ามขายต่ำกว่าทุนโดยไม่มีเหตุผล: ป้องกันการทุ่มตลาดเพื่อทำลายคู่แข่ง
  • ห้ามกำหนดราคาขายเท่ากันทุกช่องทาง (Rate Parity): ผู้ขายควรมีอิสระในการตั้งราคาที่ต่างกันตามต้นทุนแต่ละช่องทาง เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกด้านราคา
  • ห้ามกำหนดราคาขายต่อ (Resale Price Maintenance): ห้ามบังคับผู้ขายให้ตั้งราคาตามที่แพลตฟอร์มกำหนด และห้ามปฏิเสธการจำหน่ายหากไม่ทำตาม
  • ห้ามเรียกเก็บค่าธรรมเนียมโดยไม่มีเหตุผล/ไม่แจ้งล่วงหน้า: ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าคอมมิชชั่น, ค่าโฆษณา, ค่าขนส่ง, ค่าโปรโมชั่น หรือค่าบริการชำระเงิน ต้องสมเหตุสมผลและมีการแจ้งล่วงหน้า

2. พฤติกรรมทางการค้าอื่น (Nonprice Behavior)

  • ห้ามกีดกันการมองเห็นและให้สิทธิพิเศษเฉพาะตน (Self-preferencing): ห้ามใช้ระบบอัลกอริทึมปิดกั้นการมองเห็นสินค้าของผู้ขายรายอื่น และห้ามเอื้อประโยชน์ให้สินค้าของตนเองหรือผู้ขายที่ตนได้ประโยชน์มากกว่า
  • ห้ามบังคับใช้บริการบางอย่าง: ห้ามบังคับให้ผู้ขายต้องใช้บริการขนส่ง (Carrier), บริการจัดการคลังสินค้า (Fulfillment) หรือเงื่อนไขอื่น ๆ ของแพลตฟอร์มหรือที่แพลตฟอร์มกำหนดแต่เพียงผู้เดียว
  • ห้ามจำกัดสิทธิ (Exclusive Dealing) โดยไม่มีเหตุผล: เช่น การบังคับเข้าร่วมโปรโมชั่น, การบังคับใช้ระบบชำระเงิน (Payment), การบังคับซื้อโฆษณา หรือการปกปิดข้อมูลลูกค้า
  • ห้ามเลือกปฏิบัติ (Discrimination): ห้ามเลือกปฏิบัติในการจัดอันดับสินค้า, การแบ่งสัดส่วนคำสั่งซื้อ หรือการขนส่งพัสดุ โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
  • ห้ามเอื้อประโยชน์แก่บริษัทในเครือ/ผู้ค้ารายอื่น: ห้ามนำข้อมูลลูกค้าหรือข้อมูลทางการค้าไปใช้ประโยชน์หรือเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทในเครือ (เช่น ขายประกัน, เสนอสินเชื่อ) หรือผู้ค้ารายอื่น
  • ห้ามร่วมมือกันเพื่อลดการแข่งขัน: ห้ามแพลตฟอร์มคู่แข่งร่วมกันกระทำใด ๆ ที่มีผลเป็นการจำกัดการแข่งขัน เช่น การพร้อมใจกันขึ้นค่าธรรมเนียม
  • ห้ามกระทำที่ผิดหลักการทางธุรกิจ: ห้ามการกระทำใด ๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักการทางเศรษฐศาสตร์ ธุรกิจ หรือการตลาด หรือไม่เป็นไปตามจารีตปฏิบัติธุรกิจปกติ
วิษณุ วงศ์สินศิริกุล เลขาธิการคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.)

คาดบังคับใช้ในปีนี้

วิษณุ วงศ์สินศิริกุล เลขาธิการคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.) เปิดเผยว่า ร่างประกาศจะแล้วเสร็จภายในเดือน ต.ค. 2568 และคาดว่าจะบังคับใช้ได้ทันที ดังนั้น คาดว่าประกาศจะบังคับใช้ภายในปีนี้แน่นอน และถ้าผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตาม จะมีความผิดตาม พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 มาตรา 50 การใช้อำนาจเหนือตลาดอย่างไม่เป็นธรรม 

โดยต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 10% ของรายได้ในปีที่กระทำความผิด หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ในกรณีที่กระทำความผิดในปีแรกของการประกอบธุรกิจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

อย่างไรก็ตาม วิษณุ เชื่อว่า หลังจากที่ร่างได้บังคับใช้ ปัญหาเรื่องการบังคับเลือกขนส่งจะถูกแก้ไข แต่ในส่วนเรื่องค่าธรรมเนียมการขาย อาจจะเข้าไปช่วยในเรื่องของการ ควบคุมไม่ให้ขึ้นค่าธรรมเนียมพร้อมกัน แต่ไม่สามารถไป กำหนดอัตราค่าธรรมเนียม เพราะไม่ได้อยู่ในอำนาจของสำนักงาน กขค.

]]>
1543839
ใครได้ ใครเสีย เมื่อยักษ์ ‘อีคอมเมิร์ซ’ เปิดศึก ‘ส่งด่วน-สั่งวันนี้ ส่งวันนี้’ https://positioningmag.com/1537121 Mon, 08 Sep 2025 05:00:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1537121 ตอนนี้บรรดายักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซทั้ง Lazada, Shopee และ TikTok Shop ต่างเปิดศึก ‘ส่งด่วน’ กำหนดกรอบเวลาการจัดส่งใหม่ ‘สั่งวันนี้ ส่งวันนี้’ โดยให้เหตุผล ‘ทำเพื่อผู้บริโภค’ อย่างไรก็ตามได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า กฎใหม่นี้เป็นการเพิ่มภาระและส่งกระทบต่อ ‘ร้านค้า’ ซึ่งเป็นผู้ขายหรือไม่

 

Shopee

 

• Shopee ได้ขยับกรอบการจัดส่งสินค้าใหม่กำหนดเวลาการตัดรอบ 12.00 น. มีไปเมื่อ 1 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา

 

– คำสั่งซื้อที่ชำระเงินสำเร็จ ‘ก่อนเที่ยง’ ร้านค้าจะต้องส่งสินค้าภายในวันเดียวกัน

– คำสั่งซื้อที่ชำระเงินสำเร็จ ‘หลังเที่ยง’ ร้านค้าจะต้องส่งสินค้าภายในวันถัดไป

 

• หากเกินกรอบเวลาที่กำหนด จะถูกนับเป็น ‘ออเดอร์ล่าช้า’ และร้านค้าจะต้องมีเรทอัตราการจัดส่งที่ล่าช้า LSR (Late Shipment Rate) ไม่เกิน 15% ในระยะเวลา 7 วันย้อนหลัง ถ้าร้านค้ามีออเดอร์จัดส่งล่าช้าเกินกว่ากำหนดจะถูกตัดคะแนน และอาจจะถูกตัดสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ

 

TikTok Shop

 

TikTok Shop ได้ปรับกรอบเวลาการจัดส่งสินค้าเช่นกัน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป   

 

• ในวันทำการ

– คำสั่งซื้อที่ชำระเงินสำเร็จ ‘ก่อนเที่ยง’ ร้านค้าจะต้องส่งสินค้าภายในวันเดียวกัน

– คำสั่งซื้อที่ชำระเงินสำเร็จ ‘หลังเที่ยง’ ร้านค้าจะต้องส่งสินค้าภายในวันถัดไป

 

• ในวันหยุดทำการ หากลูกค้าสั่งซื้อสินค้า ร้านค้าจะต้องส่งสินค้าภายในวันทำการถัดไป

 

หากร้านค้าไม่สามารถจัดส่งได้ทันกรอบเวลาที่กำหนด จะถูกคิดเป็นอัตราการจัดส่งล่าช้า หรือ LDR (Late Dispatch Rate) ซึ่งส่งผลเสียต่อคะแนนของร้านค้า

 

อย่างไรก็ตาม ทาง TikTok Shop ได้กำหนด ‘ช่วงปรับตัว’ สำหรับร้านค้าไปจนถึงวันที่ 1 พ.ย.2568 เพื่อให้ร้านค้ามีระยะเวลาในการปรับตัวเข้ากับกรอบเวลาใหม่ ด้วยการผ่อนปรนมาตรการในการคำนวณ LDR และอัตราการยกเลิกจากข้อผิดพลาดของผู้ขาย  

 

Lazada

 

สำหรับ Lazada ได้เริ่มนโยบายส่งด่วนไป ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 โดยกำหนดเวลาตัดรอบออเดอร์ไว้ที่ 11.00 น.

 

• ในวันทำการ

-คำสั่งซื้อที่ชำระเงินสำเร็จ ‘ก่อน 11 .00 น.’ ร้านค้าต้องส่งวันเดียวกัน

-คำสั่งซื้อที่ชำระเงินสำเร็จ ‘หลัง 11.00 น.’ ร้านค้าต้องจัดส่งสินค้าภายในวันถัดไป

 

•ในวันหยุดทำการ

-คำสั่งซื้อที่ชำระเงินสำเร็จ ‘ก่อน 11.00 น.’ ร้านค้าต้องส่งมอบให้กับขนส่งในวันทำการถัดไปภายในเวลา 23.59 น.

-คำสั่งซื้อที่ชำระเงินสำเร็จ ‘หลัง 11.00 น.’ ร้านค้าจะส่งมอบสินค้าให้ขนส่งใน 2 วันทำการถัดไปภายในเวลา 23.59 น.

 

• สำหรับ Lazada การกำหนดระยะเวลาเตรียมจัดส่งสินค้าจะถูกวัดจาก ‘อัตราการจัดส่งเร็ว’ หรือ FFR (Fast Fulfillment Rate) ซึ่งหากส่งสินค้าล่าช้า คะแนน FFR จะลดลง มีผลให้ร้านค้าอาจไม่ได้รับสิทธิพิเศษเข้าร่วมแคมเปญ หรือถูกลดอันดับการมองเห็น

 

กฎใหม่ที่ออกมาผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอีเคอมเมิร์ซส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่า เป็นการยกระดับประสบการณ์การให้บริการเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับผู้บริโภค เพราะ ‘ความเร็ว’ ถือเป็นหัวใจสำคัญในการให้บริการในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

 

อย่างไรก็ตาม ก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า กฎใหม่นี้กำลังสร้างแรงกดดันและเพิ่มภาระให้กับ ‘ร้านค้า’ หรือไม่      โดยเฉพาะ ‘รายเล็ก’ ที่มีทีมงานน้อย และไม่มีคลังสินค้าที่จะสต็อกสินค้าให้พร้อมส่งทันทีได้

 

นอกจากนี้ ร้านค้าหลายรายยังประสบปัญหาเรื่องต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าสินค้า ค่าจ้างพนักงาน ค่าขนส่ง รวมไปถึงการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมบนแพลตฟอร์มที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งตอนนี้เพิ่มขึ้น 15-30% ประกอบกับปัจจุบันร้านค้าหลายแห่งต้องเผชิญปัญหายอดขายตก จากภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อผู้บริโภคตกต่ำ

]]>
1537121
Shopee เปิดบริการ ‘ส่งทันที’ การันตีถึงมือผู้ซื้อใน 4 ชม. https://positioningmag.com/1530011 Tue, 15 Jul 2025 05:41:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1530011 ‘สงครามส่งด่วน’ ดูจะน้อยไป เพราะล่าสุด ‘ช้อปปี้ (Shopee) ได้เปิดตัวบริการ ‘ส่งทันที’ หรือ Instant Delivery เพื่อเป็นช่องทางการจัดส่งสินค้าที่ผู้ซื้อสามารถได้รับสินค้าทันทีหลังจากที่ผู้ขายดำเนินการส่งมอบสินค้าให้ผู้ให้บริการขนส่ง โดยให้บริการผ่านไรเดอร์ ShopeeFood และการันตีผู้ซื้อในการได้รับสินค้าภายใน 4 ชั่วโมง หลังจากคำสั่งซื้อได้รับการยืนยันที่ต้องจัดส่ง

 

Instant Delivery กับ Express Delivery แตกต่างกันอย่างไร?

 

Instant Delivery – สินค้าจะต้องพร้อมจัดส่งภายใน 30 นาที-2 ชั่วโมง (สำหรับออร์เดอร์ที่สั่งซื้อภายในช่วงเวลาทำการของร้าน)

Express Delivery – สินค้าต้องพร้อมจัดส่งภายในวันถัดไป และจัดส่งภายในวันที่ไรเดอร์เข้ารับสินค้า

 

สำหรับ Instant Delivery จะให้บริการแบ่งเป็น 2 ช่องทางย่อย ได้แก่

 

1.Instant Delivery – ส่งทันที (แพ็ก 30 นาที)

-ร้านค้าต้องกดนัดรับภายใน 30 นาที นับจากเวลาที่ลูกค้าสั่งซื้อ หากมีออร์เดอร์เข้ามาในช่วงเวลาทำการของร้าน

-ออร์เดอร์จะถูกยกเลิกทันที หากไม่มีการกดนัดรับภายใน 2 ชั่วโมง

-ออร์เดอร์จะถูกยกเลิกเช่นกัน หากไม่มีไรเดอร์เข้ารับภายใน 24 ชั่วโมง นับจากเวลาที่ร้านค้าต้องกดนัดรับ

 

2.Instant Delivery – ส่งทันที (แพ็ก 2 ชั่วโมง)

-ร้านค้าต้องกดนัดรับภายใน 2 ชั่วโมง นับจากเวลาที่ลูกค้าสั่งซื้อ หากมีออร์เดอร์เข้ามาในช่วงเวลาทำการของร้าน

-ออร์เดอร์จะถูกยกเลิกทันที หากไม่มีการกดนัดรับภายใน 2 ชั่วโมง

-ออร์เดอร์จะถูกยกเลิกเช่นกัน หากไม่มีไรเดอร์เข้ารับภายใน 24 ชั่วโมงนับจากเวลาที่ร้านค้าต้องกดนัดรับ

 

ปัจจุบันการจัดส่งแบบ Instant Delivery สามารถจัดส่งได้เฉพาะพื้นที่ที่ให้บริการรวมทั้งหมด 55 จังหวัด ซึ่งบางจังหวัดอาจมีให้บริการเพียงบางอำเภอ เช่น กรุงเทพฯ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ราชบุรี ฯลฯ

 

สำหรับอัตราค่าจัดส่ง จะคิดตามระยะทาง กำหนดราคาเริ่มต้น 29-134 บาท (ระยะทาง 1-35 กิโลเมตร)

.

ที่มา : https://seller.shopee.co.th/edu/article/25604?uls_trackid=5361f5h3002k&utm_campaign=id_CCvbWoUK6C&utm_content=InstantDelivery-Facebook-Post–&utm_medium=affiliates&utm_source=an_15333810001&utm_term=dbed4pcr15u9

]]>
1530011
Garnier เล่นใหญ่ทำถึง! ดึงเทรนด์ #OOTD ของ Gen Z จับมือ Shopee นำทีม 9 แบรนด์แฟชั่นร่วม Summer Palette by Garnier Color Mix ใจกลางสยาม https://positioningmag.com/1518194 Fri, 11 Apr 2025 04:34:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1518194

ซัมเมอร์ทั้งที ต้องมีแคมเปญสนุกๆ กันหน่อย ล่าสุด Garnier ได้ประเดิมรับหน้าร้อนสนุกกว่าเดิมด้วยแคมเปญที่ Gen Z จะต้องร้องว้าวมากที่สุด ผนึกพาร์ทเนอร์ Shopee เนรมิตอีเวนท์สุดปังผสานโลกออนไลน์ และออฟไลน์ได้อย่างลงตัวกับ Summer Palette by Garnier Color Mix


ดึงแบรนด์แฟชั่น 9 แบรนด์ เปิดรันเวย์กลางสยาม

ช่วงซัมเมอร์เป็นอีกหนึ่งฤดูกาลที่มีแคมเปญสนุกๆ ออกมามากมาย เรียกได้ว่าใครๆ ก็คงอยากสดใสรับลมแดด อยากแซ่บ หรืออยากเปลี่ยนลุคให้เท่ๆ คูลๆ กันอย่างแน่นอน ในปีนี้ Garnier Color Naturals ประเทศไทย ได้เติมเต็มความสดใสแบบทำถึงสุดๆ ด้วยการจับเทรนด์ #OOTD (Outfit of the Day) ที่ฮอตฮิตบนโลกโซชียลของเหล่า Gen Z

ต้องบอกว่าเทรนด์ #OOTD เป็นเหมือนการ Mix and Match สไตล์การแต่งตัวในแต่ละวัน ซึ่งแต่ละคนจะมีสไตล์ที่ไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับกระแสในตอนนั้น หรือแฟชั่นที่กำลังมาแรง ความสนุกของ #OOTD ก็คือการที่แต่ละคนได้เอาไอเท็มต่างๆ เสื้อผ้า กางเกง กระโปรง เครื่องประดับ หรือ Accessories มาแมทช์กันอย่างลงตัว เกิดเป็นสไตล์ใหม่ๆ ทุกวัน ซึ่งตอนนี้ไม่ได้มีแค่เสื้อผ้าแฟชั่นอย่างเดียวเท่านั้น สีผมก็ทำให้สนุกได้ด้วย เกิดลุคใหม่ๆ นำมา Mix and Match เข้ากับแฟชั่นได้ด้วย

จึงเป็นที่มาของแคมเปญสุดปังอย่าง Summer Palette by Garnier Color Mix เพราะแค่เปลี่ยนสีผมเปลี่ยนสไตล์ ได้ Mix and Match ให้เข้ากับ Outfit ในแต่ละวันก็สนุกได้แล้ว ไม่ได้อยู่แค่ในกรอบเดิมๆ อีกทั้งเปลี่ยนสีผมในยุคนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะ Garnier Color Mix สามารถ Mix and Match ได้เข้ากับทุกลุค

แคมเปญนี้ถือได้ว่ามีการลงทุนจัดใหญ่กว่าที่เคยด้วยอีเวนท์ใหญ่ที่หยิบเอาเทรนด์ #OOTD บนโลกโซเชียลมาเป็นไอเดียตั้งต้น พร้อมกับการเปิดตัวเฉดสีใหม่ล่าสุด Brilliant Pink ชมพูพาสเทล ที่คิดค้นมาเอาใจ Gen Z สายแฟชั่น ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยให้สีผมสวยเด่นชัด ติดทนนาน และ​เงางามเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า ร่วมสนุกกับการมิกซ์แอนด์แมทช์ลุคใหม่ๆ ไปด้วยกัน ผ่านการสร้างสรรค์อีเวนท์ร่วมกับพาร์ทเนอร์อย่าง Shopee แพลตฟอร์ม e-commerce ยักษ์ใหญ่สุดฮิตที่นำทัพ 9 แบรนด์แฟชั่นชื่อดัง อาทิ Aimer, Homeboy, Stylist Shop, Beming, Slurboyy, URTHE, Sisters Fabrics, Chuuchop และ Malimays มาร่วมทีม เสริมให้งานนี้ดูยิ่งใหญ่กว่าที่เคย

คุณชัยฤทธิ์ นาสมยนต์ Brand General Manager, Garnier Thailand เล่าว่า

“สีผมเกี่ยวข้องกับแฟชั่นอย่างมาก เราเห็นเทรนด์ #OOTD มาแรงในกลุ่ม Gen Z เป็นการแชร์ Outfit of the Day ในแต่ละวันว่าวันนี้ออกจากบ้านลุคไหน และตอนนี้คนรุ่นใหม่ไม่ใช่ดูแค่การแต่งตัว แต่งหน้าอย่างเดียว แต่เป็น Total Look ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม อินไซต์อีกอย่างหนึ่งก็คือ เป็นช่วงซัมเมอร์ ที่มีการปิดเทอม เด็กๆ น้องๆ มีการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เปลี่ยนลุค ทำสีผมมากขึ้น เป็นส่วนหนึ่งทำให้เกิดลุคใหม่ จึงเกิดเป็นแคมเปญนี้ขึ้นมา”

ซ้าย – คุณชัยฤทธิ์ นาสมยนต์  Brand General Manager, Garnier Thailand, ขวา – คุณธัญญธร เหล่าวัชระ Director of Business Development, Shopee Thailand)


งัดกลยุทธ์ 360 อาศา มัดใจ Gen Z

ความน่าสนใจของแคมเปญนี้มีความปังตั้งแต่ 2 แบรนด์ยักษ์ใหญ่ทั้ง Garnier และ Shopee มาจับมือกัน เป็นการผสานกิจกรรมออนไลน์ และออฟไลน์ได้อย่างเรียบเนียนไร้รอยต่อ รวมไปถึงยังมีรายละเอียดกิจกรรมแบบครบลูปชนิดที่ว่ามัดใจชาว Gen Z ได้อย่างอยู่หมัดแน่นอน

เริ่มตั้งแต่การ Collaboration กับ Shopee ที่จะมีโซน Live ขายของภายในงาน รวมไปถึงมีจุด Click and Collect ที่สามารถช้อปภายในงาน แล้วเลือกรับสินค้าที่หน้างานได้เลยทันทีอีกด้วย

นอกจากการช้อปปิ้งยังมี Virtual Exprerience ที่ผสมผสานกับกิจกรรมต่างๆ การเชื่อมต่อแฟชั่นโชว์กับหน้าร้านในช้อปปี้ ใช้ AR Technology ที่มาช่วยค้นหาสีผมที่ใช่ รวมทั้ง Garnier ยังยก Virtual Mix and Match Room ห้องแต่งตัวดิจิทัลมาไว้ภายในงาน ให้ทุกคนได้มาลองผสมผสานแฟชั่น และสีผมตามสไตล์ของตัวเอง ทำให้ได้เห็นตัวอย่างลุคของตัวเอง ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น


แฟชั่นโชว์สุดล้ำ สแกนไปช้อปต่อที่ Shopee ได้ทันที

ไฮไลต์สำคัญของแคมเปญนี้คือ แฟชั่นโชว์สุดเก๋บน Summer Palette Runway ใจกลางสยามสแควร์ของเหล่า KOLs นำทัพโดย “เนเน่ พรนับพัน” Muse ของ Garnier Color Naturals และ Friends of Garnier อย่างหนุ่มๆ วง DICE และทีม KOLs อื่นๆ ทำให้รันเวย์ลุกเป็นไฟ

เป็นแฟชั่นโชว์ที่มาพร้อมเฉดสีผมสวยๆ จาก Garnier ที่ผ่านการ Mix and Match ให้เข้ากับสไตล์แต่ละคน และแฟชั่นเสื้อผ้าจากแบรนด์พาร์ทเนอร์ทั้ง 9 แบรนด์ โดยความพิเศษของโชว์นี้คือผู้เข้าชมสามารถใช้โทรศัพท์มือถือสแกนหาสีผม และเสื้อผ้าของนางแบบ และนายแบบบนรันเวย์ พร้อมกดลิงก์เข้าไปที่ร้านค้าบน Shopee ได้ทันที

“ความน่าสนุกของงานในครั้งนี้คือการที่เราได้พาร์ทเนอร์อย่าง Shopee มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการครีเอทงานในวันนี้ ทำให้เราสามารถผนวกโลกออนไลน์และโลกความเป็นจริงเข้าด้วยกันได้อย่างที่ตั้งใจไว้ ซึ่งเราได้หยิบเอา Digital Technologies ในรูปแบบใหม่มารวมกับความเป็นแฟชั่นและสีผมเพื่อเข้าถึงกลุ่ม Gen Z ที่มีความเป็น Digital Native มากขึ้น โดยไฮไลต์สำคัญคือการออกแบบแฟชั่นโชว์ที่ผู้ชมสามารถใช้โทรศัพท์มือถือสแกนหาสีผมและเสื้อผ้าที่ นายแบบนางแบบของเราสวมใส่อยู่ และสามารถกดลิงก์ไปที่ร้านค้าบน Shopee ต่อได้ทันที”


BRILLIANT PINK สีผมเฉดใหม่รับซัมเมอร์

สีผมเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับความเป็นแฟชั่นมายาวนานอยู่แล้ว ในช่วงหลายปีมานี้คนไทยมีการเปิดรับสีผมแปลกใหม่อยู่เสมอโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่มีความกล้าแสดงออก กล้าทำสีผมใหม่ๆ กล้าเปลี่ยนลุคตัวเอง

ในปีนี้ Garnier จึงดีไซน์สีผมใหม่ BRILLIANT PINK สีชมพูพาสเทล เฉดสีที่เหมาะกับวัยรุ่น และสายแฟชั่นรับความสดใสช่วงซัมเมอร์ ดังนั้นเพื่อเข้าถึงกลุ่ม Gen Z ที่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในวัยเรียน Garnier เลยเลือกไทม์ไลน์ช่วงเมษายน ซึ่งเป็นช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนที่คนกลุ่มนี้จะสามารถทำสีผมและสนุกกับการแต่งตัวได้เต็มที่ มาเป็นไทม์ไลน์ในการเปิดตัวสินค้าและแคมเปญนี้ โดยหยิบเอาเทรนด์ #OOTD ในโลกออนไลน์มาเป็นไอเดียหลัก เพื่อชวนวัยรุ่น Gen Z มาร่วม Mix and Match สีผม และลุคใหม่รับซัมเมอร์นี้ไปด้วยกัน

คุณชัยฤทธิ์ นาสมยนต์ กล่าวเสริมอีกว่า ปกติแล้วฐานลูกค้าของ Garnier เป็นกลุ่ม Gen Z ค่อนข้างเยอะ ด้วยจุดแข็งของแบรนด์ที่ผลลัพธ์อยู่ได้ยาว หาซื้อง่าย ทำเองง่าย ราคาเข้าถึงง่าย ไม่ต้องไปทำที่ซาลอนก็ได้ ยิ่งในยุคปัจจุบันคนรุ่นใหม่มีความถี่ในการเปลี่ยนสีผมเร็วขึ้น พอเทรนด์สีใหม่มาก็สามารถเปลี่ยนได้ทันที เราจึงอยากสร้างประสบการณ์ให้แก่ผู้บริโภคมากขึ้น

เชื่อว่าการจับมือกันระหว่าง Garnier และ Shopee ในครั้งนี้ จะสามารถดึงกลุ่ม Gen Z ที่รักการทำสีผม และชื่นชอบอวดลุค OOTD ให้กลายเป็นกระแสในโลกออนไลน์ได้อีกมากมาย โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาให้กลุ่มเป้าหมายได้ค้นหาความเป็นตัวเอง สมกับการเป็นผู้นำเทรนด์มาหลากหลาย Generation ของ Garnier

 

 

]]>
1518194
เจาะลึก ‘YouTube Shopping’ อีกฟีเจอร์สร้างรายได้ใหม่ให้ทั้ง ‘ยูทูบ’ และ ‘ครีเอเตอร์’ รับเทรนด์ ‘Affiliate Marketing’ https://positioningmag.com/1495443 Fri, 25 Oct 2024 05:37:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1495443 เปิดฟีเจอร์อย่างเป็นทางการแล้วสำหรับ YouTube Shopping ฟีเจอร์ที่ให้ครีเอเตอร์ ปักตะกร้า ขายของที่ร่วมกับ ช้อปปี้ (Shopee) ที่แม้ว่า YouTube จะไม่ได้ขายของเอง แต่ที่แน่ ๆ ฟีเจอร์นี้จะกลายเป็นแหล่งรายได้ทางใหม่ให้กับแพลตฟอร์มแน่นอน

เป็นแหล่งช้อปปิ้งโดยไม่รู้ตัว

หากพูดถึงขนาด เศรษฐกิจดิจิทัล ไทยถือเป็นเบอร์ 2 รองของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รองจากอินโดนีเซีย และตลาด อีคอมเมิร์ซ ก็เป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจดิจิทัลไทย เพราะคิดเป็นสัดส่วนถึง 61% และในปี 2568 คาดว่ามูลค่าของอีคอมเมิร์ซจะแตะ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโต 16% ด้วยความที่ตลาดมีใหญ่ขนาดนี้ มีหรือที่ ยูทูบ (YouTube) จะไม่สนใจ

ประกอบกับจุดแข็งของแพลตฟอร์มที่ปัจจุบันได้กลายเป็น เสิร์ชเอนจิ้นอันดับ 2 รองจาก Google ที่ผู้บริโภคมักเข้ามาหา รีวิว เพื่อใช้สร้างความมั่นใจก่อนจะตัดสินใจ ซื้อสินค้า จนปัจจุบันยูทูบมี คลิปเกี่ยวกับการช้อปปิ้ง เช่น การรีวิวสินค้ามากกว่า 350 ล้านคลิป มีการรับชมกว่า 3 หมื่นล้านชั่วโมง ซึ่งเติบโตขึ้นถึง 25% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ จากผลการสำรวจโดย Kantar ยังระบุว่า ผู้ชมถึง 87% เห็นด้วยว่า YouTube ช่วยพวกเขาในการตัดสินใจซื้อสินค้า และ 93% รู้สึกว่าข้อมูลบน YouTube ทำให้พวกเขารู้สึกมั่นใจในสินค้าที่ซื้อมากขึ้น ดังนั้น ถ้าให้ครีเอเตอร์มาปักตะกร้าสินค้า ทำไมจะขายไม่ได้? เพราะที่ผ่านมา ก็มีหลายช่องที่แปะลิงก์ซื้อสินค้าของสปอนเซอร์กันเป็นปกติอยู่แล้ว

Affiliate Marketing เทรนด์แรงไม่แผ่ว

ยิ่งปัจจุบัน เม็ดเงินโฆษณาก็ถูกแบ่งให้หลายแพลตฟอร์ม และหลายแบรนด์ก็รัดเข็มขัด ทำให้เทรนด์ Affiliate Marketing ยิ่งกลายเป็นเทรนด์แรง เพราะถือว่า Win-Win ทั้งแบรนด์และอินฟลูเอนเซอร์ เพราะต้นทุนของแบรนด์เป็นการ แบ่งค่าคอมมิชชั่น ยิ่งขายได้เยอะอินฟลูฯ ก็ยิ่งมีรายได้เยอะ ส่วนแบรนด์ก็วัดผลเป็นยอดขายได้ทันที และถ้าขายไม่ได้แบรนด์ก็ ไม่ต้องเสียเงิน

ดังนั้น ไหน ๆ อีคอมเมิร์ซก็เป็นตลาดใหญ่ และครีเอเตอร์บางช่องก็มีการแปะลิงก์สินค้าแล้ว YouTube เลยจับกับ Shopee เปิดฟีเจอร์ YouTube Shopping ให้ปักตะกร้าขายของไปเลย โดยสามารถปักได้หมดไม่ว่าจะเป็นวิดีโอสั้น วิดีโอยาว หรือแม้แต่ไลฟ์สตรีมมิ่ง และผู้ชมเองก็จะได้รับความสะดวกมากขึ้น โดยช้อปได้โดยไม่ต้องออกจากวิดีโอ

Win-Win ทั้ง ครีเอเตอร์, YouTube และ Shopee

ซึ่งฟีเจอร์นี้ ถือว่า Win-Win กันทุกฝ่าย เพราะฝั่งของครีเอเตอร์เองก็สามารถหารายได้เพิ่มมากขึ้น นอกเหนือจากรายได้จากโฆษณา, รายได้จาก YouTube Premium, การเป็นสมาชิกของช่อง, และรายได้จากแฟน ๆ ไม่ว่าจะเป็น Super Thanks, Super Chat และ Super Stickers

ด้าน YouTube ก็แน่นอนว่าจะ มีรายได้จากส่วนแบ่งคอมมิชชั่นนี้ด้วย แม้ว่าในช่วง 6 เดือนแรกที่เปิดตัว ครีเอเตอร์จะยังได้คอมมิชชั่นเต็มก็ตาม และอีกประโยชน์ที่ได้ทางอ้อมก็คือ ผู้ใช้สามารถช้อปอยู่บนแพลตฟอร์มโดยไม่ต้องออกไปไหน

ส่วน Shopee เองก็เพิ่มโอกาสการขายของร้านค้าบนแพลตฟอร์ม รวมถึงยังขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ ได้อีกด้วย เพราะปัจจุบัน คอนเทนต์คอมเมิร์ซ ถือว่ามีบทบาทสำคัญมากกับแพลตฟอร์ม โดยฟีเจอร์อย่าง Shopee Live และ Shopee Video ก็ส่งผลต่อยอดขายของผู้ขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และยังช่วยให้เข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ ต่างจังหวัด มากขึ้นด้วย

มุกพิม อนันตชัย หัวหน้าฝ่ายพันธมิตรธุรกิจ YouTube ประเทศไทย และ การัน อำบานี ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ ช้อปปี้ (ประเทศไทย)

อยากปักตะกร้าต้องเป็น YPP 1 หมื่นซับ

สำหรับประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ 4 ของโลกที่เปิดตัว YouTube Shopping ต่อจากประเทศสหรัฐอเมริกา, เกาหลีใต้ และอินโดนีเซีย โดยไทยยังถือเป็นประเทศที่ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

อย่างไรก็ตาม สำหรับครีเอเตอร์ที่จะปักตะกร้าได้ต้องเป็นครีเอเตอร์ที่เข้าร่วมในโปรแกรม Youtube Partner Program (YPP) แล้ว และมีผู้ติดตามช่องมากกว่า 10,000 คนขึ้นไป โดยรายได้จะเข้าในบัญชี Google AdSense ภายใน 30 – 120 วัน

จะเห็นว่า YouTube ไม่ได้ทำแอปขายสินค้าเพิ่ม ไม่ได้ขายของเอง แต่เป็นแค่พื้นที่ให้ครีเอเตอร์นำสินค้าจาก Shopee มาขาย และสร้างรายได้จากยอดขายนั้น เรียกได้ว่าไม่ต้องพยายามเป็นอย่างอื่น แค่ใช้จุดแข็งของตัวเองก็พอ ใครที่เคยช้อปด้วย YouTube Shopping ลองคอมเมนต์มาหน่อยว่าเป็นอย่างไรบ้าง 

]]>
1495443
อินโดนีเซียอยู่ระหว่างสอบสวน Shopee และ Lazada อาจมีพฤติกรรมผูกขาด เน้นใช้บริการขนส่งของตัวเองเป็นหลัก https://positioningmag.com/1475286 Tue, 28 May 2024 02:11:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1475286 หน่วยงานกำกับดูแลด้านการแข่งขันของอินโดนีเซียอยู่ระหว่างสอบสวน Shopee และ Lazada อาจมีพฤติกรรมว่าอาจมีพฤติกรรมละเมิดกฎต่อต้านการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีในการใช้บริษัทขนส่งของตัวเองนั้นอาจทำให้ผู้บริโภคนั้นไม่สามารถเลือกบริษัทขนส่งได้อย่างอิสระ

หน่วยงานกำกับดูแลด้านการแข่งขันของอินโดนีเซีย (KKPU) กำลังอยู่ในขั้นตอนการสอบสวน 2 ผู้เล่น E-commerce รายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Shopee รวมถึง Lazada ว่าอาจมีพฤติกรรมละเมิดกฎต่อต้านการแข่งขัน ซึ่งถ้าหากมีผู้เล่นรายใดรายหนึ่งทำผิดจริง อาจต้องจ่ายค่าปรับจำนวนมาก

ความเคลื่อนไหวล่าสุดนั้นมีการสอบสวนในฝั่งของ Shopee ในวันนี้ (อังคารที่ 28 พฤษภาคม) ว่าอาจมีการละเมิดกฎต่อต้านการแข่งขัน ขณะที่ฝั่งของ Lazada นั้นหน่วยงานพบว่ามีเหตุต้องสงสัยว่าอาจมีพฤติกรรมละเมิดกฎต่อต้านการแข่งขัน

รายงานของ DealStreetAsia ได้ชี้ว่า Shopee มีพฤติกรรมที่เอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจขนส่งสินค้าของตัวเองอย่าง SPX ซึ่งถือเป็นการกีดกันไม่ให้บริษัทขนส่งรายอื่นเข้ามาทำธุรกิจ เพิ่มปริมาณการจัดส่งสินค้าให้กับบริษัทตัวเอง และยังเป็นการจำกัดทางเลือกของผู้บริโภค

M. Fanshurullah Asa ประธานของหน่วยงานกำกับดูแลด้านการแข่งขันของอินโดนีเซีย ได้กล่าวว่า Shopee และ Lazada มีพฤติกรรมคล้ายคลึงกันในเรื่องดังกล่าว แต่เขาไม่ได้กล่าวในรายละเอียดใดๆ เพิ่มเติม

ประเทศอินโดนีเซียนั้นตลาดในการขนส่งสินค้าถือว่าเป็นอีกหนึ่งตลาดที่มีการแข่งขันสูง และมีผู้เล่นหลายรายทั้งผู้เล่นภายในประเทศอย่าง เช่น GoTo หรือแม้แต่ผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Grab หรือแม้แต่ J&T Express

นอกจากนี้อินโดนีเซียเองยังเป็นประเทศที่หน่วยงานกำกับดูแลคุ้มครองผู้ประกอบการภายในประเทศ ในช่วงที่ผ่านมามีบริษัทเทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็น TikTok หรือแม้แต่ Meta นั้นถูกการกำกับดูแลในเรื่องดังกล่าวมาแล้ว

ถ้าหาก 2 ผู้เล่นรายใหญ่ของ E-commerce รายดังกล่าวถูกตัดสินคดีว่ามีความผิดจริง โทษปรับที่บริษัทจะโดนคือปรับกำไร 50% หรือรายได้จากยอดขาย 10% ในช่วงเวลาที่เกิดการกระทำผิด

ที่มา – Reuters, Inquirer

]]>
1475286
‘Sea Limited’ บริษัทแม่ Shopee ทำ ‘กำไร’ ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ IPO ในปี 2017 https://positioningmag.com/1465270 Tue, 05 Mar 2024 13:02:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1465270 เป็นที่รู้กันว่าธุรกิจอีคอมเมิร์ซเป็นธุรกิจปราบเซียน เพราะต้องแข่งกันเผาเงิน แต่ในที่สุด Sea Limited บริษัทแม่ของ Shopee ก็สามารถทำกำไรได้เป็นครั้งแรกในปี 2023 แม้ว่าจะต้องพยายามรักษาส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่งสำคัญอย่าง Lazada และ TikTok Shop ก็ตาม

รายได้สุทธิในปี 2023 ของ ซี ลิมิเต็ด (Sea Limited) อยู่ที่ 162.7 ล้านดอลลาร์ จากเดิมที่ในปี 2022 ขาดทุนถึ1.7 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการทำกำไรครั้งแรกนับตั้งแต่ IPO ในปี 2017 อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2022 ขาดทุนสุทธิ 111.6 ล้านดอลลาร์ โดยปัจจุบัน Sea Limited มี 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่  Shopee (อีคอมเมิร์ซ) SeaMoney (บริการทางการเงิน) และ Garena (เกม)

“ในปี 2023 เราประสบความสำเร็จในการทำกำไร เรามีงบดุลที่แข็งแกร่งขึ้นมาก โดยมีสถานะเงินสดของเราเพิ่มขึ้นเป็น 8.5 พันล้านดอลลาร์ ณ สิ้นปี 2023 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวินัยและความรอบคอบที่เราใช้ในการลงทุนของเราในปีที่ผ่านมา” Forrest Li ประธานและซีอีโอของ Sea กล่าว

ในส่วนของธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่าง Shopee สามารถสร้างส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปีที่ผ่านมา แม้จะมีการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบริษัทตั้งเป้าที่จะรักษาส่วนแบ่งการตลาดของเราไว้ในปีนี้ แม้ว่าจะเจอกับการแข่งขันที่ดุเดือดจาก Lazada ของอาลีบาบา และ TikTok Shop ซึ่ง TikTok Shop ในอินโดนีเซีย ได้ควบรวมกับ Tokopedia

ส่วน SeaMoney สามารถทำกำไรได้ปีแรกในปี 2023 ในส่วนของ Garena บริษัทยังคาดว่าเกมเรือธงอย่าง Free Fire จะเติบโตเป็นเลขสองหลัก

“เราดีใจได้เห็นแนวโน้มเชิงบวกทั้งในด้านการเติบโตและความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจทั้งสามของเรา เมื่อมองไปข้างหน้า เราจะลงทุนต่อไปเพื่ออนาคตด้วยวินัยและความมุ่งมั่น”

Source

]]>
1465270
Sea ผลประกอบการล่าสุดกลับมาขาดทุนอีกรอบ Shopee ถูก TikTok Shop และ Temu กดดันหนัก https://positioningmag.com/1451763 Wed, 15 Nov 2023 02:21:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1451763 บริษัทแม่ของ Shopee อย่าง Sea ได้รายงานผลประกอบการล่าสุดนั้นกลับมาขาดทุนอีกรอบ สาเหตุสำคัญมาจากบริษัทถูกคู่แข่งรายใหม่ที่เข้ามากดดันอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็น TikTok Shop รวมถึง Temu แต่ CEO ของบริษัทมองว่าการเสียสละกำไรในระยะสั้นจะช่วยธุรกิจในอนาคตได้

บริษัทแม่ของ Shopee อย่าง Sea รายงานผลประกอบการในไตรมาส 3 ของปี 2023 ซึ่งล่าสุดบริษัทได้รายงานการขาดทุน 149 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากที่ไตรมาส 2 นั้นบริษัทสามารถทำกำไรได้มากถึง 322 ล้านเหรียญสหรัฐ  โดยสภาวะการแข่งขันของธุรกิจ E-commerce รุนแรงเพิ่มขึ้น

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ Sea กลับมาขาดทุนอีกครั้งก็คือ ธุรกิจ E-commerce อย่าง Shopee เองนั้นถูกคู่แข่งรายใหม่ที่เข้ามากดดันอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็น TikTok Shop ที่กำลังขยายธุรกิจในอาเซียน รวมถึง Temu ที่กำลังรุกคืบเข้ามาในอาเซียนเช่นกัน

นอกจากนี้ยังรวมถึงคู่แข่งหน้าเก่าอย่าง Alibaba ซึ่งมีธุรกิจลูกในอาเซียนอย่าง Lazada ด้วย

สิ่งที่น่าสนใจในผลประกอบการของ Sea ในไตรมาส 3 นี้

  • รายได้รวมอยู่ที่ 3,300 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 5% เมื่อเทียบกับปี 2022 ที่ผ่านมา
  • ธุรกิจ E-commerce นั้นมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 18% เมื่อเทียบกับปี 2022 ที่ผ่านมา
  • อย่างไรก็ดีค่าใช้จ่ายในด้านการตลาดของบริษัทเพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับปี 2022 ที่ผ่านมา
  • กระแสเงินสดของบริษัทในไตรมาส 3 นี้ยังเป็นบวกอยู่ราวๆ 35 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งได้ผลดีจากธุรกิจ Digital Entertainment รวมถึง Digital Financial Service

ก่อนหน้านี้ UBS สถาบันการเงินจากสวิตเซอร์แลนด์ได้วิเคราะห์กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีในอาเซียน มองว่าการเข้ามาของผู้เล่นหน้าใหม่อย่าง TikTok Shop และ Shein อาจกดดันรายได้ โดยเฉพาะกรณีของ Shopee ทื่มองว่ามาร์จิ้นนั้นอาจหายไปบางส่วนได้

นอกจากนี้บริษัทเองยังมองถึงเรื่องการไลฟ์ขายสินค้าถือเป็นโอกาสสำคัญของธุรกิจอย่าง Shopee ด้วย

Forrest Li ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Sea ได้กล่าวว่า การเข้ามาของผู้เล่นรายใหม่ทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น และเขายังมองว่าการเสียสละกำไรในระยะสั้นจะช่วยธุรกิจในอนาคต และเขายังเน้นถึงเป้าหมายระยะยาวของธุรกิจได้แก่ การเติบโต การทำกำไร รวมถึงการได้ส่วนแบ่งทางการตลาด

]]>
1451763
UBS ชี้การเข้ามาของ TikTok Shop และ Shein อาจกดดันมาร์จิ้นของ Shopee ได้หลังจากนี้ https://positioningmag.com/1433621 Fri, 09 Jun 2023 08:53:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1433621 รายงานล่าสุดจาก UBS สถาบันการเงินจากสวิตเซอร์แลนด์ที่วิเคราะห์กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีในอาเซียน ได้มองว่าการเข้ามาของผู้เล่นหน้าใหม่อย่าง TikTok Shop และ Shein อาจกดดันรายได้ โดยเฉพาะกรณีของ Shopee ทื่มองว่ามาร์จิ้นนั้นอาจหายไปบางส่วนได้

บทวิเคราะห์จาก UBS ที่วิเคราะห์กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีในอาเซียนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2023 มองว่าการเข้ามาของ TikTok และ Shein นั้นอาจกดดันยอดขายสินค้าออนไลน์รวม (GMV) ของกลุ่ม E-commerce โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Shopee

UBS ยังชี้ว่าแบรนด์สินค้าหลายยี่ห้อเองได้เลือกทำธุรกิจแบบ Direct-to-Customer (D2C) เองก็ยังสร้างแรงกดดันต่อผู้เล่น E-commerce ในตลาดอาเซียนอีกด้วย และ UBS ยังชี้ว่าการดำเนินธุรกิจแบบ D2C ของแบรนด์ต่างๆ จะกดดันต่อ GMV ของบริษัทหลังจากนี้

ก่อนหน้านี้ ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok เองก็หมายมั่นปั้นมือว่าการเข้ามาในธุรกิจ E-commerce ของบริษัทอย่าง TikTok Shop นั้นจะช่วยทำให้บริษัทมี GMV มากถึง 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากที่ปี 2022 ทีผ่านมาบริษัทมี GMV ราวๆ 4,400 ล้านเหรียญสหรัฐ และตลาดที่บริษัทโฟกัสมากสุดก็คืออาเซียน

โดย UBS ชี้ว่าการเข้ามาของ TikTok และ Shein จะทำให้มาร์จิ้นเมื่อเทียบกับ GMV ของ Shopee หายไปถึง 1.9% ในปีนี้ และ 2.5% ในปี 2024

UBS รวบรวมและใช้ข้อมูลของ Sensor Tower เพื่อดูยอดผู้ใช้งานต่อเดือน (MAU) ของผู้เล่นต่างๆ ในประเทศไทย ซึ่งข้อมูลล่าสุดเดือนเมษายนที่ผ่านมา Shein อยู่อันดับ 1 ตามมาด้วย Shopee Lazada Ebay ตามลำดับ ซึ่งทาง Shein มีผู้ใช้งานต่อเดือนที่เติบโตถึง 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ขณะที่ผู้เล่นรายอื่นในไทยนั้น MAU เติบโตน้อยมาก

ขณะที่ตลาดประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ฟิลิปปินส์และมาเลเซีย MAU เบอร์ 1 ยังเป็น Shopee ขณะที่ Shein ตามมาเป็นอันดับ 2 ขณะที่อินโดนีเซียผู้นำยังคือ Shopee ยกเว้นเวียดนามที่ Shein แซงขึ้นมาเป็นอันดับ 1 แล้ว

อย่างไรก็ดี UBS ได้ชี้ว่าตัวเลข MAU อาจไม่สามารถนำมาชี้วัดถึง GMV ได้

ไม่เพียงเท่านี้ในรายงานของ UBS ยังชี้ถึงธุรกิจส่งอาหารในอาเซียนว่า Grab เองกำลังแย่งส่วนแบ่งตลาดจากผู้เล่นอื่น ไม่ว่าจะเป็น GoTo รวมถึงผู้เล่นอีกรายอย่าง foodpanda และชี้ว่า GMV ของ GoTo ยังไม่กลับมาฟื้นตัวแม้จะผ่านไปถึงช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ก็ตาม

]]>
1433621