TCP – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 08 Jun 2023 05:01:53 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เก็บพลังจากบูท “กลุ่มธุรกิจ TCP” ในงาน THAIFEX 2023 โชว์เคสตอกย้ำว่าธุรกิจนี้มีมากกว่า “กระทิงแดง” https://positioningmag.com/1433379 Thu, 08 Jun 2023 10:00:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1433379

ครั้งแรกที่ “กลุ่มธุรกิจ TCP” ร่วมออกบูทแบบเต็มรูปแบบ ขนทุกธุรกิจและผลิตภัณฑ์ในเครือโชว์เคสภายในงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2023 ตอกย้ำความหลากหลายของธุรกิจที่มีมากกว่า “กระทิงแดง” จัดแสดงไลน์สินค้า-บริการหลายประเภทที่ขยายตลาดได้ในระดับโลก

งานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มระดับโลก THAIFEX – ANUGA ASIA 2023 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-27 พฤษภาคม 2566 มีหนึ่งบูทจัดแสดงที่น่าสนใจ เพราะเป็นครั้งแรกที่เครือยักษ์ใหญ่ด้านเครื่องดื่มอย่าง “กลุ่มธุรกิจ TCP” ร่วมออกบูทภายในงานแบบครบทุกไลน์สินค้าและบริการภายใต้ธีม Energizing a Better World for All” เป็นการโชว์ “พลัง” ในเครือที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยเห็นมาก่อน

โชว์เคสจากกลุ่มธุรกิจ TCP เริ่มต้นด้วยการแนะนำภาพรวมสินค้าในเครือบริเวณเวทีด้านหน้าบูท หน้าจอฉายภาพผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น “เรดดี้” “โสมพลัส” “สปอนเซอร์”  “ไฮ่ x DHC” “แมนซั่ม” “เพียวริคุ” “ซันสแนค” เพื่อสร้างภาพจำใหม่ให้กับผู้มาเยี่ยมชมว่า ไม่ได้มีแค่กระทิงแดงเท่านั้น

เข้าไปด้านในบูทจะพบกับโซน TCP’s Story จุดกำเนิดพลัง เล่าความเป็นมาของบริษัทที่เริ่มต้นจากการก่อตั้งบริษัทยา “T.C. Pharmaceutical” โดยคุณเฉลียว อยู่วิทยา เมื่อปี 2499 ก่อนจะกำเนิดแบรนด์ “กระทิงแดง” ครั้งแรกในปี 2518 ต่อจากนั้นเป็นเรื่องราวของการส่งออกต่างประเทศ การขยายไลน์ธุรกิจแบรนด์เครื่องดื่มเกลือแร่ “สปอนเซอร์” ตลอดจนการพัฒนาระบบจัดจำหน่ายภายใต้บริษัทเดอเบล

จนถึงวันนี้กลุ่มธุรกิจ TCP กลายเป็น “House of Great Brands” มีแบรนด์หลากหลายในพอร์ตโฟลิโอ และยังขยายตัวตั้งโรงงานในประเทศจีนและอีกหลายประเทศ เห็นความสำเร็จตลอดเส้นทางการเติบโต 67 ปีที่ผ่านมาของบริษัท

ถัดมาบริเวณด้านข้างเป็นโซน Product Showcase รวมพลังความสดชื่น จัดชมและชิมเครื่องดื่มที่สะท้อนการคิดค้นของกลุ่มธุรกิจ TCP เริ่มจากฝั่งสินค้าในประเทศ ผลิตภัณฑ์ที่นำมาแสดงจะเป็นกลุ่มสินค้าใหม่ล่าสุดที่วางจำหน่ายในปี 2566 ได้แก่

  • Red Bull Energy Soda เครื่องดื่มเอเนอร์จี้โซดา อร่อยซ่ากลิ่นผลไม้ และไม่มีน้ำตาล มีให้เลือก 2 กลิ่น คือ กลิ่นองุ่นมัสแกตจับคู่แอปเปิ้ลเขียว และเกรปฟรุตกับสับปะรด
  • FarmZaa มะปี๊ดโซดา เครื่องดื่มแบรนด์ใหม่ที่สนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกมะปี๊ดใน จ.จันทบุรี ส่งเสริมผลไม้ไทยให้มีตลาดกว้างขึ้น
  • Planett ครั้งแรกของโซดากลิ่นดอกไม้และผลไม้ของไทย และยังได้เป็น 1 ใน 50 สินค้านวัตกรรมด้านรสชาติของงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2023
  • คอลลาเจนกัมมี่ DHC x Bestural นวัตกรรมคอลลาเจนรูปแบบกัมมี่ คอลลาเจนคุณภาพนำเข้าจากญี่ปุ่น ทานง่าย ไม่ต้องชงอร่อยด้วยน้ำสตรอว์เบอร์รี่แท้ๆ ผ่านการคัดเลือกและเป็นส่วนหนึ่งของโชว์เคสอาหารแห่งอนาคต (Future Food Product Showcase) ในงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2023)

อีกฝั่งหนึ่งถือเป็นไฮไลต์ที่ฮือฮาของงานเช่นกัน เพราะเป็นกลุ่มสินค้าจากต่างประเทศที่ขนมาให้ได้ลองชิมเพื่อสัมผัสรสชาติที่แตกต่างที่บริษัทคิดค้นและปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับคนท้องถิ่น  ได้แก่

  • Red Bull Gold เครื่องดื่มให้พลังงานกระป๋องสีทอง มีจำหน่ายในอีกหลายประเทศ เช่น กัมพูชา, เมียนมา, ลาว, เนปาล, อิสราเอล ฯลฯ
  • Red Bull Cold Brew Coffee เครื่องดื่มให้พลังงานรสกาแฟสกัดเย็น เป็นสินค้าที่ขายเฉพาะในเวียดนาม รสชาติกาแฟชัดเจน เสริมด้วยความซ่าและรสหวานที่คุ้นเคยของ Energy Drink ผลิตภัณฑ์นี้ฮิตมากในงานจนใครๆ ต่างเรียกร้องให้มีจำหน่ายในไทยบ้าง
  • Warrior Energy Drink อีกหนึ่งเครื่องดื่มให้พลังงานที่มีขายเฉพาะในเวียดนาม มี 2 รสชาติ คือ รสสตรอว์เบอร์รี่ และ รสองุ่น

มีสินค้าแล้วย่อมต้องมีระบบจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งจึงจะชนะในตลาดได้ ทำให้บูทของกลุ่มธุรกิจ TCP โซนหนึ่งยกให้กับกลุ่ม TCP Services พลังบริการครบวงจร ฉายให้เห็นภาพธุรกิจของบริษัท “เดอเบล” ซึ่งให้บริการตั้งแต่คลังสินค้า กระจายสินค้า และจัดจำหน่ายทั่วประเทศ ครอบคลุมร้านค้าในไทยมากกว่า 170,000 ร้าน ด้วยพลังของคลังสินค้าถึง 23 จุดทั่วประเทศ และหน่วยรถจัดส่งและจำหน่าย 800 คัน

นอกจากบริการของเดอเบล ยังมีบริการของ “ไฮ-เกียร์” บริษัทผู้ให้บริการด้านการตลาดประเภทจัดอีเวนต์ โร้ดโชว์ แจกชิม ทั่วประเทศ รวมไปถึงบริการ “ที.จี. เวนดิ้ง” ตู้ขายสินค้าอัตโนมัติ และยังเปิดตัวเว็บไซต์ https://shop.tcp.com/ ช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ใหม่ภายในงานครั้งนี้ด้วย

พูดถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆ แล้ว ที่ขาดไปไม่ได้คือการโชว์เคสสร้างสรรค์สิ่งใหม่จากผลิตภัณฑ์ จึงมีโซน TCP Experience สัมผัสพลังรสชาติใหม่ ขึ้น โดยได้มิกซ์โซโลจิสต์ชื่อดัง “ธาดา แสงกำพล” มารังสรรค์เครื่องดื่มม็อกเทลที่ใช้องค์ประกอบเป็นผลิตภัณฑ์ของกลุ่มธุรกิจ TCP

ผลงานของธาดามีทั้งหมด 5 เมนูที่ให้ผู้เยี่ยมชมเลือกชิม ไม่ว่าจะเป็น PASSIONATE SUNRISE จาก Red Bull Cold Brew Coffee, READY SET GO! จาก สปอนเซอร์และเรดดี้, CALAMANSI CRAZE จาก FarmZaa และเรดดี้, CHILLAX ELIXIR จาก Hopster และเรดดี้ และปิดท้ายด้วยเมนู GOLDEN WARRIOR จาก Red Bull Gold และ Warrior

อีกมุมหนึ่งของบูทเป็น International Business พลังระดับโลก การจัดโชว์อาณาจักรส่งออกต่างประเทศซึ่งรายได้ขององค์กรมาจากต่างประเทศเป็นสัดส่วนสูงถึง 70% เพราะมีการส่งออกไป 14 ประเทศทั่วโลก มีประเทศที่ทำรายได้หลักให้บริษัท คือ จีน เวียดนาม มาเลเซีย และบริษัทยังมีการส่งออกนอกทวีปเอเชียได้ด้วยที่ประเทศอิสราเอลและสหรัฐอเมริกา

ต่อกันที่โซน Sustainability พลังอนาคตที่ยั่งยืน โชว์เคสเป้าหมายภารกิจด้านความยั่งยืนของบริษัท และการลงมือปฏิบัติจริง 4 ด้านหลัก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์และบริการรักษ์โลก (Product Excellence) ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Low Carbon Economy) การจัดการน้ำอย่างยั่งยืน (Water Sustainability) และบรรจุภัณฑ์รักษ์โลกที่นำกลับมารีไซเคิลได้ (Circular Economy)

ในงานยังนำตัวอย่างด้านแพ็กเกจจิ้งมาแสดงด้วยว่ากลุ่มธุรกิจ TCP ปฏิบัติจริงอย่างไร เช่น “กระป๋อง” ลดความหนาตัวกระป๋องลง 10% และลดความหนาฝากระป๋องลง 7% ทำให้ลดการใช้วัสดุในการผลิต, “ขวดแก้ว” ลดน้ำหนักขวดลงได้ 10-20% ซึ่งช่วยลดการสิ้นเปลืองพลังงานระหว่างขนส่ง, “ขวด PET” เปลี่ยนฉลากจากการใช้พลาสติก PVC มาเป็น PET

ปิดท้ายที่โซน Activity จุดปล่อยพลัง กับเกม TCP RUNNER และจุดถ่ายภาพที่ระลึก ให้ผู้เยี่ยมชมได้ทำกิจกรรมสนุกสนานและได้ลุ้นรับของรางวัลพิเศษ

นับได้ว่าเป็นการออกบูทที่เต็มอิ่ม สัมผัสประสบการณ์ “พลัง”  ได้ครบเครื่องรอบด้าน ช่วยให้ผู้เยี่ยมชมได้รู้จักผลิตภัณฑ์ของกลุ่มธุรกิจ TCP ที่มีมากกว่า “กระทิงแดง” ทั้งสินค้าและบริการที่หลากหลายประเภทและพร้อมพัฒนาต่อเนื่องเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ สมที่เป็นผู้นำธุรกิจ F&B เอเชีย

]]>
1433379
TCP ส่ง ‘Red Bull Halls XS’ ลุยตลาดพรีเมียมเอนเนอร์จีดริ้งก์ หวังลบภาพ ‘เครื่องดื่มแรงงาน’ มัดใจ Gen Z https://positioningmag.com/1399928 Tue, 13 Sep 2022 05:12:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1399928 หากพูดถึงตลาด เครื่องดื่มชูกำลัง หรือ ภาพจำของผู้บริโภคก็คงมีอยู่ไม่กี่รายโดยเฉพาะในตลาด ขวดแก้ว หรือตลาดแมส แต่ก็ใช่ว่าตลาดจะถึงทางตัน เพราะในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาตลาดยังเติบโตได้ 3% และกลุ่มที่ขับเคลื่อนตลาดก็คือ พรีเมียม ซึ่งมีการเติบโตถึง 5% ทำให้เครือ TCP เลือกที่จะโฟกัสในกลุ่มพรีเมียมเพื่อทำตลาด

พรีเมียมยังโตได้อีกเยอะ

สราวุฒิ อยู่วิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP กล่าวว่า ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังมีมูลค่าประมาณ 2 หมื่นล้านบาท โดยในช่วงปี 2020-2021 นั้นทรงตัวมาตลอดเพราะการระบาดของ COVID-19 แต่ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2022 มีการเติบโต 3% และคาดว่าทั้งปีจะสามารถเติบโตได้ถึง 10% โดยมีปัจจัยมาจากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว การออกนอกบ้านมากขึ้นของประชาชน และจำนวนผู้เล่นในตลาดที่มีมากขึ้น

ที่น่าสนใจคือ ตลาดพรีเมียม (ราคา 15 บาทขึ้นไป) ที่แม้จะคิดเป็นเพียง 10% ของตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง แต่มีอัตราเติบโตถึง 5% โดยปัจจุบันจะเริ่มเห็นแบรนด์ทั้งจากทั้งในและนอกอุตสาหกรรมเครื่องดื่มหันมาลงเล่นในเซ็กเมนต์นี้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น G-BEAT (จี บีท) หรือ PredatorShot จาก เอเซอร์ ดังนั้น เชื่อว่าจะยิ่งช่วยกันดันตลาดให้เติบโตยิ่งขึ้น เพราะปัจจุบันผู้บริโภคยังคงเข้าถึงเครื่องดื่มเซ็กเมนต์นี้เพียง 21% เท่านั้น และ 50% เป็นกลุ่ม Gen Z

“เราเป็นเบอร์ 2 ของตลาดไทย มีส่วนแบ่งที่ 21% (กระทิงแดง, เรดดี้ และโสม) ส่วนกลุ่มพรีเมียมเรามีแบรนด์เรดดี้มีส่วนแบ่งตลาด 5% ดังนั้น ยังมีการบ้านให้ทำอีกมาก

เจาะ Gen Z ต้องลบภาพเครื่องดื่มแรงงาน

อย่างไรก็ตาม การจะจับกลุ่มพรีเมียมที่มีผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็น Gen Z ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก โดย ณุชชนา อดิทิพยางกูร รองผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด Global – Energy กลุ่มธุรกิจ TCP อธิบายว่า เนื่องจากคน Gen Z ติดภาพว่าเครื่องดื่มชูกำลังเป็นเครื่องดื่มของ คนใช้แรงงาน หรือเป็นเครื่องดื่มเฉพาะกิจที่ต้อง ใช้แรง นอกจากนี้ รสชาติเครื่องดื่มชูกำลังแบบดั้งเดิมมีความ เฉพาะเจาะจง

ดังนั้น แบรนด์จึงเลือกสานต่อความร่วมมือกับ มอนเดลีซ ผู้ผลิตและจำหน่ายลูกอมฮอลล์ หลังจากที่เคยออก ลูกอม Halls XS Red Bull ในปีที่ผ่านมา โดยออกเป็น Red Bull Halls XS ที่นำเอา 2 รสชาติที่ขายดีที่สุดของ ลูกอมฮอลล์ (Halls) อย่าง วอเตอร์เมลอน และ เมนโทลิปตัส มาใส่ในผลิตภัณฑ์เป็น 2 รสชาติใหม่ โดยชูจุดเด่นที่มีความเย็นสดชื่นและไม่มีน้ำตาล

แต่ไม่ใช่แค่รสชาติที่จะช่วยสร้างความแตกต่าง อีกประโยชน์ที่ได้จากการร่วมกับ Halls XS คือ ภาพลักษณ์ เนื่องจาก Hall XS จับกลุ่ม Young Gen และคนเมืองอยู่แล้ว ก็จะยิ่งทำให้ภาพของ Red Bull ดูเฟรนด์ลี่มากขึ้น นอกจากนี้ ราคา ก็เป็นอีกสิ่งที่สำคัญ แบรนด์ยังวางราคาจำหน่ายที่ 15 บาท ซึ่งเป็นราคาเริ่มต้นของกลุ่มพรีเมียม ก็จะช่วยให้เข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น

“ตลาดขวดแก้วมันเป็นตลาดที่อิ่มตัวอยู่แล้วและผู้เล่นหลักก็แข็งแรง ดังนั้น มันเป็นเกมที่ยาก แต่ถ้าเป็นพรีเมียมมันยังเป็นตลาดที่เพิ่งเริ่ม ดังนั้น ความยากคือการดันคนให้เข้ามาในกลุ่มนี้ให้มากขึ้น ซึ่งจริง ๆ แล้วมันมีความต้องการ แต่ไม่ตอบโจทย์แพ็กเกจจิ้ง และรสชาติ ดังนั้น ถ้าดีไซน์แพ็กเกจจิ้งดี รสชาติที่แตกต่าง เราเชื่อว่าเขาก็จะเปิดใจกล้าลองมากขึ้น”

ทุ่ม 100 ล้านบาทใช้อีสปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง

หากพูดถึงการทำการตลาดของ Red Bull จะเน้นไปที่ กีฬาเอ็กซ์ตรีม เป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับการทำตลาดของ Red Bull Halls XS ใช้จะเน้นไปที่ อีสปอร์ต เป็นหลัก ในขณะที่ช่องทางการสื่อสารจะใช้ TikTok แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นที่กำลังเป็นที่นิยมของ Gen Z โดยใช้งบการตลาดถึง 100 ล้านบาท

คู่แข่งที่มาใหม่ก็ใช้อีสปอร์ตมาร์เก็ตติ้งเหมือนกัน ดังนั้น การจับแพชชั่นพอยต์คงไม่ต่างกัน แต่ด้วยตัวโปรดักส์และเนื้อหาการสื่อสารเราเชื่อว่ามันจะตรงใจมากกว่า เพราะเราคงไม่สื่อสารไปตรง ๆ ว่าดื่ม Red Bull Halls XS แล้วจะได้ประโยชน์อะไร แต่พยายามสื่อสารถึงการครีเอทสิ่งใหม่ ๆ ดังนั้น แม้จะใช้ KOL หรืออีสปอร์ตเหมือนกัน แต่การสื่อสารจะต่างกัน”

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกสินค้ากระทิงแดงและ Red Bull มีการเติบโต 2 หลัก คาดว่าในสิ้นปีจะเติบโตได้ 11% และในส่วนของกลุ่มพรีเมียมตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้ได้เท่าตัวภายใน 3 ปี หรือ 10% โดยจากนี้จะมีการออกรสชาติและแบรนด์ใหม่ ๆ ออกมาทำตลาดอีกในอนาคต

]]>
1399928
TCP โหมพอร์ต “ฟังก์ชันนอลดริงก์” แบรนด์ “แมนซั่ม” เจาะ Gen Z “ไฮ่! X DHC” ยึดเบอร์ 2 ตลาด https://positioningmag.com/1392563 Thu, 14 Jul 2022 09:32:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1392563
  • พอร์ตเครื่องดื่มกลุ่มฟังก์ชันนอลดริงก์ปี 2565 ของ TCP จะกลับมาโหมตลาดเต็มที่ ผ่านทัพสินค้า 3 แบรนด์ ได้แก่ แมนซั่ม, แมนซั่ม วิตามิน วอเตอร์ และ ไฮ่! X DHC หวังยอดขายรวม 1,000 ล้านบาท เติบโต 30% จากปีก่อน
  • เครื่องดื่มแมนซั่มมีการปรับลุคและการสื่อสารให้เหมาะกับ Gen Z วัย 15-24 ปี ดึงสองนักดนตรีจากวงเยาวชน Yes Indeed Band เป็นพรีเซ็นเตอร์
  • แมนซั่ม วิตามิน วอเตอร์ เจาะกลุ่มผู้ชายวัยทำงาน มองโอกาสทองในกลุ่มลูกค้าที่สนใจดื่มวิตามิน วอเตอร์แต่ยังไม่เคยลอง และปั้นการสื่อสารให้ลูกค้าซื้อเป็นสต็อก “ติดตู้เย็น”
  • ไฮ่! X DHC มาแรง ขึ้นเป็นอันดับ 2 ของตลาดสำเร็จจากการคอลแลปแบรนด์วิตามินซีชื่อดังของญี่ปุ่น เดินหน้ากลยุทธ์ Massive Sampling แจกชิม 500,000 ขวด
  • หลังผ่อนคลายล็อกดาวน์และการเปิดประเทศ ทำให้ตลาดเครื่องดื่มสดใสขึ้น รวมถึงกลุ่มฟังก์ชันนอลดริงก์ด้วย โดยข้อมูลจาก “ประไพภักตร์ ไวเกิล” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดโกลเบิล (F&B) กลุ่มธุรกิจ TCP กล่าวถึงคาดการณ์ปี 2565 กลุ่มตลาดฟังก์ชันนอลดริงก์ (ไม่รวมวิตามิน วอเตอร์) น่าจะเติบโตได้ 5.6% มูลค่าตลาดแตะ 7,700 ล้านบาท และ กลุ่มตลาดวิตามิน วอเตอร์ น่าจะเติบโต 4.7% มูลค่าตลาดแตะ 2,500 ล้านบาท

    ถือเป็นสัญญาณที่ดี เพราะเมื่อปี 2564 เป็นปีที่ฟังก์ชันนอลดริงก์สะดุดครั้งแรกหลังโตติดต่อกันมาหลายปี โดยเมื่อปีก่อนตลาดติดลบถึง -13.3%

    TCP
    “ประไพภักตร์ ไวเกิล” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดโกลเบิล (F&B) กลุ่มธุรกิจ TCP

    นั่นทำให้ปี 2565 นี้ กลุ่ม TCP จะโหมตลาดฟังก์ชันนอลดริงก์ ตั้งเป้ายอดขาย 1,000 ล้านบาท เติบโต 30% จากปีก่อน โดยปัจจุบันมี 3 แบรนด์ในพอร์ต ได้แก่ แมนซั่ม, แมนซั่ม วิตามิน วอเตอร์ และ ไฮ่! X DHC ทุกแบรนด์ใช้งบการตลาดรวม 450 ล้านบาท และจะมีการออกสินค้าสูตรใหม่ในปีนี้

     

    “แมนซั่ม” ปรับลุคเจาะคน Gen Z

    เริ่มที่แบรนด์ “แมนซั่ม” เครื่องดื่มผสมแร่ธาตุสำหรับผู้ชายที่เปิดตัวครั้งแรกปี 2556 เน้นในกลุ่มลูกค้าวัยเรียนมาโดยตลอด แต่เมื่อลูกค้าในยุคเปิดตัวซึ่งเป็นกลุ่มคน Gen Y เติบโตไปสู่วัยทำงานแล้ว ทำให้ปีนี้จะมีการปรับการสื่อสารและปรับลุคให้ตรงกับเป้าหมาย Gen Z ที่อยู่ในช่วงวัยเรียนอายุ 15-24 ปีอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น

    TCP ให้อินไซต์ของผู้ชายวัยเรียนว่า เป็นวัยที่จะอยู่กับกลุ่มเพื่อนเป็นส่วนใหญ่ และผู้ชายต้องการจะดูดี ผิวพรรณดี เพื่อเรียกความมั่นใจ ได้รับการยอมรับทั้งจากกลุ่มเพื่อนและเพศตรงข้าม ซึ่งเป็นเมสเสจที่แมนซั่มสื่อสารกับตลาดมาตลอด

    TCP ฟังก์ชันนอลดริงก์

    เสริมด้วยเมสเสจในเชิง emotional นั่นคือ แมนซั่มสนับสนุนความเป็น “สุภาพบุรุษ” หมายถึงผู้ที่มีทัศนคติเชิงบวกและให้เกียรติผู้อื่น

    จากเป้าหมายและเมสเสจของแบรนด์ ทำให้ปีนี้แมนซั่มมีการปรับโฉมผลิตภัณฑ์ให้ดูทันสมัยเหมาะกับวัยรุ่น Gen Z รวมถึงเลือกพรีเซ็นเตอร์ใหม่จากวง Yes Indeed Band คือ “พอร์ส-นรากร อิสระวรางกูร” มือกีตาร์และร้องนำ และ “มังกร-รัชชานนท์ วรกิจไพบูลย์” มือกลอง วงดนตรีวงนี้เป็นวงดนตรีเปิดหมวกที่วัยรุ่นชื่นชอบ แม้จะยังไม่เคยออกอัลบัม แต่มีชื่อเสียงโด่งดังในโซเชียลมีเดีย และมีแฟนคลับจำนวนมาก

    รวมถึงเข้าเป็นสปอนเซอร์รายการ “อย่าหาว่าน้าสอน” ของ น้าเน็ก เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา เพราะมีการสื่อสารเข้ากับแบรนด์ รายการมอบทัศนคติที่ดีให้น้องๆ ผู้ชายในสังคม

    จากการมุ่งเป้า Gen Z ซึ่งเป็นเจนที่รักษ์โลกมากขึ้น บริษัทจึงเลือกแมนซั่มเป็นแบรนด์แรกของพอร์ตที่ปรับแพ็กเกจจิ้งให้เป็นวัสดุรีไซเคิลได้ 100% ด้วย

     

    แมนซั่ม วิตามิน วอเตอร์ หวังขึ้นเป็น Top 3

    ด้านเครื่องดื่มน้ำวิตามินถือเป็นตลาดเรดโอเชียนที่แข่งกันดุเดือด แมนซั่ม วิตามิน วอเตอร์ ซึ่งเพิ่งเปิดตัวใหม่ในปี 2564 ปัจจุบันอยู่ใน Top 5 ของตลาดที่มีแข่งกัน 13 แบรนด์และวางเป้าจะขึ้นเป็น Top 3 ให้ได้ในปีนี้

    ฟังก์ชันนอลดริงก์ TCP
    แมนซั่ม วิตามิน วอเตอร์ สูตรใหม่ล่าสุด “อาซาอิ เบอร์รี่” และกันยายนปีนี้ จะมีออกใหม่อีก 2 สูตร

    ทาร์เก็ตหลักของแบรนด์จะเป็นกลุ่มผู้ชายวัย 25-34 ปี เป็นคนทำงานที่ต้องการดูแลร่างกายและรูปลักษณ์ของตนเอง โดยจากการวิจัยพบว่า ผู้บริโภคชายวัย 18-44 ปีนั้น 70% มีการดื่มน้ำวิตามินอยู่แล้ว และมีกลุ่ม 14% ที่ยังไม่เคยดื่มแต่มีความสนใจ

    ทำให้นอกจากการชิงกลุ่มลูกค้าที่ดื่มประจำจากแบรนด์อื่นแล้ว แมนซั่มหวังโอกาสทองที่จะเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่เคยดื่มน้ำวิตามินมาก่อน โดยอาศัยจุดขายว่าแบรนด์นี้เป็นแบรนด์สำหรับ “ผู้ชาย” โดยเฉพาะ การโปรโมตแบรนด์จึงเลือกจับมือกับ GQ แบรนด์เสื้อผ้าคนทำงานเพศชายซึ่งมีเป้าหมายสอดคล้องกัน

    รวมถึงจะเน้นการสื่อสารว่าเป็นน้ำวิตามินที่สามารถดื่มแทนน้ำเปล่าได้ เพราะไม่มีน้ำตาล ดื่มได้ทุกวัน เน้นการซื้อสต็อก “ติดตู้เย็น” เหมายกลัง โดยส่ง conversion ลูกค้าเข้าซื้อผ่านช่องทางอี-คอมเมิร์ซ

     

    “ไฮ่! X DHC” มาแรงขึ้นอันดับ 2 จากการคอลแลป

    ปิดท้ายที่แบรนด์มาแรงในพอร์ตของ TCP น้ำวิตามินซีช็อต “ไฮ่! X DHC” แบรนด์นี้เปิดตัวเฉพาะชื่อ “ไฮ่!” ครั้งแรกเดือนมีนาคม 2563 และมาเริ่มคอลแลปกับ DHC ในเดือนพฤศจิกายน 2564 ซึ่งทำให้ขายดีขึ้นมาก

    Hi! x DHC ปัจจุบันมี 3 รสชาติ สิงหาคมปีนี้จะมีออกใหม่อีก 2 รสชาติ

    ประไพภักตร์ระบุว่า การคอลแลป DHC วิตามินซีขายดีที่สุดของญี่ปุ่น ทำให้ล่าสุด ไฮ่! X DHC ขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของตลาดวิตามินซีช็อตแล้ว และตั้งเป้าว่าปีนี้จะโตอีก 40%

    กลุ่มลูกค้าจะยังคงเดิมคือเป็นคนวัยทำงานอายุ 25-34 ปีทุกเพศ และยังชูเมสเสจเดิมคือการใช้วิตามินพรีเมียมจากแบรนด์ DHC ของญี่ปุ่น ทำให้แบรนด์เลือก “เรียวตะ โอมิ” ยูทูปเบอร์คนดังชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในไทยมาทำหน้าที่ ‘Brand Talk’ เพื่อช่วยสร้างการรับรู้คุณสมบัติของวิตามินซีญี่ปุ่นได้อย่างน่าเชื่อถือ

    รวมถึงจะจัดกลยุทธ์ Massive Sampling จำนวน 500,000 ขวดตามออฟฟิศและสถานีรถไฟฟ้า เพื่อให้ลูกค้าได้ทดลองชิมมากขึ้น

    ด้านสภาวะตลาดโดยรวมฟังก์ชันนอลดริงก์ ประไพภักตร์มองว่าค่าครองชีพที่พุ่งขึ้นและอัตราเงินเฟ้อน่าจะมีผลไม่มากต่อตลาดนี้ เพราะในยุคหลัง COVID-19 ผู้บริโภคไทยต้องการฟังก์ชันนอลดริงก์ในฐานะเครื่องดื่มดูแลสุขภาพ ซึ่งทาง TCP จะพยายามตรึงราคาสินค้าในกลุ่มนี้ไว้ แม้ว่าต้นทุนการผลิตจะสูงขึ้นแล้วก็ตาม

    ]]>
    1392563
    “ไฮ่!” งัดไม้ตายจับมือ DHC วิตามินซีตัวท็อปจากญี่ปุ่นลงขวดครั้งแรกของโลก! https://positioningmag.com/1362642 Wed, 17 Nov 2021 10:17:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1362642 ตลาดน้ำวิตามินซียังหอมหวาน มีผู้เล่นหน้าใหม่ลงตลาด ทำให้การแข่งขันในตลาดดุเดือด “ไฮ่!” จากค่าย TCP จึงของัดไม้ตาย ด้วยการจับมือกับ DHC แบรนด์วิตามินชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่น อาศัยความเป็นวิตามินตัวท็อปสร้างจุดขาย ตั้งเป้ามีส่วนแบ่งตลาดติด Top 3 ให้ได้

    สร้างจุดขายด้วย DHC วิตามินในตำนาน

    ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาตลาดเครื่องดื่มฟังก์ชันนอลดริ้งก์เริ่มกลับมามีสีสัน และมีการเติบโตมากขึ้น เนื่องจากคนสนใจดูแลสุขภาพมากขึ้น แต่เมื่อปี 2563 ที่ผ่านมา มีการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ยิ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้ตลาดนี้กลับมาบูมยิ่งขึ้น ทำให้ได้เห็นผู้เล่นตลาดเครื่องดื่ม หรือไม่ได้อยู่ในตลาดนี้ ต่างออกเครื่องดื่มผสมวิตามินทั้งสิ้น จับเทรนด์การดูแลสุขภาพ สร้างภูมิคุ้มกันมากขึ้น

    จะเห็นได้ว่าปีที่ผ่านมามีเครื่องดื่มมากหน้าหลายตาออกสู่ตลาดจนเต็มเชลฟ์ มีทั้งน้ำผสมวิตามิน หรือ Vitamin Water รวมถึงน้ำวิตามินซีแบบช็อต เรียกว่าเป็นเครื่องดื่มดาวรุ่ง เพราะหลายคนมองหาวิตามิน หรืออาหารเสริม เพื่อต้องการสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย

    ค่าย TCP เองก็ไม่ตกขบวนน้ำวิตามินซี ได้ออกแบรนด์ “ไฮ่!” ในปีที่แล้ว น้ำวิตามินซี 200% เมื่อไม่นานมานี้ได้ “อั้ม พัชราภา” เป็นพรีเซ็นเตอร์ด้วย

    แต่ด้วยการแข่งขันที่ดุเดือด ปัจจุบันมีผู้เล่นในตลาดมากกว่า 10 แบรนด์ แต่ละแบรนด์ต่างชูจุดเด่นเรื่องวิตามินซี 200% เหมือนกัน สร้างภูมิคุ้มกันเหมือนกัน มีรสชาติใกล้เคียงกัน ทำให้ TCP ต้องแก้เกมใหม่ ด้วยการหาจุดขายใหม่ที่แตกต่างจากพวก

    งานนี้จึงได้จับมือกับ DHC วิตามินในตำนานจากประเทศญี่ปุ่น เปิดตัวเป็น ไฮ่! x DHC ปรับสูตรใหม่โดยได้ผสมวิตามินจาก DHC เพิ่มเติม มีทั้งหมด 3 รสชาติ ได้แก่ มิกซ์เบอร์รี่ เลมอนเซโตซิ และส้มยูซุ

    เบื้องหลังของดีลนี้ ทาง TCP บอกว่าได้ปรึกษาแลพูดคุยกับทาง DHC เป็นเวลาพอสมควร ใช้เวลาร่วมปี ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค จนออกมาเป็นน้ำวิตามินซีร่วมกัน ในครั้งนี้ถือว่าเป็นการออกน้ำวิตามินซีแบบขวดครั้งแรกของโลกของ DHC เช่นเดียวกัน เป็นดีลแบบเอ็กซ์คลูซีฟ

    ประไพภักตร์ ไวเกิล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดโกลเบิล (F&B) กลุ่มธุรกิจ TCP กล่าวว่า

    “ในช่วงการระบาดของ COVID-19 ผู้บริโภคได้เปลี่ยนพฤติกรรมจากการดูแล และรักษาสุขภาพมาเป็นการป้องกันมากขึ้น การเป็นพันธมิตรกับ DHC แบรนด์อาหารเสริมอันดับหนึ่งที่ได้รับความเชื่อถือในระดับสากลจากประเทศญี่ปุ่นนี้ ทำให้เราสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพแก่ผู้บริโภคในราคาที่จับต้องได้ ไฮ่! X DHC จะช่วยผลักดันการเติบโตให้กับกลุ่มธุรกิจ TCP โดยเป็นหนึ่งในสามแบรนด์ที่ขายดีที่สุดในตลาดเซกเมนต์นี้ และเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 50% ในปีหน้า”

    DHC เป็นแบรนด์อาหารเสริมอันดับ 1 ในญี่ปุ่น ทำตลาดมา 20 ปี ปัจจุบันมียอดขาย 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้แบรนด์ค่อนข้างน่าเชื่อถือ มีฐานลูกค้ากว่า 15.47 ล้านคนในญี่ปุ่น มีดีลเลอร์มากกว่า 72,708 รายทั่วญี่ปุ่น

    สำหรับในประเทศไทยก็ถือว่ารู้จักแบรนด์ DHC เป็นอย่างดี ใครที่ได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่นก็ต้องมีหยิบ DHC ติดไม้ติดมือกลับบ้านมาทานเอง หรือเป็นของฝาก เพราะมีวิตามินที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทั้งชายหญิง และทุกช่วงวัย อีกทั้งยังราคาไม่แรงเท่าไหร่นัก

    คนไทยสนใจสร้างภูมิคุ้มกัน

    จากเทรนด์การดูแลสุขภาพของคนไทย ทำให้ตลาดฟังก์ชันนอลดริ้งก์มีการเติบโตเฉลี่ย 10% มาโดยตลอด เพียงแต่ในปีนี้คาดว่าจะลดลง 5% มีมูลค่า 8,600 ล้านบาท เนื่องจากมีการล็อกดาวน์นานกว่าปีที่แล้ว แต่คาดการณ์ว่าปีหน้าตลาดจะกลับมาเติบโต 9% หรือมีมูลค่า 9,330 ล้านบาท

    ทาง TCP ได้นำผลการศึกษาจากกันตาร์ พบว่ากลุ่มตัวอย่างทั่วโลกให้ความสำคัญในการเพิ่มภูมิคุ้มกัน 70% ส่วนในประเทศไทยให้ความสำคัญถึง 80% เรียกว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยในระดับโลก หรือ 4 ใน 5 คนมองหาโซลูชันที่จะเพิ่มภูมิคุ้มกันมากขึ้น

    เมื่อมาดูวิธีการการเพิ่มภูมิคุ้มกันของคนไทย ส่วนใหญ่จะเป็นการพักผ่อนให้เพียงพอ และรักษาสุขอนามัยให้มากขึ้น โดยสิง่ที่น่าสนใจคือคนไทยมองว่าการเข้าถึงสินค้าที่ดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพ ยังเป็นช่องว่างของเขาอยู่ พบว่า 96% ของคนไทยไม่มีเวลาดูแลสุขภาพมากพอ 47% ดูแลสุขภาพผ่านการกินอาหาร และเครื่องดื่มต่างๆ หาโซลูชันง่ายๆ ให้ตัวเอง

    กลายเป็นว่าการดื่มเครื่องดื่มวิตามิน น้ำวิตามินซี หรืออาหารเสริม จึงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์คนไทยในยุคนี้ หลายคนมองว่าสะดวก และเข้าถึงได้ง่าย จากผลสำรวจพบว่าคนไทยมีความถี่ในการดื่มเฉลี่ย 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือดื่มเกือบทุกวัน

    อีกหนึ่งความน่าสนใจก็คือ การออกไฮ่! x DHC ในครั้งนี้ จะไม่มีการใช้พรีเซ็นเตอร์เหมือนการเปิดตัวสินค้าในปีที่แล้ว ประไพภักตร์บอกว่า 2 แบรนด์นี้เป็นพระเอกอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีพรีเซ็นเตอร์ พร้อมกับตั้งเป้าจะมีส่วนแบ่งตลาดติด Top 3 ในตลาดให้ได้

    ]]>
    1362642
    เปิดสูตร “แมนซั่ม” ขอร่วมวง “วิตามิน วอเตอร์” มาช้าแต่ขอล้มยักษ์… https://positioningmag.com/1321376 Wed, 03 Mar 2021 16:41:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1321376 ดูท่าว่าตลาด “วิตามิน วอเตอร์” จะยังไม่เงียบเหงา เพราะยังผู้เล่นใหม่ที่ไม่ใช่แบรนด์ใหม่ลงมาจับตลาดอยู่ ค่าย TCP ส่ง “แมนซั่ม วิตามิน วอเตอร์” ลงมาท้าชิง งัดจุดเด่นที่ให้มากกว่าวิตามินด้วยเบต้า-กลูแคน อาจจะดูมาช้าไปนิด เพราะเทรนด์เริ่มไปทาง “กัญชง” กันพอสมควร

    น้ำวิตามินเฟ้อตลาด

    ต้องบอกว่าในปี 2563 ที่ผ่านมา ทิศทางของอาหาร และเครื่องดื่มก็ยังคงไปในเวย์ของดูแลสุขภาพอยู่ แต่การมาของไวรัส COVID-19 ยิ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาของเทรนด์นี้ให้เข้มข้นมากขึ้น จึงได้เห็นหลายแบรนด์ออกสินค้าที่บำรุงสุขภาพ เสริมภูมิคุ้นกันต่างๆ นานา

    โปรดักต์ฮีโร่ที่หลายคนให้ความสนใจเป็นพิเศษคือ “น้ำวิตามิน” หรือ “วิตามิน วอเตอร์” เรียกได้ว่ามีสปอตไลต์ฉายมาหลายดวง จากที่แต่เดิมในตลาดมีแค่ไม่กี่แบรนด์ จนในปี 2020 มีทั้งหมด 8 แบรนด์

    แน่นอนว่าความฮอตของสินค้า ได้ดันตลาดน้ำวิตามิน วอเตอร์เติบโต 10% มีมูลค่า 2,200 ล้านบาท และในปี 2021 คาดว่าจะเติบโตถึง 59% มีมูลค่า 3,500 ล้านบาท และแค่มกราคมเดือนเดียวก็สามารถเติบโตได้ถึง 76% เลยทีเดียว

    หากนับดูดีๆ หลายคนคงจะตกใจกับปริมาณของวิตามิน วอเตอร์ ที่พาเหรดกันลงตลาดนับไม่ถ้วน เริ่มต้นจากผู้บุกเบิกตลาดอย่าง ยันฮี วิตามินวอเตอร์ จากโรงพยาบาลยันฮี เริ่มทำตลาดตั้งแต่ปี 2557 ตอนนี้ก็ยังเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดจากนั้นก็มีหลายเจ้าตบเท้าเข้ามา ได้แก่

    • บลู จากค่าย ดาน่อน-เซ็ปเป้ เบฟเวอเรจส์
    • Good Mood จากค่ายเป๊ปซี่โค แต่หยุดทำตลาดเมื่อเดือนธันวาคม 2563
    • อิชิตัน วิตามิน วอเตอร์ ซี พลัส อี และน้ำด่าง pH Plus 8.5 จากค่ายอิชิตัน
    • Vitaday จากค่าย General Beverage
    • Aqua Vitz จากค่ายเจเล่
    • D.R.Drink
    • เพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์ จากค่ายสิงห์

    เมื่อเปิดศักราชใหม่ เราจึงได้เห็นวิตามิน วอเตอร์แบรนด์ที่ 9 ซึ่งไม่ใช่น้องใหม่ที่ไหน จากค่าย TCP หรือกระทิงแดงนั่นเอง ไม่พลาดที่จะร่วมวงนี้ด้วย ส่ง “แมนซั่ม วิตามิน วอเตอร์” ลงสู่สังเวียนตลาดเป็นที่เรียบร้อย ต้อนรับซัมเมอร์ไปในตัว

    กดสูตรแมนซั่ม มาช้าแต่ขอล้มยักษ์

    ถ้าพูดถึงค่าย TCP มีเครื่องดื่มหลายตัวที่เป็นตัวท็อปในตลาด ทั้งกระทิงแดง, สปอนเซอร์ และเพียวริคุ แต่แบรนด์หนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ “แมนซั่ม” ต้องบอกว่าแบรนด์นี้เป็นกรณีศึกษาในตลาดฟังก์ชันนอลดริ้งก์มาแล้ว เป็นแบรนด์ที่มาที่หลัง แต่สามารถล้มเบอร์ 1 ในตลาดได้

    ในยุคหนึ่งเป็นยุคที่ “ฟังก์ชันนอลดริ้งก์” ครองเมือง ไม่ต่างจากช่วงที่ “ชาเขียว” ครองเมืองเท่าไหร่ ในตอนนั้น “เซ็ปเป้” เป็นผู้บุกเบิกตลาดตั้งแต่ราวๆ ปี 2549 ในยุคนั้นเป็นอะไรที่ฮอตฮิตมาก เพราะเป็นเทรนด์ใหม่ที่ดื่มน้ำแล้วได้ประโยชน์เรื่องความสวย ผิวสวยต่างๆ นานา แบรนด์ใหญ่ๆ ก็พากันปั้นฟังก์ชันนอลดริ้งก์ลงตลาดเช่นกัน

    แต่แล้วจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อ “แมนซั่ม” ลงตลาดเมื่อปี 2555 เรียกว่าช้ากว่าแบรนด์อื่นไปหลายก้าว แต่ได้ชูความแตกต่างจากตลาดโดยสิ้นเชิง วางจุดยืนเป็นฟังก์ชันนอลดริ้งก์สำหรับ “ผู้ชาย” ชูส่วนผสมหลักคือ “ซิงค์” จริงๆ แล้วเซ็ปเป้ก็เคยออกสูตรสำหรับผู้ชาย แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก แต่แมนซั่มกลับทำได้

    ทำได้อย่างเดียวไม่พอ… ยังสามารถชิงส่วนแบ่งตลาด จนสามารถขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในตลาดได้ หลังจากเบียดๆ กันอยู่ไม่กี่ปี

    ในกรณีนี้แมนซั่มยังคงกดสูตรเดิม แม้จะลงตลาดช้ากว่าคนอื่น แต่ถ้าชูจุดต่างได้ ก็หวังชิงส่วนแบ่งได้เช่นกัน

    ครั้งนี้ TCP เลือกใช้แบรนด์แมนซั่มในการทำตลาด ก็เพราะเป็นแบรนด์ที่แข็งในกลุ่มฟังก์ชันนอลดริ้งก์ หรือเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ สามารถสร้างการรับรู้ได้เร็ว เช่นเดียวกันกับค่ายสิงห์ที่ส่ง “เพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์” เพราะการรับรู้ในแบรนด์เพอร์ร่าในแบรนด์น้ำแร่ จะดูเฮลท์ตี้มากกว่าแบรนด์น้ำดื่มสิงห์นั่นเอง

    “เรามีความเชี่ยวชาญในตลาดฟังก์ชันนอลดริ้งก์ และที่ผ่านมาแมนซั่มก็เป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคยอมรับ แม้จะเป็นเครื่องดื่มที่เน้นที่ผู้ชาย แต่ลูกค้ากลุ่มผู้หญิงก็มีสัดส่วนถึง 18% จึงทำให้เรามั่นใจและมีความพร้อมที่จะแตกไลน์สินค้าเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย” ประไพภักตร์ ไวเกิล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดโกลเบิล (F&B) กลุ่มธุรกิจ TCP กล่าว

    แผนล้มยักษ์ของแมนซั่ม เริ่มต้นจากการที่ขอส่วนแบ่งตลาดในปีแรกที่ 15% ขึ้น Top 3 ในตลาด โดยที่ผู้นำตลาดอย่างยันฮีฯ ครองเบอร์หนึ่งที่ส่วนแบ่ง 30% แน่นอนว่าแมนซั่มฯ หวังที่จะเคลมบัลลังก์นี้อย่างแน่นอน…

    สร้างความต่างที่มากกว่าวิตามิน

    จะสังเกตว่าในตลาดวิตามิน วอเตอร์ส่วนใหญ่ มีจุดตั้งต้นด้วยสูตรที่ไม่แตกต่างกันมากนัก ได้แก่สูตรวิตามิน B รวม และสูตรวิตามิน C เป็นวิตามินที่เหมาะกับร่างกาย และช่วยเสริมภูมิคุ้มกันต่างๆ เพียงแต่ว่าแต่ละเจ้าจะมีรสชาติที่แตกต่างกันออกไป แล้วแต่การปรุงรส

    จากการที่ได้ทดลองชิม หลายแบรนด์จะพยายามปรุงรสชาติให้ออกแนวสมุนไพรหน่อยๆ ใช้เก๊กฮวย หรือเฉาก๊วย เข้ามาเพื่อทำให้รสชาติกลมกล่อมขึ้น หรือจะเป็นรสชาติที่หลากหลายเหมือนของบลู และวิตอะเดย์ไปเลย

    โดยที่แมนซั่ม วิตามิน วอเตอร์ มี 2 สูตร Beta-Glucan ฝาแดง ผสมเบต้า-กลูแคน และ Multi-vitamin ฝาเขียว มีวิตามินบี 3, บี 6, บี 12 และซิงค์ มีการชูจุดเด่นที่ตัวส่วนผสมเบต้า-กลูแคน และรสชาติกลิ่นใบเตยและยังเอาซิงค์มาเป็นตัวชูโรงที่ยังขาดไม่ได้

    มาทีหลังก็ต้องเหนื่อยหน่อย งานนี้ได้ทุ่มงบการตลาดกว่า 150 ล้านบาท ดึงเอา “ไมค์ – พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล” เป็นพรีเซ็นเตอร์ ชูภาพลักษณ์คนรุ่นใหม่ สมาร์ท สุขภาพดี และรู้จักดูแลตัวเอง ยังคงเลือกผู้ชายเป็นพรีเซ็นเตอร์ตามคาแร็กเตอร์ของแบรนด์อยู่ แต่ก็สามารถสื่อสารกับสาวๆ ได้เช่นกัน

    ดันกลยุทธ์ 2 ราคา

    ในส่วนของราคาจำหน่ายจะมี 2 ขนาดด้วยกัน ได้แก่ ราคา 15 บาท ขนาด 475 มล. และ 17 บาท ขนาด 480 มล. ถ้าถามว่าต่างกันอย่างไร … ด้วยปริมาณต่างกันแค่ 5 มล. เท่านั้น

    คำตอบอยู่ที่ “ช่องทางจัดจำหน่าย” 15 บาท ขายตามร้านโชห่วย เพราะเน้นที่ราคาย่อมเยา เข้าถึงง่าย ไม่ต้องควักถึง 20 บาท ส่วน 17 บาท ขายตามโมเดิร์นเทรด ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ ด้วยช่องทางนี้กลุ่มลูกค้าจะมีกำลังซื้อ เลือกจำหน่ายในราคาสูงกว่าหน่อย และยังเป็นราคามาตรฐานที่แบรนด์อื่นก็ตรึงราคาที่ 17 บาทกันด้วย

    รวมถึงยังมีการดัน “การขายยกลัง” เพื่อไว้ดื่มที่บ้านหรือ Home Stocking เนื่องจากต้องการให้แมนซั่ม วิตามิน วอเตอร์เป็น “เครื่องดื่มประจำบ้าน” แทนที่น้ำเปล่า

    เทรนด์ ‘สุขภาพ’ ไม่ได้มาแล้วไป

    แม้ว่าปัจจุบันในตลาดวิตามิน วอเตอร์จะมีผู้เล่น 8 ราย แต่เชื่อว่าจะยังมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาอีก เพราะยังเห็นการเติบโตอีกมาก โดยมีการคาดการณ์ว่าในปี 2022 ตลาดจะติบโต 43% มีมูลค่า 5,000 ล้านบาท และหากเทียบวิตามิน วอเตอร์กับตลาดน้ำดื่มพบว่าคิดเป็นเพียง 10% เท่านั้น

    ขณะที่ต่างประเทศอย่าง ญี่ปุ่น, สิงคโปร์ และมาเลเซีย วิตามิน วอเตอร์มีสัดส่วนอยู่ที่ราว 40-50% ของตลาดน้ำดื่มเลยทีเดียว เชื่อว่าอนาคตผู้บริโภคเปลี่ยนจากน้ำดื่ม และน้ำแร่มาเป็นน้ำดื่มผสมวิตามิน

    “วิตามิน วอเตอร์เป็นทางเลือกที่ไปแทนที่น้ำเปล่าหรือน้ำแร่ในปัจจุบัน จะเห็นว่าตลาดน้ำติดลบ -5% เนื่องจากถูกวิตามิน วอเตอร์แย่งตลาด มองว่านี่ไม่ใช่กระแสที่มาแล้วไป เพราะการดูแลสุขภาพนั้นเป็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค ดังนั้น มั่นใจว่าเครื่องดื่มในแนวฟังก์ชันนอลยังสดใสไปอีกนาน”

    ปัจจุบันกลุ่ม TCP มีไลน์สินค้า 6 กลุ่ม รวม 9 แบรนด์ ได้แก่

    • เครื่องดื่มให้พลังงาน : กระทิงแดง, เรดดี้, โสมพลัส และวอริเออร์
    • เครื่องดื่มสปอร์ตดริ้งก์ : สปอนเซอร์
    • เครื่องดื่มฟังก์ชันนอลดริ้งก์ : แมนซั่ม, แมนซั่ม วิตามิน วอเตอร์ และไฮ่!
    • เครื่องดื่มชาพร้อมดื่ม : เพียวริคุ
    • เมล็ดทานตะวัน : ซันสแนค
    • กลุ่มหัวเชื้อเครื่องดื่ม : เรดบูลรสดั้งเดิม
    ]]>
    1321376
    PTTOR, กรุงศรี, TCP ลงขัน 3,000 ล้านบาทอัดฉีด ‘Flash Express’ บู๊ศึกโลจิสติกส์ https://positioningmag.com/1301107 Mon, 12 Oct 2020 08:37:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1301107 ถือเป็นม้ามืดที่ยิ่งน่าจับตาเข้าไปใหญ่สำหรับ ‘แฟลช เอ็กซ์เพรส’ (FLASH EXPRESS) ผู้เล่นน้องใหม่ในตลาดขนส่งที่ทำตลาดได้ 2 ปี ก็ขึ้นแท่น Top 3 ในตลาด และจากนี้จะยิ่งน่ากลัว เพราะแฟลชพึ่งได้เงินลงทุนใหม่ระดับ Series D ด้วยมูลค่ากว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 3,000 ล้านบาท

    สำหรับเงินลงทุนดังกล่าวมาจาก 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ของไทยที่ร่วมกันลงขัน ได้แก่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ PTTOR บริษัทลูกของ ปตท. ตามด้วยกรุงศรี ฟินโนเวต และสุดท้าย เดอเบล (Durbell) ซึ่งเป็นดิสทริบิวเตอร์ภายใต้เครือ TCP หรือเจ้าของแบรนด์กระทิงแดงนั่นเอง อย่างไรก็ตาม ไม่มีการเปิดเผยว่าแต่ละรายนั้นลงทุนคนละเท่าไร

    ด้าน คมสันต์ ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทแฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด ได้ระบุว่า การร่วมทุนครั้งนี้นั้นเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การขยายธุรกิจในกลุ่ม new s-curve ได้แก่ อุตสาหกรรมด้านพลังงานและโลจิสติกส์ ต่อยอดไปยังกลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค และธุรกิจการเงินเพื่อสร้างความแข็งแกร่งในตลาด อีกทั้งยังเป็นโอกาสการสร้างและขยายโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านแพลตฟอร์มทางการเงิน การนำระบบ e-Payment เข้ามาใช้ในระบบขนส่ง ให้เกิดเป็น อี-คอมเมิร์ซ แบบครบวงจรมากยิ่งขึ้น

    “จุดประสงค์หลักของการร่วมทุนในครั้งนี้ คือ การนำเอาศักยภาพ และจุดเด่นของแต่ละธุรกิจเข้ามาผสานรวมกันเพื่อพัฒนาโมเดลธุรกิจในรูปแบบต่าง ๆ ที่จะสามารถรองรับการขยายตัวของธุรกิจ E-commerce รวมถึงการพัฒนาระบบขนส่งในรูปแบบ Ecosystem ที่สามารถเชื่อมโยงกับ supply chain ได้อย่างครบวงจร ตลอดจนพัฒนาระบบขนส่งให้เข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมในภาคบริการอื่น ๆ ที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น”

    คมสันต์ ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทแฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด

    คมสันต์ กล่าวต่อว่า เงินระดมทุน Series D นั้นเป็นแค่ จุดเริ่มต้น เพราะหลังจากนี้ยังมีกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ ในไทยที่เตรียมประกาศความเป็นพันธมิตรร่วม โดยอยู่ในระหว่างขั้นตอนการเจรจา ซึ่งคาดว่าน่าจะมีความชัดเจนภายในช่วงไตรมาสแรกของปี 2021 ซึ่งจากนี้คงต้องรอดูยาว ๆ ว่าจะเป็นใครและจะได้เงินระดมทุนอีกเท่าไหร่ เพราะแฟลช เอ็กซ์เพรสเคยระบุว่าต้องการขยายตลาดให้ครบทั้ง 10 ประเทศอาเซียน ซึ่งต้องใช้งบลงทุน 30,000 – 40,000 ล้านบาท เพื่อเชื่อมโยงระบบขนส่งเป็นเครือข่ายเดียวกันในอาเซียน รองรับการเติบโตของตลาดอี-คอมเมิร์ซในภูมิภาค โดยภายในปีนี้บริษัทตั้งเป้าที่จะขยายให้ได้ 3 ประเทศ

    ทั้งนี้ ในช่วง 2 ปีที่ทำตลาดมาแฟลช เอ็กซ์เพรสได้ลงทุนในไทยแล้วเกือบ 10,000 ล้านบาท โดยมีศูนย์บริการกว่า 10,000 แห่ง รถขนส่งพัสดุกว่า 15,000 คัน และพนักงานกว่า 23,000 คน โดยในช่วงที่เกิดการระบาดของไวรัส COVID-19 ซึ่งส่งผลให้ตลาดอีคอมเมิร์ซเติบโตนั้น ก็ได้ส่งผลให้ช่วงครึ่งปีแรกแฟลช เอ็กซ์เพรสมีอัตราเติบโตถึง 3,000% โดยมียอดส่งพัสดุรวมกว่า 100 ล้านชิ้น โดยมียอดส่งพัสดุเฉลี่ยต่อวันมากกว่า 1 ล้านชิ้นและมีรายได้ต่อเดือนมากกว่า 1,000 ล้านบาท

    เรียกได้ว่าตลาด ‘ขนส่ง’ ของไทยนับวันยิ่งดุเดือด โดยเฉพาะฝั่งของเอกชนที่เราจะได้เห็นผู้เล่นผู้เล่นหน้าใหม่ ๆ ต่างตบเท้าเข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง แถมเเต่ละรายทุนยังหนาปึก อาทิ ‘เบสท์ เอ็กซ์เพรส’ (BEST Express) ที่มี ‘แจ็ค หม่า’ แห่ง ‘อาลีบาบา’ หนุนหลัง ดังนั้นสิ่งที่เกิดคือ สงครามราคา แต่ไม่ว่าสงครามนี้จะจบอย่างไร ผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ก็มีเเต่ได้กับได้ ทั้งค่าส่งที่ ถูกลง และระยะเวลาส่งพัสดุที่ เร็วขึ้น

    ]]>
    1301107
    เปิดใจ ‘พีท ทสร’ เจ้าของคลิป ‘ขอบคุณลูกค้าที่ยกเลิกงาน’ การปรับตัวของครีเอทีฟในยุค COVID-19 https://positioningmag.com/1281072 Thu, 28 May 2020 18:08:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1281072 เรียกได้ว่าเป็นกระแสฮือฮาอย่างมากสำหรับคลิปวิดีโอ ‘ขอบคุณ’ ของ พีท – ทสร บุณยเนตร Executive Creative Director จาก Wunderman Thompson Thailand ผู้เคยคว้ารางวัล GOLD จาก CANNES LIONS ที่เขาได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เขาถูก ยกเลิกงานโฆษณาที่ใหญ่ที่สุดและเหนื่อยที่สุดกว่า 6 เดือน ของเขา เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 อะไรทำให้พีทเลือกที่จะทำคลิปออกมา รวมถึงมุมมองของวงการเอเยนซี่โฆษณาหลังจบวิกฤติ COVID-19 จะเป็นอย่างไร คุณพีทจะมาไขข้อข้องใจให้ได้รู้กัน

    ทำเพราะมองเป็นพาร์ตเนอร์ ไม่ใช่ลูกค้า

    TCP เป็นลูกค้าเรามานานกว่า 3 ปี เราเคยทำแคมเปญกับเขาเยอะมาก โดยปีที่ผ่านมาเรามีทำแคมเปญแบรนดิ้งให้กับ TCP ซึ่งการทำงานมันมีหลายเลเยอร์ มีหลายขั้นตอน จนทำมาทุกขั้นตอนแล้ว ทุกอย่างผ่านหมด เหลือแค่ถ่ายหนัง แต่เพราะ COVID-19 เลยทำให้งาน Cancel เลย แต่เราก็เข้าใจนะ เพราะไม่ใช่ทุกแบรนด์ที่จะอยู่ได้ในช่วงนี้

    แต่ที่เราเลือกทำคลิปนี้ เพราะเราไม่ได้มองว่า TCP เป็นลูกค้า แต่มองว่าเป็นพาร์ตเนอร์ พร้อมที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อย่างตอนที่เขา Cancel เราก็ไปขออนุญาตทาง TCP เพื่อขอทำคลิป ตอนที่ผมขออนุญาตลูกค้า ผมร้องไห้เลย เพราะผมอึดอัดจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่พอคลิปออกมา กลับ Affective เกินคาด มียอดแชร์กว่า 1.5 หมื่นครั้ง ยอดไลก์กว่า 3.4 หมื่นครั้ง และมากกว่านั้นคือ ช่วยให้คนเข้าใจแบรนด์ ช่วยให้คนจำชื่อแบรนด์ได้

    “ถ้าฝั่งเอเจนซี่และลูกค้าไม่ได้มองว่าเป็นธุรกิจ แต่มองเป็นพาร์ตเนอร์ งานที่ออกมามันจะเปรี้ยงเลย ยิ่งการช่วยกันในช่วงนี้มันมีคุณค่ามาก มากกว่าคนรู้จัก ดังนั้นพอเกิดวิกฤติเราอย่ามองว่าเขาเป็นลูกค้า ให้มองเขาเป็นพาร์ตเนอร์”

    ไม่มีงาน ต้องปรับตัวยังไงบ้าง

    เราก็ทำงานปกติทั่วไปเยอะอยู่แล้ว และในการทำงานแต่ละครั้งก็ต้องคำนึงถึงคุณภาพงาน ว่าไปถึงระดับโลกได้ไหม สามารถคว้ารางวัลอะไรได้หรือเปล่า แต่พอเริ่มมีวิกฤติ COVID-19 เราก็เริ่มเห็นสัญญาณ ทั้งงานเลื่อนบ้าง โดน Cancel Project บ้าง และหลังจากนั้นไม่นานก็ต้องปรับรูปแบบมา Work from Home กองที่ออกก็ไม่ได้ออก จากที่เคยทำแต่ฝั่ง Creative แต่พองานไม่มีเราก็ต้อง ปรับจากการเป็นผู้รอเป็นฝั่งไปหา ถ้าไม่ได้โจทย์จากลูกค้า เราก็ต้องเสนองานให้ลูกค้าแทน ดังนั้นมันก็เลยจะเยอะคนละแบบ และหลังจากทำคลิปไป ปรากฏว่ามีลูกค้าเข้ามาติดต่อใหม่ 4 แบรนด์

    วิธีการทำงานเปลี่ยนไปแค่ไหน

    วิกฤตินี้ไม่ใช่แค่ปรับตัวทำงาน แต่เป็นการปรับตัวในการใช้ชีวิต สำหรับผมมันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดยมี 2 พอยต์หลัก ๆ 1.New Normal Advertising คือ จากเดิมที่ต้องทำงานแบบเจอหน้ากัน เราไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะสามารถทำงานแบบไม่เจอหน้ากันได้ แต่วิกฤตินี้ก็เป็นข้อพิสูจน์ว่ามันทำได้ โดยที่ยังคงคุณภาพของงาน ส่วนหนึ่งมองว่าเป็นเพราะความสบายใจ ได้อยู่ในคอมฟอร์ตโซน เรามีการคุยกับลูกค้าผ่าน Zoom เราเรียนรู้ว่าออกกองไปถ่ายหนังไม่ได้ ก็เปลี่ยนมาไลฟ์สตรีม หรือไม่ก็ทำหนังแบบที่ไม่ต้องมีใครแบบคลิปที่เราออกมา วิกฤตินี้ทำให้เราสามารถปรับตัวให้เข้ากับมันได้

    2.New Normal Family Time คือ ในวงการเอเจนซี่จะเป็นที่รู้กันว่าไม่ค่อยมีเวลาให้กับที่บ้าน บางทีวันหยุดก็ไม่ได้หยุด แต่ช่วงล็อกดาวน์เราต้องปรับตัวเป็น Family Person ต้องอยู่กับแม่ทั้งวัน อยู่กับภรรยาทั้งวัน ดังนั้นมันเป็นเหมือนปิดเทอมใหญ่มีการบ้านและมีกักบริเวณด้วย ซึ่งนี่ไม่ใช่โรคแรกที่ระบาด แต่ก่อนหน้านี้ก็มีโรคซาส์ และอื่น ๆ ดังนั้นมันแสดงให้เห็นว่า เราต้องปรับตัวจริง ๆ เราต้องเรียนรู้ว่าจะอยู่กับมันยังไง และจะใช้ประโยชน์จากมันยังไง

    บางแบรนด์บอกครีเอทีฟช่วง COVID-19 ไม่จำเป็น ขอแค่ขายได้

    ผมว่าไม่ว่าธุรกิจไหนก็ตาม หรือการขายของอะไรก็ตาม ถ้าไม่มี Creativity ผมไม่เชื่อ เพราะถ้าทุกคนขายของเหมือนกัน ในราคาเท่ากัน ถ้าไม่มี Creativity จะเอาอะไรมาแตกต่าง เอาอะไรมาโดนใจลูกค้า ยิ่งมีเรื่อง COVID-19 ยิ่งรู้เลยว่า Creativity สำคัญกับโลกขนาดไหน  เพราะลดราคาแล้วคนซื้อ ยังเข้าใจได้ แต่ถ้าทุกอย่างเหมือนกันเราก็ต้องแตกต่าง อย่างการบินไทยออกแคมเปญให้คนอยู่บ้านเพื่อสะสมไมล์ จากเดิมที่ต้องบินเพื่อให้ได้ไมล์ ซึ่งนี่คือตัวอย่างที่แสดงว่า Creativity มันสำคัญขนาดไหนในช่วง COVID-19

    COVID-19 ทำให้เกิด New Normal Advertising Career Path

    ที่ผ่านมาคนอยู่บ้านคนดูทีวีมากขึ้น ดังนั้นความต้องการโฆษณาก็จะมากขึ้น และยิ่งตอนนี้เริ่มคคลายล็อกดาวน์ เริ่มออกกองได้แม้จะจำกัดที่ 50 คนก็ตาม แต่ลูกค้าเริ่มกลับมาแล้ว แต่พวกรายการทีวีอาจต้องมีการปรับตัว จากที่มีคนในสตูเยอะ แต่จากนี้ไม่อยากให้คนเยอะแล้ว ดังนั้นตอนนี้เอเจนซี่ก็ต้องเริ่มรู้สึกว่าต้องมีแต่คนที่ ‘จำเป็น’ อยู่ในกอง ซึ่งสิ่งที่น่าสงสารคือ เด็กฝึกงานที่อาจจะไม่ได้อยู่ เพราะตอนนี้การใช้คนมันสเกลดาวน์เลย

    ในตลาดเอเจนซี่ตอนนี้เราก็เห็นใจทุกคน เมื่อก่อนอาจต้องแข่งกันระหว่างเอเจนซี่ แต่ตอนนี้ต้องแข่งกับตัวเองให้อยู่รอด และจากนี้ทุกอย่างคงไม่เหมือนเดิม เพราะว่าบริษัทเรียนรู้และปรับตัว การทำงานก็ไม่ต้องจำเป็นต้องใช้คนมากเหมือนก่อน ดังนั้นจากนี้ต้องเป็น ‘เป็ด’ จะเก่งอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องรู้จักที่จะปรับตัวมากขึ้นจริง ๆ ดังนั้นต่อไปไม่ใช่แค่เด็กจบใหม่ แต่ในแต่ละองค์กรจะต้อง เหลือแต่คนเก่ง การมีคนเยอะอาจไม่จำเป็น ดังนั้น คนเก่าจะต้องถีบตัวเอง ซึ่งมันเป็นเรื่องดี คุณต้องพิสูจน์ตัวเองว่าคุณมีความสามารถพอที่จะยืนอยู่ตรงจุดนี้

    ]]>
    1281072
    เฉลยแล้ว! “สปอนเซอร์” ดึง “เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค” นักเตะลิเวอร์พูลนั่งแท่นแบรนด์แอมบาสเดอร์ https://positioningmag.com/1266283 Fri, 28 Feb 2020 08:59:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1266283 สปอนเซอร์ สร้างปรากฏการณ์ใหม่ ครั้งแรกในไทยกับการดึงสุดยอดนักฟุตบอลระดับโลก “เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค” เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ 

    หลังจากที่มีปริศนากันมาหลายวัน เมื่อ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค นักเตะกองหลังจากสโมสรลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้โพสท์อินสตาแกรมด้วยภาษาไทยว่า “สวัสดี” อีกทั้งยังโผล่ในสื่อโฆษณาที่รถโดยสารประจำทาง แต่ยังไม่มีการฟันธงจากแบรนด์ว่าเป็นการร่วมงานในฐานะอะไร

     

    ล่าสุดได้มีการคอนเฟิร์มแล้วว่า “สปอนเซอร์” เครื่องดื่มเกลือแร่ในเครือกลุ่มธุรกิจ TCP ได้ลงทุนคว้านักเตะดาวเด่นของโลก “เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค” ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับโลกของสปอนเซอร์ เพื่อต้องการชูภาพลักษณ์ “เครื่องดื่มเกลือแร่ของนักกีฬาระดับโลก” พร้อมสโลแกน “สดชื่นทุกความท้าทายระดับโลก”

    ศุภชัย จุนเกียรติ ผู้อำนวยการสายงานการตลาดโกลเบิล กลุ่มธุรกิจ TCP กล่าวว่า

    “ปัจจุบัน ตลาดสปอร์ตดริ้งค์ในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 5,500 ล้านบาท มีการเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 8% ซึ่งสปอนเซอร์สามารถครองส่วนแบ่งตลาดได้มากถึง 90% ผนวกกับกลยุทธ์การใช้นักกีฬาชั้นนำของประเทศไทยมาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์โดยตลอด สำหรับในปีนี้เราต้องการยกภาพให้เป็นแบรนด์เครื่องดื่มเกลือแร่ที่นักกีฬาระดับโลกดื่ม จึงได้ร่วมงานกับเวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค”

    ก่อนหน้านี้สปอนเซอร์ได้เดินเกม Sport Marketing มาโดยตลอด ในปี 2015 ได้เลือกนักฟุตบอลทีมชาติ 5 คน นำโดย “แมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสิทธิ์ , อดิศักดิ์ ไกรษร, กวิน ธรรมสัจจานันท์ , เกริฤทธิ์ ทวีกาญจน์ และสารัช อยู่เย็นพร้อมกับ “โค้ชซิโก้” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ตอบรับกับกระแส “บอลไทยฟีเวอร์” ในช่วงนั้น

    ]]>
    1266283
    ภารกิจรีเฟรชแบรนด์ “สปอนเซอร์ แอคทีฟ” ขยายฐานคนรุ่นใหม่ ลบภาพเครื่องดื่มนักกีฬา https://positioningmag.com/1249009 Mon, 07 Oct 2019 13:26:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1249009 TCP หรือกลุ่มกระทิงแดงได้รีเฟรชแบรนด์สปอนเซอร์ แอคทีฟ ปรับรสชาติใหม่ เปลี่ยนฉลาก พร้อมเปิดตัว “เก้า สุภัสสรา” เป็นพรีเซ็นเตอร์ผู้หญิงคนแรก หวังขยายฐานไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่มีไลฟ์สไตล์แอคทีฟ 

    แม้เป็นเจ้าตลาด แต่ก็ต้องขยายตลาด

    ตลาดเครื่องดื่มเกลือแร่ หรือสปอร์ตดริ้งค์ขึ้นชื่อว่าเป็นตลาดที่หินพอสมควร เพราะมีผู้เล่นรายใหญ่อย่าง “สปอนเซอร์” จากค่าย TCP หรือกระทิงแดง ได้ครองส่วนแบ่งการตลาดไปแล้วกว่า 90% เพราะได้ทำตลาดมานานกว่า 30 ปี ยากที่จะมีแบรนด์ไหนมาโค่นลงไปได้

    แต่ตลอดเครื่องดื่มเกลือแร่ก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี แม้ไม่ได้หวือหวามากนัก ในปัจจุบันมีมูลค่า 5,000 ล้านบาท เติบโต 15% เพราะด้วยเทรนด์ของคนออกกำลังกายมากขึ้น มีไลฟ์สไตล์อยู่นอกบ้านมากขึ้น อีกทั้งเมืองไทยเป็นเมืองร้อน ผู้บริโภคต้องการเครื่องดื่มที่เติมความสดชื่นแก่ร่างกาย

    สปอนเซอร์ได้มีสินค้าแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ สปอนเซอร์ ออริจินัล หรือที่เรียกกันคุ้นเคยว่าสปอนเซอร์สีเหลือง เป็นรสดั้งเดิม และสปอนเซอร์ แอคทีฟ เป็นสปอนเซอร์รสชาติใหม่ๆ เป็นเหมือนซับแบรนด์ที่มีการปรับชื่อมาหลายครั้ง จนล่าสุดได้ลงเอยที่ชื่อสปอนเซอร์ แอคทีฟ

    สำหรับการทำการตลาดของทั้ง 2 กลุ่มก็มีความแตกต่างกัน สปอนเซอร์ ออริจินัลจะเน้นที่กลุ่มคนออกกำลังกาย นักกีฬาเป็นหลัก มีพรีเซ็นเตอร์เป็นนักฟุตบอลทีมชาติไทย ด้วยการกำหนดจุดยืนมาตั้งแต่แรกทำให้ยากที่จะปรับภาพลักษณ์ใหม่

    ทำให้โจทย์ใหญ่ของสปอนเซอร์คือการมีสินค้าใหม่ เปิดแบรนด์ใหม่ที่จับกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ถึงแม้ว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดที่เกือบกินทัง้ตลาดไปแล้ว แต่สวปอนเซอร์ยังคงขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง

    ปรับภาพลักษณ์ ไม่ได้สำหรับคนออกกำลังกายเท่านั้น

    หน้าที่ของการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ จึงเป็นหน้าที่ของแบรนด์สปอนเซอร์ แอคทีฟ โดยล่าสุดได้ทำการรีเฟรชแบรนด์ใหม่ มี 3 ราติ 3 สูตรด้วยกัน ได้แก่ สีเขียว สีแดง และสีฟ้า พร้อมปรับฉลากใหม่ ปรับสูตรให้น้ำตาลน้อยลง

    และได้ดึงเก้า สุภัสสรา ธนชาตเป็นพรีเซ็นเตอร์สาวคนแรกของแบรนด์ เพราะก่อนหน้านี้มีการใช้พรีเซ็นเตอร์ผู้ชายมาโดยตลอด และเก้าเองก็มีคาแร็กเตอร์ตรงกับแบรนด์ หวังใช้พูดคุยกับคนรุ่นใหม่

    ศุภชัย จุนเกียรติ ผู้อำนวยการสายงานการตลาดโกลเบิล กลุ่มธุรกิจ TCP

    ศุภชัย จุนเกียรติ ผู้อำนวยการสายงานการตลาดโกลเบิล กลุ่มธุรกิจ TCP เล่าว่า

    ครั้งนี้เป็นการรีลอนซ์แบรนด์สปอนเซอร์ แอคทีฟครั้งใหญ่ที่สุด มีการปรับสูตร ปรับฉลาก ปรับวิธีการสื่อสารใหม่ เพราะเห็นช่องว่างที่ผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ยังเข้าไม่ถึงสปอร์ตดริ้งค์ จริงๆ ไม่ได้แค่คนออกกำลังกาย แต่ยังเป็นคนทำงาน มีไลฟ์สไตล์แอคทีฟต่างๆ และต้องการปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัยมากขึ้นด้วย

    ศุภชัยยังเสริมอีกว่า ในอดีตเครื่องดื่มเกลือแร่ หรือสปอร์ตดริ้งค์มีการโฆษณาเน้นเรื่องการออกกำลังกายเป็นส่วนใหญ่ จึงทำการวิจัยว่าทำอย่างไรให้เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น มีการปรับสูตรให้น้ำตาลน้อยลง เพราะคนรุ่นใหม่กังวลเรื่องน้ำตาล และดึงเก้าเป็นพรีเซ็นเตอร์เพราะต้องการให้หลุดกรอบจากนักกีฬา

    ทำไมเครื่องดื่มเกลือแร่ต้องอยู่ในขวดแก้ว?

    อีกหนึ่ง Pain Point ใหญ่ของเครื่องดื่มเกลือแร่ที่ทำให้เป็นกำแพงกับคนรุ่นใหม่ก็คือ แพ็กเกจจิ้งขวดแก้ว จะเห็นว่าหลายๆ แบรนด์เลือกใช้แพ็กเกจจิ้งนี้ในตลาดแต่คนรุ่นใหม่นิยมพกพาขวดพลาสติกหรือกระป๋องเสียมากกว่าเพราะสะดวกและดูทันสมัยกว่า

    แต่ทางศุภชัยบอกว่าขวดแก้วยังคงเป็นแพ็กเกจจิ้งสำคัญในตลาดเครื่องดื่มเกลือแร่ เพราะขวดแก้วทำให้คงวิตามินของเครื่องดื่มได้ดี แม้จะมีข้อจำกัดในการเข้าถึงผู้บริโภค แต่ก็ไม่เปลี่ยนใจไปแพ็กเกจจิ้งอื่น เพียงแต่เพิ่มทางเลือกด้วยแพ็กเกจจิ้งแบบกระป๋องเข้ามาให้คนรุ่นใหม่เท่านั้นเอง.

    ]]>
    1249009
    ยกเครื่ององค์กรรอบ 60 ปี TCP ผุดหน่วยงาน “อีบิสสิเนส-ศูนย์บ่มเพาะ” ปั้นคนรุ่นใหม่ https://positioningmag.com/1243437 Thu, 22 Aug 2019 07:55:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1243437 ในยุคที่ทุกอย่างในโลกกำลังถูก Disrupt ทุกคนต้องปรับตัว TCP องค์กรอายุกว่า 60 ปี เริ่มทศวรรษแรกในปี 2499 ก็ต้องปรับสู่การทำงานบนแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนธุรกิจ 5 ปี เพื่อพัฒนาบุคลากรทุกระดับชั้นให้รองรับเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

    ภายใต้เป้าหมายสร้างยอดขายกลุ่ม TCP เติบโต 3 เท่าเป็น 100,000 ล้านบาท ก้าวไปสู่การเป็นบริษัทข้ามชาติ (Multinational Company) ของคนไทยอย่างแท้จริง

    ประกรรษ์ จันทร์ทอง ผู้อำนวยการสายงานทรัพยากรบุคคลและธุรการ กลุ่มธุรกิจ TCP กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจ TCP เป็นองค์กรใหญ่ที่มีคนหลากหลายเจน คนทำงานกว่า 5,000 คน มีคนรุ่นใหม่ราว 10% มีเป้าหมายจะเพิ่มเป็น 20% อัตราการเข้าออกของพนักงานเฉลี่ย 12 – 15% ทำให้การหลอมรวมให้คนที่มากประสบการณ์กับคนรุ่นใหม่มีความคิดและการกระทำที่คล้ายกันถือเป็นความท้าทาย

    เราจึงได้ออกแบบการทำงานใหม่ ภายใต้แนวคิด 3C ให้พนักงานทุกคนได้ก้าวข้ามเฟรมเวิร์กเดิมสู่นวัตกรรมใหม่

    ชูแนวคิด 3C ปรับโฉมการทำงาน

    C1 เปลี่ยนรูปแบบสำนักงานใหม่ เน้นสร้างนวัตกรรม ลงทุน 740 ล้านบาท สร้างสำนักงานใหญ่แห่งใหม่รองรับพนักงานใหม่ได้ 250 คน สร้างติดกับสำนักงานปัจจุบัน เนื้อที่ราว 6 ไร่ สูง 4 ชั้น เริ่มก่อสร้างปี 2562 คาดว่าแล้วเสร็จปี 2564

    ส่วนสำนักงานปัจจุบันจะปรับปรุงใหม่ กับแนวคิด Open Office พื้นที่ทำงานจึงเปิดโล่ง พร้อมจัดสรรพื้นที่กว่า 30% เป็นพื้นที่ส่วนกลางระหว่างแผนกเพื่อใช้เป็นที่พบปะ แลกเปลี่ยนความคิด ติดตั้งระบบเทคโนโลยีอันทันสมัย เชื่อมต่อการทำงานกับอุปกรณ์ของพนักงานทั้งในสำนักงานใหญ่ สาขาในต่างจังหวัด และสาขาต่างประเทศมี 2 ที่ คือ เวียดนาม กับพม่า

    C2 เปลี่ยนรูปแบบการทำงานใหม่ จะเปิดโอกาสให้พนักงานมี Virtual Office ที่เป็นเสมือนสำนักงานเคลื่อนที่ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเข้ามาที่สำนักงาน พนักงานอาจจะทำงานที่บ้าน หรือที่ co-working space นำแนวคิดการทำงาน agile และ scrum มาใช้ทำแบบ cross functional และ cross generation

    C3 เปลี่ยนเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น ทั้ง Internet of Things, Virtual Reality, AI, Cloud Computing หรือเทคโนโลยีหุ่นยนต์ ล้วนมีศักยภาพในการเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจ จึงลงทุน 560 ล้านบาท นำเทคโนโลยีเข้ามาเสริมการทำงานให้กับทีม ทั้ง virtual office และ AI Chatbot การจัดตั้งทีมงาน Incubator ที่สนับสนุนให้พนักงานได้เรียนรู้ ทดลอง และทดสอบไอเดียใหม่ๆ หรือ

    “ผลิตภัณฑ์หรือบริการต้นแบบ” (Prototype) ที่จะนำไปสู่การคิดค้นผลิตภัณฑ์ ซึ่งขณะนี้มีการคิดค้นและนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ บ้างแล้ว

    “เราได้ตั้งหน่วยงานใหม่ 2 หน่วย คือ อีบิสสิเนส เน้นการทำตลาดออนไลน์ และหน่วยอินคิวเบเตอร์ เพื่อเป็นศูนย์บ่มเพาะคิดค้นสิ่งใหม่ๆ ซึ่งจะมีเงินเดือนตามปกติแล้วจะมีผลตอบแทนอีกต่างหากเมื่อสำเร็จ ลงทุนอีก 80 ล้านบาท ฝึกอบรม ช่วยเหลือ และเพิ่มพูนความรู้ให้แก่ทีมงาน จะไม่มีการปลดพนักงาน รวมถึงเปิดรับคนดี คนเก่ง คนรุ่นใหม่ เพิ่มขึ้น”

    การปรับโฉมองค์กรเพื่อให้การทำงานอยู่บนดิจิทัลแพลตฟอร์มที่สมบูรณ์ จะแล้วเสร็จภายในปี 2565 ซึ่งจะช่วยเสริมรากฐานขององค์กรให้แข็งแกร่ง สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่องค์กร และผลักดันให้ TCP ก้าวไปสู่การเป็นบริษัทข้ามชาติ.

    Source

    ]]>
    1243437