Tesla – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 01 May 2024 08:09:05 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘เทสลา’ สั่งยุบแผนก ‘Supercharger’ พร้อมลอยแพทีม 500 คน หลังกำไรไตรมาสแรกลดเหลือครึ่งเดียว https://positioningmag.com/1471739 Wed, 01 May 2024 06:58:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471739 เพราะการแข่งขันในตลาดที่ทวีความรุนแรง ทำให้ เทสลา (Tesa) ทำทุกวิถีทางเพื่อลดต้นทุนบริษัทให้ได้มากที่สุด และหนึ่งในนั้นก็คือ การลดจำนวนพนักงาน โดยล่าสุด บริษัทได้ปิดแผนก Supercharger และ แผนกนโยบายสาธารณะ

มีการเปิดเผยว่า อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ได้ส่งอีเมลถึงผู้จัดการเทสลา เพื่อประกาศการลาออกของ 2 ผู้บริหารหลัก ได้แก่ รีเบคก้า ตินุค (Rebecca Tinucci) ผู้อำนวยการอาวุโสของฝ่ายอีวีชาร์จจิง และ ดาเนียล โฮ (Daniel Ho) ผู้อำนวยการฝ่ายโครงการยานพาหนะ 

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ยุบแผนก Supercharger ซึ่งส่งผลกระทบต่อพนักงานประมาณ 500 คนในทีม และพนักงานอื่น ๆ ที่ทำงานตรงกับโฮจะต้องถูกให้ออกด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ บริษัทยังยุบทีมนโยบายสาธารณะอีกด้วย ซึ่งแหล่งข่าวพนักงานปัจจุบันและอดีตได้เปิดเผยกับ CNBC ว่า เทสลาเริ่มเลิกจ้างพนักงานบางส่วนตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมกราคม และเริ่มเลิกจ้างมากขึ้นในเดือนนี้

สำหรับการเลิกจ้างงานที่กําลังดําเนินอยู่ ถือเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการลดต้นทุนครั้งใหญ่ หลังจากที่รายได้บริษัท Q1/2024 ลดลง 9% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับปีนับตั้งแต่ปี 2012 ขณะที่ กำไรลดลงถึงครึ่งหนึ่ง เนื่องจากเทสลาลดราคารถยนต์และออกมาตรการเพื่อกระตุ้นความต้องการ

โดยหลังจากที่มีข่าวว่าเทสลาปรับลดพนักงานในครั้งนี้ ส่งผลให้หุ้นเทสลาร่วงลงเกือบ 6%  และนับตั้งแต่ต้นปี มูลค่าหุ้นของเทสลาลดลงถึง 26% จนถึงปัจจุบัน

Source

]]>
1471739
ตามคาด! “Tesla” กำไร Q1/2024 หดตัว “เกินครึ่ง” หลังผ่านศึกจีนตีตลาด – ดีมานด์ “รถอีวี” ซบเซา https://positioningmag.com/1470853 Wed, 24 Apr 2024 03:57:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470853 “Tesla” รายงานกำไรไตรมาส 1 ปี 2024 หดตัว “เกินครึ่ง” จากปีก่อน เป็นไปตามคาดการณ์หลังถูก “รถอีวี” แบรนด์จีนตีตลาดด้วยราคาถูกกว่า บวกกับดีมานด์ที่เริ่มอ่อนตัวลง โดยบริษัทกำลังปรับตัวลดต้นทุนด้วยการ “เลย์ออฟ” พนักงาน และเตรียมโต้ศึกด้วยโมเดลรถยนต์รุ่นใหม่

Tesla รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2024 ทำกำไรสุทธิ 1,130 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่าตกลงเกินครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปี 2023 ที่เคยทำกำไรถึง 2,510 ล้านเหรียญสหรัฐ ผลจากการแข่งขันกับรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์จีนที่ทำราคาได้ถูกกว่า ผลกำไรที่ตกลงตามคาดนี้ทำให้ราคาหุ้น Tesla ตกลงมาแล้ว 43% ตั้งแต่เข้าปี 2024

ขณะที่รายได้ไตรมาสแรกปีนี้เองก็ตกลงเล็กน้อย โดยบริษัททำรายได้ได้ 21,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ตกลงจากไตรมาสแรกปีก่อนที่เคยทำได้ 22,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

ภาพจาก Shutterstock

ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวมากมายเกี่ยวกับการปรับตัวของ Tesla กับสงครามรถอีวีจีน ทั้งการลดต้นทุนที่บริษัทเตรียมจะเลย์ออฟพนักงาน 10% ของจำนวนพนักงานทั่วโลกที่มีอยู่ 140,000 คน และคาดว่าจะออกโมเดลรถรุ่นใหม่ภายในไตรมาส 2 ปี 2025 แต่ยังไม่แน่ชัดว่าบริษัทจะออกโมเดลรถในกลุ่มราคาไหน แม้จะมีข่าวสะพัดว่า Tesla อาจจะออกรถรุ่น ‘Model 2’ ที่เป็นรถรุ่นราคาถูกกว่าเพื่อสู้ศึกกับแบรนด์จีน ดึงลูกค้าหน้าใหม่ และดึงดูดใจในตลาดรถอีวีที่ดีมานด์กำลังตกลง

“ยอดขายในตลาดรถอีวีอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างต่อเนื่อง หลังจากผู้ผลิตรถยนต์หลายเจ้าหันไปเน้นการผลิตและขายรถยนต์ไฮบริดมากกว่าอีวี” Tesla แถลงเพื่อตอกย้ำว่าสถานการณ์ของบริษัทไม่ได้แปลกแตกต่างจากตลาดรวม

 

เลย์ออฟตามแผน

ตามแผนที่ Tesla แจ้งไว้ว่าจะมีการปลดพนักงานออก 10% ของจำนวนพนักงานทั่วโลก บริษัทเริ่มประกาศการเลย์ออฟแล้ว 3,332 ตำแหน่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย และ 2,688 ตำแหน่งในโรงงาน ‘gigafactory’ ของบริษัทที่รัฐเท็กซัส โดยจะเริ่มปลดจริงตั้งแต่เดือนมิถุนายนนี้ รวมถึงจะมีการปลดพนักงาน 285 ตำแหน่งในนิวยอร์กด้วย

ท่ามกลางข่าวการปลดพนักงาน Tesla มีประเด็นเดือดอีกอย่างหนึ่งคือ “ค่าตอบแทน” ที่ให้แก่ “อีลอน มัสก์” นายใหญ่ของบริษัท เพราะบริษัทเคยมีการตั้งแพ็กเกจค่าตอบแทนให้มัสก์เป็นมูลค่าสูงถึง 56,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2.06 ล้านล้านบาท) ซึ่งแพ็กเกจค่าตอบแทนนี้ถูกผู้พิพากษารัฐเดลาแวร์ปฏิเสธไป เพราะถือว่าเป็นการละเลยต่อหน้าที่ที่จะต้องดูแลผลประโยชน์ให้กับบริษัทก่อน

ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ก่อน Tesla นำแพ็กเกจค่าตอบแทนนี้กลับมาให้คณะกรรมการบริษัทพิจารณาใหม่ แม้ว่าแพ็กเกจที่อิงตามราคาหุ้นนี้จะทำให้มูลค่าค่าตอบแทนจะลดลงไปเหลือประมาณ 46,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.69 ล้านล้านบาท) แล้วก็ตาม แต่มูลค่าดังกล่าวก็ยังสูงเสียจนมากกว่ามูลค่าจีดีพีของหลายประเทศในโลกด้วยซ้ำ

นอกจากจะปัดฝุ่นเรื่องค่าตอบแทนขึ้นมาในช่วงนี้แล้ว อีลอน มัสก์ ยังเสนอให้บอร์ดโหวตรับรองเพื่อย้ายที่ทำการบริษัทจากรัฐเดลาแวร์ไปรัฐเท็กซัสแทนด้วย ซึ่งไอเดียนี้เกิดขึ้นมาหลังจากผู้พิพากษาแห่งรัฐปฏิเสธไม่ให้จ่ายค่าตอบแทนให้กับมัสก์

Source

]]>
1470853
Tesla ปลดพนักงานมากกว่า 10% ขององค์กร Elon Musk ชี้ทำเพื่อลดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพองค์กรและความคล่องตัว https://positioningmag.com/1470133 Mon, 15 Apr 2024 14:55:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470133 เทสลา (Tesla) ได้ประกาศปลดพนักงานมากกว่า 10% ขององค์กร โดยให้เหตุผลเนื่องจากลดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพองค์กรและความคล่องตัว ขณะเดียวกันสถานการณ์ดังกล่าวยังชี้ให้เห็นว่าช่วงเวลาของความยากลำบากของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกนั้นกำลังกลับมาอีกครั้ง

Electrek เว็บไซต์ข่าวที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้า รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวหลายแห่ง รวมถึงอีเมลภายในองค์กร ได้ชี้ว่า Tesla ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศปลดพนักงานเป็นจำนวนมากกว่า 10% ขององค์กร เพื่อที่จะลดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพองค์กร

เว็บไซต์ดังกล่าวได้อ้างอิงจดหมายที่ Elon Musk ซึ่งเป็น CEO ของ Tesla ได้ส่งให้กับพนักงาน โดยชี้ว่าในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มีการขยายโรงงานขนาดใหญ่ไปทั่วโลก และเนื่องด้วยการเติบโตดังกล่าวทำให้มีหน้าที่ตำแหน่งงานที่ซ้ำซ้อน

ขณะเดียวกัน CEO รายดังกล่าวยังชี้ว่า การที่บริษัทต้องการจะเติบโตในก้าวต่อไปก็จะต้องมีการพิจารณาในเรื่องดังกล่าว ทำให้หลังจากมีการพิจารณาบริษัทได้ตัดสินใจที่จะปลดพนักงานมากกว่า 10% แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบ แต่ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำ เนื่องจากทำให้บริษัทมีความคล่องตัว มีนวัตกรรม และกระหายต่อการเติบโตในรอบต่อไป

Elon Musk เองยังได้กล่าวลากับพนักงานที่ถูกปลดด้วยความขอบคุณในการทำงานหนักและมีส่วนร่วมมากมายในภารกิจของบริษัท ขณะเดียวกันเขาได้กล่าวกับพนักงานที่ยังอยู่กับบริษัทต่อว่ายังมีภารกิจมากมายรออยู่

สำหรับพนักงานที่โดนปลดนั้นคาดว่าจะมีจำนวนมากกว่า 10% ของทั้งองค์กร ซึ่งคาดว่าจะอยู่มากกว่า 14,000 ราย

ข่าวการปลดพนักงานดังกล่าวนตามหลังมาจากยอดส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัทนั้นทำได้ต่ำกว่าที่คาด และในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาบริษัทต้องงัดกลยุทธ์ในการลดราคาเพื่อที่จะต่อสู้กับคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน หรือแม้แต่ผู้ผลิตหลายรายในยุโรปและสหรัฐอเมริกา

สถานการณ์ของ Tesla และผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าหลายรายทั่วโลกในเวลานี้ถือว่าไม่สู้ดีมากนัก เนื่องจากความต้องการรถยนต์ไฟฟ้านั้นไม่เติบโตเท่าที่ควร และยังรวมถึงการแข่งขันอย่างดุเดือด จนทำให้ท้ายที่สุดบริษัทรายใหญ่จากสหรัฐอเมริการายนี้ต้องงัดมาตรการในการลดค่าใช้จ่ายด้วยการปลดพนักงานออกมา

]]>
1470133
‘Tesla’ กลับมายึดแชมป์เบอร์ 1 รถอีวีอีกครั้ง หลังถูก ‘BYD’ แซงช่วง Q4/2023 https://positioningmag.com/1468778 Wed, 03 Apr 2024 02:06:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1468778 หลังจากที่ เทสล่า (Tesla) ยึดตำแหน่งเบอร์ 1 ในตลาด รถอีวี มายาวนานติดต่อกันถึง 9 ปี แต่ในช่วง Q4/2023 ที่ผ่านมาก็ถูกแย่งตำแหน่งโดย บีวายดี (BYD) อย่างไรก็ตาม Tesla ไม่ยอมเป็นเบอร์ 2 นาน โดย Q1/2024 นี้ก็สามารถกลับมาเป็นเบอร์ 1 ได้อีกครั้ง 

BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของจีน รายงานยอดขายในไตรมาสแรกปี 2024 อยู่ที่ 300,114 คัน ลดลง 43% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2023 ที่มียอดขายสูงถึง 526,409 คัน ส่งผลให้ BYD ต้องส่งคืนตำแหน่ง เบอร์ 1 ในตลาดรถอีวีให้กับ Tesla แชมป์เก่า หลังจากที่เคยแย่งตำแหน่งมาได้ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2023

อย่างไรก็ตาม แม้ Tesla จะกลับขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ในตลาดอีกครั้งด้วยยอดขาย 386,810 คัน แต่ถือว่ายอดขายลดลง 20.2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2023 และลดลง 8.5% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2023 นอกจากนี้ อัตราการผลิตยังลดลงประมาณ 1.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้หุ้นของบริษัทลดลง -29% ในไตรมาสแรก ซึ่งเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปลายปี 2022 และลดลงเป็นรายไตรมาสสูงสุดเป็นอันดับสามนับตั้งแต่การเสนอขายหุ้น IPO ของบริษัทในปี 2010 หุ้นเทสลาปิดลดลงประมาณ 5% ในวันอังคารที่ 166.63 ดอลลาร์ต่อหุ้น

การที่ยอดขายของ BYD และ Tesla ที่ลดลงเป็นผลมาจากความต้องการโดยรวมที่ลดลงและการชะลอตัวของตลาดจีน อย่างไรก็ตาม การที่ Tesla กลับมาครองตำแหน่งเบอร์ 1 ได้อีกครั้ง แสดงให้เห็นว่าอิทธิพลของแบรนด์ระดับโลกของบริษัทจะไม่ถูกล้มได้ง่าย ๆ โดยง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองบริษัทคาดว่าการเติบโตของยอดขายรถอีวีในจีนในปีนี้จะชะลอตัวลง

สำหรับยอดขายรวมรถยนต์ทุกประเภทของ BYD ในช่วงไตรมาสแรกอยู่ที่ 626,263 คัน เติบโต 13.4% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสแรกของปี 2023 แต่ถือว่า ลดลง 33.7% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2024 ที่ทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 944,779 คัน 

แม้ว่ายอดขายจะลดลงเมื่อเทียบกับระดับสูงสุด แต่ BYD ได้ตั้งเป้ายอดขายทั้งปีที่ 3.6 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 20% จากยอดขายปีที่แล้ว

Source

]]>
1468778
ถึงเวลาสู้ศัตรูคนเดียวกัน! ‘ฮอนด้า’ ผนึก ‘นิสสัน’ พัฒนารถอีวีเพื่อสู้กับ ‘ค่ายจีน’ https://positioningmag.com/1466580 Mon, 18 Mar 2024 03:58:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1466580 หากเป็นรถยนต์สันดาป ผู้ที่ครองตลาดก็จะเป็น ค่ายรถญี่ปุ่น แต่ถ้าเป็นตลาดรถอีวี ค่ายจีน ได้กลายเป็นผู้นำของตลาดไปเรียบร้อยแล้ว แม้แต่แบรนด์สุดแข็งอย่าง Tesla ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับค่ายจีน ดังนั้น แบรนด์ญี่ปุ่นจึงต้องเลิกสู้กันเอง หันมาจับมือกันเพื่อสู้ค่ายจีน

ในอดีตค่ายรถยนต์ของญี่ปุ่นอาจจะต้องแข่งกับค่ายรถจากฝั่งยุโรปและแข่งขันกันเอง แต่ตอนนี้ทุกค่ายคงตระหนักได้ว่า คู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดในตลาดก็คือ ค่ายรถอีวีจีน ทำให้ นิสสัน (Nissan) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจแบบไม่ผูกมัด (Memorandum of Understanding – MoU) กับ ฮอนด้า (Honda) ค่ายรถยนต์คู่แข่ง เพื่อร่วมมือกันในการผลิตส่วนประกอบสำคัญสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและปัญญาประดิษฐ์ในแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ยานยนต์

โดยความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยให้ทั้งสองบริษัทประหยัดต้นทุนในการผลิต เพราะทำให้มี Economy of scale ที่มากขึ้น ซึ่งจะยิ่งช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นสามารถแข่งขันกับค่ายรถอีวีจากจีน โดยเฉพาะ บีวายดี (BYD) จากจีนที่เพิ่งบุกตลาดประเทศญี่ปุ่น รวมถึง เทสลา (Tesla) ด้วย

“ผู้เล่นหน้าใหม่มีความก้าวร้าวมากและกำลังบุกเข้ามาด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง เราไม่สามารถชนะการแข่งขันได้ ตราบใดที่เรายึดมั่นในแนวคิดและแนวทางแบบดั้งเดิม” มาโกโตะ อุชิดะ ซีอีโอของนิสสัน กล่าว

อย่างไรก็ตาม นิสสันและฮอนด้า ยังไม่ได้หารือเกี่ยวกับการลงทุนร่วมกัน แต่ก็เปิดรับความเป็นไปได้ในอนาคต รวมถึงยัง เปิดกว้างในการร่วมมือกับพันธมิตร ที่มีอยู่หากมีโอกาสเกิดขึ้น

“เราถูกจำกัดด้วยเวลา ดังนั้น จำเป็นต้องทำให้เร็ว เพื่อที่ภายในปี 2030 เราจะอยู่ในตำแหน่งที่ดี เราจึงต้องตัดสินใจตั้งแต่ตอนนี้”

ทั้งนี้ ฮอนด้าตั้งเป้าที่จะเพิ่มอัตราส่วนรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงเป็น 100% ของยอดขายทั้งหมดภายในปี 2040 ส่วนนิสสันถือเป็นผู้บุกเบิกด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ด้วยรุ่น Leaf

ที่ผ่านมา ทั้งฮอนด้าและนิสสัน ได้พิจารณาเตรียมลดกำลังการผลิตในประเทศจีน โดยสาเหตุสำคัญคือผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นต้องแข่งขันกับค่ายรถยนต์ไฟฟ้าของจีน โดยนิสสันเตรียมลดกำลังการผลิตในจีนสูงสุดถึง 30% เหลือ 1.6 ล้านคัน/ปี ส่วนฮอนด้านั้นจะลดกำลังการผลิตราว 20% เหลือ 1.2 ล้านคันต่อปี

Source

]]>
1466580
ลือ! ‘Tesla’ เตรียมเปิดตัวรถครอสโอเวอร์รุ่นใหม่ช่วงกลางปี 2025 ชื่อรหัส ‘Redwood’ แถมมีราคาถูกลง https://positioningmag.com/1460048 Wed, 24 Jan 2024 06:01:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1460048 หลังจากที่เสียตำแหน่งแชมป์ รถอีวี ให้กับ BYD ในช่วงไตรมาส 4/2023 ที่ผ่านมา เทสล่า (Tesla) ก็เริ่มเคลื่อนไหวโดยมีข่าวลือจากซัพพลายเออร์ของบริษัทว่าต้องการเริ่มผลิตรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ในช่วงกลางปี 2025

แหล่งข่าว 4 รายให้ข้อมูลกับ Reuters ว่า เทสล่า (Tesla) ได้แจ้งกับซัพพลายเออร์ว่า ต้องการเริ่มการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับตลาดแมสใหม่ที่มีชื่อรหัสว่า Redwood ในช่วงกลางปี ​​2025 โดยแหล่งข่าว 2 คน อธิบายว่า รถไฟฟ้ารุ่นใหม่นี้จะเป็นรถครอสโอเวอร์ โดยบริษัทได้ขอใบเสนอราคาไปยังซัพพลายเออร์ตั้งแต่ปีที่แล้ว และคาดการณ์การผลิตที่ 10,000 คัน/สัปดาห์

ที่ผ่านมา อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ซีอีโอของเทสล่า ได้กระตุ้นความต้องการของแฟน ๆ และนักลงทุนมาเป็นเวลานานสำหรับรถไฟฟ้าราคาไม่แพง โดยมัสก์เคยสัญญาว่าจะผลิตรถไฟฟ้าราคา 25,000 ดอลลาร์ (ราว 8.7 แสนบาท) ในปี 2020 อย่างไรก็ตาม รถไฟฟ้าที่ถูกสุดของเทสล่าคือรุ่น Model 3 ซีดาน ซึ่งปัจจุบันมีราคาเริ่มต้นที่ 38,990 ดอลลาร์ (ราว 1.3 ล้านบาท) ในสหรัฐอเมริกา

นอกจากนี้ เขาและผู้บริหารของเทสล่าคนอื่น ๆ ได้วางแผนลดต้นทุนของรถยนต์เจเนอเรชันหน้าลงครึ่งหนึ่ง แต่ไม่ได้ระบุกรอบเวลาสำหรับการเปิดตัว อย่างไรก็ตาม เทสล่านั้นมักจะพลาดเป้าเกี่ยวกับราคาและวันเปิดตัวสินค้า และต้องใช้เวลาในการสร้างปริมาณ อาทิ การผลิต Cybertruck ที่มีความล่าช้าในการเปิดตัว แถมราคาเปิดตัวยังสูงกว่าที่วางไว้ 50% โดยเปิดตัวที่ 60,990 ดอลลาร์

ทั้งนี้ อีลอน มัสก์ ได้กล่าวเมื่อปีที่แล้วว่า เขากังวลเกี่ยวกับผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยที่สูงต่อความต้องการของ    ผู้บริโภคสำหรับสินค้าราคาแพง เช่น รถยนต์ ขณะที่เทสล่าจำเป็นต้องทำสงครามราคา โดยตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เทส ล่าได้ลดราคาถึง 5 ครั้ง เพื่อแข่งขันกับค่ายรถยนต์ของจีนซึ่งทำราคาได้ดีกว่า

Source

]]>
1460048
เปิดปีไม่สวย! มูลค่า ‘เทสล่า’ หายเกือบ 1 แสนล้านเหรียญ หลังบริษัทปรับ ‘ลดราคารถ’ ลงอีกรอบ https://positioningmag.com/1458774 Mon, 15 Jan 2024 04:10:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1458774 แม้ว่าในปี 2023 ที่ผ่านมา มูลค่าของ เทสล่า (Tesla) จะเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว แต่เปิดปี 2024 เทสล่าก็ต้องเผชิญกับการเริ่มต้นปีที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะบริษัทสูญเสียการประเมินมูลค่าตลาดมากกว่า 9.4 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงสองสัปดาห์แรกของปีนี้ 

จริง ๆ ก็ไม่ได้เป็นเรื่องน่าแปลกใจเท่าไหร่หากมูลค่าบริษัท เทสล่า จะลดลง เพราะเปิดปีมาบริษัทก็เจอข่าวเชิงลบมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การลดราคารถยนต์ที่ผลิตในจีนอีกครั้ง สัญญาณของต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้น และการเติบโตที่ชะลอตัวของตลาดรถอีวี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดสหรัฐอเมริกา

“ความกังวลหลักของนักลงทุนเกี่ยวกับเทสล่าคือ การเติบโตที่ซบเซา การลดราคาในประเทศจีนทําให้เกิดความกังวล เพราะมันเริ่มดูเหมือนว่าการแข่งขันสู่จุดต่ำสุดสําหรับอุตสาหกรรมอีวี เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรง” เจฟฟรีย์ ออส บอร์น นักวิเคราะห์ของโคเวน กล่าว

เทสล่าได้ลดราคารถยนต์อย่างจริงจังตั้งแต่ต้นปี 2023 เพื่อพยายามเพิ่มความต้องการ แต่ผลลัพธ์คือ การลดลงอย่างต่อเนื่องของ อัตรากําไร ในขณะที่ต้นทุนของบริษัทกำลังเพิ่มขึ้นเนื่องจากการปรับขึ้นของ ค่าแรง ของพนักงานฝ่ายผลิตที่โรงงานในสหรัฐฯ นอกจากนี้ เทสล่าต้องเปลี่ยนเส้นทางการจัดส่งชิ้นส่วนไปยังโรงงานในเบอร์ลินเนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัยในทะเลแดง โดยเทสล่ากำลังจะระงับการผลิตส่วนใหญ่ที่โรงงานในเยอรมนีตั้งแต่วันที่ 29 มกราคมถึง 11 กุมภาพันธ์

นอกจากนี้ แม้ว่ายอดขายของเทสล่าในช่วงไตรมาส 4/2023 จะดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ก็ตาม แต่ก็ถูก BYD แซงหน้าด้วยยอดขายกว่า 5.2 แสนคัน แม้ว่าในด้านรายได้และผลกําไรของ BYD จะยังแพ้เทสล่าก็ตาม แต่การพ่ายแพ้ดังกล่าวก็เหมือนเป็นสัญญาณเตือนให้กับเทสล่า เพราะ BYD ไม่ได้ขายรถยนต์ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเทสล่ายังคงเป็นผู้นําตลาดสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม คุณค่าที่แท้จริงของเทาล่าอาจเป็นการพึ่งพาอนาคตของเทคโนโลยี การขับขี่อัตโนมัติ ปัญหาเดียวคือ เทสล่าพัฒนาเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว และผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มองว่า เทคโนโลยีนี้ยังห่างไกลที่จะนำมาใช้ได้จริง และอาจต้องใช้เวลาอีก หลายสิบปี

“เทสล่ายังไม่สามารถส่งมอบการขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ แต่มันกลับอยู่ในการประเมินมูลค่าบริษัทแล้ว”

Source

]]>
1458774
Hertz บริษัทเช่ารถรายใหญ่ ขาย Tesla รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์อื่นทิ้งหมด ให้เหตุผลค่าซ่อมสูงหลังเกิดอุบัติเหตุ https://positioningmag.com/1458621 Fri, 12 Jan 2024 06:07:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1458621 แบรนด์เช่ารถยนต์อย่าง Hertz ล่าสุดบริษัทไม่ทนกับรถยนต์ไฟฟ้าอีกต่อไป ล่าสุดบริษัทได้ประกาศขาย Tesla รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์อื่นทิ้งหมด โดยให้เหตุผลจากค่าใช้จ่ายในการซ่อม หรือแม้แต่ค่าเสื่อมราคาของรถยนต์ที่สูง ส่งผลต่อกำไรของบริษัท

Hertz บริษัทเช่ารถรายใหญ่ ได้แจ้งต่อ ก.ล.ต. ของสหรัฐอเมริกาว่า บริษัทประกาศขายรถยนต์ไฟฟ้าที่บริษัทมีอยู่ทั้งหมดกว่า 20,000 คัน หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของจำนวนรถทั้งหมดของบริษัท และจะหันกลับมาซื้อรถยนต์ที่ใช้น้ำมันแทน ซึ่งจะเพิ่มกำไรให้กับบริษัทได้

ในการขายรถยนต์ไฟฟ้ากว่า 20,000 คัน ประกอบไปด้วยหลายแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น Tesla หรือแบรนด์อื่นๆ อย่าง Chevrolet Bolt และ Nissan Leaf หรือแม้แต่ BMW i3 บริษัทได้ประกาศขายบนช่องทางออนไลน์ ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถที่จะรับรถยนต์ได้ในสหรัฐอเมริกา

รายได้ส่วนหนึ่งในการขายรถยนต์ไฟฟ้าเหล่านี้ บริษัทจะนำไปซื้อรถยนต์ที่ใช้น้ำมันแทน

ผู้บริหารของ Hertz ได้กล่าวว่า อีกปัญหาที่สำคัญคือ Tesla ซึ่งบริษัทมีรถยนต์แบรนด์ดังกล่าวจำนวนมากนั้นกลับไม่มีอะไหล่ทดแทนมากนัก และยังขาดแคลนช่างซ่อมที่ผ่านการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี แตกต่างกับที่บริษัทรถยนต์อื่นๆ เช่น GM ฯลฯ ทำให้การซ่อมรถยนต์ไฟฟ้านั้นใช้เวลานานกว่ารถยนต์ทั่วไป

แผนการในการปลดระวางรถยนต์ไฟฟ้าที่บริษัทมีอยู่นั้นจะสามารถเพิ่มกระแสเงินสดให้กับบริษัทได้หลังจากนี้ เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่สูงจากการซ่อมหลังจากรถยนต์ไฟฟ้าเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชน หรือแม้แต่ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทแย่ลง

ไม่เพียงเท่านี้ปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้บริษัทเช่ารถรายใหญ่จากสหรัฐอเมริกาไม่อดทนต่อรถยนต์ไฟฟ้าอีกต่อไปก็คือ ค่าเสื่อมราคาของรถยนต์ไฟฟ้าที่ลดลงไวกว่าคาด ส่งผลทำให้การขายรถยนต์เหล่านี้ในตลาดรถยนต์มือสองนั้นได้ราคาที่แย่กว่าเมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน

คาดว่า Hertz จะขาดทุนกับรถยนต์ไฟฟ้าจำนวนมากเหล่านี้เป็นเงินถึง 245 ล้านเหรียญสหรัฐด้วย

การเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าของ Hertz เริ่มต้นในปี 2021 บริษัทเช่ารถรายใหญ่ได้ให้เหตุผลในช่วงเวลาดังกล่าวว่าต้องการที่จะทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเข้าถึงผู้คนทั่วไปได้มากยิ่งขึ้น โดยบริษัทได้สร้างความฮือฮาด้วยประกาศซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ Tesla เป็นเม็ดเงินมากถึง 4,200 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนที่บริษัทจะมีมุมมองเปลี่ยนไปจากปัจจัยของค่าใช้จ่าย

ที่มา – CNN, Business Insider

]]>
1458621
“รถอีวี” มือสองยัง “เสื่อมราคา” ไวกว่ารถสันดาป แต่รุ่นที่ยังคงราคาได้ดีที่สุดคือ “Tesla Model 3” https://positioningmag.com/1457987 Mon, 08 Jan 2024 13:22:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1457987 การศึกษาในสหรัฐฯ พบว่า “รถอีวี” ขายมือสองยัง “เสื่อมราคา” ได้เร็วกว่ารถสันดาป อย่างไรก็ตาม ในรุ่นรถอีวีที่ศึกษาทั้งหมด “Tesla Model 3” เป็นรุ่นที่เสื่อมราคาน้อยที่สุด

iSeeCars ติดตามการ “เสื่อมราคา” ของรถยนต์ในตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่ม “รถอีวี” ที่ถือว่าเป็นรถประเภทใหม่ในตลาด การศึกษานี้พบว่ารถอีวียังมีอัตราการเสื่อมราคาที่เร็วกว่ารถยนต์สันดาป

โดยรถอีวีมีอัตราการเสื่อมราคาเฉลี่ย 49.1% ภายใน 5 ปี เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของรถยนต์สันดาปที่เสื่อมราคาเฉลี่ย 38.8% ในระยะเวลาเดียวกัน

ในตลาดรถยนต์ที่รถอีวีกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ อุตสาหกรรมยังต้องทำความเข้าใจและศึกษามูลค่าการเสื่อมราคาของรถที่ขึ้นอยู่กับอายุแบตเตอรี รวมถึงขณะนี้ตลาดรถอีวียังได้รับเงินอุดหนุนและส่วนลดต่างๆ จากภาครัฐเพื่อกระตุ้นความต้องการ จึงทำให้การคงราคาของรถอีวีมือสองจะค่อนข้างยาก

“รูปแบบของตลาดแบบนี้จะยังเป็นไปอย่างต่อเนื่องจนกว่ารถอีวีจะไม่ต้องมีเงินอุดหนุนอย่างหนักจากภาครัฐอีกแล้ว รวมถึงจนกว่าผู้บริโภคจะรู้สึกมั่นใจในแง่ค่าใช้จ่ายของการเป็นเจ้าของรถอีวีในระยะยาว” Karl Brauer นักวิเคราะห์อาวุโสของ iSeeCars กล่าว

ทั้งนี้ ในการศึกษาครั้งนี้ iSeeCars ติดตามค่าเสื่อมราคาของรถอีวีเฉพาะที่ออกสู่ตลาดมาแล้ว 5 ปีเป็นอย่างน้อย และมีรถยนต์ไฟฟ้า 5 รุ่นที่เสื่อมราคาน้อยที่สุดในตลาด ดังนี้

1.Tesla Model 3 – เสื่อมราคา 42.9%

Tesla เปิดราคา
Tesla Model 3

2.Tesla Model X – เสื่อมราคา 49.9%

Tesla Model X

3.Nissan Leaf – เสื่อมราคา 50.8%

Nissan Leaf

4.Chevrolet Bolt EV – เสื่อมราคา 51.1%

Chevrolet Bolt EV

5.Tesla Model S – เสื่อมราคา 55.5%

Tesla Model S

Source

]]>
1457987
‘Tesla’ เรียกคืนรถในจีนกว่า 1.6 ล้านคัน หลังเจอปัญหาในฟีเจอร์บังคับเลี้ยวและระบบล็อกประตู https://positioningmag.com/1457868 Sun, 07 Jan 2024 12:10:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1457868 หลังจากที่ เทสล่า (Tesla) ได้เสียแชมป์ค่ายรถยนต์ที่มียอดขายรถอีวีให้กับ บีวายดี (BYD) ในช่วง Q4/2023 ที่ผ่านมา ล่าสุด เทสล่าก็ต้องเรียกคืนรถในจีนกว่า 1.6 ล้านคัน เพื่อแก้ปัญหาเดี่ยวกับความปลอดภัย

หน่วยงานกำกับดูแลของจีน (SAMR) ได้เปิดเผยว่า ค่าย เทสล่า ได้เรียกคืนรถยนต์มากกว่า 1.6 ล้านคัน ได้แก่ Model S, Model X ที่นำเข้า และ Model 3 และ Model Y ที่ผลิตตั้งแต่ปี 2014-2023 เนื่องจากพบปัญหาในฟังก์ชันการบังคับเลี้ยวอัตโนมัติ (Autosteer) และระบบล็อกประตู เนื่องจากผู้ขับขี่สามารถใช้ฟีเจอร์ช่วยเหลือในการขับขี่ในทางที่ผิด ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงของการชนของยานพาหนะและก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

ในส่วนของระบบล็อกประตู เทสล่าเรียกคืนเนื่องจากความกังวลว่าในระหว่างการเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชน ประตูอาจจะปลดล็อกเอง อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 ปัญหาสามารถซ่อมแซมผ่านการอัปเดตซอฟต์แวร์ได้ฟรีผ่านออนไลน์จากระยะไกล โดยไม่ต้องเอารถเข้าศูนย์

ย้อนไปช่วงเดือนธันวาคม เทสล่าได้เรียกคืนรถในสหรัฐอเมริกากว่า 2 ล้านคัน หลังจากที่สํานักงานบริหารความปลอดภัยการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติพิจารณาแล้วว่าฟีเจอร์ Autopilot ของบริษัทอาจยังไม่เพียงพอต่อการป้องกันไม่ให้ผู้ขับขี่ใช้งานอย่างไม่ถูกต้อง รวมถึงในฟีเจอร์ Autosteer ที่อาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการชน

Source

]]>
1457868