Tesla – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 25 Mar 2025 13:24:19 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘BYD’ โชว์ปี 2024 กวาดรายได้ทะลุ 1 แสนล้านดอลลาร์ ค่อย ๆ ทิ้งห่าง ‘Tesla’ คู่แข่ง https://positioningmag.com/1516011 Tue, 25 Mar 2025 12:45:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1516011 หลังจากที่เริ่มบุกตลาดโลก บีวายดี (BYD) ก็เติบโตอย่างรวดเร็ว ในขณะที่คู่แข่งคนสำคัญอย่าง เทสลา (Tesla) กำลังอยู่ในช่วงขาลงจากทั้งการแข่งขันที่รุนแรง และภาพลักษณ์ของ    อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ซีอีโอ ที่ส่งผลต่อแบรนด์

BYD ค่ายรถอีวียักษ์ใหญ่ของจีน เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้ 7.77 แสนล้านหยวน หรือ 1.07 แสนล้านดอลลาร์ โดยยอดขายเพิ่มขึ้น +29% คิดเป็นยอดส่งมอบรถทั้งหมด 4.27 ล้านคัน ในขณะที่ Tesla คู่แข่งคนสำคัญทำรายได้ 9.77 หมื่นล้านดอลลาร์ คิดเป็นยอดส่งมอบรถทั้งหมด 1.79 ล้านคัน ลดลง -1.1% 

ในปีนี้ ยอดส่งออกของ BYD ก็ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2025 BYD ส่งออกรถไปแล้ว 133,361 คัน เติบโต +124% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ด้านของ Tesla กำลังเจอปัญหาในหลายตลาด ไม่ว่าจะเป็น จีน ที่ยอดขายในเดือนกุมภาพันธ์ลดลงมากกว่า -50% อีกตลาดก็คือ ยุโรป ที่ส่วนแบ่งการตลาดของ Tesla ในช่วง 2 เดือนแรกลดลงเหลือ 7.7% จาก 18.4% ในปี 2024

หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ยอดขายของ Tesla กำลังดิ่งลงเหวเป็นผลมาจาก พฤติกรรมของมัสก์ ที่กำลังส่งผลกระทบความเชื่อมั่นต่อแบรนด์ นับตั้งแต่ที่เขาขึ้นมาเป็น ที่ปรึกษาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และเป็นผู้ดูแลกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล นอกจากนี้ มัสก์มักจะแสดงความเห็นแทรกแซงเกี่ยวกับ การเมืองในต่างประเทศ 

อีกประเด็นที่น่าจับตาคือ BYD อาจจะทิ้งห่าง Tesla ได้มากกว่านี้หรือไม่ ทั้งในแง่ยอดขายและเทคโนโลยี โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว BYD ได้เปิดตัว ระบบชาร์จเร็วพิเศษ ที่ชาร์จเพียง 5 นาที วิ่งได้ 400 กิโลเมตร แซงหน้าเทคโนโลยีการชาร์จของ Tesla Superchargers ของ Tesla ใช้เวลา 15 นาทีในการชาร์จและให้ระยะ 320 กิโลเมตร

นอกจากนี้ BYD ได้เปิดตัวระบบ God’s Eye ช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูงเมื่อเดือนที่แล้ว แถมยังให้ใช้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ซึ่งนักวิเคราะห์ มองว่า การอัปเกรดฟรีของระบบผู้ช่วยขับรถอัจฉริยะ ยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อ Tesla และผู้ผลิตรถอีวีสัญชาติจีนรายอื่น ๆ ในทางตรงกันข้าม บริการ Full Self-Driving (FSD) ของ Tesla ต้องจ่ายค่าสมัครสมาชิกรายเดือนที่ 99 ดอลลาร์ หรือการชําระเงินครั้งเดียว 8,000 ดอลลาร์ ทำให้ Tesla อาจต้องยอมลดราคา

Source

]]>
1516011
หนัก! หุ้น ‘Tesla’ ร่วง 7 สัปดาห์ติด ดิ่ง -15% แย่สุดในรอบ 5 ปี สูญมูลค่าบริษัทกว่า 8 แสนล้านเหรียญ https://positioningmag.com/1514122 Tue, 11 Mar 2025 07:12:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1514122 การเทขายหุ้น เทสลา (Tesla) ยังคงทวีความรุนแรงขึ้น โดยเป็นการสูญเสียติดต่อกัน 7 สัปดาห์ติด ปัจจุบัน มูลค่าร่วงกว่า 15% ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2020

หุ้นของ เทสลา ดิ่งกว่า -15% ซึ่งถือเป็นการร่วงหนักสุดในรอบ 5 ปี นับตั้งแต่เดือนกันยายน 2020 โดยตั้งแต่ที่หุ้นเทสลาพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 479.86 ดอลลาร์ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2024 หลังจากนั้นราคาหุ้นลดลงกว่า 50% ส่งผลให้มูลค่าตลาดลดลงกว่า 8 แสนล้านดอลลาร์  

โดยราคาหุ้นเทสลา ลดลงติดต่อกัน 7 สัปดาห์ ซึ่งยาวนานที่สุดนับตั้งแต่บริษัทเปิดตัวบน Nasdaq ในปี 2010 และถือว่าลดลง นับตั้งแต่ อีลอน มัสก์ เข้ารับตำแหน่ง หัวหน้ากระทรวงประสิทธิภาพ ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์

หนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาหุ้นของเทสลาเมื่อวันจันทร์ก็คือ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแผนภาษีของทรัมป์ เพราะแคนาดาและเม็กซิโก ที่ทรัมป์ประกาศจะขึ้นภาษี ถือเป็นตลาดสําคัญสําหรับซัพพลายเออร์ยานยนต์ ซึ่งภาษีที่เพิ่มขึ้นมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อการผลิต และอาจนําไปสู่ราคารถที่สูงขึ้น

ขณะเดียวกัน ยอดขายของเทสลาก็ลดลงต่อเนื่องในหลายตลาด โดยนักวิเคราะห์จาก Bank of America’s เปิดเผยว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ยอดขายรถยนต์ใหม่ของเทสลาใน ตลาดยุโรป ลดลงประมาณ 50% ใกล้เคียงกับตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง จีน ที่ยอดขายในเดือนกุมภาพันธ์ ลดลง 49% ทำได้เพียง 30,688 คัน ตามรายงานของสมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลจีน ซึ่งถือว่าต่ำสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง 

นอกจากนี้ แพลตฟอร์มโซเชียลอย่าง X ก็เพิ่งเจอปัญหา ล่ม หลายครั้งเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่ง มักส์ ระบุเพียงว่า แพลตฟอร์มถูก โจมตี ในส่วนธุรกิจ Space X ก็กำลังเผชิญกับการสืบสวนเกี่ยวกับการระเบิดสองครั้งติดต่อกัน ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างการทดสอบการบินของจรวด Starship 

Source

]]>
1514122
สรุปบรรดา ‘บิ๊กเทค’ วางงบลงทุน ‘AI’ เท่าไหร่ในวันที่ ‘DeepSeek’ แสดงให้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องใช้เงินมหาศาล https://positioningmag.com/1510100 Mon, 10 Feb 2025 05:45:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1510100 ในวันที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่ทุ่มเงินมหาศาลในการพัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model – LLM) เพื่อใช้เป็นโมเดลพื้นฐานการประมวลผลของ Generative AI แต่การมาของ DeepSeek บริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI จากจีน ที่เหมือนมาตบหน้าบิ๊กเทค เพราะใช้เงินลงทุนน้อยกว่า ดังนั้น ไปดูกันว่าบริษัทบิ๊กเทค วางแผนทุ่มเงินเท่าไหร่ แม้ว่า DeepSeek จะแสดงให้เห็นว่าไม่ต้องใช้เงินเยอะก็ตาม

เฉพาะ 4 ยักษ์ใหญ่ลงทุนเพิ่มรวมเกือบ 1 แสนล้านดอลลาร์

นับตั้งแต่โลกรู้จักกับ ChatGPT ในปี 2022 บริษัทยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีหลายรายต่างทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์ในโครงการ AI โดยมุ่งขยายศูนย์ข้อมูลด้วยหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ของ Nvidia จำนวนมาก และพัฒนาโมเดลต่าง ๆ ของตนเอง

แต่การมาของ DeepSeek ก็มาทำให้เกิดคำถามว่า บริษัทยักษ์ใหญ่จำเป็นต้องลงทุนมหาศาลขนาดนั้นไหม เพราะ DeepSeek ใช้เงินลงทุนเพียง 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้หุ้นของผู้ผลิตชิป AI อย่าง Nvidia และ Broadcom ลดลงรวมกัน 800,000 ล้านดอลลาร์ ในวันเดียว

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนการมาของ DeepSeek จะไม่ได้ทำให้การลงทุนด้าน AI ของเหล่าบิ๊กเทคนั้นลดลง โดยเมื่อรวมเม็ดเงินการลงทุนของ Meta, Amazon, Alphabet และ Microsoft มีมูลค่าสูงถึง 320,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 230,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีที่ผ่านมา หรือมากกว่าปีก่อนถึงเกือบ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

Amazon: 100,000 ล้านดอลลาร์

สำหรับ Amazon บริษัทเทคโนโลยีและอีคอมเมิร์ซของสหรัฐฯ ประกาศว่าปีนี้จะลงทุน มากกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2024 ที่ใช้เงินลงทุน 83,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย Andy Jassy ซีอีโอ กล่าวว่า เงินส่วนใหญ่จะใช้กับ AI ในส่วนของ Amazon Web Services

Microsoft: 80,000 ล้านดอลลาร์

เมื่อเดือนที่แล้ว Microsoft เปิดเผยว่าจะจัดสรรเงิน 80,000 ล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2025 สำหรับการก่อสร้างศูนย์ข้อมูลที่สามารถรองรับการประมวลผล AI โดย แบรด สมิธ ซีอีโอ กล่าวว่า ค่าใช้จ่ายมากกว่าครึ่งหนึ่งจะเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา

ภาพจาก Shutterstock

Alphabet: 75,000 ล้านดอลลาร์

Alphabet ตั้งเป้าการใช้ลงทุนด้าน AI ปีนี้ที่ 75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยคาดว่าจะมีการใช้จ่าย 16,000 – 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาสแรก โดย Anat Ashkenazi หัวหน้าฝ่ายการเงินกล่าวในการรายงานผลประกอบการว่า การใช้จ่ายส่วนใหญ่จะใช้กับ โครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิค โดยส่วนใหญ่จะใช้กับเซิร์ฟเวอร์ รองลงมาคือ ศูนย์ข้อมูลและระบบเครือข่าย

Meta: 65,000 ล้านดอลลาร์

ส่วน มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Meta ได้กำหนดงบประมาณด้านการลงทุนด้าน AI ของบริษัทไว้ที่ 60,000 – 65,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมกับระบุว่า ปี 2025 จะเป็นปีแห่งการกำหนดทิศทางของ AI และการเคลื่อนไหวครั้งนี้จะช่วย ปลดล็อกนวัตกรรมทางประวัติศาสตร์และขยายความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของอเมริกา

ภาพจาก Shutterstock

Apple: เน้นร่วมมือกับพันธมิตร

สำหรับ Apple อาจจะประเมินได้ค่อนข้างยากว่ามีการใช้งบลงทุนด้าน AI มากน้อยแค่ไหน เพราะงบส่วนใหญ่จะปรากฏในค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เนื่องจากบริษัท ใช้ความสามารถในการฝึกอบรมจากผู้ให้บริการระบบคลาวด์ เช่น โมเดลที่รองรับปัญญาประดิษฐ์ของ Apple นั้นได้รับการฝึกฝนจาก Google Cloud นอกจากนี้ Apple ยังใช้ความสามารถในการฝึกอบรมระบบคลาวด์จาก AWS และ Azure อีกด้วย

ขณะเดียวกัน Tim Cook ซีอีโอ กล่าวว่า Apple ใช้แนวทางแบบผสมผสานในการลงทุน โดยมีสิ่งที่พัฒนาภายใน แต่ก็มีพันธมิตรบางรายที่ทำธุรกิจด้วยภายนอก ซึ่งการลงทุนนั้นจะปรากฏอยู่ในธุรกิจของพวกเขา

Tesla: 5,000 ล้านดอลลาร์

ด้าน Tesla ได้เคยเปิดเผยในปี 2024 ว่า ค่าใช้จ่ายด้านทุนที่เกี่ยวข้องกับ AI อยู่ที่ประมาณ 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และบริษัทคาดว่าค่าใช้จ่ายด้าน AI จะคงที่เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยปัจจุบัน Tesla ได้สร้างคลัสเตอร์การฝึกอบรมที่เรียกว่า Cortex ในโรงงานในรัฐเท็กซัส เพื่อใช้สำหรับการฝึกอบรมโมเดลเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติและหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ของบริษัทที่กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา

จะเห็นว่าแต่ละบริษัทอัดงบลงทุนกับ AI มหาศาล แต่นั่นก็ไม่ใช่การตำน้ำพริกละลายแม่น้ำอย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะอย่าง Amazon, Google และ Microsoft ที่แม้จะลงทุนเยอะ แต่จะยิ่งส่งผลดีอย่างมากต่อธุรกิจคลาวด์ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ต่างก็ต้องการเครื่องมือประมวลผล AI เพิ่มเติม และพวกเขาวางแผนที่จะรันเวิร์กโหลดที่ใหญ่ขึ้นในคลาวด์

]]>
1510100
‘BYD’ ฟันยอดขายปี 2024 ทะลุ 4 ล้านคัน โต 41% สวนทาง ‘Tesla’ ยอดขายลดลง 1.1% https://positioningmag.com/1505317 Fri, 03 Jan 2025 05:15:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1505317 แย่งกันเบียดเป็น เบอร์ 1 ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามาตลอดปี สำหรับ เทสลา (Tesla) และ บีวายดี (Tesla) โดยภาพรวมตลอดปี 2024 นี้ และถ้านับรวมรถ ปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid) จะทำให้บีวายดีโตแบบก้าวกระโดด แต่ถ้าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าล้วน ดูเหมือนเทสลาจะยังคงเป็นเบอร์ 1 

ภาพรวมปี 2024 ของ บีวายดี มียอดขายทั้งสิ้น 4.27 ล้านคัน เติบโต +41% เมื่อเทียบกับปี 2023 โดยแบ่งเป็น รถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) 1.76 ล้านคัน เติบโต +12% ส่วน รถปลั๊กอินไฮบริดอยู่ที่ 2.49 ล้านคัน เติบโตก้าวกระโดด +73% เนื่องจากช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับระยะการเดินทางของรถยนต์ไฟฟ้าล้วน 

ด้านคู่แข่งคนสำคัญอย่าง เทสลา มียอดขายประมาณ 1.79 ล้านคัน ลดลงราว -1.1% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ดังนั้นจะเห็นว่า หากวัดกันเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าล้วน เทสลายังทำได้ดีกว่าบีวายดี แต่ก็เพียง เล็กน้อย เท่านั้น

สำหรับปัจจัยที่ทำให้บีวายดียังเติบโตได้ดีมาจาก ตลาดต่างประเทศ ที่เติบโตประมาณ +8% โดยปัจจุบัน ตลาดต่างประเทศของบีวานดีมีสัดส่วนประมาณ 10% ของยอดขายทั้งหมด ขณะที่ตลาดในประเทศก็ได้การสนับสนุนจาก รัฐบาลจีน ที่ต้องการกระตุ้นให้ผู้บริโภคเปลี่ยนรถเก่าเป็นรถยนต์พลังงานใหม่ เช่น รถยนต์ไฟฟ้าและ Plug-in Hybrid

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่บีวายดีที่ได้อานิสงค์จากการสนับสนุนของรัฐบาลจีน แต่เทสลา ที่แม้ว่ายอดขายรวมปีที่ผ่านมาจะหดตัว แต่ในตลาดจีนก็มีการเติบโตเป็นประวัติการณ์ถึง +8.8% มียอดขาย กว่า 657,000 คัน สวนทางกับ ตลาดยุโรป ที่ตลาด 10 เดือน ยอดจดทะเบียนรถเทสลาลดลงถึง -24%

แม้ว่าปี 2024 จะเป็นปีที่ดีของบีวายดี แต่กับปี 2025 อาจต้องเหนื่อย เพราะทั้ง ยุโรปและสหรัฐอเมริกา เตรียม ขึ้นภาษี รถอีวีจากจีน และตามมาด้วยการห้ามซอฟต์แวร์รถยนต์บางประเภทที่มีต้นกำเนิดในจีน ซึ่งนโยบายต่าง ๆ เหล่านี้ย่อมส่งผลกระทบต่อบีวายดีและค่ายรถจากจีนแน่นอน  

ส่วนเทสลาก็เตรียมเปิดตัวโมเดลใหม่ ๆ รวมถึงรุ่นที่มีราคาไม่แพงในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 เพื่อแก้เกม ก็คงต้องรอดูว่าใครจะชิงความได้เปรียบเพื่อขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในตลาดอีวี 2025 กัน 

]]>
1505317
‘BYD’ ทำรายได้แซง ‘Tesla’ เป็นครั้งแรกใน Q3/2567 แม้ตลาด ‘จีน’ จะอยู่ในช่วงขาลง https://positioningmag.com/1496959 Fri, 01 Nov 2024 04:46:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1496959 ผลัดกันขึ้นเป็น เบอร์ 1 ในตลาด รถอีวี ในด้านจำนวนยอดขาย สำหรับค่าย บีวายดี (BYD) และ เทสล่า (Tesla) แต่ถ้าเป็นในด้านมูลค่ารายได้ BYD เพิ่งจะขึ้นแซง Tesla ได้เป็นครั้งแรก ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา แม้การแข่งขันจะดุเดือดก็ตาม

BYD ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนได้รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2567 โดยกวาดรายได้ถึง 28,240 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตขึ้น +24% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันกับปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่แซงหน้าคู่แข่งอย่าง Tesla ที่ทำรายได้ 25,180 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

แม้ว่าตลาดรถอีวีที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างจีนจะอยู่ในช่วง ขาลง แต่ BYD ยังคงรักษายอดขายได้อย่างแข็งแรง และสามารถทำยอดขายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนสิงหาคม โดยมียอดขายทะลุ 370,000 คัน เพิ่มขึ้น +30% โดยยอดขายประมาณครึ่งหนึ่งเป็นรถ ไฮบริด ในขณะที่รถยนต์ของ Tesla ยังเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% 

อย่างไรก็ตาม หากวัดในแง่ ผลกำไร Tesla ยังคงเป็นผู้นำ โดยมีกำไรสุทธิ 2,180 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 16.2% ขณะที่ BYD มีกําไรราว 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 11.5% และเมื่อวัดจากรายได้รวมทั้ง 3 ไตรมาส Tesla ยังคงเป็นเบอร์ 1 ด้วยรายได้รวม 75,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วน BYD อยู่ที่ 71,980 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ปัจจุบัน BYD เป็นหนึ่งในผู้ผลิต EV ที่โดดเด่นที่สุดในประเทศจีน โดย BYD ต้องสู้ทั้งศึกเพื่อนร่วมชาติ และสู้กับ Tesla ของ Elon Musk ที่ถือเป็นหนึ่งในคู่แข่งที่แข็งแกร่งที่สุด เพราะ Model Y ของ Tesla ยังคงเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่ขายดีที่สุดในประเทศจีนในเดือนกันยายน ส่วน Autohome Seagull ของ BYD ตามหลังในอันดับ 2

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการแข่งขันมีแต่จะดุเดือดมากขึ้น เนื่องจากภาษีศุลกากรของสหภาพยุโรปที่จะเก็บภาษีรถอีวีจากจีนเพิ่มสูงสุด 45.3% ซึ่งมีผลบังคับใช้ในสัปดาห์นี้ แม้ว่าจีนจะไม่เห็นด้วยก็ตาม

Source

]]>
1496959
มองอนาคต ‘Tesla’ ภายในปี 2029 รายได้หลักจะไม่ได้มาจากการขาย ‘รถอีวี’ แต่เป็น ‘ซอฟต์แวร์’ https://positioningmag.com/1495845 Mon, 28 Oct 2024 07:59:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1495845 แม้ภาพในปัจจุบันของ เทสลา (Tesla) ที่คนภายนอกมองจะเป็นบริษัทผู้ผลิตรถอีวี แต่ในมุมของนักลงทุน มองว่าอีกไม่กี่ปี รายได้หลักของบริษัทจะไม่ได้มาจากการขายรถ แต่เป็น ซอฟต์แวร์เอไอการขับขี่อัตโนมัติ

แม้ปัจจุบันรายได้ประมาณ 79% ของ Tesla มาจากการขายรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) แต่ Ark Investment Management ที่ลงทุนในหุ้นของ Tesla กลับประเมินว่า ภายในปี 2029 สัดส่วนรายได้ 86% ของ Tesla จะมาจากด้านอื่น ๆ ที่ไม่ใช่จากการขายรถอีวี ซึ่งก็คือ ซอฟต์แวร์ระบบการขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ (Full Self-Driving: FSD) ของบริษัท

โดย Cathie Wood หัวหน้าของ Ark Investment Management มองว่า ยอดขายรถอีวีของ Tela กำลังชะลอตัว โดยในปี 2023 มียอดจัดส่ง 1.8 ล้านคัน แต่ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2024 กลับมียอดจัดส่งเพียง 1.29 ล้านคัน ซึ่งลดลง 2.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่เปิดตัวรุ่น Model S ในปี 2011 แม้ว่าบริษัทจะลดราคาลงอย่างมาก เพื่อกระตุ้นตลาดแล้วก็ตาม

โดย Wood มองว่า ความต้องการในตลาดรถอีวีกําลังลดลง เนื่องจากท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ยากลําบาก ทำให้ผู้บริโภคเลือกที่จะรัดเข็มขัด อีกทั้งยังคงเลือกใช้รถยนต์สันดาปที่มีราคาถูกกว่า และมีข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐานน้อยกว่า 

นอกจากนี้ Tesla ยังต้องเจอกับการแข่งขันที่รุนแรงจาก ค่ายรถจีน ที่มีราคาถูกกว่า แม้ว่า Elon Musk ซีอีโอของ Tesla มีแผนจะสร้างรุ่นราคาประหยัดมาสู้ก็ตาม โดยคาดว่าจะเข้าสู่การผลิตในปี 2025 และขายในราคา 25,000 ดอลลาร์ แต่สุดท้ายแล้ว Musk ก็สั่งพับโครงการนี้ไป พร้อมกับประกาศว่า อนาคตของบริษัทอยู่ที่ ยานพาหนะอัตโนมัติ แทน 

โดยบริษัทได้เปิดตัว Cybercab เมื่อต้นเดือนนี้ ซึ่งเป็นรถโรโบแท็กซี่ที่ขับขี่ด้วยตัวเองโดยไม่มีพวงมาลัยหรือคันเร่ง ซึ่ง Cybercab จะทํางานบนซอฟต์แวร์ FSD ของ Tesla ซึ่งบริษัทได้พัฒนามาหลายปีแล้ว อย่างไรก็ตาม มันยังไม่ได้รับการอนุมัติสําหรับการใช้งานในสหรัฐอเมริกา และคนขับที่เป็นมนุษย์ต้องพร้อมที่จะรับช่วงต่อตลอดเวลา แต่จากข้อมูลที่รวบรวมจากการทดสอบเบต้า เป็นไปได้ว่า Cybercab ปลอดภัยกว่ารถยนต์ทั่วไปบนท้องถนนอยู่แล้ว

ตามรายงานความปลอดภัยของยานพาหนะรายไตรมาสล่าสุดของ Tesla พบว่า เกิดอุบัติเหตุ 1 ครั้ง ทุก ๆ 7 ล้านไมล์ เมื่อเทียบกับการเกิดอุบัติเหตุทุก ๆ 7 แสนไมล์โดยเฉลี่ยในสหรัฐอเมริกา หรืออาจแปลได้ว่า FSD นั้นปลอดภัยกว่ายานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยมนุษย์ถึง 10 เท่า และตามสถิติ ซอฟต์แวร์จะยิ่งเก่งขึ้น เนื่องจากโมเดล AI ที่ใช้อ้างอิงนั้นเรียนรู้จากข้อมูลใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง 

ปัจจุบัน Tesla กําลังสร้างกลุ่มชิปประมวลผลกราฟิก (GPU) 50,000 ชิ้นจาก Nvidia เพื่อฝึก FSD ต่อไป โดยบริษัทกําลังจะลงทุนมูลค่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูล AI ในปีนี้ ด้วยเหตุนี้ Musk จึงคาดหวังว่าซอฟต์แวร์จะได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกํากับดูแลสําหรับการใช้งานรถอัตโนมัติในที่สุด และอาจจําหน่ายในเท็กซัสในปีหน้า และอาจเป็นแคลิฟอร์เนีย ดังนั้น Tesla หมายมั่นปั้นมือกับระบบ FSD มาก และคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้จาก 3 วิธี ได้แก่

  1. ขายซอฟต์แวร์ให้กับผู้ที่ซื้อรถของเทสลา
  2. การออกใบอนุญาตซอฟต์แวร์ให้กับผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นโดยมีค่าธรรมเนียม
  3. ผ่านเครือข่ายการเรียกรถที่เทสลาสร้างขึ้นเอง ซึ่งจะช่วยให้ Cybercabs สามารถขนส่งผู้โดยสารได้ตลอดเวลา (เช่น Uber ยกเว้นไม่มีคนขับโดยสิ้นเชิง)

ทั้งนี้ ธุรกิจซอฟต์แวร์มักจะมีอัตรากําไรขั้นต้น 80% หรือมากกว่า ซึ่งสูงกว่าอัตรากําไรขั้นต้นปัจจุบันของ Tesla ที่ 19.8% ในพอร์ตโฟลิโอธุรกิจฮาร์ดแวร์ในปัจจุบัน ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ FSD มีโอกาสจะขึ้นมาเป็นรายได้หลักของบริษัทในอนาคต

โดยแบบจําลองทางการเงินของ Ark ชี้ให้เห็นว่า Tesla จะสร้างรายได้ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีภายในปี 2029 โดย FSD และ Cybercab คิดเป็นสัดส่วน 63% อย่างไรก็ตาม ด้วยอัตรากําไรที่สูง Ark เชื่อว่าผลิตภัณฑ์เหล่านั้นจะคิดเป็น 86% ของรายได้ที่คาดการณ์ไว้ 4.40 แสนล้านดอลลาร์ก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจําหน่าย (EBITDA)

Source

]]>
1495845
รถจีนพ่นพิษหนัก! ทำกำไร ‘เทสลา’ Q2 ลดฮวบ 45% แถมส่วนแบ่งตลาดใน ‘สหรัฐฯ’ ยังลดต่ำกว่า 50% เป็นครั้งแรก https://positioningmag.com/1484149 Thu, 25 Jul 2024 11:17:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484149 ดูเหมือนผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/2024 ของ เทสลา (Tesla) ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการนํารถยนต์ไฟฟ้ามาสู่ผู้ขับขี่ชาวอเมริกัน ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากคู่แข่งทั้งในและต่างประเทศ และเมื่อตลาดรถอีวีที่เติบโตเต็มที่ ส่งผลให้ความสนใจของผู้บริโภคก็ชะลอตัวลง

ผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2/2024 ของ เทสลา อยู่ที่ 25,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9.23 แสนล้านบาท) ซึ่งถือว่าเติบโตเล็กน้อยที่ 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม หากแยกเฉพาะ รายได้จากการขายรถยนต์ จะอยู่ที่ 19,878 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7.19 แสนล้านบาท) ลดลง -7% 

ในขณะที่ กำไร ของบริษัทยังลดลงมากถึง -45.32% เหลือเพียง 1,478 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.35 หมื่นล้านบาท) โดยบริษัทสามารถส่งมอบรถได้เพียง 443,956 คัน ลดลง -5% ขณะที่ การผลิตลดลง -14% เหลือเพียง 410,831 คันเท่านั้น บ่งชี้ให้เห็นว่ารถของบริษัทเป็นที่ต้องการน้อยลง

ปัจจัยที่ส่งผลต่อรายได้และกำไรของเทสลาหนีไม่พ้น การแข่งขันที่ดุเดือดขึ้น ทั้งจากผู้เล่นจาก โดย อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ซีอีโอ ยอมรับว่า รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ ที่ผลิตโดยแบรนด์อื่นมี ราคาถูก ทำให้ให้เทสลา ขายรถได้ยากขึ้น รวมไปถึงการเติบโตของตลาดที่ชะลอตัวลง เนื่องจาก ความสนใจของผู้บริโภคต่อรถอีวีลดน้อยลง

นอกจากนี้ บริษัทยัง ลดราคาสินค้า ในบางช่วง ซึ่งส่งผลต่ออัตรากำไร แม้ว่าบริษัทจะเลิกจ้างพนักงานกว่า 1.4 หมื่นคนทั่วโลก เพื่อลดต้นทุนแล้วก็ตาม โดยรวมแล้ว ในช่วงครึ่งปีแรก เทสลามียอดขายรถประมาณ 831,000 คันทั่วโลก ซึ่งยังห่างจากเป้าหมายทั้งปีที่วางไว้ 1.8 ล้านคัน

แต่ที่น่าสนใจคือ ส่วนแบ่งการขายรถยนต์ไฟฟ้าของเทสลาในสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 2 ลดลงเหลือต่ำกว่า 50% เป็นครั้งแรก โดยทาง The New York Times มองว่า เป็นผลมาจากการสนับสนุนการเมืองฝ่ายขวา หรือ โดนัล ทรัมป์ ส่งผลยอดให้จดทะเบียนใน รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งส่วนใหญ่สนับสนุนการเมืองฝั่งซ้าย ลดลง -24% 

Source

]]>
1484149
“Tesla” ถอยดีลลงทุน “อินเดีย” คาดเพราะการเงินไม่พร้อม-ยอดขายปีนี้ไม่เปรี้ยง https://positioningmag.com/1481486 Fri, 05 Jul 2024 07:46:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1481486 เทกันไปแบบเงียบๆ สำหรับดีล “Tesla” ที่เคยจ่อลงทุนใน “อินเดีย” แต่ล่าสุดความคืบหน้าคือไม่คืบหน้า คาดเป็นเพราะบริษัทมีปัญหาด้านแหล่งเงินทุน และยอดขายปีนี้หดตัวติดต่อกันมาสองไตรมาส รัฐบาลแดนภารตะหันหนุนผู้ผลิตรถอีวีในประเทศแทน

“อีลอน มัสก์” เจ้าของบริษัทรถอีวี “Tesla” ยกเลิกทริปไปเยือนประเทศอินเดียเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาอย่างกะทันหัน ล่าสุดสำนักข่าว Bloomberg รายงานจากแหล่งข่าวใกล้ชิดว่า หลังจากนั้นมา มัสก์ไม่มีการติดต่อรัฐบาลอินเดียเพื่อดำเนินเรื่องการไปเยือนหรือลงทุนต่อแต่อย่างใด

แหล่งข่าวยังกล่าวด้วยว่า ทางรัฐบาลอินเดียเข้าใจว่าการถอยจากดีลการลงทุนเกิดจาก Tesla เองมีปัญหาด้านแหล่งเงินทุน จึงไม่มีแผนที่จะลงทุนฐานผลิตแห่งใหม่ในอินเดียเร็วๆ นี้

ข่าวการล่าถอยจากแผนลงทุนอินเดียเกิดขึ้นต่อเนื่องหลัง Tesla ประกาศการส่งมอบรถทั่วโลกที่หดตัวลงต่อเนื่องสองไตรมาส หลังต้องเผชิญการแข่งขันสูงจากรถอีวีแบรนด์จีน โดยไตรมาสที่ 2 ของปีนี้บริษัทส่งมอบรถไป 4.43 แสนคันทั่วโลก หดตัวลง 4.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

การส่งมอบรถที่หดตัวของบริษัทมีสาเหตุอีกส่วนหนึ่งเกิดจากรถกระบะอีวี “Cybertruck” รถรุ่นใหม่ในรอบหลายปีของ Tesla ที่ออกวางจำหน่ายแล้วและได้รับความสนใจล้นหลาม แต่ไม่สามารถส่งมอบให้ลูกค้าได้ตามกำหนดเดิมที่จะต้องส่งมอบเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยบริษัทเองก็ไม่ได้แจ้งเหตุผลที่แน่ชัดกับลูกค้า

สัญญาณความสนใจของอีลอน มัสก์ต่อการลงทุนในอินเดียก่อนหน้านี้ เกิดจากนโยบายของอินเดียที่จะลดภาษีให้บริษัทผู้ผลิตรถอีวีต่างชาติหากเข้ามาลงทุนในประเทศเป็นมูลค่าอย่างน้อย 4.15 หมื่นล้านรูปี (ประมาณ 1.82 หมื่นล้านบาท) และดำเนินการผลิตได้ภายใน 3 ปีหลังเริ่มลงทุน

อย่างไรก็ดี แม้ Tesla จะถอยทัพไปแล้ว แต่ทางอินเดียไม่ได้สูญเสียมากนักเพราะรัฐบาลต้องการจะเน้นสนับสนุนผู้ผลิตรถอีวีภายในประเทศมากกว่าอยู่แล้ว นำโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ “Tata Motors” และ “Mahindra & Mahindra”

ตลาดรถอีวีในอินเดียถือว่ายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นมากๆ เพราะรถยนต์ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรีคิดเป็นสัดส่วนเพียง 1.3% ของตลาดรถอินเดียเมื่อปี 2023 ตามข้อมูลของ BloombergNEF เนื่องจากผู้บริโภคส่วนมากยังลังเลที่จะเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า จากค่าใช้จ่ายการซื้อรถที่สูงกว่ารถสันดาปและในอินเดียยังหาสถานีชาร์จไฟฟ้าได้ยาก

ที่มา: The Economics Times, CNBC, Robb Report

]]>
1481486
ประเมิน ‘BYD’ จะแซง ‘Tesla’ ขึ้นเบอร์ 1 ตลาดรถอีวีได้อีกครั้งในปีนี้ https://positioningmag.com/1481087 Wed, 03 Jul 2024 09:33:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1481087 กำลังเป็นประเด็นร้อนในไทยเลยสำหรับแบรนด์ บีวายดี (BYD) จากจีน ที่ประกาศลดรถราคากว่า 340,000 บาท เพื่อฉลองเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ BYD ครั้งแรกในประเทศไทย สำหรับตลาดโลกเอง บีวายดีก็เดินหน้าเติบโตต่อเนื่อง โดยมีการประเมินว่าปีนี้ BYD จะแซง Tesla เป็นเบอร์ 1 ได้อีกรอบ

ตามรายงานของ Counterpoint Research คาดว่า BYD จะแซงหน้า Tesla ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของตลาดรถอีวี (BEV) หลังจากที่ยอดขายในไตรมาส 2/2024 พุ่งขึ้นเกือบ +21% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา มีจำนวนอยู่ที่ 426,039 คัน ส่วนยอดขายของ Tesla ในไตรมาสที่ 2 ลดลง -4.8% เหลือ 443,956 คัน

โดยปัจจุบัน BYD ถือเป็นผู้นำในตลาด จีน โดยเฉพาะในกลุ่มรถ BEV หรือ รถไฟฟ้าล้วน โดย Counterpoint Research คาดว่า ยอดขายรถ BEV ของจีนจะสูงกว่ายอดขายในอเมริกาเหนือถึง 4 เท่า ในปี 2024 โดยคาดว่า จีนจะยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 50% ของยอดขาย BEV ทั่วโลก จนถึงปี 2027 และยอดขาย BEV ในจีนคาดว่าจะแซงหน้ายอดขายรวมของอเมริกาเหนือและยุโรปในปี 2030

ย้อนไปในปีที่ผ่านมา ยอดการผลิตทั้งหมดของ BYD ที่มีทั้งรถอีวี และรถไฮบริด รวมแล้วมีจำนวนมากกว่า 3 ล้านคัน และแซงหน้ายอดการผลิตของ Tesla ซึ่งอยู่ที่ 1.84 ล้านคัน เป็นปีที่สองติดต่อกัน อย่างไรก็ตาม หากแยกเฉพาะรถอีวี (BEV) อยู่ที่ 1.6 ล้านคัน ส่วนรถยนต์ไฮบริด 1.4 ล้านคัน ส่งผลให้ Tesla ยังคงครองเบอร์ 1 ในตลาด BEV

แม้ภาพรวมทั้งปีของ BYD จะยังสู้ Tesla ไม่ได้ แต่ก็เคยแซงหน้าเป็นครั้งแรกในช่วงไตรมาส 4/2023 แต่ก็ถูก Tesla กลับมายึดตำแหน่งคืนในช่วงไตรมาส 1/2024

อย่างไรก็ตาม อาจต้องจับตาประเด็นที่ สหภาพยุโรปจัดเก็บภาษีเพิ่มเติมต่อค่ายรถอีวีจีน เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่อาจสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมของสหภาพยุโรปได้อย่างชัดเจนและคาดการณ์ได้ในอนาคตอันใกล้นี้ ทำให้ BYD จะต้องเสียภาษีเพิ่มเติม 17.4% ส่วน Geely จะต้องเสียภาษีเพิ่มอีก 20% ส่วน SAIC จะต้องเสียภาษีเพิ่มอีก 38.1% ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงที่สุดในสามอัตรานี้ นอกเหนือจากภาษีมาตรฐาน 10% ที่เรียกเก็บกับรถยนต์ไฟฟ้านำเข้าแล้ว และจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม หากการหารือกับทางการจีนไม่สามารถหาข้อยุติได้

“อัตราภาษีใหม่ของสหภาพยุโรปสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเท่าเทียมให้กับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรป ซึ่งกำลังดิ้นรนเพื่อแข่งขันกับการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนที่มีราคาต่ำกว่า ภาษีเหล่านี้อาจผลักดันให้ผู้ผลิตรถยนต์จีนหันไปขยายตลาดเกิดใหม่ เช่น ตะวันออกกลางและแอฟริกา ละตินอเมริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ลิซ ลี รองผู้อำนวยการของ Counterpoint Research กล่าว

ทั้งนี้ รายงานประเมินว่าปีนี้ ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกจะสูงถึง 10 ล้านคัน ซึ่งสอดคล้องกับการลดลงอย่างต่อเนื่องของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน การเติบโตนี้จะได้รับการสนับสนุนจากความพยายามที่มุ่งเน้นในการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านต้นทุนและความคุ้มราคาสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า

Source

]]>
1481087
‘เทสลา’ สั่งยุบแผนก ‘Supercharger’ พร้อมลอยแพทีม 500 คน หลังกำไรไตรมาสแรกลดเหลือครึ่งเดียว https://positioningmag.com/1471739 Wed, 01 May 2024 06:58:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471739 เพราะการแข่งขันในตลาดที่ทวีความรุนแรง ทำให้ เทสลา (Tesa) ทำทุกวิถีทางเพื่อลดต้นทุนบริษัทให้ได้มากที่สุด และหนึ่งในนั้นก็คือ การลดจำนวนพนักงาน โดยล่าสุด บริษัทได้ปิดแผนก Supercharger และ แผนกนโยบายสาธารณะ

มีการเปิดเผยว่า อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ได้ส่งอีเมลถึงผู้จัดการเทสลา เพื่อประกาศการลาออกของ 2 ผู้บริหารหลัก ได้แก่ รีเบคก้า ตินุค (Rebecca Tinucci) ผู้อำนวยการอาวุโสของฝ่ายอีวีชาร์จจิง และ ดาเนียล โฮ (Daniel Ho) ผู้อำนวยการฝ่ายโครงการยานพาหนะ 

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ยุบแผนก Supercharger ซึ่งส่งผลกระทบต่อพนักงานประมาณ 500 คนในทีม และพนักงานอื่น ๆ ที่ทำงานตรงกับโฮจะต้องถูกให้ออกด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ บริษัทยังยุบทีมนโยบายสาธารณะอีกด้วย ซึ่งแหล่งข่าวพนักงานปัจจุบันและอดีตได้เปิดเผยกับ CNBC ว่า เทสลาเริ่มเลิกจ้างพนักงานบางส่วนตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมกราคม และเริ่มเลิกจ้างมากขึ้นในเดือนนี้

สำหรับการเลิกจ้างงานที่กําลังดําเนินอยู่ ถือเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการลดต้นทุนครั้งใหญ่ หลังจากที่รายได้บริษัท Q1/2024 ลดลง 9% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับปีนับตั้งแต่ปี 2012 ขณะที่ กำไรลดลงถึงครึ่งหนึ่ง เนื่องจากเทสลาลดราคารถยนต์และออกมาตรการเพื่อกระตุ้นความต้องการ

โดยหลังจากที่มีข่าวว่าเทสลาปรับลดพนักงานในครั้งนี้ ส่งผลให้หุ้นเทสลาร่วงลงเกือบ 6%  และนับตั้งแต่ต้นปี มูลค่าหุ้นของเทสลาลดลงถึง 26% จนถึงปัจจุบัน

Source

]]>
1471739