กำลังเป็นประเด็นร้อนในไทยเลยสำหรับแบรนด์ บีวายดี (BYD) จากจีน ที่ประกาศลดรถราคากว่า 340,000 บาท เพื่อฉลองเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ BYD ครั้งแรกในประเทศไทย สำหรับตลาดโลกเอง บีวายดีก็เดินหน้าเติบโตต่อเนื่อง โดยมีการประเมินว่าปีนี้ BYD จะแซง Tesla เป็นเบอร์ 1 ได้อีกรอบ
ตามรายงานของ Counterpoint Research คาดว่า BYD จะแซงหน้า Tesla ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของตลาดรถอีวี (BEV) หลังจากที่ยอดขายในไตรมาส 2/2024 พุ่งขึ้นเกือบ +21% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา มีจำนวนอยู่ที่ 426,039 คัน ส่วนยอดขายของ Tesla ในไตรมาสที่ 2 ลดลง -4.8% เหลือ 443,956 คัน
โดยปัจจุบัน BYD ถือเป็นผู้นำในตลาด จีน โดยเฉพาะในกลุ่มรถ BEV หรือ รถไฟฟ้าล้วน โดย Counterpoint Research คาดว่า ยอดขายรถ BEV ของจีนจะสูงกว่ายอดขายในอเมริกาเหนือถึง 4 เท่า ในปี 2024 โดยคาดว่า จีนจะยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 50% ของยอดขาย BEV ทั่วโลก จนถึงปี 2027 และยอดขาย BEV ในจีนคาดว่าจะแซงหน้ายอดขายรวมของอเมริกาเหนือและยุโรปในปี 2030
ย้อนไปในปีที่ผ่านมา ยอดการผลิตทั้งหมดของ BYD ที่มีทั้งรถอีวี และรถไฮบริด รวมแล้วมีจำนวนมากกว่า 3 ล้านคัน และแซงหน้ายอดการผลิตของ Tesla ซึ่งอยู่ที่ 1.84 ล้านคัน เป็นปีที่สองติดต่อกัน อย่างไรก็ตาม หากแยกเฉพาะรถอีวี (BEV) อยู่ที่ 1.6 ล้านคัน ส่วนรถยนต์ไฮบริด 1.4 ล้านคัน ส่งผลให้ Tesla ยังคงครองเบอร์ 1 ในตลาด BEV
แม้ภาพรวมทั้งปีของ BYD จะยังสู้ Tesla ไม่ได้ แต่ก็เคยแซงหน้าเป็นครั้งแรกในช่วงไตรมาส 4/2023 แต่ก็ถูก Tesla กลับมายึดตำแหน่งคืนในช่วงไตรมาส 1/2024
อย่างไรก็ตาม อาจต้องจับตาประเด็นที่ สหภาพยุโรปจัดเก็บภาษีเพิ่มเติมต่อค่ายรถอีวีจีน เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่อาจสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมของสหภาพยุโรปได้อย่างชัดเจนและคาดการณ์ได้ในอนาคตอันใกล้นี้ ทำให้ BYD จะต้องเสียภาษีเพิ่มเติม 17.4% ส่วน Geely จะต้องเสียภาษีเพิ่มอีก 20% ส่วน SAIC จะต้องเสียภาษีเพิ่มอีก 38.1% ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงที่สุดในสามอัตรานี้ นอกเหนือจากภาษีมาตรฐาน 10% ที่เรียกเก็บกับรถยนต์ไฟฟ้านำเข้าแล้ว และจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม หากการหารือกับทางการจีนไม่สามารถหาข้อยุติได้
“อัตราภาษีใหม่ของสหภาพยุโรปสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเท่าเทียมให้กับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรป ซึ่งกำลังดิ้นรนเพื่อแข่งขันกับการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนที่มีราคาต่ำกว่า ภาษีเหล่านี้อาจผลักดันให้ผู้ผลิตรถยนต์จีนหันไปขยายตลาดเกิดใหม่ เช่น ตะวันออกกลางและแอฟริกา ละตินอเมริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์” ลิซ ลี รองผู้อำนวยการของ Counterpoint Research กล่าว
ทั้งนี้ รายงานประเมินว่าปีนี้ ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกจะสูงถึง 10 ล้านคัน ซึ่งสอดคล้องกับการลดลงอย่างต่อเนื่องของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน การเติบโตนี้จะได้รับการสนับสนุนจากความพยายามที่มุ่งเน้นในการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านต้นทุนและความคุ้มราคาสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า