TikTok – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 13 Dec 2024 06:53:36 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สรุปมหากาพย์ ‘สหรัฐฯ’ แบน ‘TikTok’ ที่กำลังเข้าสู่บทสรุปสุดท้าย! https://positioningmag.com/1503039 Thu, 12 Dec 2024 11:37:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1503039 อย่างที่หลายคนรู้ TikTok ถือเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก แถมยังเป็นแพลตฟอร์มจาก จีน ที่สามารถชนะใจโลกตะวันตก แต่นับตั้งแต่ปี 2020 เราจะเห็นข่าวการ แบน TikTok โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา จนในที่สุด มหากาพย์การแบนก็มาถึงบทสรุปในปี 2024 นี้ ดังนั้น Positioning จะพามาย้อนรอยเรื่องราว และทางเลือกของ TikTok จากนี้จะเป็นอย่างไร ใครจะได้ประโยชน์จากการแบนครั้งนี้

เริ่มจากทรัมป์

ย้อนไปในปี 2020 หลังจากที่ อินเดีย ได้ แบน TikTok ด้วยข้อหา ภัยความมั่นคง จากนั้น โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในขณะนั้นก็เริ่มส่งสัญญาณการแบน TikTok โดยให้เหตุผลว่า “การใช้แอปพลิเคชันที่พัฒนาโดยจีนอย่างแพร่หลายในสหรัฐอเมริกา ถือป็นความเสี่ยงต่อความมั่นคงของชาติ” 

ส่งผลให้ทางบริษัท ByteDance จึงเริ่มวางแผนจะขายหุ้นบางส่วนของบริษัทฝั่งสหรัฐฯ ให้กับผู้ถือหุ้นอเมริกัน เพื่อป้องกันการถูกแบน โดยในตอนนั้นมีบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลายรายให้ความสนใจ โดยเฉพาะ ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ที่ดูมีโอกาสใกล้เคียงที่สุด 

แต่ถึงอย่างนั้น รัฐบาลจีน ก็ดูเหมือนจะอยากให้ TikTok ไปอยู่ในมือบริษัทสัญชาติสหรัฐฯ เพราะหลังมีข่าวเรื่องดีลขาย TikTok กระทรวงพาณิชย์จีนก็ได้เพิ่มข้อกำหนด AI เข้าไปอยู่ในรายการผลิตภัณฑ์ควบคุมการส่งออก ส่งผลให้ ByteDance ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลจีนก่อน และผู้ที่ซื้อจะไม่ได้อัลกอริทึม AI ของ TikTok ที่ถือเป็นจุดแข็งของแพลตฟอร์ม ส่งผลให้ดีลการซื้อขายก็ล่มไป 

อีเวนต์หาเสียงของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่ทัลซา โอคลาโฮมา คืนวันที่ 20 มิถุนายน 2020 (Photo : Twitter@realDonaldTrump)

CEO ยันบริษัทไม่ได้ถูกรัฐบาลจีนคุม

จนกระทั่งในเดือนมิถุนายน 2021 ที่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนไปอยู่ในมือของ โจ ไบเดน ซึ่งได้เซ็นคำสั่งพิเศษให้ ปลดแบน ออกไปก่อน แต่ก็ได้สั่งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สืบสวนว่า แพลตฟอร์มมีความเสี่ยงจะเป็น ภัยต่อความมั่นคงของชาติสหรัฐฯ หรือไม่

ขณะเดียวกัน TikTok เองก็ยืนยันว่าไม่ได้มีการนำส่งข้อมูลของผู้ใช้ในสหรัฐฯ ให้กับรัฐบาลจีน โดยทาง Shou Zi Chew ซีอีโอ TikTok ได้ออกมาแถลงยืนยันต่อหน้าการไต่สวนจากรัฐสภาสหรัฐฯ ในเดือน มี.ค. 2023 ว่า บริษัทไม่ได้ตกอยู่ภายใต้หรือถูกควบคุมโดยรัฐบาลจีน เป็นเพียงบริษัทเอกชนเท่านั้น

นอกจากนี้ แพลตฟอร์มยังได้ใช้เงินไปประมาณ 1.5 พันล้านดอลลาร์ใน Project Texas เพื่อเก็บข้อมูลผู้ใช้ของสหรัฐฯ ไว้ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น อีกทั้งยังยอมให้รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลที่รัฐบาลสหรัฐฯ เห็นชอบ 3 คน เพื่อเข้ามาสอดส่องโครงการนี้ได้

เคาะต้องขายหรือจะปิด

แม้จะพยายามทำทุกทาง แต่บรรดาส.ส.สหรัฐฯ มองว่า การที่ ByteDance เป็นบริษัทจีน และอยู่ภายใต้กฎหมายของรัฐบาลจีน ก็ยังสุ่มเสี่ยงที่บริษัทอาจส่งข้อมูลใน TikTok ให้กับทางการจีน 

จนท้ายที่สุด สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกาได้ผ่านร่างกฎหมายคุ้มครองชาวอเมริกันจากแอปพลิเคชันที่รัฐศัตรูต่างชาติควบคุม (Protecting Americans from Foreign Adversary Controlled Applications Act) หรือชื่อเล่นว่ากฎหมายแบน TikTok ในเดือนมีนาคม 2024 ซึ่งจะ บังคับให้ ByteDance ที่เป็นบริษัทแม่ต้องขาย TikTok ให้ธุรกิจในสหรัฐฯ ไม่เช่นนั้นจะถูกแบนจากทุกแพลตฟอร์ม ภายใน 6 เดือน ส่งผลให้ ByteDance มีเวลาถึงวันที่ 19 มกราคม ปี 2025

โดนัลด์ ทรัมป์ ความหวังสุดท้าย?

แน่นอนว่า TikTok ไม่ยอมโดนแบนง่าย ๆ โดยได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาก่อนที่การห้ามจะมีผลในต้นปีหน้า อย่างไรก็ตาม แม้ว่าศาลปฏิเสธคำอุทธรณ์ แต่ TikTok ก็ยืนยันสู้ต่อในศาลสูงสุด

โดยหลายคนมองว่า TikTok พยายามจะยื้อจนกว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 20 มกราคม ซึ่งอาจเป็น ความหวังเดียว ที่จะทำให้ TikTok รอด เพราะแม้ต้นตอที่ทำให้ TikTok ถูกแบนในตลาดสหรัฐฯ ก็คือทรัมป์ แต่ในช่วงที่เขาหาเสียงเลือกตั้ง ทรัมป์กลับบอกว่า ไม่เห็นด้วยกับการแบน TikTok และถ้าเขาได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีเขาจะ ไม่อนุญาตให้การแบน TikTok

แบน TikTok
ทั้งโดนัลด์ ทรัมป์ และ กมลา แฮร์ริสต่างก็เปิดบัญชี TikTok เพื่อใช้หาเสียง

ByteDance จะเสียอะไร และใครจะได้ประโยชน์

แน่นอนว่าตลาดสหรัฐฯ ถือเป็นตลาดที่สำคัญมากของ TikTok เพราะด้วยจำนวนผู้ใช้ที่สูงถึงกว่า 170 ล้านคน และถือเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่มีกำลังซื้อมากที่สุดในโลก ทำให้ในปีที่ผ่านมา TikTok พึ่งจะเปิดตัวฟีเจอร์ TikTok Shop ไปหมาด ๆ พร้อมกับวางเป้าหมายที่จะมียอดขายสินค้าออนไลน์รวม (GMV) ให้ได้มากถึง 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐอีกด้วย ดังนั้น ถ้า TikTok ถูกแบน แปลว่าต้องเสียรายได้มหาศาล

ขณะเดียวกัน แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ที่มีฟีเจอร์ วิดีโอสั้น ก็จะได้ประโยชน์ไปเต็ม ๆ เนื่องจากคู่แข่งตัวฉกาจได้หายไป ทำให้เหล่าครีเอเตอร์ TikTok ต้องย้ายไปยังแพลตฟอร์มที่เหลือ ซึ่งก็จะช่วยดึงดูดผู้ใช้และผู้ลงโฆษณา

จะเห็นได้จากที่หุ้น Meta พุ่งขึ้น +2.4% หลังจากที่มีข่าว TikTok ถูกแบน เพราะ Meta เองก็มีฟีเจอร์ Reels ที่แม้ Meta จะไม่เคยเปิดเผยถึงรายได้จาก Reels แต่ก็มีการระบุว่า Reels ส่งผลเชิงบวกต่อรายได้โดยรวมของ Meta และในช่วงไตรมาสแรกของปี 2024 การใช้งาน Reels คิดเป็น 50% ของเวลาที่ผู้ใช้ใช้บน Instagram เช่นเดียวกันกับ YouTube ที่มีทั้งวิดีโอยาวและ YouTube Shorts วิดีโอสั้น ราคาหุ้นก็พุ่ง +1.25%

]]>
1503039
“TikTok” เปิดแคมเปญ “Mindful Makers” ดึงครีเอเตอร์ดังทำคอนเทนต์ “สุขภาพจิต” ดูแลใจเยาวชน https://positioningmag.com/1495583 Fri, 25 Oct 2024 05:59:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1495583
  • เยาวชนไทย 85% ใช้สื่อสังคมออนไลน์หาข้อมูลเรื่องที่สนใจ ทำให้การเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องในโซเชียลมีเดียเป็นประเด็นสำคัญ
  • จิตแพทย์เด็กเผยสถิติ 10% ของเยาวชนไทยวัยต่ำกว่า 18 ปีเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า และ 17% เสี่ยงฆ่าตัวตาย
    • TikTok จึงเปิดตัวแคมเปญ Mindful Makers รวมครีเอเตอร์และผู้เชี่ยวชาญทำคอนเทนต์ส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับ “สุขภาพจิต” และสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เยาวชน

    ยุคนี้โซเชียลมีเดียกลายเป็นสิ่งที่เข้ามามีอิทธิพลต่อผู้คนมากขึ้นโดยเฉพาะกับกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ จากข้อมูลการสำรวจผ่านแบบสอบถามของ lovefrankie (ครีเอทีฟเอเจนซี่ที่มุ่งแก้ไขปัญหาการพัฒนาสังคม เพื่อพัฒนาสังคม) สำรวจกลุ่มตัวอย่างเยาวชนไทยจำนวน 500 คน (อายุ 16-24 ปี) โดยมีสัดส่วนเพศชายและหญิงเท่ากัน ในประเด็นด้าน “สุขภาพจิต” ของเยาวชนไทย

    การสำรวจนี้พบว่า เยาวชนส่วนใหญ่ให้คุณค่ากับคอนเทนต์ที่สร้างแรงสนับสนุนทางอารมณ์และความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน รวมถึงคอนเทนต์ที่แบ่งปันเรื่องราวจากชีวิตจริง สร้างการมีส่วนร่วมในรูปแบบที่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน นอกจากนี้เยาวชนยังแสดงออกว่ามีความต้องการข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน และเชื่อถือได้ผ่านโซเชียลมีเดีย

    ผลการสำรวจยังพบว่า 85% ของผู้ตอบแบบสอบถามใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นที่ตนสนใจอีกด้วย ทำให้การเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือในโลกโซเชียลมีเดียถือเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องตระหนักและให้ความสำคัญอย่างมาก เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและสนับสนุนด้านสุขภาพจิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

    เยาวชนไทย 10% เสี่ยงซึมเศร้า 17% เสี่ยงฆ่าตัวตาย

    ปัญหาสุขภาพจิต เป็นปัญหาระดับโลกที่ไม่เคยมีอัตราตัวเลขลดลงเลยในช่วง 34 ปีที่ผ่านมา จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกเปิดเผยว่า 1 ใน 8 ของผู้คนทั่วโลกกำลังมีปัญหาด้านสุขภาพจิต โดยทุกๆ 40 วินาที ในโลกนี้จะมีคนฆ่าตัวตาย 1 คน

    ‘ดร.นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์’ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น รองโฆษกกระทรวงสาธารณสุข และ TikTok Safety Advisory Councils เปิดเผยว่า ปัญหาด้านสุขภาพจิตของเยาวชนไทยมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นทุกปี จากข้อมูลการสำรวจของกรมสุขภาพจิตระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-ตุลาคม 2567 พบว่า ในไทยมีเยาวชนไทยวัยต่ำกว่า 18 ปีราว 500,000 คน มากกว่า 10% ในจำนวนนี้หรือคิดเป็นประมาณ 50,000 คนมีความเสี่ยงเป็นโรคซีมเศร้า และอีก 17% หรือราว 80,000 คน มีความเสี่ยงในการฆ่าตัวตาย 

    ดร.นพ.วรตม์กล่าวด้วยว่า กลุ่มเด็กวัยรุ่นนั้นเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบทางลบต่อจิตใจสูงกว่าวัยอื่น เนื่องจากเป็นวัยที่โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิต ทำให้การใช้สื่อในเชิงบวกและปลอดภัยจะส่งผลดีต่อสุขภาพจิตของคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะกับกลุ่มวัยรุ่นที่มีความเปราะบางมากกว่า

    ดังนั้น พ่อแม่ ผู้ปกครอง ควรมีความรับผิดชอบในการดูแลการเลือกรับชมสื่อของเด็กๆ อีกทั้งครีเอเตอร์และผู้ผลิตสื่อทุกคนก็ควรให้ความสำคัญต่อการผลิตคอนเทนต์อย่างมีความรับผิดชอบ โดยการช่วยกันสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่จะช่วยสร้างการตระหนักรู้เรื่องการดูแลสุขภาพจิตด้วยตัวเอง ตลอดจนถึงการเอาใจใส่คนรอบข้างและคนที่เราพบเจอบนโลกออนไลน์ เพื่อสร้างสังคมออนไลน์ให้เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความสุขสำหรับทุกคน

    ‘Mindful Makers’ แคมเปญจาก ‘TikTok’ เพื่อดูแล ‘สุขภาพจิต’

    TikTok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมาแรงแห่งยุคจึงต้องการจะช่วยสร้างสังคมออนไลน์ที่ดีต่อสุขภาพจิตมากขึ้น ‘ชนิดา คล้ายพันธ์’ Head of Public Policy, Thailand กล่าวว่า มีผู้คนนับล้านเข้ามาที่ TikTok ทุกวันเพื่อแบ่งปันและค้นหาคอมมูนิตี้ที่ตรงกับความสนใจ ซึ่งหนึ่งในประเด็นที่มีการค้นหาข้อมูลนั้นเกี่ยวข้องกับด้าน “สุขภาพจิตTikTok พบว่ามีผู้ใช้เข้ามาค้นหาแหล่งข้อมูลในด้านนี้บนแพลตฟอร์มถึงกว่า 500,000 คนต่อเดือน

    เหตุนี้ TikTok จึงต้องการจะสร้างความมั่นใจว่าผู้ใช้แพลตฟอร์มจะได้รับข้อมูลที่เชื่อถือได้บนแพลตฟอร์มนี้ผ่านการเปิดตัวแคมเปญ ‘Mindful Makers‘ โครงการที่ช่วยส่งเสริมการตระหนักรู้และทักษะความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพจิตผ่านชุมชนออนไลน์

    Mindful Makers จะมีการรวบรวมครีเอเตอร์ชั้นนำและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตมาร่วมสร้างพื้นที่สร้างสรรค์และปลอดภัย โดย TikTok จับมือกับกับ “กระทรวงสาธารณสุข” ของประเทศไทย แอปพลิเคชัน “SATI” และเครือข่ายผู้สร้างคอนเทนต์เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ เพื่อส่งเสริมการนำคอนเทนต์ที่น่าสนใจและเชื่อถือได้เกี่ยวกับสุขภาวะทางจิตใจเข้าสู่แพลตฟอร์ม

    ในโครงการนี้ TikTok มีการเชิญเหล่าครีเอเตอร์ที่จะมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์และเผยแพร่ข้อมูลด้านสุขภาพจิตที่เชื่อถือได้มากมาย เช่น หนึ่ง-ปฐมาภรณ์ ตันจั่นพงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการไลฟ์สตรีมมิ่ง และเจ้าของช่อง @this.is.neung , แจน-วรินรำไพ ไตรพัชรพัฒน์ เจ้าของช่อง @janjanuary1 นอกจากนี้ยังมีครีเอเตอร์ภายใต้โครงการอีกหลายท่าน ได้แก่ @ppeachy28 @dr.tangmakkaporn @tam.kulissara @caraunited และ @kruyuy.supaporn เป็นต้น

    ทั้งนี้ โครงการ Mindful Makers โดย TikTok ก่อตั้งขึ้นในฐานะโครงการริเริ่มระดับชาติในประเทศไทย ที่มีความร่วมมือกับองค์การอนามัยโลก (WHO – World Health Organization) โดยมีเป้าหมายเพื่อมอบข้อมูลด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้และมีหลักฐานอ้างอิงแก่ผู้คน 

    ]]>
    1495583
    TikTok กำลังเลิกจ้างพนักงานหลายร้อยคน หลังมีการใช้ AI เข้ามาช่วยกรองเนื้อหามากขึ้น https://positioningmag.com/1494209 Sun, 13 Oct 2024 06:20:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1494209 ไบต์แดนซ์ (ByteDance) บริษัทแม่ของ TikTok ที่มีพนักงานมากกว่า 110,000 คน และมีสาขาตั้งอยู่ในกว่า 200 เมืองทั่วโลก ประกาศว่ากำลังเลิกจ้างพนักงานหลายร้อยคนทั่วโลก รวมถึงพนักงานในมาเลเซีย เนื่องจากบริษัทกำลังใช้ AI ในการกลั่นกรองเนื้อหาคอนเทนต์มากขึ้น

    การประกาศเลิกจ้างในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนในการปรับปรุงระบบการควบคุมดูแลให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดย TikTok นำระบบตรวจสอบเนื้อหาที่ใช้เทคโนโลยี AI มาใช้ในการตรวจสอบเนื้อหาที่ผู้ใช้โพสต์บนแพลตฟอร์มมากขึ้น

    โฆษกของ TikTok กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาระบบการควบคุมเนื้อหาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งบริษัทมีแผนการลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์ ในการยกระดับมาตรฐานความน่าเชื่อถือ และความปลอดภัยของแพลตฟอร์มในปีนี้

    บริษัทฯ จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาระบบตรวจจับเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยปัจจุบันเนื้อหาที่ละเมิดแนวปฏิบัติ 80% จะถูกลบออกโดยอัตโนมัติ

    ทั้งนี้การประกาศเลิกจ้างนั้นเกิดขึ้น ท่ามกลางแรงกดดันด้านกฎระเบียบด้านเทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในมาเลเซีย ที่รัฐบาลของมาเลเซียได้ขอให้บริษัทแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ต้องทำการยื่นขอใบอนุญาตในการดำเนินงาน

    ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการในการจัดการกับอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการฉ้อโกงออนไลน์ อาชญากรรมทางเพศต่อเด็ก และการกลั่นแกล้งทางอินเทอร์เน็ต ทำให้มีผลกระทบต่อการปรับโครงสร้างองค์กรของบริษัทเทคโนโลยีและนำมาสู่การตัดสินใจเลิกจ้างในครั้งนี้ ทำให้จะมีพนักงานมาเลเซียราว 500 คนที่จะได้รับผลกระทบดังกล่าว

    ที่มา : ABC Australia

    ]]>
    1494209
    หรือไม่ต้องแล้วก็ได้? ผลสำรวจพบคนอเมริกันสนับสนุนนโยบาย “แบน TikTok” น้อยลง https://positioningmag.com/1489089 Fri, 06 Sep 2024 13:24:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1489089 ผลสำรวจพบคนอเมริกันเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบาย “แบน TikTok” จากเมื่อ 18 เดือนก่อนมีถึงครึ่งหนึ่งที่พร้อมสนับสนุน แต่ปัจจุบันคนที่ยังสนับสนุนอยู่ลดเหลือเพียง 32%

    สำนักข่าว Bloomberg รายงานผลสำรวจจาก Pew Research ที่ออกมาเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2024 พบว่า คนอเมริกันวัยผู้ใหญ่ที่ทำการสำรวจมีเพียง 32% ที่สนับสนุนนโยบาย “แบน TikTok” ลดลงจากผลสำรวจเมื่อเดือนมีนาคม 2023 ที่มีถึง 50% ที่ต้องการให้แบน

    นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบด้วยว่า 50% ของคนอเมริกันปัจจุบันคิดว่าการแบน TikTok ‘อาจจะหรือไม่น่าจะเกิดขึ้นจริงได้’

    ในการสำรวจนี้ Pew เก็บตัวอย่างสำรวจจากผู้ใหญ่อเมริกัน 10,658 คน ระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม – 4 สิงหาคม 2024

    ผลสำรวจนี้ทำให้เห็นว่า คนอเมริกันเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับ TikTok ไปแล้วในรอบ 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา โดยประเด็นการแบน TikTok ปะทุขึ้นหลังประธานาธิบดี โจ ไบเดน เซ็นกฎหมายที่บีบให้ ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok จะต้องขายหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทออกมา หรือมิฉะนั้นจะถูกแบนการใช้งานในประเทศสหรัฐฯ เหตุที่รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการจะแบน TikTok เพราะหวั่นเกรงว่าความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของชาวอเมริกันจะลดลงเพราะแอปพลิเคชันนี้มีเจ้าของเป็นบริษัทจีน

    แบน TikTok
    ทั้งโดนัลด์ ทรัมป์ และ กมลา แฮร์ริสต่างก็เปิดบัญชี TikTok เพื่อใช้หาเสียง

    อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจไม่ได้ถามเจาะจงว่าทำไมชาวอเมริกันจึงเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับการแบน TikTok แต่จะเห็นได้ว่าปัจจุบันไม่ได้มีแต่ชาวบ้านทั่วไปที่เปลี่ยนความคิด เพราะแม้แต่นักการเมืองอเมริกันก็หันมาใช้โซเชียลมีเดียนี้ในการสื่อสารและหาเสียง

    อดีตประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ผู้เคยพยายามจะแบน TikTok มาแล้วระหว่างดำรงตำแหน่งในช่วงปี 2020 ล่าสุดดูเหมือนทรัมป์จะเปลี่ยนความคิดแล้วเพราะเขาเพิ่งจะเปิดบัญชี TikTok ไปเมื่อช่วงต้นปี 2024 ด้านคู่แข่งของทรัมป์คือ “กมลา แฮร์ริส” เองก็มีบัญชี TikTok เหมือนกัน และใช้ช่องทางนี้ในการหาเสียง

    ในการสำรวจครั้งนี้ของ Pew มีการแบ่งกลุ่มผู้ถูกสำรวจตามจุดยืนทางการเมืองด้วย โดยพบว่าคนอเมริกันที่เลือกพรรครีพับลิกันหรือมีแนวโน้มจะเลือกรีพับลิกันมักจะมองว่า TikTok เป็นภัยความมั่นคงของชาติมากกว่า พวกเขามีแนวโน้มจะสนับสนุนนโยบาย “แบน TikTok” มากกว่าผู้ที่เลือกพรรคเดโมแครตถึง 2 เท่า อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมแล้วผู้ที่สนับสนุนการแบน TikTok นั้นลดลงเกือบ 20% ใกล้เคียงกันทั้งสองขั้วการเมือง

    ไทม์ไลน์ทางกฎหมายเส้นตายที่ ByteDance จะต้องขาย TikTok ออกไปนั้นคือเดือนมกราคม 2025 และเส้นตายนั้นจะสามารถขอขยายได้อีก 90 วันหากดีลการขายดูเหมือนอยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินการ นอกจากนี้ การต่อสู้ทางกฎหมายของ TikTok ก็อาจจะทำให้การแบนจริงขยายเวลาออกไปอีกได้

    Source

    ]]>
    1489089
    ยกแผง! “CapCut” – “Lemon8” อีกสองแอปฯ ดังของ ByteDance อาจโดนแบนในสหรัฐฯ ตาม TikTok https://positioningmag.com/1477227 Sat, 08 Jun 2024 06:49:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1477227 หลังฝ่ายนิติบัญญัติสหรัฐฯ ออกกฎหมายบีบให้ปิดกิจการหรือขาย “TikTok” มีการประเมินว่าแอปฯ อื่นอาจจะโดนร่างแหจากกฎหมายนี้ไปด้วยก็ได้ เช่น “CapCut” แอปฯ ตัดต่อชื่อดัง หรือ “Lemon8” แอปฯ โซเชียลมีเดีย ที่อยู่ภายใต้บริษัท ByteDance เช่นกัน รวมไปถึงแอปฯ อีคอมเมิร์ซจีนบริษัทอื่นที่กำลังเติบโตในสหรัฐฯ เช่น Alibaba, Temu

    Axios ชี้รายละเอียดร่างกฎหมายแบน TikTok ที่ฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐฯ ที่ให้ผ่านออกมานั้น ข้อความในกฎหมายกว้างและครอบคลุมมากทีเดียว เพราะมีการระบุว่า “รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถแบนแอปพลิเคชันใดก็ได้ที่มีการควบคุมโดยหน่วยงานที่เป็นภัยจากต่างประเทศ” รวมถึงแอปฯ ที่ “ดำเนินการไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ผ่านบริษัทแม่หรือบริษัทลูกของหน่วยงานที่เป็นภัยจากต่างประเทศ”

    นั่นทำให้ถ้ากฎหมายนี้ถูกบังคับใช้จริง ก็เป็นไปได้ว่าแอปฯ ที่ได้รับผลกระทบจะไม่ใช่แค่ TikTok แต่หมายถึงแอปฯ ที่อยู่ภายใต้บริษัท ByteDance ทั้งหมด

    แอปฯ อื่นที่เป็นที่นิยมในสหรัฐฯ เช่นกันคือ “CapCut” แอปฯ ตัดต่อวิดีโอสั้นเบื้องหลังคลิปมากมายที่นำไปโพสต์ลงใน TikTok รวมถึงแอปฯ วิดีโอสั้นอื่นๆ ด้วย หากมีการแบน CapCut ก็จะกระทบครีเอเตอร์มากมายที่ใช้แอปฯ นี้เป็นหลักในการตัดต่อ

    รวมถึงแอปฯ “Lemon8” แอปฯ โซเชียลคู่แข่ง Pinterest ที่นิยมมากขึ้นในสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มที่ชื่นชอบคอนเทนต์แนวไลฟ์สไตล์และสุขภาพ ก็อาจจะโดนแบนไปด้วย

    ภายใต้บริษัท ByteDance ยังมีแอปฯ อื่นที่ทำธุรกิจในสหรัฐฯ อีก เช่น “Lark” แอปฯ ที่รวมฟีเจอร์สำหรับทำงาน ทำเอกสาร แชทในออฟฟิศ หรือ “Hypic” แอปฯ สำหรับตัดต่อรูป เป็นต้น

    สำนักข่าว Mashable ยังประเมินด้วยว่า ไม่ใช่แค่ ByteDance ที่จะถูกแบน แต่กฎหมายนี้อาจจะใช้ครอบคลุมบริษัทจีนอื่นด้วยก็ได้ เช่น กลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่าง Alibaba หรือ Temu

    อย่างไรก็ตาม มีรายงานข่าวมาก่อนหน้านี้ว่า ByteDance จะไม่ยอมง่ายๆ และน่าจะเตรียมสู้ในทางกฎหมาย แต่ถ้าสุดท้ายแล้วแพ้คดี บริษัทอาจจะเลือกที่จะปิดกิจการไปเลยมากกว่าขายหุ้นให้กับบริษัทอื่น

    Source

    ]]>
    1477227
    ‘TikTok’ เริ่มทดลองขยายความยาวคลิปเป็น ’60 นาที’ คาดเตรียมแย่งชิงตลาดกับ ‘YouTube’ https://positioningmag.com/1474660 Wed, 22 May 2024 11:42:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1474660 สำนักข่าว TechCrunch รายงานว่า ‘TikTok’ กำลังทดสอบระบบให้ผู้ใช้สามารถอัปโหลดคลิปความยาวสูงสุด ’60 นาทีโดยทดสอบในวงจำกัดทั้งจำนวนผู้ใช้และประเทศที่สามารถใช้ฟีเจอร์ใหม่นี้ได้ โดยบริษัทยังไม่ยืนยันว่าจะมีการขยายการใช้งานฟีเจอร์นี้เป็นวงกว้างเมื่อไหร่

    ความเคลื่อนไหวใหม่ของ TikTok ถือว่าน่าสนใจ เพราะแรกเริ่มเดิมที TikTok เป็นแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นที่ให้ผู้ใช้อัปโหลดคลิปยาวไม่เกิน 15 วินาที ก่อนจะค่อยๆ ขยายความยาวเรื่อยมาจนปัจจุบันสามารถอัปโหลดได้สูงสุด 10 นาทีต่อคลิป

    เห็นได้ว่าแพลตฟอร์มนี้กำลังปรับตัวเองจากการเป็นโซเชียลมีเดียสำหรับลงคลิปสั้นมาเป็นคลิปยาว และเป็นไปได้ว่า TikTok กำลังพยายามจะแย่งชิงตลาดกับคู่แข่งรายใหญ่ที่สุดในวงการโซเชียลมีเดียที่เน้นวิดีโอคลิป นั่นก็คือ ‘YouTube’

    TikTok ระบุว่า ที่ผ่านมาครีเอเตอร์ที่ต้องการจะลงคอนเทนต์ขนาดยาวสามารถใช้ฟีเจอร์ ‘Playlist’ เพื่อรวมวิดีโอที่แยกออกเป็นตอนๆ ให้ผู้ชมสามารถกดเข้าไปดูตอนต่อไปได้ แต่แพลตฟอร์มเองก็ได้รับเสียงเรียกร้องจากครีเอเตอร์เสมอมาว่าพวกเขาอยากจะลงคลิปที่ยาวกว่านี้ได้ เพราะคอนเทนต์บางประเภทเป็นคอนเทนต์ที่จำเป็นต้องใช้เวลานาน เช่น คลิปสอนทำอาหาร คลิปสอนแต่งหน้า คลิปทางการศึกษา ฯลฯ

    ดังนั้น การเพิ่มความยาวคลิปจะทำให้ครีเอเตอร์มีโอกาสทดลองคอนเทนต์แบบใหม่ได้ และแน่นอนว่าถ้าเป็นเช่นนั้น TikTok จะกลายเป็นคู่แข่งกับ YouTube มากกว่าที่เคย ทางบริษัท TikTok เองก็หวังว่าครีเอเตอร์ที่ปกติแล้วโพสต์คอนเทนต์ลงใน YouTube เป็นหลัก จะหันมาลงคลิปวิดีโอของตนใน TikTok ด้วย

    TikTok
    ตัวอย่างฟีเจอร์ลงวิดีโอแนวนอนและให้ผู้ใช้กดดูแบบเต็มจอ (Full Screen) ได้บน TikTok

    หนึ่งในโอกาสใหม่ที่จะเกิดขึ้นหาก TikTok อนุญาตให้โพสต์คลิปยาวถึง 60 นาที คือการนำ ‘ซีรีส์’ มาลงใน TikTok

    ยกตัวอย่างเช่น ปีที่แล้ว Peacock มีการทดลองนำตอนแรกของซีรีส์ชื่อ Killing It มาลงให้ดูฟรีบน TikTok แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องความยาวคลิป ทำให้ซีรีส์ตอนแรกนี้ถูกแบ่งออกเป็น 5 ส่วน ถ้าหาก TikTok ขยายความยาวคลิปสูงสุดเป็น 60 นาที ต่อไปค่ายผู้ผลิตซีรีส์ต่างๆ ถ้าอยากจะลงซีรีส์ให้ชมฟรีบนแพลตฟอร์มนี้ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องซอยย่อยออกเป็นส่วนๆ อีกต่อไป

    กลยุทธ์ดึงดูดผู้ผลิตซีรีส์จะไปชนกับ YouTube โดยตรง เพราะทุกวันนี้ค่ายผู้ผลิตซีรีส์ฝั่งตะวันตกหลายแห่งมักจะนำตอนแรกของซีรีส์มาให้ดูฟรีก่อนบน YouTube เพื่อเข้าถึงฐานผู้ชมให้ได้มากที่สุด

    อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ TikTok ถูกผูกติดอยู่กับนิยามการเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นมาตลอด ทำให้หลายคนไม่มีพฤติกรรมที่จะดูวิดีโอยาวๆ บน TikTok ทางบริษัทก็เห็นช่องโหว่ตรงนี้จึงพยายามจะเสริมประสบการณ์ให้ผู้ใช้ยอมชมวิดีโอขนาดยาวบนแพลตฟอร์มให้มากขึ้น เช่น มีการทดลองระบบดูวิดีโอแนวขวางได้จากเดิมที่ต้องลงแต่วิดีโอแนวตั้ง (เหมือนกับบน YouTube)

    แต่ขณะนี้ข้อมูลเรื่องฟีเจอร์การลงวิดีโอ 60 นาทีก็เหมือนกับการทดสอบฟีเจอร์อื่นๆ คือยังไม่รู้ว่า TikTok จะเดินหน้าขยายฟีเจอร์นี้ให้ใช้ได้ทั่วโลกเมื่อไหร่

    Source  

    ]]>
    1474660
    ถอดแนวคิด Creator Marketing สูตรสำเร็จการตลาดยุคใหม่ ติดสปีดได้ไกลถึงตลาดโลก https://positioningmag.com/1474453 Tue, 21 May 2024 09:34:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1474453

    ต้องบอกว่าในยุคปัจจุบันนี้มีแพลตฟอร์มใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย อีกทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หลายคนสามารถเป็นสื่อ หรือเป็นคนผลิตคอนเทนต์เองได้ Content Creator จึงได้จัดว่าเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่สามารถหารายได้ และกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในตอนนี้

    มีการสำรวจว่า ในประเทศไทยมี Content Creator อยู่ราวๆ 2 ล้านคนเลยทีเดียว มีทั้ง Influencer คนมีชื่อเสียง คนที่มีอิทธิพลต่อบุคคลทั่วไป, KOL หรือจะเป็น Micro Influencer และ Nano Influencer ยิ่งในทุกวันนี้ทุกคนมีโซเชียลมีเดีย ทุกคนสามารถสร้างคอนเทนต์ได้ง่ายขึ้น

    หลายปีที่ผ่านมานี้เราได้เห็นการมาของแพลตฟอร์ม TikTok เป็นที่นิยมไปทั่วโลก ซึ่งแตกต่างจากโซเชียลมีเดียอื่นๆ อย่างเฟซบุ๊ก และอินสตาแกรมที่เน้นติดตามคนรู้จัก คนที่สนใจ แต่ TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่เน้นความบันเทิงเป็นหลัก มีคอนเทนต์หลากหลาย ร้อง เล่น เต้น แสดง เรียกได้ว่าได้เห็น “ดาวติ๊กต็อก” เกิดขึ้นมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

    แต่การที่จะเป็น Content Creator มีความยากง่ายแค่ไหน โอกาสที่จะแจ้งเกิด และหารายได้เป็นอย่างไร ทาง AIS ได้รวมทุกข้อสงสัย พร้อมฟังประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟจาก Content Creator ระดับตัวท็อปของประเทศมาเผยแรงบันดาลใจ สูตรเด็ด เคล็ดลับ สร้างครีเอเตอร์สู่อาชีพที่สามารถต่อยอดให้เติบโตได้อย่างแข็งแรงและยั่งยืน ภายในงาน Global Creator

    Culture Summit งานนี้ได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา ณ สยามภาวลัย รอยัล แกรนด์เธียเตอร์ ชั้น 6 ศูนย์การค้าสยามพารากอน

    งานนี้ AIS ได้จับมือร่วมกับพันธมิตร อีกทั้งยังเล่นใหญ่เชิญกูรูระดับโลก Professor David Craig นักวิชาการด้านโซเชียลมีเดียชั้นนำจากสหรัฐอเมริกามาร่วมให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของ Content Creator ไทย พร้อมกับได้เชิญสุดยอด Content Creator คนไทย ได้แก่ ศรัณย์ แบ่งกุศลจิต (Uppercuz Creative), อติชาญ เชิงชวโน (อู๋ Spin 9), วุฒิพงษ์ ลิขิตชีวัน (อาตี๋รีวิว) และธรรมชาติ โยธาจุล (Thammachad) มาร่วมแชร์ประสบการณ์ และเคล็ดลับการเป็น Content Creator ให้ประสบความสำเร็จCulture Summit งานนี้ได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา ณ สยามภาวลัย รอยัล แกรนด์เธียเตอร์ ชั้น 6 ศูนย์การค้าสยามพารากอน

    งานนี้ AIS ได้จับมือร่วมกับพันธมิตร อีกทั้งยังเล่นใหญ่เชิญกูรูระดับโลก Professor David Craig นักวิชาการด้านโซเชียลมีเดียชั้นนำจากสหรัฐอเมริกามาร่วมให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของ Content Creator ไทย พร้อมกับได้เชิญสุดยอด Content Creator คนไทย ได้แก่ ศรัณย์ แบ่งกุศลจิต (Uppercuz Creative), อติชาญ เชิงชวโน (อู๋ Spin 9), วุฒิพงษ์ ลิขิตชีวัน (อาตี๋รีวิว) และธรรมชาติ โยธาจุล (Thammachad) มาร่วมแชร์ประสบการณ์ และเคล็ดลับการเป็น Content Creator ให้ประสบความสำเร็จ

    ด้าน Professor David Craig กล่าวว่า “วันนี้ครีเอเตอร์ คือ กลุ่มผู้ทรงอิทธิพล ที่เป็นกลไกหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก เพราะมีศักยภาพเป็นได้ทั้ง “แบรนด์” ด้วยตัวเอง, เป็นผู้สร้างชุมชนออนไลน์, สร้างรายได้แบบ O2O ทั้งจากพื้นที่ตัวเอง-แพลตฟอร์ม-ช่องทางอื่น และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่อุตสาหกรรมแวดล้อมอื่นๆ ได้อีกด้วย อาทิ มีพลังขับเคลื่อนการพัฒนาบริการและฟีเจอร์ต่างๆ บนโทรศัพท์มือถือ ที่มีความสำคัญต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมโทรคมนาคม

    นี่คือสิ่งยืนยันที่ว่า ครีเอเตอร์คือศูนย์กลางการสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจของแพลตฟอร์ม และอีโคซิสเท็มที่เกี่ยวข้อง คิดเป็นมูลค่าถึงประมาณ 7 ล้านล้านดอลลาร์ทั่วโลก ดังตัวอย่างจาก วัฒนธรรมหว่างหง (Wanghong Culture) หรือเน็ตไอดอล ผู้ทรงอิทธิพลบนโลกออนไลน์ของจีน ที่สร้างโซเชียลคอมเมิร์ซให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด เพราะที่จีน ไม่ว่าใคร แม้แต่แรงงานเกษตรกร ก็สามารถเป็นอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังได้ เพราะได้รับการสนับสนุนให้เป็นหว่างหงครีเอเตอร์ ดังนั้นการเดินทางมาแลกเปลี่ยนและทำงานวิจัยในครั้งนี้ของผม จึงเชื่อว่าจะได้แนวทางชัดเจน ที่ทำให้เราสามารถสร้างเศรษฐกิจจากวัฒนธรรมครีเอเตอร์ระดับโลก และสามารถกำหนดอนาคตและทิศทางของเศรษฐกิจและสังคมทั่วโลกต่อไปได้อย่างเป็นรูปธรรมร่วมกัน”

    พร้อมกันนี้ภายในยังได้เชิญกูรูด้าน Content Creator ซึ่งเป็นหนึ่งในอีโคซิสเท็มในการขับเคลื่อน Creator Culture ของไทยให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดมาร่วมแลกเปลี่ยนบนเวทีนี้อีกด้วย Positioning ขอสรุปประเด็นเด็ดที่เหล่า Content Creator ไม่ควรพลาดดังนี้

    ธนพล ทรัพย์สมบูรณ์ CEO YDM Thailand กลุ่มบริษัทด้านดิจิทัลมาร์เก็ต แชร์ข้อมูลในหัวข้อ “กลยุทธ์ Creator Marketing สูตรสำเร็จใหม่ของธุรกิจยุคดิจิทัล”

    YDM Thailand เป็นเอเจนซี่ไทยที่ดูแลด้านดิจิทัล มาร์เก้ตติ้ง และดูแลเกี่ยวกับ Content Creator ให้กับแบรนด์ต่างๆ จากข้อมูลผลสำรวจพบว่าประเทศไทยมี Content Creator มากกว่า 2 ล้านคน ตอนนี้มีแพลตฟอร์มที่หลากหลาย มีการแยกย่อยเยอะหลายเซ็กเมนต์ บางคนเป็นบล็อกเกอร์สายอาหารก็มีแยกย่อยหลายแขนงลงไปอีก เช่น รีวิวคาเฟ่อย่างเดียว รีวิวอาหารญี่ปุ่นอย่างเดียว เพราะฉะนั้นในการวางกลยุทธ์ให้กับแบรนด์จะมีการผสมผสาน Content Creator หลายระดับทั้งคนตัวเล็ก กลาง และตัวท็อป ซึ่งอยู่ที่โจทย์ของลูกค้าว่าต้องการอะไร บางแคมเปญใช้ Content Creator ถึง 50 คนก็มี

    4 ขั้นตอนในการเลือก Content Creator ให้เหมาะสมกับแบรนด์

    1. เข้าใจตัวเองก่อนว่าตอบโจทย์อะไร : บางแบรนด์เป็นแบรนด์ขนาดใหญ่ ต้องการแบรนด์เลิฟ ก็เลือก KOL ที่มีแฟนคลับสนับสนุนเขา สมมติว่าทำอาหารเสริมแบรนด์หนึ่ง สามารถทำโฆษณาทางโทรทัศน์ได้แค่ 15-30 วินาทีก็ต้องหาครีเอเตอร์ทำคอนเทนต์ให้ความรู้เพิ่ม บวกกับทำ SEO เสริม หรือถ้าอยากขายของเลือกครีเอเตอร์สายรีวิวเลย เน้นขายของอย่างเดียวเลย
    1. เข้าใจ Content Creator : เป็นเรื่องสำคัญมาก บางทีแบรนด์คิดว่าตัวเองมีเงิน มีของที่อยากจะพูดแล้วยัดเยียดสิ่งที่ตัวเองอยากพูด ต้องรู้ก่อนว่า Content Creator แต่ละคนคือใคร เพราะมีทั้ง Influencer คือ ผู้มีอิทธิพล, KOL คือ ความคิดของเขามีอิทธิพล มีความน่าเชื่อถือ พูดอะไรไปคนฟังเขา แต่สำหรับ Content Creator บางคนอาจจะไม่ได้ดังมาก แต่จุดแข็งคือการสร้างคอนเทนต์
    2. การใช้เทคโนโลยีเลือก : ในการเลือก Content Creator แต่ละครั้ง ไม่ได้เลือกแค่คนดังๆ ท็อปๆ เท่านั้น คนกลางๆ เล็กๆ ก็เลือก ปัจจุบันมีเทคโนโลยีมากขึ้น มีการเลือกจากข้อมูล จากเทคโนโลยี เพราะระบบมีการเก็บข้อมูลของ KOL ทุกคน เก็บผู้ติดตาม เอ็นเกจเมนต์ ดูว่ารีวิวแบรนด์อะไร รีวิวคู่แข่งหรือเปล่า
    3. การวัดผล : สามารถดึงข้อมูล ดึงการวัดผลได้ทุกเรื่อง เอ็นเกจเมนต์ ตัวเลขต่างๆ แล้วเอามาแมทช์กับยอดขายของสินค้าได้

    นอกจากนี้ยังมีตัวแทนจากทางแพลตฟอร์ม โดย กวิน ภาณุสิทธิกร Head of Seller Management Thailand, TikTok Shop มาร่วมแชร์ข้อมูลในหัวข้อ “จาก Seller สู่ Creator สร้างรายได้จาก TikTok”

    TikTok เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่มาแรงที่สุดแห่งยุค เพราะหลายๆ เรื่องราวที่เป็นไวรัลในสังคม ส่วนใหญ่ล้วนเกิดจาก TikTok ด้วยความที่เป็นแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นที่เน้นความบันเทิงเป็นหลัก ใครๆ ก็สามารถสร้างวิดีโอได้ง่ายๆ ทำให้กลายเป็นที่นิยมไปโดยปริยาย

    โดยที่ TikTok ทำตลาดในประเทศไทยได้ 7 ปี แต่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาได้มีอีกหนึ่งฟีเจอร์เกิดขึ้น นั่นก็คือ TikTok Shop เรียกว่า ได้สร้างความสั่นสะเทือนวงการอีคอมเมิร์ซอยู่ไม่น้อย กลายเป็นว่ากระแสของ Live Commerce กลายเป็นช่องทาการขายใหม่ของแบรนด์ ซึ่งการขายของใน TikTok Shop มีความยากง่ายแค่ไหน สร้างโอกาสอย่างไร และแตกต่างจากแพลตฟอร์มอื่นๆ อย่างไรบ้าง มีจุดแข็งอยู่ 4 ข้อด้วยกัน

    1. Decentralize (ให้ลูกค้าตัดสินใจ) มากกว่า Social Signal (ตัวชี้วัดด้านโซเชียล)

    ในทุกๆ วันที่เข้าในแอปพลิเคชั่น TikTok จะพบว่า คอนเทนต์จะแตกต่างกัน ไม่เหมือนเดิม ไม่เหมือนโซเชียลมีเดียอื่นๆ ที่เน้นติดตามพื่อน ครอบครัว คนรู้จัก ซึ่งแอปฯ พยายามหาคอนเทนต์ให้โดนใจผู้ใช้มากที่สุด ข้อดีของแพลตฟอร์มนี้ก็คือ ถ้าเป็นครีเอเตอร์จะแจ้งเกิดง่าย ทำให้มีดาวติ๊กต็อกเกิดขึ้นเยอะ แต่ต้องอัพเดตตัวเองตลอดเวลา ถ้าเป็นเจ้าของแบรนด์ ก็เป็นโอกาสมากๆ สามารถหาคนที่เป็นพันธมิตรช่วยขายเพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ที่ไม่เคยเข้าถึงได้

    1. Entertainment (ความบันเทิง) มากกว่า Social Media

    ผู้ใช้ไม่ได้ตั้งใจเข้าแอปฯ เพื่อไปดูความเคลื่อนไหวของเพื่อน หรือครอบครัว แต่เข้าไปเพื่อหาความบันเทิงใหม่ๆ คล้ายๆ กับการดูทีวี หรือเรียลลิตี้โชว์

    1. Shoppertainment (การขายผ่านความบันเทิง) มากกว่า eCommerce

    พฤติกรรมผู้ใช้เปลี่ยนไป มีทั้งที่ตั้งใจเข้ามาซื้อของ และไม่ตั้งใจ หลายคนชอบดูไลฟ์สตรีมในการขายของ หรือดูคนดังต่างๆ ขายของ มีความสนุก ความบันเทิง มากกว่ากดใส่ตะกร้าตามเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ

    1. Localization มากกว่า Global-One-Size-Fit-All

    TikTok มีความพยายามในการพัฒนาฟีเจอร์ต่างๆ ให้เข้ากับตลาดท้องถิ่นในประเทศนั้นๆ ซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลจากพฤติกรรมผู้ใช้ในประเทศนั้นๆ ไม่ได้นำเอานโยบายในระดับโกบอลมาปรับใช้กับทุกตลาด ทำให้มีความเข้าถึงผู้ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น

     

    ปัจจุบันการขายของบน TikTok มี 4 รูปแบบด้วยกัน ได้แก่ 1. ไลฟ์สตรีม 2. วิดีโอสั้น 3. แท็บร้านค้า และ 4. โปรแกรมพันธมิตร ขายผ่านครีเอเตอร์ โดยที่ร้านค้าที่เปิดโปรแกรมพันธมิตรขายผ่านครีเอเตอร์ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการขายได้มากกว่า มีข้อมูลว่า กลุ่มที่เปิดโปรแกรมโอกาสที่จะขายสินค้าออกชิ้นแรกสูงกว่า 60% ยกตัวอย่างร้าน Mr. K ร้านขายกิมจิ สินค้าปรุงอาหารเกาหลี อาหารญี่ปุ่น เปิดให้บริการมา 2 ปี ปัจจุบันมียอดขายเกิน 20 ล้านบาท รายได้ส่วนใหญ่มาจากครีเอเตอร์ถึง 80%

    สำหรับงาน Global Creator Culture Summit ได้ปิดฉากลงด้วยความประทับใจไปแล้วเรียบร้อย AIS ในฐานะแม่งาน และในฐานะผู้พัฒนา Digital Infrastructure ของประเทศ นอกเหนือจากเป้าหมายในการส่งมอบประสบการณ์และเทคโนโลยีเพื่อลูกค้าและคนไทยแล้ว ยังพร้อมสนับสนุนด้วยเครื่องมือต่างๆ ตลอดจน เชื่อมโยง องค์ความรู้ ทักษะ ให้แก่ผู้ประกอบการทุกกลุ่ม ตามแนวคิด Ecosystem Economy หรือ เศรษฐกิจแบบร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม Content Creator ที่ถือเป็นผู้ประกอบการซึ่งมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และยังเป็นศูนย์กลางความเปลี่ยนแปลงของบริบทโลกในทุกแง่มุม ซึ่งจะช่วยสร้างการเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

    ]]>
    1474453
    อดีต CEO ของ Google มองว่า “สหรัฐฯ เหนือกว่าจีนด้าน AI” และยังเผยว่า “เคยพิจารณาซื้อกิจการ TikTok มาแล้ว” https://positioningmag.com/1472462 Wed, 08 May 2024 01:26:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1472462 อีริค ชมิดท์ (Eric Schmidt) อดีต CEO ของ Google และเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 47 ของโลกได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ Bloomberg โดยเขาได้เผยว่าเคยพิจารณาที่จะซื้อกิจการของ TikTok มาแล้ว ขณะเดียวกันเขายังมองว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์นั้นสหรัฐฯ ยังนำหน้าจีน 2-3 ปี

    Eric Schmidt ซึ่งเป็นอดีต CEO ของ Google ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ Bloomberg ว่า ตัวเขาเคยพิจารณาที่จะซื้อกิจการของ TikTok แพลตฟอร์มแชร์วิดีโอสั้นจาก ByteDance บริษัทแม่มาแล้ว และเขายังมองว่าแพลตฟอร์มดังกล่าวนั้นเหมือนกับโทรทัศน์มากกว่าบริการเครือข่ายทางสังคมด้วยซ้ำ

    อดีต CEO ของ Google ได้เปิดเผยว่ากับสื่อรายดังกล่าวว่า ในจุดนึงเขาเคยพิจารณาที่จะซื้อกิจการของ TikTok มาแล้ว แม้ว่าปัจจุบันเขาเองจะไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ก็ตาม

    ขณะเดียวกันเขาเองก็มองว่า TikTok เองนั้นควรจะถูกรัฐบาลสหรัฐกำกับดูแลมากกว่าที่จะใช้วิธีการแบน และเขายังมองว่าแพลตฟอร์มแชร์วิดีโอสั้นนั้นคล้ายคลึงกับโทรทัศน์มากกว่า รัฐบาลสหรัฐสามารถมีกฎหมายกำกับแพลตฟอร์มดังกล่าวนี้ได้เช่น การให้เสรีภาพแก่นักการเมืองแต่มีข้อจำกัดในเรื่องระยะเวลาในการออกอากาศ

    ในช่วงที่ผ่านมามีแรงกดดันจากสภาของสหรัฐฯ ที่ต้องการให้ ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok ขายกิจการออกมา สาเหตุสำคัญนั้นมาจากเรื่องของความมั่นคงเป็นหลัก รวมถึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อมูลประชาชนชาวสหรัฐฯ​ เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อเรื่องภัยความมั่นคง

    กฎหมายที่กำลังจะออกมานั้นเตรียมให้ TikTok เตรียมตัวที่จะขายกิจการภายใน 1 ปี ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าบริษัทนั้นอาจไม่ขายกิจการแต่ยอมโดนแบนในสหรัฐอเมริกาไปเลยมากกว่า หรือไม่ก็มีการขายกิจการแต่ไม่ขายเทคโนโลยีเบื้องหลังอย่างระบบอัลกอริทึ่มในการเลือกวิดีโอ

    ขณะที่ในเรื่องของเทคโนโลยีนั้น อดีต CEO ของ Google ให้มุมมองว่าสหรัฐอเมริกายังมีเทคโนโลยีด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) นำหน้าประเทศจีนอยู่ประมาณ 2-3 ปี แม้ว่าในมุมส่วนตัวของเขานั้นมองว่าเทคโนโลยีดังกล่าวนำหน้าตราบชั่วนิรันดร์

    ทางด้านของประเทศจีนเขามองว่าในเรื่องเทคโนโลยี AI จีนกำลังดิ้นรนอย่างหนัก แต่ปัญหาก็คือการขาดแคลนด้านเซมิคอนดักเตอร์ แต่จีนถ้าหากมีอุปกรณ์ที่พร้อมก็สามารถที่จะชนะในเรื่องดังกล่าวได้เช่นกัน

    ในส่วนของทวีปยุโรป Eric กลับมองว่าการกำกับดูแลของสหภาพยุโรปเองนั้น ไม่ว่าจะเป็นกฎระเบียบด้าน AI นั้นทำให้นวัตกรรมดังกล่าวพัฒนาได้ช้า

    ]]>
    1472462
    เร่งชิงตลาด! “Twitch” เปิดฟีเจอร์ “วิดีโอสั้น” โดดร่วมวงแข่งทันทีที่ “TikTok” จ่อปิดบริการในสหรัฐฯ https://positioningmag.com/1472005 Fri, 03 May 2024 03:24:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1472005 “Twitch” แพลตฟอร์มไลฟ์สตรีมชื่อดัง ออกฟีเจอร์ “วิดีโอสั้น” ในสัปดาห์เดียวหลัง “TikTok” ถูกฝ่ายนิติบัญญัติสหรัฐฯ สั่งให้ขายหรือปิดกิจการ หวังชิงตลาดนี้หาก ByteDance เลือกที่จะปิดมากกว่าขายจริงๆ

    ปกติแล้วแพลตฟอร์ม “Twitch” เป็นโซเชียลมีเดียที่เด่นเรื่องการ “ไลฟ์สตรีม” ส่วนใหญ่มักจะเป็นเกมเมอร์ที่นั่งเล่นเกมยาวๆ หลายชั่วโมง พร้อมกับพูดคุยกับแฟนคลับไปด้วย

    ล่าสุด Twitch ได้เปิดฟีเจอร์ใหม่ชื่อ “Discovery Feed” ให้ผู้ใช้สามารถเข้าไปดู “วิดีโอสั้น” (short-form video) ซึ่งมักจะเป็นคลิปสั้นที่ตัดมาจากไลฟ์สตรีมยาวๆ ของสตรีมเมอร์ ทำให้ผู้ใช้สามารถดูคลิปไฮไลต์บางส่วนของไลฟ์สตรีมได้ง่ายขึ้น

    ส่วนใหญ่แล้วคลิปสั้นใน Twitch มักจะมีคนดูช่วยตัดไฮไลต์ออกมาจากไลฟ์สตรีมมากกว่าที่สตรีมเมอร์จะตัดออกมาเอง ไม่เหมือนกับใน TikTok ที่ครีเอเตอร์เป็นผู้ผลิตคลิปสั้นขึ้นมา

    โฆษกของ Twitch บอกด้วยว่า สตรีมเมอร์จะไม่ได้รับค่าโฆษณาจาก Discovery Feed เพราะตอนนี้โฆษณาจะขึ้นมาคั่นระหว่างการปัดดูคลิป ไม่ได้ขึ้นทับลงในคลิปโดยตรง

    Twitch TikTok
    Discovery Feed ฟีเจอร์ใหม่ของ Twitch

    ความเคลื่อนไหวนี้คาดว่าเกิดจากที่ TikTok ภายใต้บริษัท ByteDance จากจีน กำลังเผชิญวิกฤตถูกสภาคอง  เกรสและรัฐบาลไบเดนกดดันให้ “ขาย” หรือ “ปิด” กิจการ เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นกังวลว่ารัฐบาลจีนสามารถใช้แอปพลิเคชันนี้ในการสร้างโฆษณาชวนเชื่อกับคนอเมริกัน หรือถึงขนาดใช้ในการลักลอบเจาะข้อมูลคนอเมริกันได้ โดยแอปฯ TikTok ถือเป็นแอปฯ ยอดฮิตในสหรัฐฯ มีผู้ใช้งานประมาณ 170 ล้านคนต่อเดือน

    การเป็นคู่แข่งระหว่างกันของ TikTok กับ Twitch ไม่ได้เพิ่งเริ่มขึ้น เพราะสองแอปฯ นี้มีการลอกเลียนแบบกลยุทธ์กันและกันมาโดยตลอด ย้อนไปในปี 2022 ฝั่ง TikTok เริ่มออกระบบสมัครสมาชิกเพื่อรับชมไลฟ์สตรีม ซึ่งตรงกับกลยุทธ์ที่เป็นจุดขายของ Twitch แบบเต็มๆ อย่างไรก็ตาม ระบบสมัครสมาชิกเพื่อชมไลฟ์สตรีมของ TikTok ยังไม่สามารถเจาะตลาดของ Twitch ได้มากนัก

    Twitch ไม่ใช่บริษัทแรกที่พยายามชิงตลาดมาจาก TikTok ก่อนหน้านี้ “Reels” ภายใต้ Meta ก็ออกสู่ตลาดมาเพื่องัดข้อกับ TikTok โดยตรงและกลายเป็นคู่แข่งคนสำคัญ นอกจากนี้ยังมี “Shorts” ของ YouTube ที่สร้างฟีเจอร์วิดีโอสั้นมาชิงตลาดด้วยเช่นกัน

    Source

    ]]>
    1472005
    ผู้ใช้งาน TikTok เฮ บริษัทปิดดีลลิขสิทธิ์เพลงค่าย Universal Music ได้แล้ว หลังยืดเยื้อมาเป็นเวลานานหลายเดือน https://positioningmag.com/1471922 Thu, 02 May 2024 13:49:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471922 หลังจากที่ผู้ใช้งาน TikTok ต้องหงุดหงิดมาเป็นเวลาหลายเดือน ล่าสุดแพลตฟอร์มแชร์วิดีโอสั้นสามารถปิดดีลกับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ Universal Music ได้แล้ว ทำให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งานเพลงของศิลปินค่ายเพลงดังได้อีกครั้ง

    Universal Music ประกาศว่าบริษัทให้สิทธิ์ TikTok ในการนำลิขสิทธิ์เพลงต่างๆ ที่ค่ายตัวเองมีอยู่ให้กับแพลตฟอร์มแชร์วิดีโอสั้นใช้งานได้อีกครั้ง หลังจากการเจรจาทั้ง 2 ฝ่ายใช้เวลายาวนานหลายเดือน และภายใต้ข้อตกลงดังกล่าวยังมีข้อตกลงในหลายด้านเพิ่มเติมจากในอดีตด้วย

    ความเคลื่อนไหวดังกล่าวตามหลังมาจาก Universal Music ใหญ่ได้เริ่มทยอยไม่ให้สิทธิ์การใช้เพลงของศิลปินในค่ายบนแพลตฟอร์มของ TikTok ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์เป็นต้นมา ซึ่งสัญญาระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายนั้นหมดอายุเมื่อวันที่ 31 มกราคม

    แถลงการณ์ของทั้ง 2 บริษัทนั้น TikTok ยังได้จ่ายค่าตอบแทนที่ดีขึ้นให้กับนักแต่งเพลงและศิลปินของ Universal Music ภายใต้ข้อตกลงล่าสุด หลังจากที่ค่ายเพลงใหญ่เคยกล่าวว่าแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นรายนี้ได้ให้ค่าตอบแทนแก่ศิลปินหรือแม้แต่นักแต่งเพลงเพียงแค่น้อยนิดเท่านั้น

    นอกจากนี้ในข้อตกลงดังกล่าวทั้ง TikTok และ Universal Music จะทำงานร่วมกันเพื่อทำให้แน่ใจว่าการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในอุตสาหกรรมเพลงจะปกป้องศิลปินหรือแม้แต่ผู้แต่งเพลง ไปจนถึงการลบเพลงที่สร้างจาก AI ที่ละเมิดลิขสิทธิ์บนแพลตฟอร์มด้วย

    ในช่วงที่ผ่านมาผู้ใช้งานของ TikTok ยังมีการนำ AI มาแต่งเพลงที่ละเมิดลิขสิทธิ์ศิลปินของ Universal Music ทำให้มีการเจรจาเรื่องดังกล่าวของทั้ง 2 ฝ่ายจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ

    Shou Chew ซึ่งเป็น CEO ของ TikTok กล่าวว่า ดนตรีเป็นส่วนสำคัญของระบบนิเวศของ TikTok และเขาดีใจที่ได้ร่วมเดินทางกับ Universal Music อีกครั้ง เขายังกล่าวเสริมว่าบริษัทนั้นมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนคุณค่า การค้นพบ หรือแม้แต่การโปรโมตให้กับศิลปินและนักแต่งเพลงของ Universal Music

    ปัจจุบันศิลปินค่าย Universal Music ที่มีชื่อเสียง ยกตัวอย่างเช่น Drake ศิลปินเพลงฮิปฮอป หรือแม้แต่ศิลปินเพลงป๊อปอย่าง Olivia Rodrigo และ Sabrina Carpenter หรือแม้แต่ Taylor Swift

    ข้อมูลของ Midia ชี้ว่าในปี 2022 นั้น Universal Music มีรายได้จากการคิดค่าสิทธิ์การใช้เพลงบนแพลตฟอร์ม TikTok คิดเป็น 1% ของรายได้รวมทั้งหมด หรือคิดเป็นเงินแค่ 110 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น ตรงข้ามกับ YouTube ที่จ่ายเงินให้กับค่ายเพลงต่างๆ รวมกันมากถึง 1,800 ล้านเหรียญสหรัฐ

    ซึ่งถ้าหากย้อนกลับไป ประเด็นดังกล่าวถือว่าเป็นสาเหตุทำให้การเจรจาตัวเงินระหว่างค่ายเพลงยักษ์ใหญ่กับ TikTok ถึงใช้เวลายาวนานหลายเดือน ก่อนที่จะปิดดีลดังกล่าวลงได้

    ที่มา – Universal Music, The Verge, Reuters

    ]]>
    1471922