TikTok – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 21 Jan 2025 01:50:37 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 พร้อมเสียบ! ‘Meta’ เปิดตัว ‘Edits’ แอปฯ ตัดต่อวิดีโอใหม่คล้าย ‘CapCut’ ของ ‘TikTok’ https://positioningmag.com/1506992 Mon, 20 Jan 2025 07:31:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1506992 อย่างที่หลายคนรู้ว่า TikTok ได้ถูกแบนในสหรัฐฯ และมีการประเมินว่าแอปฯ อื่นอาจจะโดนร่างแหจากกฎหมายนี้ไปด้วยก็ได้ เช่น CapCut แอปฯ ตัดต่อชื่อดัง ที่อยู่ภายใต้บริษัท ByteDance เช่นกัน

แม้ว่า TikTok ในตลาดสหรัฐฯ จะถูกแบนเป็นเวลาสั้น ๆ ในวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา ก่อนจะกลับมาให้บริการตามปกติ หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า เขาจะลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารในวันจันทร์ หลังการเข้ารับตำแหน่ง เพื่อชะลอการแบนแอปฯ ดังกล่าวจากรัฐบาลกลาง ตามที่เขาโพสต์ลงบน Truth Sociai โซเชียลมีเดียของเจ้าตัว

อย่างไรก็ตาม อนาคตของบริษัทก็ยังไม่ชัดเจนภายใต้กฎหมายในปัจจุบัน รวมไปถึงอีก 2 แพลตฟอร์มอย่าง CapCut และ Lemon8 ที่มีเจ้าของคนเดียวกันก็คือ บริษัท ByteDance 

แต่ถึงจะแบนหรือไม่แบน เจ้าพ่อโซเชียลฯ อย่าง Meta เจ้าของแพลตฟอร์ม Facebook และ Instagram ก็ชิงโอกาสเปิดตัวฟีเจอร์ตัดต่อวิดีโอ Edits เพื่อมาชนหรือแทนที่ CapCut หากถูกแบน

Adam Mosseri หัวหน้าทีม Instagram ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม Edits ผ่าน Threads ว่า แอปฯ ดังกล่าวออกแบบมาเพื่อ คนที่ถนัดการตัดต่อวิดีโอบนมือถือ โดยมีจุดเด่น ดังนี้ 

  • สามารถบันทึกคลิปสูงสุด 10 นาที และสามารถตัดต่อได้ทันที
  • สามารถส่งออกและแชร์ไปแพลตฟอร์มไหนก็ได้โดยไม่มีลายน้ำ
  • มีเครื่องมือให้ใช้ตัดต่อครบ
  • สามารถติดตามประสิทธิภาพของ Reels ผ่านแดชบอร์ดข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Edits จะสามารถดาวน์โหลดได้บน App Store แต่จะยัง ใช้งานไม่ได้ โดยจะใช้งานได้ในเดือน กุมภาพันธ์

ทั้งนี้ ตั้งแต่ที่ TikTok มีข่าวว่าจะโดนแบนในสหรัฐฯ ผู้ใช้งานหลายคนเริ่มมองหาแพลตฟอร์มใหม่เพื่อใช้แทน เช่น เรดโน้ต (RedNote) หรือ เสี่ยวหงชู (Xiaohongshu) ดังนั้น การที่ Meta เพิ่มแอปฯ ใหม่อย่าง Edits ก็ไม่ได้แปลว่าจะทำให้คนกลับมาใช้ Instagram เสมอไป

Source

]]>
1506992
ต้องเตรียมเงินไว้เยอะหน่อย! ประเมินราคา ‘TikTok’ ในสหรัฐฯ อาจแตะ 1.75 ล้านล้านบาท หาก ByteDance ขาย https://positioningmag.com/1506674 Thu, 16 Jan 2025 12:25:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1506674 ใกล้ถึงเส้นตายชี้ชะตาแพลตฟอร์ม TikTok ในวันอาทิตย์ที่ 19 มกราคมนี้ ว่าทาง ByteDance จะเลือก ปิด หรือ ขาย แพลตฟอร์มให้กับบริษัทสหรัฐฯ ซึ่งก็มีการประเมินว่า มูลค่าการซื้อขายแพลตฟอร์มจะสูงแตะ 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.75 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว

อย่างที่รู้กันว่า TikTok กำลังเผชิญกับการแบนที่ในตลาดสหรัฐอเมริกา หากศาลฎีกาตัดสินใจบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งวันที่ 19 มกราคมที่จะถึงนี้จะเป็นวันตัดสินชะตา ดังนั้น อีกทางเลือกของ ByteDance ที่จะไม่ยอมปิด TikTok ไปโดยไม่ได้อะไร อาจตัดสินใจขายแพลตฟอร์มให้บริษัทสัญชาติอเมริกัน

แม้ว่าปัจจุบัน ทาง ByteDance ยังไม่ได้ระบุว่าจะขายให้บริษัทไหนในสหรัฐฯ แต่ รัฐบาลจีน ได้พิจารณาแผนที่จะให้มหาเศรษฐี อีลอน มัสก์ (Elon Musk) เจ้าของ Tesla และ X เข้าซื้อกิจการดังกล่าว ตามที่ Bloomberg  รายงาน

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่คิดจะซื้อ TikTok ก็ต้องอาจเตรียมเงินไว้มหาศาลพอสมควร โดย Angelo Zino รองประธานอาวุโสของ CFRA Research ประเมินว่า หาก ByteDance ตัดสินใจขาย ผู้ซื้อที่อาจต้องเตรียมเงินไว้ราว ๆ 40,000 – 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.4-1.75 ล้านล้านบาท) โดยอ้างอิงจากการประมาณการฐานผู้ใช้และรายได้ของ TikTok ในสหรัฐอเมริกาเมื่อเปรียบเทียบกับแอปคู่แข่ง

จากการประเมินของบริษัทวิเคราะห์ตลาด Sensor Tower คาดว่า ปัจจุบัน TikTok มีผู้ใช้งานในสหรัฐฯ ประมาณ 115 ล้านคนต่อเดือน ซึ่งน้อยกว่า Instagram เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ทางด้านนักวิเคราะห์จาก Bloomberg Intelligence กลับมองว่า มูลค่าของ TikTok ในสหรัฐฯ อาจจะอยู่ที่ 30,000-35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1 – 1.2 ล้านล้านบาท) เนื่องจากเป็นการ ขายโดยบังคับ นอกจากนี้ บริษัทที่เข้าซื้อ TikTok อาจต้องเผชิญการตรวจสอบด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ซึ่งถือเป็นเรื่องท้าทาย นอกจากนี้ ยังอาจทำให้ผู้ซื้อขยายธุรกิจโฆษณาของ TikTok ได้ยากอีกด้วย

ที่ผ่านมา กลุ่มนักธุรกิจรวมถึงมหาเศรษฐี แฟรงก์ แม็คคอร์ต และ เควิน โอเลียรี ประธานบริษัท O’Leary Ventures ได้เคยยื่นข้อเสนอเพื่อซื้อ TikTok จาก ByteDance ในราคาถึง 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไม่ต้องใช้อัลกอริทึมของ TikTok

ก็คงต้องรอดูบทสรุปของ TikTok ในวันที่ 19 มกราคมนี้ ว่าจะถูกแบนหรือถูกขาย หรืออาจจะยังดำเนินธุรกิจได้ต่อไป เพราะได้รัฐบาลของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนล่าสุด ที่เคยประกาศไว้แล้วว่าจะไม่แบน TikTok

Source

]]>
1506674
มาใหม่อีกหนึ่ง! รู้จักแพลตฟอร์ม ‘Xiaohongshu’ ที่ชาวเมกันหวังใช้แทน ‘TikTok’ หากถูกแบน https://positioningmag.com/1506373 Tue, 14 Jan 2025 04:30:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1506373 ในช่วงต้นปี จู่ ๆ แพลตฟอร์ม Lemon8 ก็ถูกดาวน์โหลดเป็นอันดับ 1 บน App store โดยหลายคนมองว่าเป็นเพราะจะใช้แทน TikTok ที่จ่อโดนแบบในสหรัฐฯ แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่า Lemon8 ก็มี ByteDance เป็นเจ้าของ ทำให้อาจถูกแบนได้เหมือนกัน จนล่าสุดชาวอเมริกันก็ค้นพบตัวแทนใหม่อย่าง Xiaohongshu

แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจาก จีน อย่าง Xiaohongshu (เสี่ยว ฮง ซู) หรือชื่อสากลอย่าง RedNote ได้มียอดดาวน์โหลดพุ่งทะยานขึ้นสู่อันดับสูงสุดของ App Store ตามมาด้วยแพลตฟอร์ม Lemon8 เนื่องจากผู้ใช้งาน TikTok ในสหรัฐฯ กำลังมองหา ทางเลือกอื่น หาก TikTok โดนแบน ซึ่งจะมีการตัดสินวันที่ 19 มกราคมนี้

อย่างไรก็ตาม บรรดาครีเอเตอร์ของ TikTok บางรายกำลังดำเนินการแผนฉุกเฉินโดยการย้ายไปยังแพลตฟอร์ม RedNote อาทิ allieusyaps ที่โพสต์ว่า แม้ TikTok จะถูกแบนในสหรัฐอเมริกา แต่เขาและครีเอเตอร์รายอื่น ๆ จะไม่กลับไปที่ Instagram และ Facebook เนื่องจากพวกเขาเข้าร่วมกับ RedNote แล้ว นอกจากนี้ มีผู้ใช้อย่าง Krystan Walmsley ที่เริ่มโพสต์วิดีโอสั้นสอนผู้คนเกี่ยวกับการตั้งค่าและตกแต่งบัญชี RedNote ของพวกเขา

สำหรับ Xiaohongshu ถือกำเนิดขึ้นในปี 2013 โดยเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียแนว ไลฟ์สไตล์ผสมกับอีคอมเมิร์ซ ยอดนิยมของชาว Gen Z จีน โดยมีจำนวนผู้ใช้กว่า 300 ล้านคน ซึ่ง Xiaohongshu ถือเป็นคู่แข่งรายสำคัญของ Alibaba และ Douyin หรือก็คือ TikTok เวอร์ชั่นประเทศจีนของ ByteDance และ Xiaohongshu ก็ถือเป็น แรงบัลดาลใจสำคัญ ที่ทำให้ ByteDance พัฒนาแพลตฟอร์ม Lemon8 ออกมา

จุดเด่นของ Xiaohongshu คือ ผู้ใช้สามารถแชร์วิดีโอสั้น ๆ และรูปภาพเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแฟชั่น ความงาม อาหาร การเดินทาง ซึ่งเหมาะกับการใช้ ป้ายยา ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้ใช้มักจะค้นหารีวิวและ เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการจาก KOLs

ปัจจุบัน Xiaohongshu มีมูลค่า 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากระดมทุนในเดือนกรกฎาคมจากนักลงทุน เช่น Boyu Capital และ HongShan Capital Group ซึ่งเคยเป็นแผนกการลงทุนในจีนของ Sequoia Capital ตามข้อมูลของ PitchBook โดยระดมทุนได้ทั้งหมดกว่า 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีพนักงานมากกว่า 2,000 คน  

Source

]]>
1506373
รู้จัก ‘Lemon8’ แพลตฟอร์มโซเชียลเจ้าของเดียวกับ ‘TikTok’ ที่พึ่งขึ้นแท่นแอปอันดับ 1 บน App Store https://positioningmag.com/1505519 Thu, 09 Jan 2025 02:23:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1505519 ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา TikTok ถือว่าแพลตฟอร์มที่ร้อนแรงที่สุดในโลกอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่า บริษัทแม่อย่าง ByteDance ก็ได้ออกอีกแพลตฟอร์มโซเชียลอย่าง Lemon8 มาลุยตลาดโลก และล่าสุดก็ขึ้นแท่นเป็นแอปฟรีที่มียอดดาวน์โหลดสูงสุดบน App Store ของ Apple

รู้จัก Lemon8

Lemon8 (เลมอนเอท) เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่พัฒนาโดย Heliophilia ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ ByteDance หรือก็คือเจ้าของเดียวกันกับ TikTok แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นสุดฮิตที่มาเขย่าโลกโซเชียลมีเดีย

อย่างไรก็ตาม Lemon8 ไม่ใช่แพลตฟอร์มใหม่อะไร เพราะเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2020 โดยในช่วงแรกแพลตฟอร์มจะเน้นทำตลาดในภูมิภาคเอเชียเป็นหลัก โดยประเทศที่ได้รับความนิยม ได้แก่ ญี่ปุ่น และไทย จากนั้นในปี 2023 ก็ได้เข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ โดยมียอดติดตั้งแอปพลิเคชันสูงสุดถึง 650,000 ครั้งต่อสัปดาห์

จนมาช่วงกลางปี 2024 แพลตฟอร์ม Lemon8 ในสหรัฐฯ ก็เติบโตถึง 340% มีการดาวน์โหลดกว่า 12 ล้านครั้ง และเมื่อสัปดาห์แรกของปี 2025 แพลตฟอร์ม Lemon8 ก็ขึ้นแท่นเป็นแอปพลิเคชันฟรีที่มียอดดาวน์โหลดอันดับ 1 ของ App Store

Lemon8 ใช้งานอย่างไร

หากพูดถึงการใช้งาน Lemon8 จะคล้าย ๆ กับ XiaohongShu โซเชียลมีเดียของจีนที่มีผู้ใช้กว่า 300 ล้านคน ซึ่งก็จะคล้าย ๆ Instagram ผสมกับ Pinterest โดยจะเป็นแพลตฟอร์มสายไลฟ์สไตล์ ให้ผู้ใช้ได้ ป้ายยา หรือ รีวิว เรื่องราวหรือสินค้าต่าง ๆ ผ่านข้อความ รูปภาพ และวิดีโอสั้น ๆ ตามหมวดหมู่ที่แพลตฟอร์มแยกไว้ ไม่ว่าจะเป็นความงาม แฟชั่น ไลฟ์สไตล์ และที่เที่ยว เป็นต้น

โดยจุดเด่นของแพลตฟอร์ม Lemon8 ก็คือ เทมเพลต ฟิลเตอร์ แบบตัวอักษร ที่ผู้ใช้สามารถหยิบจับมาตกแต่งดัดแปลง เพื่อสร้างสรรค์โพสต์ดูน่าสนใจ และเป็นไปในสไตล์ที่ผู้ใช้ต้องการ คล้าย ๆ กับการออกแบบปกนิตยสารของตัวเอง และอีกจุดเด่นของ Lemon8 ก็คือ อัลกอริทึม เนื่องจาก Lemon8 ใช้อัลกอริทึมเดียวกันกับ TikTok 

มีโอกาสถูกแบนพร้อม TikTok

ด้วยความที่ Lemon8 เป็นแพลตฟอร์มที่มีเจ้าของเดียวกันกับ TikTok ดังนั้น ท่ามกลางความนิยมที่กำลังเพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ ทำให้หลายคนก็ยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับอนาคตของ Lemon8 และ CapCut ที่มี ByteDance เป็นเจ้าของ จะถูกแบนไปด้วยไหม

อย่างไรก็ตาม คงต้องรอว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร เพราะทาง TikTok ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ศาลคาดว่าจะรับฟังข้อโต้แย้งในวันที่ 10 มกราคม นอกจากนี้ยังเป็นไปได้ว่า ภายใต้รัฐบาลของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนล่าสุดจะ ไม่แบน TikTok เพราะเคยได้กล่าวชัดเจนในช่วงหาเสียงว่าจะสนับสนุนให้ TikTok สามารถดำเนินงานได้ในสหรัฐอเมริกา

businessinsider / thewrap

]]>
1505519
สรุปมหากาพย์ ‘สหรัฐฯ’ แบน ‘TikTok’ ที่กำลังเข้าสู่บทสรุปสุดท้าย! https://positioningmag.com/1503039 Thu, 12 Dec 2024 11:37:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1503039 อย่างที่หลายคนรู้ TikTok ถือเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก แถมยังเป็นแพลตฟอร์มจาก จีน ที่สามารถชนะใจโลกตะวันตก แต่นับตั้งแต่ปี 2020 เราจะเห็นข่าวการ แบน TikTok โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา จนในที่สุด มหากาพย์การแบนก็มาถึงบทสรุปในปี 2024 นี้ ดังนั้น Positioning จะพามาย้อนรอยเรื่องราว และทางเลือกของ TikTok จากนี้จะเป็นอย่างไร ใครจะได้ประโยชน์จากการแบนครั้งนี้

เริ่มจากทรัมป์

ย้อนไปในปี 2020 หลังจากที่ อินเดีย ได้ แบน TikTok ด้วยข้อหา ภัยความมั่นคง จากนั้น โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในขณะนั้นก็เริ่มส่งสัญญาณการแบน TikTok โดยให้เหตุผลว่า “การใช้แอปพลิเคชันที่พัฒนาโดยจีนอย่างแพร่หลายในสหรัฐอเมริกา ถือป็นความเสี่ยงต่อความมั่นคงของชาติ” 

ส่งผลให้ทางบริษัท ByteDance จึงเริ่มวางแผนจะขายหุ้นบางส่วนของบริษัทฝั่งสหรัฐฯ ให้กับผู้ถือหุ้นอเมริกัน เพื่อป้องกันการถูกแบน โดยในตอนนั้นมีบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลายรายให้ความสนใจ โดยเฉพาะ ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ที่ดูมีโอกาสใกล้เคียงที่สุด 

แต่ถึงอย่างนั้น รัฐบาลจีน ก็ดูเหมือนจะอยากให้ TikTok ไปอยู่ในมือบริษัทสัญชาติสหรัฐฯ เพราะหลังมีข่าวเรื่องดีลขาย TikTok กระทรวงพาณิชย์จีนก็ได้เพิ่มข้อกำหนด AI เข้าไปอยู่ในรายการผลิตภัณฑ์ควบคุมการส่งออก ส่งผลให้ ByteDance ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลจีนก่อน และผู้ที่ซื้อจะไม่ได้อัลกอริทึม AI ของ TikTok ที่ถือเป็นจุดแข็งของแพลตฟอร์ม ส่งผลให้ดีลการซื้อขายก็ล่มไป 

อีเวนต์หาเสียงของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่ทัลซา โอคลาโฮมา คืนวันที่ 20 มิถุนายน 2020 (Photo : Twitter@realDonaldTrump)

CEO ยันบริษัทไม่ได้ถูกรัฐบาลจีนคุม

จนกระทั่งในเดือนมิถุนายน 2021 ที่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนไปอยู่ในมือของ โจ ไบเดน ซึ่งได้เซ็นคำสั่งพิเศษให้ ปลดแบน ออกไปก่อน แต่ก็ได้สั่งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สืบสวนว่า แพลตฟอร์มมีความเสี่ยงจะเป็น ภัยต่อความมั่นคงของชาติสหรัฐฯ หรือไม่

ขณะเดียวกัน TikTok เองก็ยืนยันว่าไม่ได้มีการนำส่งข้อมูลของผู้ใช้ในสหรัฐฯ ให้กับรัฐบาลจีน โดยทาง Shou Zi Chew ซีอีโอ TikTok ได้ออกมาแถลงยืนยันต่อหน้าการไต่สวนจากรัฐสภาสหรัฐฯ ในเดือน มี.ค. 2023 ว่า บริษัทไม่ได้ตกอยู่ภายใต้หรือถูกควบคุมโดยรัฐบาลจีน เป็นเพียงบริษัทเอกชนเท่านั้น

นอกจากนี้ แพลตฟอร์มยังได้ใช้เงินไปประมาณ 1.5 พันล้านดอลลาร์ใน Project Texas เพื่อเก็บข้อมูลผู้ใช้ของสหรัฐฯ ไว้ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น อีกทั้งยังยอมให้รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลที่รัฐบาลสหรัฐฯ เห็นชอบ 3 คน เพื่อเข้ามาสอดส่องโครงการนี้ได้

เคาะต้องขายหรือจะปิด

แม้จะพยายามทำทุกทาง แต่บรรดาส.ส.สหรัฐฯ มองว่า การที่ ByteDance เป็นบริษัทจีน และอยู่ภายใต้กฎหมายของรัฐบาลจีน ก็ยังสุ่มเสี่ยงที่บริษัทอาจส่งข้อมูลใน TikTok ให้กับทางการจีน 

จนท้ายที่สุด สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกาได้ผ่านร่างกฎหมายคุ้มครองชาวอเมริกันจากแอปพลิเคชันที่รัฐศัตรูต่างชาติควบคุม (Protecting Americans from Foreign Adversary Controlled Applications Act) หรือชื่อเล่นว่ากฎหมายแบน TikTok ในเดือนมีนาคม 2024 ซึ่งจะ บังคับให้ ByteDance ที่เป็นบริษัทแม่ต้องขาย TikTok ให้ธุรกิจในสหรัฐฯ ไม่เช่นนั้นจะถูกแบนจากทุกแพลตฟอร์ม ภายใน 6 เดือน ส่งผลให้ ByteDance มีเวลาถึงวันที่ 19 มกราคม ปี 2025

โดนัลด์ ทรัมป์ ความหวังสุดท้าย?

แน่นอนว่า TikTok ไม่ยอมโดนแบนง่าย ๆ โดยได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาก่อนที่การห้ามจะมีผลในต้นปีหน้า อย่างไรก็ตาม แม้ว่าศาลปฏิเสธคำอุทธรณ์ แต่ TikTok ก็ยืนยันสู้ต่อในศาลสูงสุด

โดยหลายคนมองว่า TikTok พยายามจะยื้อจนกว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 20 มกราคม ซึ่งอาจเป็น ความหวังเดียว ที่จะทำให้ TikTok รอด เพราะแม้ต้นตอที่ทำให้ TikTok ถูกแบนในตลาดสหรัฐฯ ก็คือทรัมป์ แต่ในช่วงที่เขาหาเสียงเลือกตั้ง ทรัมป์กลับบอกว่า ไม่เห็นด้วยกับการแบน TikTok และถ้าเขาได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีเขาจะ ไม่อนุญาตให้การแบน TikTok

แบน TikTok
ทั้งโดนัลด์ ทรัมป์ และ กมลา แฮร์ริสต่างก็เปิดบัญชี TikTok เพื่อใช้หาเสียง

ByteDance จะเสียอะไร และใครจะได้ประโยชน์

แน่นอนว่าตลาดสหรัฐฯ ถือเป็นตลาดที่สำคัญมากของ TikTok เพราะด้วยจำนวนผู้ใช้ที่สูงถึงกว่า 170 ล้านคน และถือเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่มีกำลังซื้อมากที่สุดในโลก ทำให้ในปีที่ผ่านมา TikTok พึ่งจะเปิดตัวฟีเจอร์ TikTok Shop ไปหมาด ๆ พร้อมกับวางเป้าหมายที่จะมียอดขายสินค้าออนไลน์รวม (GMV) ให้ได้มากถึง 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐอีกด้วย ดังนั้น ถ้า TikTok ถูกแบน แปลว่าต้องเสียรายได้มหาศาล

ขณะเดียวกัน แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ที่มีฟีเจอร์ วิดีโอสั้น ก็จะได้ประโยชน์ไปเต็ม ๆ เนื่องจากคู่แข่งตัวฉกาจได้หายไป ทำให้เหล่าครีเอเตอร์ TikTok ต้องย้ายไปยังแพลตฟอร์มที่เหลือ ซึ่งก็จะช่วยดึงดูดผู้ใช้และผู้ลงโฆษณา

จะเห็นได้จากที่หุ้น Meta พุ่งขึ้น +2.4% หลังจากที่มีข่าว TikTok ถูกแบน เพราะ Meta เองก็มีฟีเจอร์ Reels ที่แม้ Meta จะไม่เคยเปิดเผยถึงรายได้จาก Reels แต่ก็มีการระบุว่า Reels ส่งผลเชิงบวกต่อรายได้โดยรวมของ Meta และในช่วงไตรมาสแรกของปี 2024 การใช้งาน Reels คิดเป็น 50% ของเวลาที่ผู้ใช้ใช้บน Instagram เช่นเดียวกันกับ YouTube ที่มีทั้งวิดีโอยาวและ YouTube Shorts วิดีโอสั้น ราคาหุ้นก็พุ่ง +1.25%

]]>
1503039
“TikTok” เปิดแคมเปญ “Mindful Makers” ดึงครีเอเตอร์ดังทำคอนเทนต์ “สุขภาพจิต” ดูแลใจเยาวชน https://positioningmag.com/1495583 Fri, 25 Oct 2024 05:59:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1495583
  • เยาวชนไทย 85% ใช้สื่อสังคมออนไลน์หาข้อมูลเรื่องที่สนใจ ทำให้การเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องในโซเชียลมีเดียเป็นประเด็นสำคัญ
  • จิตแพทย์เด็กเผยสถิติ 10% ของเยาวชนไทยวัยต่ำกว่า 18 ปีเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า และ 17% เสี่ยงฆ่าตัวตาย
    • TikTok จึงเปิดตัวแคมเปญ Mindful Makers รวมครีเอเตอร์และผู้เชี่ยวชาญทำคอนเทนต์ส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับ “สุขภาพจิต” และสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เยาวชน

    ยุคนี้โซเชียลมีเดียกลายเป็นสิ่งที่เข้ามามีอิทธิพลต่อผู้คนมากขึ้นโดยเฉพาะกับกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ จากข้อมูลการสำรวจผ่านแบบสอบถามของ lovefrankie (ครีเอทีฟเอเจนซี่ที่มุ่งแก้ไขปัญหาการพัฒนาสังคม เพื่อพัฒนาสังคม) สำรวจกลุ่มตัวอย่างเยาวชนไทยจำนวน 500 คน (อายุ 16-24 ปี) โดยมีสัดส่วนเพศชายและหญิงเท่ากัน ในประเด็นด้าน “สุขภาพจิต” ของเยาวชนไทย

    การสำรวจนี้พบว่า เยาวชนส่วนใหญ่ให้คุณค่ากับคอนเทนต์ที่สร้างแรงสนับสนุนทางอารมณ์และความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน รวมถึงคอนเทนต์ที่แบ่งปันเรื่องราวจากชีวิตจริง สร้างการมีส่วนร่วมในรูปแบบที่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน นอกจากนี้เยาวชนยังแสดงออกว่ามีความต้องการข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน และเชื่อถือได้ผ่านโซเชียลมีเดีย

    ผลการสำรวจยังพบว่า 85% ของผู้ตอบแบบสอบถามใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นที่ตนสนใจอีกด้วย ทำให้การเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือในโลกโซเชียลมีเดียถือเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องตระหนักและให้ความสำคัญอย่างมาก เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและสนับสนุนด้านสุขภาพจิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

    เยาวชนไทย 10% เสี่ยงซึมเศร้า 17% เสี่ยงฆ่าตัวตาย

    ปัญหาสุขภาพจิต เป็นปัญหาระดับโลกที่ไม่เคยมีอัตราตัวเลขลดลงเลยในช่วง 34 ปีที่ผ่านมา จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกเปิดเผยว่า 1 ใน 8 ของผู้คนทั่วโลกกำลังมีปัญหาด้านสุขภาพจิต โดยทุกๆ 40 วินาที ในโลกนี้จะมีคนฆ่าตัวตาย 1 คน

    ‘ดร.นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์’ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น รองโฆษกกระทรวงสาธารณสุข และ TikTok Safety Advisory Councils เปิดเผยว่า ปัญหาด้านสุขภาพจิตของเยาวชนไทยมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นทุกปี จากข้อมูลการสำรวจของกรมสุขภาพจิตระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-ตุลาคม 2567 พบว่า ในไทยมีเยาวชนไทยวัยต่ำกว่า 18 ปีราว 500,000 คน มากกว่า 10% ในจำนวนนี้หรือคิดเป็นประมาณ 50,000 คนมีความเสี่ยงเป็นโรคซีมเศร้า และอีก 17% หรือราว 80,000 คน มีความเสี่ยงในการฆ่าตัวตาย 

    ดร.นพ.วรตม์กล่าวด้วยว่า กลุ่มเด็กวัยรุ่นนั้นเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบทางลบต่อจิตใจสูงกว่าวัยอื่น เนื่องจากเป็นวัยที่โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิต ทำให้การใช้สื่อในเชิงบวกและปลอดภัยจะส่งผลดีต่อสุขภาพจิตของคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะกับกลุ่มวัยรุ่นที่มีความเปราะบางมากกว่า

    ดังนั้น พ่อแม่ ผู้ปกครอง ควรมีความรับผิดชอบในการดูแลการเลือกรับชมสื่อของเด็กๆ อีกทั้งครีเอเตอร์และผู้ผลิตสื่อทุกคนก็ควรให้ความสำคัญต่อการผลิตคอนเทนต์อย่างมีความรับผิดชอบ โดยการช่วยกันสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่จะช่วยสร้างการตระหนักรู้เรื่องการดูแลสุขภาพจิตด้วยตัวเอง ตลอดจนถึงการเอาใจใส่คนรอบข้างและคนที่เราพบเจอบนโลกออนไลน์ เพื่อสร้างสังคมออนไลน์ให้เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความสุขสำหรับทุกคน

    ‘Mindful Makers’ แคมเปญจาก ‘TikTok’ เพื่อดูแล ‘สุขภาพจิต’

    TikTok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมาแรงแห่งยุคจึงต้องการจะช่วยสร้างสังคมออนไลน์ที่ดีต่อสุขภาพจิตมากขึ้น ‘ชนิดา คล้ายพันธ์’ Head of Public Policy, Thailand กล่าวว่า มีผู้คนนับล้านเข้ามาที่ TikTok ทุกวันเพื่อแบ่งปันและค้นหาคอมมูนิตี้ที่ตรงกับความสนใจ ซึ่งหนึ่งในประเด็นที่มีการค้นหาข้อมูลนั้นเกี่ยวข้องกับด้าน “สุขภาพจิตTikTok พบว่ามีผู้ใช้เข้ามาค้นหาแหล่งข้อมูลในด้านนี้บนแพลตฟอร์มถึงกว่า 500,000 คนต่อเดือน

    เหตุนี้ TikTok จึงต้องการจะสร้างความมั่นใจว่าผู้ใช้แพลตฟอร์มจะได้รับข้อมูลที่เชื่อถือได้บนแพลตฟอร์มนี้ผ่านการเปิดตัวแคมเปญ ‘Mindful Makers‘ โครงการที่ช่วยส่งเสริมการตระหนักรู้และทักษะความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพจิตผ่านชุมชนออนไลน์

    Mindful Makers จะมีการรวบรวมครีเอเตอร์ชั้นนำและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตมาร่วมสร้างพื้นที่สร้างสรรค์และปลอดภัย โดย TikTok จับมือกับกับ “กระทรวงสาธารณสุข” ของประเทศไทย แอปพลิเคชัน “SATI” และเครือข่ายผู้สร้างคอนเทนต์เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ เพื่อส่งเสริมการนำคอนเทนต์ที่น่าสนใจและเชื่อถือได้เกี่ยวกับสุขภาวะทางจิตใจเข้าสู่แพลตฟอร์ม

    ในโครงการนี้ TikTok มีการเชิญเหล่าครีเอเตอร์ที่จะมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์และเผยแพร่ข้อมูลด้านสุขภาพจิตที่เชื่อถือได้มากมาย เช่น หนึ่ง-ปฐมาภรณ์ ตันจั่นพงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการไลฟ์สตรีมมิ่ง และเจ้าของช่อง @this.is.neung , แจน-วรินรำไพ ไตรพัชรพัฒน์ เจ้าของช่อง @janjanuary1 นอกจากนี้ยังมีครีเอเตอร์ภายใต้โครงการอีกหลายท่าน ได้แก่ @ppeachy28 @dr.tangmakkaporn @tam.kulissara @caraunited และ @kruyuy.supaporn เป็นต้น

    ทั้งนี้ โครงการ Mindful Makers โดย TikTok ก่อตั้งขึ้นในฐานะโครงการริเริ่มระดับชาติในประเทศไทย ที่มีความร่วมมือกับองค์การอนามัยโลก (WHO – World Health Organization) โดยมีเป้าหมายเพื่อมอบข้อมูลด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้และมีหลักฐานอ้างอิงแก่ผู้คน 

    ]]>
    1495583
    TikTok กำลังเลิกจ้างพนักงานหลายร้อยคน หลังมีการใช้ AI เข้ามาช่วยกรองเนื้อหามากขึ้น https://positioningmag.com/1494209 Sun, 13 Oct 2024 06:20:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1494209 ไบต์แดนซ์ (ByteDance) บริษัทแม่ของ TikTok ที่มีพนักงานมากกว่า 110,000 คน และมีสาขาตั้งอยู่ในกว่า 200 เมืองทั่วโลก ประกาศว่ากำลังเลิกจ้างพนักงานหลายร้อยคนทั่วโลก รวมถึงพนักงานในมาเลเซีย เนื่องจากบริษัทกำลังใช้ AI ในการกลั่นกรองเนื้อหาคอนเทนต์มากขึ้น

    การประกาศเลิกจ้างในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนในการปรับปรุงระบบการควบคุมดูแลให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดย TikTok นำระบบตรวจสอบเนื้อหาที่ใช้เทคโนโลยี AI มาใช้ในการตรวจสอบเนื้อหาที่ผู้ใช้โพสต์บนแพลตฟอร์มมากขึ้น

    โฆษกของ TikTok กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาระบบการควบคุมเนื้อหาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งบริษัทมีแผนการลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์ ในการยกระดับมาตรฐานความน่าเชื่อถือ และความปลอดภัยของแพลตฟอร์มในปีนี้

    บริษัทฯ จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาระบบตรวจจับเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยปัจจุบันเนื้อหาที่ละเมิดแนวปฏิบัติ 80% จะถูกลบออกโดยอัตโนมัติ

    ทั้งนี้การประกาศเลิกจ้างนั้นเกิดขึ้น ท่ามกลางแรงกดดันด้านกฎระเบียบด้านเทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในมาเลเซีย ที่รัฐบาลของมาเลเซียได้ขอให้บริษัทแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ต้องทำการยื่นขอใบอนุญาตในการดำเนินงาน

    ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการในการจัดการกับอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการฉ้อโกงออนไลน์ อาชญากรรมทางเพศต่อเด็ก และการกลั่นแกล้งทางอินเทอร์เน็ต ทำให้มีผลกระทบต่อการปรับโครงสร้างองค์กรของบริษัทเทคโนโลยีและนำมาสู่การตัดสินใจเลิกจ้างในครั้งนี้ ทำให้จะมีพนักงานมาเลเซียราว 500 คนที่จะได้รับผลกระทบดังกล่าว

    ที่มา : ABC Australia

    ]]>
    1494209
    หรือไม่ต้องแล้วก็ได้? ผลสำรวจพบคนอเมริกันสนับสนุนนโยบาย “แบน TikTok” น้อยลง https://positioningmag.com/1489089 Fri, 06 Sep 2024 13:24:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1489089 ผลสำรวจพบคนอเมริกันเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบาย “แบน TikTok” จากเมื่อ 18 เดือนก่อนมีถึงครึ่งหนึ่งที่พร้อมสนับสนุน แต่ปัจจุบันคนที่ยังสนับสนุนอยู่ลดเหลือเพียง 32%

    สำนักข่าว Bloomberg รายงานผลสำรวจจาก Pew Research ที่ออกมาเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2024 พบว่า คนอเมริกันวัยผู้ใหญ่ที่ทำการสำรวจมีเพียง 32% ที่สนับสนุนนโยบาย “แบน TikTok” ลดลงจากผลสำรวจเมื่อเดือนมีนาคม 2023 ที่มีถึง 50% ที่ต้องการให้แบน

    นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบด้วยว่า 50% ของคนอเมริกันปัจจุบันคิดว่าการแบน TikTok ‘อาจจะหรือไม่น่าจะเกิดขึ้นจริงได้’

    ในการสำรวจนี้ Pew เก็บตัวอย่างสำรวจจากผู้ใหญ่อเมริกัน 10,658 คน ระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม – 4 สิงหาคม 2024

    ผลสำรวจนี้ทำให้เห็นว่า คนอเมริกันเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับ TikTok ไปแล้วในรอบ 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา โดยประเด็นการแบน TikTok ปะทุขึ้นหลังประธานาธิบดี โจ ไบเดน เซ็นกฎหมายที่บีบให้ ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok จะต้องขายหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทออกมา หรือมิฉะนั้นจะถูกแบนการใช้งานในประเทศสหรัฐฯ เหตุที่รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการจะแบน TikTok เพราะหวั่นเกรงว่าความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของชาวอเมริกันจะลดลงเพราะแอปพลิเคชันนี้มีเจ้าของเป็นบริษัทจีน

    แบน TikTok
    ทั้งโดนัลด์ ทรัมป์ และ กมลา แฮร์ริสต่างก็เปิดบัญชี TikTok เพื่อใช้หาเสียง

    อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจไม่ได้ถามเจาะจงว่าทำไมชาวอเมริกันจึงเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับการแบน TikTok แต่จะเห็นได้ว่าปัจจุบันไม่ได้มีแต่ชาวบ้านทั่วไปที่เปลี่ยนความคิด เพราะแม้แต่นักการเมืองอเมริกันก็หันมาใช้โซเชียลมีเดียนี้ในการสื่อสารและหาเสียง

    อดีตประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ผู้เคยพยายามจะแบน TikTok มาแล้วระหว่างดำรงตำแหน่งในช่วงปี 2020 ล่าสุดดูเหมือนทรัมป์จะเปลี่ยนความคิดแล้วเพราะเขาเพิ่งจะเปิดบัญชี TikTok ไปเมื่อช่วงต้นปี 2024 ด้านคู่แข่งของทรัมป์คือ “กมลา แฮร์ริส” เองก็มีบัญชี TikTok เหมือนกัน และใช้ช่องทางนี้ในการหาเสียง

    ในการสำรวจครั้งนี้ของ Pew มีการแบ่งกลุ่มผู้ถูกสำรวจตามจุดยืนทางการเมืองด้วย โดยพบว่าคนอเมริกันที่เลือกพรรครีพับลิกันหรือมีแนวโน้มจะเลือกรีพับลิกันมักจะมองว่า TikTok เป็นภัยความมั่นคงของชาติมากกว่า พวกเขามีแนวโน้มจะสนับสนุนนโยบาย “แบน TikTok” มากกว่าผู้ที่เลือกพรรคเดโมแครตถึง 2 เท่า อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมแล้วผู้ที่สนับสนุนการแบน TikTok นั้นลดลงเกือบ 20% ใกล้เคียงกันทั้งสองขั้วการเมือง

    ไทม์ไลน์ทางกฎหมายเส้นตายที่ ByteDance จะต้องขาย TikTok ออกไปนั้นคือเดือนมกราคม 2025 และเส้นตายนั้นจะสามารถขอขยายได้อีก 90 วันหากดีลการขายดูเหมือนอยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินการ นอกจากนี้ การต่อสู้ทางกฎหมายของ TikTok ก็อาจจะทำให้การแบนจริงขยายเวลาออกไปอีกได้

    Source

    ]]>
    1489089
    ยกแผง! “CapCut” – “Lemon8” อีกสองแอปฯ ดังของ ByteDance อาจโดนแบนในสหรัฐฯ ตาม TikTok https://positioningmag.com/1477227 Sat, 08 Jun 2024 06:49:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1477227 หลังฝ่ายนิติบัญญัติสหรัฐฯ ออกกฎหมายบีบให้ปิดกิจการหรือขาย “TikTok” มีการประเมินว่าแอปฯ อื่นอาจจะโดนร่างแหจากกฎหมายนี้ไปด้วยก็ได้ เช่น “CapCut” แอปฯ ตัดต่อชื่อดัง หรือ “Lemon8” แอปฯ โซเชียลมีเดีย ที่อยู่ภายใต้บริษัท ByteDance เช่นกัน รวมไปถึงแอปฯ อีคอมเมิร์ซจีนบริษัทอื่นที่กำลังเติบโตในสหรัฐฯ เช่น Alibaba, Temu

    Axios ชี้รายละเอียดร่างกฎหมายแบน TikTok ที่ฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐฯ ที่ให้ผ่านออกมานั้น ข้อความในกฎหมายกว้างและครอบคลุมมากทีเดียว เพราะมีการระบุว่า “รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถแบนแอปพลิเคชันใดก็ได้ที่มีการควบคุมโดยหน่วยงานที่เป็นภัยจากต่างประเทศ” รวมถึงแอปฯ ที่ “ดำเนินการไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ผ่านบริษัทแม่หรือบริษัทลูกของหน่วยงานที่เป็นภัยจากต่างประเทศ”

    นั่นทำให้ถ้ากฎหมายนี้ถูกบังคับใช้จริง ก็เป็นไปได้ว่าแอปฯ ที่ได้รับผลกระทบจะไม่ใช่แค่ TikTok แต่หมายถึงแอปฯ ที่อยู่ภายใต้บริษัท ByteDance ทั้งหมด

    แอปฯ อื่นที่เป็นที่นิยมในสหรัฐฯ เช่นกันคือ “CapCut” แอปฯ ตัดต่อวิดีโอสั้นเบื้องหลังคลิปมากมายที่นำไปโพสต์ลงใน TikTok รวมถึงแอปฯ วิดีโอสั้นอื่นๆ ด้วย หากมีการแบน CapCut ก็จะกระทบครีเอเตอร์มากมายที่ใช้แอปฯ นี้เป็นหลักในการตัดต่อ

    รวมถึงแอปฯ “Lemon8” แอปฯ โซเชียลคู่แข่ง Pinterest ที่นิยมมากขึ้นในสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มที่ชื่นชอบคอนเทนต์แนวไลฟ์สไตล์และสุขภาพ ก็อาจจะโดนแบนไปด้วย

    ภายใต้บริษัท ByteDance ยังมีแอปฯ อื่นที่ทำธุรกิจในสหรัฐฯ อีก เช่น “Lark” แอปฯ ที่รวมฟีเจอร์สำหรับทำงาน ทำเอกสาร แชทในออฟฟิศ หรือ “Hypic” แอปฯ สำหรับตัดต่อรูป เป็นต้น

    สำนักข่าว Mashable ยังประเมินด้วยว่า ไม่ใช่แค่ ByteDance ที่จะถูกแบน แต่กฎหมายนี้อาจจะใช้ครอบคลุมบริษัทจีนอื่นด้วยก็ได้ เช่น กลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่าง Alibaba หรือ Temu

    อย่างไรก็ตาม มีรายงานข่าวมาก่อนหน้านี้ว่า ByteDance จะไม่ยอมง่ายๆ และน่าจะเตรียมสู้ในทางกฎหมาย แต่ถ้าสุดท้ายแล้วแพ้คดี บริษัทอาจจะเลือกที่จะปิดกิจการไปเลยมากกว่าขายหุ้นให้กับบริษัทอื่น

    Source

    ]]>
    1477227
    ‘TikTok’ เริ่มทดลองขยายความยาวคลิปเป็น ’60 นาที’ คาดเตรียมแย่งชิงตลาดกับ ‘YouTube’ https://positioningmag.com/1474660 Wed, 22 May 2024 11:42:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1474660 สำนักข่าว TechCrunch รายงานว่า ‘TikTok’ กำลังทดสอบระบบให้ผู้ใช้สามารถอัปโหลดคลิปความยาวสูงสุด ’60 นาทีโดยทดสอบในวงจำกัดทั้งจำนวนผู้ใช้และประเทศที่สามารถใช้ฟีเจอร์ใหม่นี้ได้ โดยบริษัทยังไม่ยืนยันว่าจะมีการขยายการใช้งานฟีเจอร์นี้เป็นวงกว้างเมื่อไหร่

    ความเคลื่อนไหวใหม่ของ TikTok ถือว่าน่าสนใจ เพราะแรกเริ่มเดิมที TikTok เป็นแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นที่ให้ผู้ใช้อัปโหลดคลิปยาวไม่เกิน 15 วินาที ก่อนจะค่อยๆ ขยายความยาวเรื่อยมาจนปัจจุบันสามารถอัปโหลดได้สูงสุด 10 นาทีต่อคลิป

    เห็นได้ว่าแพลตฟอร์มนี้กำลังปรับตัวเองจากการเป็นโซเชียลมีเดียสำหรับลงคลิปสั้นมาเป็นคลิปยาว และเป็นไปได้ว่า TikTok กำลังพยายามจะแย่งชิงตลาดกับคู่แข่งรายใหญ่ที่สุดในวงการโซเชียลมีเดียที่เน้นวิดีโอคลิป นั่นก็คือ ‘YouTube’

    TikTok ระบุว่า ที่ผ่านมาครีเอเตอร์ที่ต้องการจะลงคอนเทนต์ขนาดยาวสามารถใช้ฟีเจอร์ ‘Playlist’ เพื่อรวมวิดีโอที่แยกออกเป็นตอนๆ ให้ผู้ชมสามารถกดเข้าไปดูตอนต่อไปได้ แต่แพลตฟอร์มเองก็ได้รับเสียงเรียกร้องจากครีเอเตอร์เสมอมาว่าพวกเขาอยากจะลงคลิปที่ยาวกว่านี้ได้ เพราะคอนเทนต์บางประเภทเป็นคอนเทนต์ที่จำเป็นต้องใช้เวลานาน เช่น คลิปสอนทำอาหาร คลิปสอนแต่งหน้า คลิปทางการศึกษา ฯลฯ

    ดังนั้น การเพิ่มความยาวคลิปจะทำให้ครีเอเตอร์มีโอกาสทดลองคอนเทนต์แบบใหม่ได้ และแน่นอนว่าถ้าเป็นเช่นนั้น TikTok จะกลายเป็นคู่แข่งกับ YouTube มากกว่าที่เคย ทางบริษัท TikTok เองก็หวังว่าครีเอเตอร์ที่ปกติแล้วโพสต์คอนเทนต์ลงใน YouTube เป็นหลัก จะหันมาลงคลิปวิดีโอของตนใน TikTok ด้วย

    TikTok
    ตัวอย่างฟีเจอร์ลงวิดีโอแนวนอนและให้ผู้ใช้กดดูแบบเต็มจอ (Full Screen) ได้บน TikTok

    หนึ่งในโอกาสใหม่ที่จะเกิดขึ้นหาก TikTok อนุญาตให้โพสต์คลิปยาวถึง 60 นาที คือการนำ ‘ซีรีส์’ มาลงใน TikTok

    ยกตัวอย่างเช่น ปีที่แล้ว Peacock มีการทดลองนำตอนแรกของซีรีส์ชื่อ Killing It มาลงให้ดูฟรีบน TikTok แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องความยาวคลิป ทำให้ซีรีส์ตอนแรกนี้ถูกแบ่งออกเป็น 5 ส่วน ถ้าหาก TikTok ขยายความยาวคลิปสูงสุดเป็น 60 นาที ต่อไปค่ายผู้ผลิตซีรีส์ต่างๆ ถ้าอยากจะลงซีรีส์ให้ชมฟรีบนแพลตฟอร์มนี้ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องซอยย่อยออกเป็นส่วนๆ อีกต่อไป

    กลยุทธ์ดึงดูดผู้ผลิตซีรีส์จะไปชนกับ YouTube โดยตรง เพราะทุกวันนี้ค่ายผู้ผลิตซีรีส์ฝั่งตะวันตกหลายแห่งมักจะนำตอนแรกของซีรีส์มาให้ดูฟรีก่อนบน YouTube เพื่อเข้าถึงฐานผู้ชมให้ได้มากที่สุด

    อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ TikTok ถูกผูกติดอยู่กับนิยามการเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นมาตลอด ทำให้หลายคนไม่มีพฤติกรรมที่จะดูวิดีโอยาวๆ บน TikTok ทางบริษัทก็เห็นช่องโหว่ตรงนี้จึงพยายามจะเสริมประสบการณ์ให้ผู้ใช้ยอมชมวิดีโอขนาดยาวบนแพลตฟอร์มให้มากขึ้น เช่น มีการทดลองระบบดูวิดีโอแนวขวางได้จากเดิมที่ต้องลงแต่วิดีโอแนวตั้ง (เหมือนกับบน YouTube)

    แต่ขณะนี้ข้อมูลเรื่องฟีเจอร์การลงวิดีโอ 60 นาทีก็เหมือนกับการทดสอบฟีเจอร์อื่นๆ คือยังไม่รู้ว่า TikTok จะเดินหน้าขยายฟีเจอร์นี้ให้ใช้ได้ทั่วโลกเมื่อไหร่

    Source  

    ]]>
    1474660