Blockchain – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 11 Apr 2022 13:23:04 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Tesla ร่วมโครงการ “ขุดบิตคอยน์” ด้วยพลังงานโซลาร์ ปิดช่องดราม่าทำลายสิ่งแวดล้อม https://positioningmag.com/1381226 Mon, 11 Apr 2022 08:10:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1381226 Tesla ประกาศร่วมโครงการ “ขุดบิตคอยน์” กับ Block บริษัทด้านการชำระเงิน และ Blockstream Corp บริษัทด้านบล็อกเชน โดยทางผู้ผลิตรถยนต์จะร่วมธุรกิจด้วยฟาร์มโซลาร์และเทคโนโลยีแบตเตอรี่

อดัม แบ็ค ซีอีโอของ Blockstream เป็นผู้ประกาศข่าวการร่วมมือกันครั้งนี้เมื่อวันศุกร์ที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา โดยระบุว่า Block จะเป็นผู้ลงทุนมูลค่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนทาง Tesla จะเป็นผู้ก่อสร้างระบบพลังงานโซลาร์ และจะมีการใช้เทคโนโลยีแบตเตอรี่ “Megapack” ของบริษัทเข้ามาเสริม ขณะที่ Blockstream จะเป็นผู้บริหารโครงการด้วยความเชี่ยวชาญด้านบล็อกเชน

สำหรับโครงการดังกล่าว แต่เดิมเริ่มร่วมมือกันระหว่างสองบริษัทคือ Blockstream และ Block มาตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีก่อน โดยต้องการจะสร้างเหมืองบิตคอยน์ที่ใช้พลังงานโซลาร์ในการขุด และสร้างเป็นระบบโอเพ่นซอร์ส ตั้งเป้าเปิดเหมืองในรัฐเท็กซัส

โอเพ่นซอร์สที่ว่านี้คือ โครงการต้องการจะพิสูจน์ว่าเหมืองบิตคอยน์ที่ใช้พลังงานโซลาร์หรือพลังงานหมุนเวียน 100% จะทำได้จริงหรือไม่ โดยจะเปิดแดชบอร์ดให้บุคคลภายนอกเข้ามาดูมาตรวัดต่างๆ ได้แบบเรียลไทม์ ทั้งการผลิตพลังงานเข้าเหมือง การกักเก็บไฟฟ้า และจำนวนบิตคอยน์ที่ขุดได้จริง

บิตคอยน์มีเงื่อนไขการสร้างขึ้นด้วยการใช้คอมพิวเตอร์ศักยภาพสูงจำนวนมากมาแข่งขันกันแก้ไขสมการทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน ซึ่งการทำเช่นนั้นจะต้องอาศัยพลังงานไฟฟ้ามหาศาลมาหล่อเลี้ยงคอมพิวเตอร์ และไฟฟ้าก็มักจะผลิตมาจากถ่านหิน ทำให้นักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมต่างจับตามองและต่อต้านการผลิตบิตคอยน์ขึ้นมา

เรื่องนี้ทำให้ Tesla ถูกกดดันอย่างหนักเมื่อเดือนพฤษภาคม 2021 เพราะบริษัทเปิดตัวว่าจะรับชำระเงินค่ารถยนต์ด้วยสกุลเงินบิตคอยน์ ซึ่งนักกิจกรรมมองว่า ขัดแย้งกับเป้าหมายของบริษัทที่จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อแก้ปัญหาการปล่อยมลพิษจากรถยนต์สันดาป ในที่สุด บริษัทจึงต้องหยุดการรับชำระเงินด้วยบิตคอยน์ไปก่อน

ด้านบริษัท Block นั้นชื่อเดิมคือ Square และเป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นโดย “แจ็ค ดอร์ซีย์” อดีตซีอีโอของ Twitter ล่าสุด “อีลอน มัสก์” ก็เพิ่งจะซื้อหุ้นของ Twitter จนขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุดในบริษัท แต่ประกาศไม่รับตำแหน่งในบอร์ดคณะกรรมการ (อ่านต่อเรื่องของมัสก์กับ Twitter ที่นี่)

Source: Reuters, CNBC

]]>
1381226
ยิ่งกว่าก้าวกระโดด! ตลาด ‘NFT’ โตพุ่ง 21,000% มูลค่าทะลุ 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์ https://positioningmag.com/1377207 Fri, 11 Mar 2022 08:02:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1377207 ตั้งแต่การมาของ ‘บล็อกเชน’ (Blockchain) เทคโนโลยีที่ว่าด้วยระบบการเก็บข้อมูล (Data Structure) แบบไม่มีตัวกลาง ส่งผลให้มีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้นมามากมาย โดยเฉพาะ คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) และได้เป็นการถือกำเนิด Non-fungible token หรือที่เรียกย่อ ๆ ว่า ‘NFT’ และดูเหมือนสิ่งนี้จะกลายเป็นเทรนด์ใหม่ในอนาคตที่มาควบคู่ไปกับ เมตาเวิร์ส (Metaverse)

NFT คืออะไร?

หลายคนคงได้ยินคำว่า NFT กันมาบ้าง แต่อาจจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร ทำอะไรได้กันแน่ ซึ่งจริง ๆ แล้ว NFT ถือเป็นคริปโตเคอร์เรนซีรูปแบบหนึ่งที่ใช้แสดงถึงความเป็นเจ้าของในสินทรัพย์ โดยจะมีลักษณะเฉพาะตัว ไม่สามารถทดแทนได้ ถือเป็นสินทรัพย์ที่ ไม่ซ้ำใคร ในโลกดิจิทัล โดยยังสามารถซื้อและขายได้เหมือนกับทรัพย์สินอื่น ๆ

ปัจจุบัน NFT ได้ถูกนำไปใช้ในวงการศิลปะไม่ว่าจะเป็น ภาพวาด ภาพกราฟิก วิดีโอ และเพลง โดยถือว่า NFT กลายเป็นวิธีสากลสำหรับครีเอเตอร์ในการเป็นเจ้าของ ควบคุม และ ได้รับประโยชน์ จากการสร้างสรรค์ผลงานของพวกเขา

เติบโต 21,000% ในปีเดียว

หลายคนคงเคยเห็นกระแสการขาย NFT ในต่างประเทศกันมาบ้าง อย่าง ชายอินโดนีเซียถ่ายรูปตัวเองทุกวันตลอด 5 ปี เพื่อขายเป็น NFT ทำเงินกว่า 33.7 ล้านบาท เลยทีเดียว โดยข้อมูลจาก NFT Nonfungible.com ได้เปิดเผยว่า ในปี 2021 ที่ผ่านมามียอดขาย NFT ถึง 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเติบโตถึง 21,000% จากปี 2020 มียอดรวม 82 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ที่ผ่านมา มีภาพของศิลปิน Beeple ที่ถูกประมูลไปถึง 69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย Christie ในขณะที่คอลเลกชั่น NFT ยอดนิยมอย่าง Bored Ape Yacht Club หรือ ภาพลิงขี้เบื่อ ที่ถูกสร้างขึ้นมาจำนวนทั้งหมดอยู่ที่ 10,000 ชุด และแต่ละชุดจะมีลักษณะที่แตกต่างกันไป โดยก็มีคนดัง ๆ อย่างได้ Jimmy Fallon และ Snoop Dogg เป็นหนึ่งในลูกค้าอีกด้วย

“เราเห็นการเติบโตแบบทวีคูณในปีที่ผ่านมา” Gauthier Zuppinger ผู้ร่วมก่อตั้ง Nonfungible.com กล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้ตลาด NFT จะเติบโตสูงมาก แต่ก็ยังต่ำกว่าที่หลายคนคาดการณ์ไว้ โดยจากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้จากบริษัทวิเคราะห์บล็อกเชน Chainalysis ระบุว่า ตลาด NFT จะมีมูลค่ามากกว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว แต่ทาง Zuppinger ก็ระบุว่า ตัวเลขที่บริษัทแทร็กได้นั้นนับเฉพาะการซื้อ-ขายที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น

แน่นอนว่า NFT เป็นวิธีที่ใช้ในการสร้างคุณค่าและพิสูจน์ความเป็นเจ้าของเนื้อหาดิจิทัล แต่นักวิจารณ์หลายคนมองว่า ผู้ที่กำลังเข้าสู่ตลาดมักมองถึงเรื่องการ เก็งกำไร และมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามีการใช้ NFT เพื่อ ฟอกเงิน รวมถึงทำเรื่องไม่ดีอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น

ปัจจุบัน มี Wallet ที่เข้ารหัสลับซึ่งเป็นของผู้ซื้อ-ขาย NFT มากกว่า 2.5 ล้านแห่ง เพิ่มขึ้นจากเพียง 89,000 แห่ง ในปี 2020 ขณะที่จำนวนผู้ซื้อ NFT เพิ่มขึ้นเป็น 2.3 ล้านราย จาก 75,000 ราย โดยนักลงทุนสามารถสร้างกำไรจากการขาย NFT รวมแล้วกว่า 5.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดยจำนวน Wallet กว่า 470 แห่ง สามารถทำกำไรได้มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยประเภท NFT ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ ของสะสม ซึ่งคิดเป็นมูลค่าการขาย 8.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามด้วย Gaming NFTs เช่น Axie Infinity โดยมียอดขาย 5.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ตาม Zuppinger มองว่ามูลค่าธุรกรรม NFT โดยรวมปีนี้จะ ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยปริมาณเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 687 ล้านดอลลาร์ต่อสัปดาห์จนถึงปี 2022 โดยเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากค่าเฉลี่ย 620 ล้านดอลลาร์ต่อสัปดาห์ ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2021

“สิ่งที่น่าสนใจคือ เราอาจเห็นคนน้อยลง ผู้ซื้อน้อยลง ขายน้อยลง เนื่องจากบางคนอาจเลิกสนใจ หรือไม่ก็เพราะการเก็งกำไรที่มากเกินไป แต่มูลค่าของสินทรัพย์เหล่านี้บางส่วนก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง” Zuppinger กล่าว

Zuppinger คาดการณ์ว่าบริษัทขนาดใหญ่และสถาบันการเงินจะเข้าสู่ตลาด ในขณะที่สินทรัพย์เพื่อการเก็งกำไรจะเริ่มหายไป

CNBC / th.investing.com

]]>
1377207
โดนใจสายขุด! ‘Intel’ เตรียมเปิดตัวชิปสำหรับขุดคริปโตที่แรงกว่าคู่แข่ง 1,000 เท่า แถมประหยัดพลังงาน https://positioningmag.com/1374183 Wed, 16 Feb 2022 07:32:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1374183 ที่ผ่านมาเหล่านักขุดบิตคอยน์หรือเหรียญ cryptocurrency ต่างพยายามจัดคอมให้แรงที่สุดเพื่อใช้ในการขุด แต่อุปกรณ์ดังกล่าวไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ใช้งานเฉพาะด้านแบบนั้น Intel ซึ่งได้เสียงเรียกร้องจากลูกค้าจึงออกแบบชิปใหม่สำหรับใช้ขุดคริปโตโดยเฉพาะ ซึ่งแรงกว่าคู่แข่ง 1,000 เท่า แถมยังประหยัดพลังงานกว่าอีกด้วย

Raja Koduri รองประธานอาวุโสของ Accelerated Computing Systems and Graphics Group ของ Intel กล่าวว่า การขุดคริปโตฯ และการทำบล็อกเชนโดยทั่วไปต้องใช้พลังประมวลผลจำนวนมหาศาล ผู้ผลิตชิปจึงตั้งเป้าที่จะผลิตชิปประหยัดพลังงานเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ทำให้ Intel ลงทุนในเทคโนโลยีบล็อกเชนด้วยชิปตัวใหม่ที่สามารถใช้ในการขุดคริปโตฯ โดยชิปดังกล่าวจะมีเทคโนโลยีการคำนวณพลังงานในระดับต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ประหยัดมากขึ้น

“ชิปประมวลผลใหม่ของ Intel จะสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชนด้วยแผนงานของตัวเร่งความเร็วที่ประหยัดพลังงาน เนื่องจากที่ผ่านมา ลูกค้าของเรากำลังถามหาโซลูชันที่ปรับเปลี่ยนได้และยั่งยืน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงมุ่งเน้นความพยายามในเข้าถึงศักยภาพของบล็อกเชนอย่างเต็มที่ ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด”

ที่ผ่านมา มีข่าวหลุดออกมาว่าชิปดังกล่าวของ Intel จะใช้ Code Name ว่า ‘Bonanza’ โดยจะเป็นชิปแบบวงจรรวมแอปพลิเคชันเฉพาะ (Application-Specific Integrated Circuits : ASIC) ซึ่งถือเป็นโปรเซสเซอร์พิเศษที่ออกแบบมาเพื่อใช้เฉพาะทาง ซึ่งก็คือ ใช้ขุดคริปโตและบล็อกเชน โดยทาง Intel ได้อวดว่า เจ้าชิปใหม่นี้ จะมีประสิทธิภาพต่อวัตต์ดีกว่า 1,000 เท่าเมื่อเทียบกับ GPU หลักสำหรับการขุดที่ใช้ระบบอัลกอริทึม SHA-256

ทั้งนี้ ชิปใหม่ของ Intel จะวางจำหน่ายภายในช่วงปลายปี โดยมีบริษัทพลังงานไฟฟ้าของสหรัฐฯ GRIID Infrastructure, บริษัทขุดคริปโต Argo Blockchain และ Block ของ Jack Dorsey เป็นกลุ่มลูกค้ารายแรก ๆ

Source

]]>
1374183
รู้จัก ‘Taproot’ การอัปเดตใหญ่ ‘Bitcoin’ ในรอบ 4 ปี มันดียังไง? https://positioningmag.com/1361974 Mon, 15 Nov 2021 06:05:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1361974 ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก เมื่อ Bitcoin ได้มีการอัปเดตใหญ่ในรอบ 4 ปี ดังนั้น ไปดูกันว่าการอัปเดตครั้งนี้จะช่วย เพิ่มประสิทธิภาพ อะไรได้บ้าง

การอัปเดต ‘Taproot’ คือชื่อของการอัปเกรดแบบ Soft fork ครั้งใหญ่ของ Bitcoin ซึ่งจะทำให้มีความเป็นส่วนตัวและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกรรมที่มากขึ้น และที่สำคัญจะปลดล็อกศักยภาพของสัญญาอัจฉริยะ ซึ่งสามารถใช้เพื่อกำจัด คนกลาง จากธุรกรรมได้

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ Bitcoin นั้นเกี่ยวข้องกับ ลายเซ็นดิจิทัล (Digital Signature) ซึ่งเหมือนกับลายเซ็นที่แต่ละคนทิ้งไว้ในทุกธุรกรรม โดย Bitcoin ใช้สิ่งที่เรียกว่า “อัลกอริทึมลายเซ็นดิจิทัล Elliptic Curve” ซึ่งสร้างลายเซ็นจากคีย์ส่วนตัวที่ควบคุมกระเป๋าเงิน Bitcoin และทำให้แน่ใจว่าเจ้าของที่ถูกต้องเท่านั้นที่สามารถใช้ Bitcoin ได้

โดย Taproot จะเพิ่มสิ่งที่เรียกว่า ลายเซ็น Schnorr (Schnorr Signatures) ซึ่งทำให้ธุรกรรมที่มีลายเซ็นหลายลายเซ็นไม่สามารถอ่านได้ เป็นการยกระดับความเป็นส่วนตัว นอกจากนี้ยังเพิ่มประสิทธิภาพของการคำนวณ และลดความพื้นที่ใช้งานในเครือข่ายให้น้อยลง

“ในทางปฏิบัติ นั่นหมายถึงความเป็นส่วนตัวที่มากขึ้น คุณสามารถซ่อนว่าคุณเป็นใครได้ดีขึ้นนิดหน่อย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี” Brandon Arvanaghi วิศวกรเหมือง Bitcoin และปัจจุบันบริหาร Meow ซึ่งเป็นบริษัทที่ช่วยให้องค์กรมีส่วนร่วมในตลาดเงินดิจิทัล กล่าว

ลายเซ็นที่ได้รับการปรับปรุงเหล่านี้ยังเป็นตัวเปลี่ยนเกมสำหรับ สัญญาอัจฉริยะ (smart contract) ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ดำเนินการด้วยตนเองซึ่งอยู่บนบล็อกเชน ในทางทฤษฎีแล้ว สมาร์ทคอนแทรคสามารถใช้กับธุรกรรมแทบทุกประเภท ตั้งแต่การชำระค่าเช่าทุกเดือน ไปจนถึงการจดทะเบียนรถ

Taproot ทำให้สมาร์ทคอนแทรคราคาถูกลง และการใช้พื้นที่บนบล็อกเชนน้อยลง โดยในปัจจุบัน สมาร์ทคอนแทรคสามารถสร้างได้ทั้งบนเลเยอร์โปรโตคอลหลักของ Bitcoin และบนเครือข่าย Lightning ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการชำระเงินที่สร้างขึ้นบน Bitcoin ซึ่งช่วยให้สามารถทำธุรกรรมได้ทันที สัญญาอัจฉริยะที่ดำเนินการบนเครือข่าย Lightning มักจะนำไปสู่การทำธุรกรรมที่รวดเร็วและมีค่าใช้จ่ายน้อยลง

นักพัฒนาซอฟต์แวร์ได้เริ่มสร้างบน Lightning แล้ว โดยรอการอัปเกรด ซึ่งจะช่วยให้สามารถทำสัญญาที่เฉพาะเจาะจงได้สูง

“สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับ Taproot คือ สัญญาที่ชาญฉลาด มันเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของนวัตกรรมบนเครือข่าย ethereum แล้ว สัญญาอัจฉริยะทำให้คุณมีโอกาสสร้างแอปพลิเคชันและธุรกิจบนบล็อกเชนได้อย่างแท้จริง” Fred Thiel ซีอีโอของผู้เชี่ยวชาญด้านการขุด cryptocurrency Marathon Digital Holdings กล่าว

แม้ว่าชุมชน Bitcoin ตกลงที่จะล็อกการอัปเกรดในเดือนมิถุนายน แต่การเปิดตัวยังไม่เกิดขึ้นจนถึงเดือนพฤศจิกายน ความล่าช้าสองเดือนได้รับการออกแบบมาเพื่อให้มีเวลาเพียงพอสำหรับการทดสอบและลดโอกาสที่สิ่งผิดปกติระหว่างการอัปเกรด

Source

]]>
1361974
จับกระเเสตลาดคริปโตฯ 2021…ทำไมราคา ‘Bitcoin’ พุ่งปรี๊ดเเตะ 1 ล้านบาท https://positioningmag.com/1312775 Mon, 04 Jan 2021 11:09:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1312775 ท่ามกลางวิกฤต COVID-19 เงินทุนกำลังไหลเข้าตลาดคริปโตเคอร์เรนซี ดันBitcoin’ (บิตคอยน์) พุ่งทะยานทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

เรียกได้ว่าเปิดปีใหม่ 2021 มาด้วยความร้อนเเรง ราคาของบิตคอยน์ 1 BTC มีมูลค่าเเตะ 1 ล้านบาทเข้าไปแล้ว ถือเป็นราคาสูงที่สุด ตั้งแต่เริ่มมีการซื้อขายมานับทศวรรษ

ตลอดในปี 2020 ที่ผ่านมา มูลค่าของ Bitcoin เติบโตขึ้นเกือบ 300% ตามกระเเสเงินทุนไหลทะลักเข้ามาในผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับคริปโตฯ อย่างเนื่องเเน่น ยอดทะลุ 5,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2019 ถึง 600%

การที่สกุลเงินดิจิทัลอย่าง ‘Bitcoinมีค่าเพิ่มขึ้นถึงระดับ 30,000 ดอลลาร์เป็นครั้งแรก ส่งผลให้นักลงทุนจำนวนมาก แห่กันมาสนใจตลาดนี้ขึ้นมากขึ้นกว่าเดิม 

ข้อมูล ณ วันที่ 4 มกราคม 2021 เวลาประมาณ 11.20 น.

รู้จัก Bitcoin

Bitkub ผู้ให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย อธิบายว่า Bitcoin คือสกุลเงินดิจิทัลตัวแรกของโลกที่เป็น “Decentralized” หรือกระจายศูนย์แตกต่างกับเงินดิจิทัลแบบ Centralized หรือแบบมีตัวกลางที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ โดยเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง Bitcoin ก็คือ Blockchain

Bitcoin ถูกสร้างขึ้นโดยบุคคลหรือองค์กรที่ใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto ซึ่ง ณ ปัจจุบันก็ยังไม่มีใครทราบว่าแท้จริงแล้วเค้าคือใครกันแน่ โดย Satoshi สร้าง Bitcoin ขึ้นมาให้มีจำนวนจำกัดอยู่ที่ 21 ล้านเหรียญ ปัจจุบันมี Bitcoin ไหลเวียนอยู่ในระบบประมาณ 19 ล้านเหรียญ แต่เนื่องจาก Bitcoin ที่ออกมาใหม่จะน้อยลงเรื่อยๆ

ดังนั้น ด้วยความที่เป็น Decentralized ทำให้ Bitcoin เป็นสกุลเงินที่ไม่ถูกควบคุมโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง กล่าวคือสามารถตัดตัวกลางในการดำเนินธุรกรรมไปได้นั่นเอง เมื่อไม่มีตัวกลาง การดำเนินธุรกรรมต่าง ๆ ด้วย Bitcoin จึงมีค่าธรรมเนียมที่ถูกลงอย่างมาก รวมถึงระยะเวลาที่ใช้ในการดำเนินธุรกรรมต่างๆ ก็จะลดน้อยลงไปอย่างมีนัยสำคัญ

อ่านเพิ่มเติม :
Bitkub แนะมือใหม่เริ่มลงทุนใน Bitcoin ต้องทำอย่างไร ?
ความรู้เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล โดยตลาดหลักทรัพย์เเห่งประเทศไทย 

ทำไมราคา Bitcoin พุ่งปรี๊ดรับปี 2021 ?

นักวิเคราห์มองว่า การที่ตลาดคริปโตฯ เติบโตอย่างก้าวกระโดด ปัจจัยโดยหลัก ๆ น่าจะมาจากวิกฤตเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากเเพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้ความกังวลเกิดขึ้นทั้งภาวะเงินเฟ้อ เเละค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง

ประกอบกับ กระแสตอบรับที่คึกคักจากกลุ่มบริษัทฟินเทค และการสนับสนุนจากนักลงทุนรายใหญ่ในตลาด ซึ่งเเตกต่างจากการดีดตัวของ Bitcoin เมื่อครั้งปี 2017 ที่ส่วนใหญ่เป็นกระเเสจากรายย่อย

โดยอีลอน มัสก์ ซีอีโอ Tesla และผู้ก่อตั้ง SpaceX เป็นมหาเศรษฐีรายล่าสุด ที่แสดงความสนใจเข้ามาลงทุนในตลาดคริปโตฯ

ด้าน PayPal ยักษ์ใหญ่วงการ E-Payment ของสหรัฐฯ ประกาศว่า ในปี 2021 บริษัทพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ ออกมารองรับการซื้อขาย Bitcoin เเละสกุลเงินคริปโตฯ อื่นๆ มากขึ้น พร้อมตั้งเป้าจะให้ลูกค้าใช้สกุลเงินคริปโตฯ ในการซื้อสินค้าจากร้านค้าปลีกที่เป็นพันธมิตรกว่า 26 ล้านเเห่ง

โดย Bitcoin ได้รับเเรงหนุนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลกที่ต้องการฟื้นฟูประเทศจากพิษไวรัส ทำให้มีการลดหรือคงดอกเบี้ย เเละสกุลเงินของหลายประเทศก็อ่อนค่าลง โดยเฉพาะเงินดอลลาร์

เมื่อนักลงทุน เริ่มสูญเสียความเชื่อมั่นในนโยบายการเงินของรัฐบาลเเละสกุลเงินหลัก ก็ทำให้เริ่มหันมาถือครอง Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์ทางเลือกมากขึ้นนั่นเอง โดยบางรายถึงกับมองว่า เป็นหนึ่งในการลงทุนที่ปลอดภัยในช่วงที่วิกฤตโรคระบาด เช่นเดียวกับทองคำ 

เเม้แนวโน้มทิศทางการเติบโตของตลาดคริปโตฯ ยังเป็นไปในทางบวกจากปัจจัยหนุนที่ว่ามาดังกล่าว เเต่นักวิเคราะห์บางราย ก็ออกมาเตือนว่า ให้ระวังภาวะตลาดปรับฐาน เพราะราคาของ Bitcoin ที่พุ่งกระฉูดจะสะดุดลงในปีนี้ หลังจากดีดตัวขึ้นไปอย่างมาก 

ขณะเดียวกัน ก็มีการเตือนว่า การที่ราคาของ Bitcoin พุ่งขึ้นมากกว่า 300% ในปีที่ผ่านมาเป็นผลมาจากฟองสบู่ที่มีความเสี่ยง ซึ่งเกิดจากนักลงทุนที่ไล่ตามแรงเหวี่ยงของสกุลเงินนี้

สำหรับในไทยนั้น มีผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ Digital Asset Exchange จากตลาดหลักทรัพย์เเห่งประเทศไทย เเล้วดังนี้ (*bx.in.th ปิดให้บริการไปเเล้ว)

ที่มา : www.sec.or.th/digitalasset ณ วันที่ 4 มกราคม 2021

Bitkub ขึ้นเป็น Digital Asset Exchange รายใหญ่ใหญ่ที่สุดในไทย โดยมีสินทรัพย์กว่า 38 เหรียญ ภายหลังจากที่เจ้าใหญ่อย่าง bx.in.th ตัดสินใจยุติการเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือการให้บริการด้านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Asset Wallet) เนื่องจากบริษัทได้เล็งเห็นถึงโอกาสในการพัฒนาธุรกิจในทางอื่น ๆ ดังนั้น ภายหลังจากวันที่ 30 กันยายน 2019 ลูกค้าจะไม่สามารถทำการซื้อขาย แลกเปลี่ยน (เทรดดิ้ง) ผ่านเว็บไซต์ bx.in.th ได้อีกต่อไป และบริษัทอยู่ระหว่างปฏิบัติตามขั้นตอนการคืนใบอนุญาตกับ ก...

ปรมินทร์ อินโสม กรรมการบริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด วิเคราะห์ว่า ในปี 2021 ราคาของ Bitcoin มีแนวโน้มขึ้นไปถึง 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ และตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่ก็จะยังคงคึกคัก จากการซื้อขายของนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อย

“เศรษฐกิจโดยรวมยังคงได้รับผลกระทบจาก COVID-19 จึงมีความต้องการขายเพื่อ cash out นำเงินสดมาดำรงชีวิตประจำวัน รวมทั้งการรักษาธุรกิจยังคงมีอยู่ ขณะที่บริษัทใหญ่ๆ ต้องหาทางกระจายความเสี่ยงสภาพคล่องมาลงทุนโดยใช้ Bitcoin เป็น Reserve Asset จึงทำให้มีการซื้อล็อตใหญ่ๆ หลายๆ รอบ” 

โดยคำแนะนำสำหรับนักลงทุนรายย่อย คือ คาดว่าราคาของบิตคอยน์จะคงอยู่ที่ 20,000-26,000 ดอลลาร์สหรัฐ ไปจนถึงต้นเดือนมกราคม หลังจากนั้นจะมีโอกาสลงมาปรับฐาน และหลังจากเดือนเมษายน อาจมีการปรับตัวขึ้นอีกรอบ ดังนั้น “ต้องระวังไม่ถือยาว” เมื่อสถานการณ์โรคระบาดเริ่มดีขึ้น จึงเล่นตามเทรนด์ของตลาด อย่างไรก็ตาม ต้องบริหารความเสี่ยงและการลงทุนให้ดี เนื่องจากธรรมชาติของคริปโตเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง

เเม้ราคา Bitcoin จะพุ่งปรี๊ดดึงดูดใจใครหลายคน เเต่ด้วยความที่เป็นตลาดใหญ่ ผู้เล่นจากทั่วโลก ซื้อขายไม่มีวันเวลาหยุด ทำให้มีการผันผวนสูง เเละตลาดมีขึ้นก็ย่อมมีลง เหมือนการลงทุนอื่นๆ ดังนั้น เมื่อทุกการลงทุนมีความเสี่ยงจึงควรหาข้อมูล พิจารณาให้รอบคอบและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจลงทุนใด ๆ

 

 

ที่มา : Reuters , The Guardian, Coindesk , SET , MGR Online

]]>
1312775
KBank ออกหุ้นกู้ 17 ล้านยูโร ผ่าน “บล็อกเชน” ครั้งแรกในไทย คาดช่วยลดต้นทุนได้ 80-90% https://positioningmag.com/1284240 Fri, 19 Jun 2020 10:26:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1284240 KBank ออกหุ้นกู้ 17 ล้านยูโร อายุ 3 เดือน ดอกเบี้ย 0.52% ต่อปี ร่วมมือสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เสนอขายบนบล็อกเชนสำเร็จเเบงก์เเรกในไทย คาดช่วยลดต้นทุนซื้อขายหุ้นกู้ลงได้ถึง 80-90% มองปีนี้เอกชนออกหุ้นกู้ลดลงเหลือ 8-9 แสนล้านบาท 

ขายหุ้นกู้บนบล็อกเชนครั้งแรกในไทย

จงรัก รัตนเพียร รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย (KBank) กล่าวว่า ธนาคารได้ร่วมกับสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ดำเนินการเสนอขายและออกหุ้นกู้สกุลเงินยูโรให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันในประเทศผ่านเทคโนโลยี Distributed Ledger Technology (DLT) หรือที่เรียกว่าบล็อกเชน” (Blockchain) ภายใต้โครงการทดสอบและพัฒนานวัตกรรมเพื่อสนับสนุนการให้บริการเกี่ยวกับตลาดทุน โดย KBank เป็นธนาคารพาณิชย์ไทยแห่งแรกที่เสนอขายหุ้นกู้สกุลเงินต่างประเทศด้วยบล็อกเชน

หุ้นกู้สกุลเงินยูโรที่ออกในครั้งนี้ เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และไม่มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ มูลค่าเสนอขายรวมทั้งสิ้น 17 ล้านยูโร แบ่งเป็น 17,000 หน่วย อายุหุ้นกู้ประมาณ 3 เดือน อัตราดอกเบี้ย 0.52% ต่อปี และได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่อันดับความน่าเชื่อถือระดับสูงสุด “F1+(tha)”

สำหรับการออกหุ้นกู้สกุลเงินยูโรมูลค่า 17 ล้านยูโรนี้ อยู่ภายใต้โครงการหุ้นกู้ธนาคารกสิกรไทย วงเงินไม่เกิน 30,000 ล้านบาท ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (...) อนุญาตให้ธนาคารสามารถเสนอขายหุ้นกู้ภายใต้โครงการ Medium Term Note ได้ภายในระยะเวลา 2 ปี

การออกหุ้นกู้เพื่อระดมทุนของแบงก์เป็นกิจกรรมปกติ ไม่ได้อิงกับสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนจาก COVID-19 แต่ต้องการบริหารสภาพคล่องของธนาคารให้อิงกับปริมาณการปล่อยสินเชื่อ ช่วงที่ผ่านมาธนาคารก็มีเงินฝากไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก เพราะความไม่เเน่นอนทำให้คนหันมาฝากเงินกับธนาคารมากขึ้น

ส่วนการระดมทุนในรูปแบบสกุลยูโรนั้น ก็เพื่อกระจายความเสี่ยง ไม่ให้กระจุกตัวอิงสกุลใดสกุลหนึ่ง ขณะที่เเนวโน้มการออกหุ้นเพิ่มเติมในปีนี้ ธนาคารต้องประเมินความต้องการสินเชื่อของลูกค้า สภาพคล่องของธนาคารและภาวะตลาดในขณะนั้นก่อน

การเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้มีความพิเศษกว่าการเสนอขายแบบปกติ เพราะเป็นโครงการนำร่องที่ทาง KBank ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของนวัตกรรมในตลาดทุนไทยนำเทคโนโลยี บล็อกเชนมาใช้ในงานนายทะเบียนหลักทรัพย์ เพื่อยกระดับการพัฒนาตลาดทุนไทย ร่วมกับสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย ซึ่งได้รับการอนุมัติจาก สำนักงาน ก...ให้นำร่องโครงการ Registrar Service Platform Phase 1 (RSP1) และบรรจุอยู่ในโครงการทดสอบและพัฒนานวัตกรรมเพื่อสนับสนุนการให้บริการเกี่ยวกับตลาดทุน ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวถือเป็นโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนในระยะที่ 1

คาดปีนี้เอกชนออก “หุ้นกู้” ลดลงเหลือ 8-9 แสนล้าน 

ธาดา พฤฒิธาดา กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยว่า โครงการ Registrar Service Platform Phase 1  เป็นโครงสร้างพื้นฐานของระบบงานในตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน โดยประยุกต์ใช้บล็อกเชน มาช่วยให้การจัดเก็บข้อมูลผู้ถือครองตราสารหนี้ ที่ผู้ร่วมตลาดทุกรายใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลชุดเดียวกัน

สำหรับเเผนการต่อไป จะมุ่งยกระดับโครงสร้างพื้นฐานในตลาดแรกของตราสารหนี้ภาคเอกชนให้เป็น DLT Scripless Corporate Bond ซึ่งโครงการ RSP1 จะเป็นก้าวแรกของการกระโดดครั้งใหญ่ของตลาดตราสารหนี้ไทย และจากการจัดการออกและขายหุ้นกู้ของธนาคารกสิกรไทยด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน จะเป็นต้นแบบและมาตรฐานในการพัฒนาเพื่อใช้สำหรับตลาดตราสารหนี้ไทยต่อไป

ปีนี้คาดเอกชนจะออกหุ้นกู้ประมาณ 8-9 แสนล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ออกหุ้นกู้ไป 1.08 ล้านล้านบาท โดยบริษัทเอกชนจะออกหุ้นกู้เรตติ้งที่ A- ขึ้นไปยังมีความต้องการจากนักลงทุนสูง และไม่ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ” 

ด้านธิติ ตันติกุลานันทน์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย ประเมินว่า ปีนี้จะมีเอกชนออกหุ้นกู้ใหม่ประมาณ 9 แสนล้านบาท เเละระดับเรตติ้งที่ต่ำกว่า A- ความต้องการในตลาดลดลง

แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจและตลาดทุนจะได้รับผลกระทบจาก COVID-19 แต่การเสนอขายหุ้นกู้ มูลค่า 17 ล้านยูโรครั้งนี้ ยังได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนในประเทศหลายแห่ง ทั้งจากกองทุนภายใต้การบริหารของ บลจ. และบรรดาบริษัทประกันภัย

เขามองว่า ในฐานะตัวกลางในการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ การนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ จะทำให้ธนาคารมีประสบการณ์ตรงในฐานะผู้ออกหุ้นกู้ และเมื่อต้องรับหน้าที่เป็นตัวกลาง ธนาคารก็จะสามารถให้คำแนะนำแก่ผู้ออกตราสารหนี้รายอื่นๆ ในตลาดได้อย่างมั่นใจ ส่วนผู้ลงทุนในหุ้นกู้ จะทำให้ผู้ลงทุนสามารถซื้อขาย ตรวจสอบ และเข้าถึงข้อมูลได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว 

หมดยุคส่งกระดาษ “บล็อกเชน” ช่วยลดต้นทุนออกหุ้นกู้ลงถึง 80-90% 

ศีลวัต สันติวิสัฏฐ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย เล่าว่า หลังจากที่ KBank ประสบผลสำเร็จในการพัฒนาบริการออกหนังสือค้ำประกัน (LG) บนเทคโนโลยีบล็อกเชนได้สำเร็จเป็นธนาคารแรกของโลก นำมาสู่การต่อยอดบริการอื่น ๆ อย่างเช่น การออกหุ้นกู้บนเทคโนโลยีบล็อกเชน

เขาอธิบายว่า เทคโนโลยีบล็อกเชนนี้ มีประโยชน์ทั้งในมุมของฐานข้อมูล ความปลอดภัยของข้อมูล และการใช้ประโยชน์ข้อมูลของผู้ร่วมตลาด มีความสะดวกต่อผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในการออกหุ้นกู้ ทั้งผู้จองซื้อ ผู้ถือหุ้นกู้ ผู้ออกหุ้นกู้ นายทะเบียน ผู้รับฝากทรัพย์สิน ให้สามารถทราบถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการออกหุ้นกู้ได้แบบเรียลไทม์ (Real Time) สามารถลดต้นทุนและลดขั้นตอนในการติดต่อสื่อสาร และทำให้การตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตั้งแต่วันที่มีจองซื้อหุ้นกู้ จนถึงวันที่หุ้นกู้ครบกำหนดอายุ

ส่วนของนายทะเบียนหุ้นกู้ ก็สามารถจัดการข้อมูล ตรวจสอบ สอบทาน หรือติดตามผู้ถือหุ้นกู้ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น สามารถลดขั้นตอนงานที่เคยใช้คนทำ (Manual) เนื่องจากลักษณะพื้นฐานของเทคโนโลยีของ Blockchain และ smart contract ซึ่งทำให้ข้อมูลมีความถูกต้อง และมีความปลอดภัยสูง ผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งถือเป็นการอำนวยความสะดวกและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ไปพร้อมๆ กันในยุคดิจิทัล

ด้านของผู้รับฝากทรัพย์สิน (custodian) เทคโนโลยีนี้ถือเป็นประตูเชื่อมระหว่างโลกของธุรกิจการรับฝากทรัพย์สินทางการเงินในปัจจุบัน กับโลกของการรับฝากทรัพย์สินดิจิทัล ทำให้หุ้นกู้ที่เป็นสินทรัพย์ทางการเงินในปัจจุบันสามารถเก็บในรูปของสินทรัพย์ดิจิทัลได้ด้วย และเปิดโอกาสให้มีนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ได้อีกมาก

“ระบบเดิมจะมีค่าดำเนินการ 1 รายการระหว่าง Business-to-Business (B2B) ในการซื้อขายตราสารกระดาษ ต้นทุนจะอยู่ตั้งแต่ 500-2,000 บาท ขึ้นอยู่กับไซส์ของผู้เล่น โดยผู้เล่นรายใหญ่จะต้นทุนต่ำกว่า เเต่เมื่อเปลี่ยนมาเป็นระบบดิจิทัลบนบล็อกเชนทั้งหมดเเล้ว จะสามารถลดต้นทุนการออกหุ้นกู้ปกติสูงถึง 80-90% ไม่ต้องรอเงิน รอเช็กว่าโอนหรือยัง รวมถึงการส่งมอบหลักฐานต่างๆ ก็ไม่ต้องส่งผ่านกระดาษแล้ว เป็นการเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดด้วย”

โดยในอนาคตมีเเผนจะขยายไปสู่รายย่อย ซึ่งปัจจุบันธนาคารสามารถโอนเงินไปต่างประเทศได้แล้ว 12 สกุล

 

 

 

]]>
1284240