บริษัท LVMH รายงานรายได้ประจำไตรมาส 3/2022 เมื่อวานนี้ (11 ตุลาคม 2022) ทำรายได้ไปถึง 19,800 ล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่าที่นักวิเคราะห์เคยคาดการณ์ไว้ โดยยอดขายของเครือเพิ่มขึ้นถึง 19% เทียบไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า รวมถึงยังเป็นการเติบโตที่สม่ำเสมอต่อเนื่องจากไตรมาส 2 ด้วย
“แม้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกจะเปลี่ยนแปลง แต่ดีมานด์ที่มีต่อแบรนด์ของเราก็ยังคงแข็งแรง” Jean Jacques Guiony ซีเอฟโอของ LVMH กล่าว
การเติบโตส่วนใหญ่มีแรงขับเคลื่อนมาจากธุรกิจหลักของบริษัท นั่นก็คือกลุ่มสินค้าเครื่องหนังและแฟชัน ซึ่งมีแบรนด์หลักคือ Louis Vuitton และ Christian Dior กลุ่มสินค้านี้นับเป็นสัดส่วน 2 ใน 3 ของกำไรจากการดำเนินงานของ LVMH เฉพาะสินค้ากลุ่มนี้ทำรายได้เติบโตถึง 22%
ทวีปที่ขายดีที่สุดคือ “ยุโรป” ยอดขายเติบโต 43% ซึ่งเกิดจากนักท่องเที่ยวอเมริกันที่เข้ามาท่องเที่ยวยุโรปในช่วงหน้าร้อน โดยมาพร้อมกับ ‘เงินดอลลาร์แข็งค่า’ ทำให้สนใจซื้อแบรนด์เนมมากขึ้น ขณะที่ในสหรัฐฯ เองรายได้ก็เติบโตที่ 19%
มีแค่เพียงทวีปเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) ที่ยอดขายตกลงเล็กน้อย -2% ส่วนใหญ่เป็นเพราะมาตรการควบคุมโควิด-19 ในจีนทำให้การขายไม่ต่อเนื่อง
ก่อนหน้านี้นักลงทุนคาดว่ายอดขายสินค้าลักชัวรีน่าจะตกลงเพราะเศรษฐกิจถดถอย เป็นจุดสิ้นสุดของกระแสการช้อปทดแทนการท่องเที่ยวในรอบ 2 ปีที่ผ่านมาของเศรษฐีจีนและอเมริกัน แต่รายได้ของ LVMH ในไตรมาสล่าสุดนับว่าหักปากกาเซียน อย่างไรก็ตาม อาจต้องรอดูการประกาศรายได้ของคู่แข่งอย่าง Hermes และ Kering (เจ้าของ Gucci) ว่าจะเป็นไปในทางเดียวกันหรือไม่ ซึ่งทั้งสองบริษัทจะประกาศในวันที่ 20 ตุลาคมนี้
แม้สินค้าแบรนด์เนมดูเหมือนจะฝ่าฟันปัญหาเศรษฐกิจมาได้ แต่ก็อาจจะไม่ใช่ตลอดไป Aurelie Husson-Dumoutier นักวิเคราะห์จาก HSBC เตือนว่า “น่าเสียดายที่สินค้าลักชัวรีไม่ได้มีเกราะป้องกันต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย” และเธอคาดว่ายอดขายสินค้าแบรนด์เนมจะเริ่มชะลอลงในปีหน้า และจะเริ่มเห็นสัญญาณกันตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปีนี้
Guiony ตอบคำถามสื่อว่า LVMH จะต้องเริ่มรัดเข็มขัดเพื่อรับมือภาวะเศรษฐกิจขาลงหรือยัง เขาตอบว่า “ไม่เลย” กลยุทธ์ของบริษัทจะเป็นในทางตรงข้าม คือจะอัดงบการตลาดเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ให้ได้ในช่วงฤดูกาลช้อปปิ้งแห่งปี หมายถึงตั้งแต่ช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้าและคริสต์มาสของคนอเมริกัน ไปจนถึงช่วงเทศกาลตรุษจีนของชาวจีน
“เรายังไม่ได้เริ่มรัดเข็มขัดเลยเพราะว่ามันไม่จำเป็น” Guiony กล่าว “เราต้องลงทุนต่อเนื่อง เพราะการเติบโตยังมีอยู่”
]]>การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ ฝรั่งเศส มีมาตรการอย่างมากในการพยายามหยุดยั้งการติดเชื้อ ที่ปัจจุบันมีผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันแล้วกว่า 3,600 ราย และเสียชีวิต 79 ราย ขณะที่ ‘อิตาลี’ ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อกว่า 17,600 คน จนประเทศต้องปิดร้านค้าและบริการที่ไม่จำเป็นทั้งหมดเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัส
วิกฤตที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วกำลังก่อให้เกิดความเครียดอย่างมาก อย่างไรก็ตาม บริษัทเอกชนต่าง ๆ ต่างเข้ามาช่วยเหลือในด้านสิ่งของขั้นพื้นฐาน เช่น เจลฆ่าเชื้อโรค ซึ่งไม่ค่อยเห็นกันเท่าไหร่ ขณะที่ บริษัทอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมที่สามารถผลิตแอลกอฮอล์ได้เหมือนกลุ่ม LVMN ก็ได้บริจาคเงินจำนวนมากเพื่อพยายามสนับสนุนความพยายามในการต่อสู้กับการแพร่กระจายของไวรัส
]]>