ecommerce – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 19 Dec 2024 03:12:24 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 จับตา 12 ประเด็นสมรภูมิ ‘อีคอมเมิร์ซ’ 2025 ปีที่ต้องรับมือกับ ‘สินค้าจีนคุณภาพดี’ และ E-Commerce Tax! https://positioningmag.com/1504098 Wed, 18 Dec 2024 10:39:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504098 ปี 2025 จะเป็นอีกปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการอีคอมเมิร์ซ และเหมือนเป็นธรรมเนียมของทุกปีที่ ป้อม ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กูรูผู้บุกเบิกอีคอมเมิร์ซ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพย์โซลูชั่น จำกัด จะมาวิเคราะห์ถึงเทรนด์ เพื่อช่วยให้ผู้ค้าออนไลน์เตรียมพร้อม ปรับตัว และไม่พลาดโอกาสในการทำธุรกิจในตลาดออนไลน์ที่ท้าทายนี้

3 ประเด็นหลักที่ผู้ประกอบการไทยต้องเจอปีหน้า

  • สินค้าจีนคุณภาพดีถูกกฎหมายเตรียมบุกไทย

ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา สินค้าจากจีนที่ไม่ผ่านมาตรฐานทะลักเข้าสู่ไทยเป็นจำนวนมาก แต่ในปี 2025 คาดว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ 2 เรื่อง คือ การปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายของภาครัฐเริ่มเข้มงวดขึ้น และการแข่งขันในประเทศจีนที่รุนแรงขึ้น ทำให้สินค้าจีนที่มีคุณภาพหลายรายหันมาขยายตลาดต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดเป้าหมายที่สำคัญของจีน ดังนั้นจะเห็นสินค้าจีนที่มีคุณภาพและนำเข้ามาแบบถูกกฎหมาย เข้ามาแข่งขันกับ ผู้ประกอบการไทยมากขึ้น

  • e-Commerce Tax มาแน่ ผู้ขายเตรียมปรับราคาสินค้า

ก่อนหน้านี้ กรมสรรพากรได้ประกาศให้อีมาร์เก็ตเพลสที่มียอดขายเกิน 1,000 ล้านบาทต่อปี เช่น Lazada, Shopee, TikTok, Grab, Foodpanda, Line Man ต้องส่งรายได้ของร้านค้าที่ขายผ่านแพลตฟอร์มให้กับกรมสรรพากร

ในปี 2025 กรมสรรพากรจะเริ่มเห็นตัวเลขยอดขายที่ชัดเจน และจะเริ่มเก็บภาษีจากผู้ค้าเหล่านี้ ซึ่งหมายความว่า    ผู้ค้าในอีมาร์เก็ตเพลสที่เดิมไม่ได้คำนึงถึงภาษี จะต้องปรับโครงสร้างราคาและจัดการภาษีในธุรกิจออนไลน์ของตนเองด้วย

  • Vertical Commerce การค้าเฉพาะกลุ่มมาแรง

Vertical Commerce คือ การขายสินค้าในกลุ่มที่มีความสนใจเฉพาะ เช่น สินค้าเด็ก สินค้าสัตว์เลี้ยง สินค้าผู้สูงอายุ สินค้าเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า พบได้บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Line และ Facebook

การเติบโตของ Vertical Commerce เกิดจากการสร้าง Vertical Community หรือชุมชนกลุ่มเล็กที่มีความสนใจเหมือนกัน ซึ่งการรวมตัวของชุมชนเหล่านี้จะนำไปสู่การซื้อขายที่เฉพาะเจาะจง ช่วยให้ผู้ค้าปิดการขายได้ง่ายขึ้น

ป้อม ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพย์โซลูชั่น จำกัด

4 เทรนด์การค้าที่ยังมาแรง

  • TikTok Commerce ที่ขยายจากสินค้าสู่บริการ

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การขายสินค้าผ่าน TikTok เติบโตขึ้นมาก และ TikTok ก็ยังมุ่งการลงทุนและขยายตลาดในด้าน TikTok Commerce อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ TikTok Shop ซึ่งกำลังพัฒนาไปไกลกว่าการขายสินค้าที่จับต้องได้ โดยกำลังก้าวไปเข้าสู่การขายบริการต่าง ๆ เช่น บัตรกำนัลโรงแรมและร้านอาหาร

ปี 2025 TikTok จะกลายเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลเซอร์วิสที่ครบวงจร โดยผสานคอนเทนต์ คอมมูนิตี้ และคอมเมิร์ซ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ กลายเป็นช่องทางสำคัญสำหรับทำการตลาดและขายสินค้า ซึ่งจะทำให้การแข่งขันในตลาดอีคอมเมิร์ซดุเดือดยิ่งขึ้น

  • Video Commerce ดันยอดขายออนไลน์ผ่านวิดีโอ

เมื่อ TikTok แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง เทรนด์ Video Commerce หรือการขายผ่านวิดีโอ จึงกลายเป็นอีกหนึ่งสนามแข่งขันที่ดุเดือด โดยแพลตฟอร์มวิดีโอต่าง ๆ พยายามปรับตัวและผสานระบบการขายเข้าไปในคอนเทนต์ของตนเอง เช่น การจับมือระหว่าง YouTube กับ Shopee เพื่อให้สามารถใส่ลิงก์ร้านค้าและสินค้าในวิดีโอได้โดยตรง และ Facebook กับ Instagram ที่เริ่มรองรับการใส่สินค้าในวิดีโอ ทำให้ผู้ชมสามารถกดซื้อสินค้าได้ทันที

Video Commerce จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการผสานวิดีโอและการขายที่ทำให้เกิดประสบการณ์การช้อปปิ้งที่มีความบันเทิงและดึงดูดใจมากขึ้น เทรนด์นี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มยอดขาย แต่ยังสร้างความเชื่อมโยงระหว่างผู้ขายและลูกค้าผ่านคอนเทนต์วิดีโอที่น่าสนใจ

  • Affiliate Marketing ช่องทางการขายที่ไม่ควรมองข้าม

การทำตลาดแบบ Affiliate Marketing จะเป็นเทรนด์ที่มีบทบาทมากขึ้นในการทำธุรกิจออนไลน์ โดยแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Shopee, Lazada, TikTok จะเปิดโอกาสให้เจ้าของสินค้านำสินค้าไปฝากไว้ พร้อมตั้งค่าคอมมิชชันให้กับผู้ที่นำสินค้าไปขายต่อ ซึ่งการทำตลาดแบบนี้จะทำให้ KOL และอินฟลูเอนเซอร์ ที่มีฐานลูกค้าของตัวเอง สามารถนำสินค้าที่เจ้าของสินค้าฝากขายมาโปรโมตให้กับผู้ติดตาม เมื่อเกิดยอดขายก็จะได้รับคอมมิชชัน ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้เกิดการขับเคลื่อนของตลาดออนไลน์ และเพิ่มโอกาสในการขายได้มากขึ้น โดยไม่ต้องจ่ายค่าทำการตลาดหรือโฆษณาแพงๆ เพียงจ่ายแค่ค่า Affiliate หรือค่า marketing fee

 5 แนวทางรับมือการผูกขาดจากมาร์เก็ตเพลส

ปี 2025 ชัดเจนมากว่าอีมาร์เก็ตเพลสในไทยถูก ผูกขาดเบ็ดเสร็จโดยยักษ์ใหญ่ต่างชาติ เพียงไม่กี่ราย ทำให้ขึ้นค่าธรรมเนียมได้อย่างตามอำเภอใจโดยไร้การควบคุมจากภาครัฐ ยิ่งไปกว่านั้น อีมาร์เก็ตเพลสเหล่านี้ยังยึดข้อมูลลูกค้า ทำให้ผู้ค้าเข้าไม่ถึงชื่อ เบอร์โทร หรือแม้แต่ที่อยู่ของลูกค้า ต้องตกอยู่ในสถานะจำยอม ไม่สามารถนำข้อมูลลูกค้าไปทำการตลาดเอง จะย้ายฐานลูกค้าข้ามไปแพลตฟอร์มอื่นก็ทำไม่ได้

ขณะเดียวกัน การแข่งขันในตลาดอีมาร์เก็ตเพลสจะดุเดือดมากขึ้น หลายแพลตฟอร์มไม่ได้หยุดอยู่แค่การเป็นพื้นที่ขายสินค้า แต่กำลังรุกเข้าไปในธุรกิจอื่นที่ครบวงจรมากขึ้น เช่น บางแพลตฟอร์มสร้างระบบการชำระเงินของตนเอง และมีบริการขนส่งเพื่อรองรับธุรกรรมภายในระบบ อย่างกรณีของ Shopee ได้ขยายไปสู่ฟู้ดเดลิเวอรี่ ขายประกัน และให้บริการสินเชื่อด้วย ส่วน Grab ที่เริ่มจากบริการขนส่งสินค้าและเดลิเวอรี่ก็ได้ขยายมาสู่บริการสินเชื่อสำหรับผู้ค้าบนแพลตฟอร์มและไรเดอร์

  • ช่องทางการค้าของตัวเอง (Owned Channel) ลดการพึ่งพาอีมาร์เก็ตเพลส

การผูกขาดและยึดข้อมูลลูกค้าโดยอีมาร์เก็ตเพลสรายใหญ่ ผู้ค้าควรหันมาพัฒนาช่องทางการขายของตนเอง หรือที่เรียกว่า Owned Channel การทำ Owned Channel ก็เหมือนการที่เรา “สร้างบ้าน” เอง ส่วน E-Marketplace คือคอนโดที่เรา “เช่า” เขาอยู่ ซึ่งจะทำให้เข้าถึงข้อมูลลูกค้าได้ สามารถสร้างสัมพันธ์กับลูกค้า และเพิ่มโอกาสในการซื้อซ้ำได้มากขึ้น

ปัจจุบัน มีผู้ให้บริการที่จะทำให้ Owned Channel เชื่อมต่อระบบชำระเงินและระบบขนส่งได้โดยตรง ซึ่งช่วยให้ธุรกรรมคล่องตัว และลดการพึ่งพาอีมาร์เก็ตเพลส เช่น บริการจาก Pay Solutions ที่เชื่อมต่อกับระบบชำระเงินของ Owned Channel ได้ทุกช่องทาง สามารถรองรับการชำระผ่านเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน บัตรเดบิต บัตรเครดิต Mobile Banking หรือ Alipay WeChat Pay และสามารถชำระที่เคาน์เตอร์ด้วยเครื่องรูดบัตร All-in-one รองรับการผ่อนชำระทุกธนาคาร

  • 3C Commerce สร้างความยั่งยืนผ่านคอนเทนต์และคอมมูนิตี้

การค้าออนไลน์ในปัจจุบันไม่ได้มุ่งแค่ขายสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่กำลังก้าวสู่เทรนด์ที่เรียกว่า 3C Commerce ซึ่งประกอบด้วย 1.Content การสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ ช่วยสร้างการรับรู้และความสนใจในตัวสินค้า 2.Community เมื่อมีคอนเทนต์ที่ดี ย่อมดึงดูดผู้ติดตาม สร้างฐานแฟนคลับ และสร้างชุมชนที่มีความผูกพันกับแบรนด์ 3.Commerce คอนเทนต์และคอมมูนิตี้ที่แข็งแกร่งจะนำไปสู่การซื้อขายสินค้า สร้างสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ค้าและลูกค้า

3C Commerce จึงช่วยเพิ่มความผูกพันที่ทำให้ลูกค้าไม่เพียงซื้อสินค้า แต่ยังติดตามและสนับสนุนแบรนด์อย่างต่อเนื่อง การขายออนไลน์จึงไม่เป็นเพียงการทำธุรกรรมอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นการสร้างประสบการณ์และความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น และเริ่มขยับไปเป็นดิจิทัลเซอร์วิสมากขึ้น

  • AI Commerce ขับเคลื่อนอนาคตอีคอมเมิร์ซ

AI หรือปัญญาประดิษฐ์ จะเป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการคิด วิเคราะห์ วางแผนกลยุทธ์ ออกแบบ ไปจนถึงการทำโฆษณา ทุกขั้นตอนจะมี AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการทำงาน ดังนั้น การผสาน AI เข้ากับธุรกิจอีคอมเมิร์ซจึงไม่ใช่แค่การเพิ่มความสะดวกสบาย แต่เป็นการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งให้ดียิ่งขึ้น

  • e-Commerce Automation ระบบอัตโนมัติ ยกระดับธุรกิจออนไลน์

E-Commerce Automation หรือระบบอัตโนมัติสำหรับอีคอมเมิร์ซ จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ไม่ใช่แค่การขายสินค้าออนไลน์เท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงการบริหารจัดการธุรกิจทั้งหมดผ่านแพลตฟอร์ม เช่น การจัดการออเดอร์ การวิเคราะห์และจัดการข้อมูลลูกค้า การบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า ระบบบัญชีออนไลน์ การจัดการขนส่ง การบริหารโฆษณา การตอบกลับอัตโนมัติสำหรับลูกค้า ซึ่งการเชื่อมโยงระบบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน จะช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างอัตโนมัติ ลดความซับซ้อนของงานที่ต้องทำด้วยตนเอง และเพิ่มความรวดเร็วในการทำธุรกิจ

  • e-CommerceListening ผู้ช่วยวิเคราะห์ตลาด

ปัจจุบัน ข้อมูลออนไลน์มีอยู่มากมายมหาศาล กระจัดกระจาย เข้าถึงได้ยาก ดังนั้น E-Commerce Listening จะเข้ามาเป็นเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลที่จำเป็นในการขายสินค้าออนไลน์ โดยช่วยติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ในการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้าทุกชิ้นในตลาดไทย แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงราคา ข้อมูลสินค้าในหมวดหมู่เดียวกัน ยอดขายและกลยุทธ์ของคู่แข่ง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจเข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง สามารถกำหนดราคาที่เหมาะสม วางแผนการตลาดได้แม่นยำ และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้เป็นอย่างดี

]]>
1504098
ฉายภาพวิกฤต ‘SME’ โดย ‘ป้อม ภาวุธ’ ในวันที่กำลังถูกปล่อยให้ตาย! https://positioningmag.com/1484508 Wed, 31 Jul 2024 15:59:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484508 ถือเป็นหนึ่งในบุคคลที่ออกมาเป็นปากเป็นเสียงแทน SMEs ไทย สำหรับ ป้อม ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพย์โซลูชั่น จำกัด โดย ป้อม จะมาฉายภาพถึงสถานการณ์ปัจจุบันของ SMEs ในวันที่ตลาดอีคอมเมิร์ซถูกยึดครองโดย จีน

SMEs ยิ่งขายยิ่งขาดทุน

นับตั้งแต่ปี 2562 ภาพรวม ตลาดอีคอมเมิร์ซไทย จนถึงปี 2566 มีการเติบโตถึง 41.5% จำนวนผู้ใช้ก็เพิ่มจาก 30.7 ล้านคน เป็น 41.5 ล้านคน ขณะที่ยอดใช้จ่ายต่อคนก็เพิ่มขึ้นจาก 2,970 บาท เป็น 8,840 บาท และในปีนี่ ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยคาดว่าจะมีมูลค่าเฉียด 7 แสนล้านบาท เลยทีเดียว 

แม้ภาพรวมอีคอมเมิร์ซจะเติบโต แต่ ป้อม ภาวุธ อธิบายว่า เศรษฐกิจไทยไม่ได้โตตาม เพราะมีความน่ากลัวหลายอย่างซ่อนอยู่ โดยเฉพาะการถูก ผูกขาด จากผู้เล่น 3 รายหลัก ได้แก่ Shopee, Lazada และ TikTok ซึ่งร้านค้าที่ต้องพึ่งแพลตฟอร์มเหล่านี้ก็ต้องยอมจ่าย ค่าบริการ กลายเป็นว่า ไม่ขายออนไลนก็ไม่ได้ แต่มาขายออนไลน์ยิ่งขาดทุน

“จะเห็นว่าไทยต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างชาติหมดเลย ซึ่งมันทำให้เราเสียเปรียบ เพราะต่างชาติคุมหมดทำให้แพลตฟอร์มสามารถขึ้นราคาค่าบริการแพลตฟอร์ม โดยบางแพลตฟอร์มขึ้นราคาถึง 300% ภายในปีครึ่ง จากที่ไม่เก็บเลย ตอนนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 7-10% และเราไม่สามารถไปชะลอได้”

ท้าทายรอบด้าน

เมื่อร้านค้าออฟไลน์ ต้องขึ้นมาแข่งขันบนออนไลน์ ก็ต้องเจอกับการแข่งขันด้าน ราคา ที่รุนแรง เพราะต้องเจอกับ สินค้าจีน ที่ทำราคาได้ดีกว่า และเริ่มส่งเร็วขึ้น นอกจากนี้ อีกจุดที่เสียเปรียบก็คือ ร้านค้าไม่ได้ ข้อมูลลูกค้า เพราะแพลตฟอร์มปิดทั้งหมด เพื่อไม่ให้ร้านค้าไปทำการตลาดทีหลัง ทำให้เป็นการล็อกให้อยู่แต่บนแพลตฟอร์ม

นอกจากนี้ ในปีหน้าแพลตฟอร์มทั้งหมดต้องส่งข้อมูลให้ กรมสรรพากร อัตโนมัติ ทำให้ร้านค้าเล็ก ๆ ที่ไม่เคยเสียภาษีต้องเสียภาษี ดังนั้นจะเห็นว่า SMEs ที่เป็นกระดูกสันหลังกำลังเผชิญความท้าทายรอบด้านและ ย่ำแย่ลง

“เฉพาะตอนนี้ มูลค่าสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาในไทยคาดว่ามีมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท แต่ตอนนี้อาจจะดีหน่อยที่รัฐบาลออกกฎเก็บ Vat สินค้าราคาต่ำกว่า 1,500 บาท”

อยากรอดต้องเน้นคุณภาพและส่งออก

ภาวุธ มองว่า SMEs ที่เน้นนำเข้าของจากจีนมาขายอาจจะอยู่ยาก เพราะจะสู้ราคาไม่ได้ แต่ต้องแข่งด้วย แบรนด์ และ คุณภาพสินค้า เน้นที่ประสบการณ์ นอกจากนี้ อย่าไปคนเดียว ต้องหาพันธมิตรเพื่อแบ่งทรัพยากรหรือลูกค้า ที่สำคัญต้อง หาตลาดใหม่ ๆ เช่น กลุ่มเป้าหมายใหม่หรือการ ส่งออก รวมไปถึงเพิ่มช่องทางการจำหน่าย ไม่ใช่อยู่แค่บนแพลตฟอร์ม สุดท้าย ต้อง นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เพิ่มประสิทธิภาพ ลดการใช้คน เช่น สามารถให้ลูกค้าผ่อนได้ ใช้ระบบออโตเมชั่น เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ปัญหาของ SMEs ที่เห็นในปัจจุบันคือยัง ไม่ตื่นตัวกับการส่งออก เพราะต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ภาษา ระบบการบริหารจัดการ และ ข้อกำหนดของแต่ละประเทศ ซึ่ง SMEs อาจทำความเข้าใจและดำเนินการได้ยาก ดังนั้น อยากให้ ภาครัฐ ควรสนับสนุนการพา SMEs ไปตลาดต่างประเทศ มีคลังสินค้าในประเทศนั้น ๆ มีคนช่วยโพสต์สินค้าขายในประเทศนั้น ๆ

“ความซวยคือ SMEs เราแทบไม่มีอะไรไปขาย เพราะระบบ SMEs แทบพังหมดแล้ว สู้ต้นทุนจีนไม่ไหว อาจจะมีเรื่องของอาหาร ผลไม้ ที่อาจสู้ได้ แต่รัฐบาลต้องช่วย เพราะเขาเข้มงวดกว่าเรา ไม่เหมือนเราที่เปิดให้เข้ามาง่าย ๆ”

แค่ 3 ข้อ ขอภาครัฐ

ภาวุธ มองว่า มีเพียง 3 ข้อที่อยากให้รัฐบาลทำ ได้แก่

  • บังคับใช้กฎระเบียบเดิมให้เข้มแข็ง เช่น คุมการนำเข้าสินค้าที่เข้มงวด อย่างให้สินค้าที่ไม่มี มอก. หรือ อย. เข้ามาไทย รวมถึงเข้มงวดเรื่องการ จัดตั้งบริษัท
  • ปรับเกณฑ์ให้คุ้มครองผู้ประกอบการ
  • สนับสนุนผู้ประกอบการจริง ๆ ไม่ใช่แค่จัดงานให้ความรู้

“ไม่ต้องกีดกันสินค้าจีนหรอก เราแค่ทำตามกฎระเบียบให้ได้ก่อน เพราะตอนนี้สินค้ามันหลุด มอก. หรือ อย. หมดเลย พอไม่มีอะไรกั้นก็บ่าเข้ามา SMEs ไทยก็สู้ไม่ได้ ก็เลือกจะปิดโรงงานแล้วนำเข้ามาถูกกว่า มันก็กระทบเป็นลูกโซ่หมด ต่างจากบางประเทศ เช่น อินโดนีเซียที่ไม่ปล่อยให้แพลตฟอร์มหรือสินค้าจีนเข้ามาง่าย ๆ”

ทุกคนแทบปล่อยมือกับ SMEs หมดแล้ว

หากนับเฉพาะบริการ เพย์เมนต์เกตเวย์ ตอนนี้ เพย์ โซลูชั่น (Pay Solution) ถือเป็น ผู้เล่นไทยรายเดียวในตลาด เพราะผู้ให้บริการไทยรายอื่น ๆ ถูกต่างชาติซื้อไปหมดแล้ว และบริการเหล่านั้นจะเน้นจับลูกค้ารายใหญ่เป็นหลัก ขณะที่ SMEs ที่คิดเป็น 80% ของประเทศกลับถูก ปล่อยมือทิ้ง SMEs หมด 

อย่างไรก็ตาม เพย์โซลูชั่นจะเน้นที่กลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยเป็นหลัก โดยจะเข้าไปช่วยระบบ ชำระเงิน เช่น บริการเครื่องรูดบัตร, ระบบตัดเงินอัตโนมัติ, ระบบผ่อนชำระเงิน, รับเงินจากต่างประเทศ และเชื่อมกับระบบ CRM รวมถึงช่วยออก E-Tax และ Invoid

โดยปีนี้ เพย์โซลูชั่นตั้งเป้าเพิ่มทรานแซคชั่นเป็น 7,800 ล้านบาท มีรายได้ 160 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะบุกที่ตลาด ออฟไลน์ มากขึ้น เพราะเป็นตลาดใหญ่ และธุรกิจออนไลน์หลายธุรกิจเริ่มจากออฟไลน์ ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนลูกค้าออฟไลน์ของบริษัทมีสัดส่วนเพียง 5% แต่อนาคตต้องการเพิ่มเป็น 50% 

“SMEs มันกระจัดกระจายมาก มันเลยยุ่งยาก ทุกคนเลยคิดจะจับแต่รายใหญ่ ทำให้ตอนนี้ SMEs มันพังมากและกำลังจะตาย คนจีนมีเทคโนโลยีเพียบ แต่ไทยยังใช้กระดาษอยู่เลย เราเลยอยากจะช่วยรายย่อยพวกนี้ แต่เพย์เมนต์มันเป็นแค่ส่วนหนึ่ง ซึ่งเรามีพาร์ทเนอร์อื่น ๆ เช่น ระบบบัญชี, ระบบบริหารข้อมูลลูกค้า นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเราไปคนเดียวไม่ได้”

ปีหน้าจะพาผู้ประกอบการไทยไปต่างประเทศ

ภาวุธ ทิ้งท้ายว่า ปีนี้จะเป็นการดึงผู้ประกอบการออฟไลน์ขึ้นมาออฟไลน์ เพราะ SMEs ไทยยังไม่ค่อยใช้เทคโนโลยี แต่ปีหน้าตั้งใจจะช่วยพาผู้ประกอบการไทย ส่งออกไปต่างประเทศ เพื่อดึงเม็ดเงินต่างชาติเข้าประเทศ ซึ่งไมด์เซ็ทของบริษัทคือ การที่บริษัทจะโตได้ ต้องทำให้ลูกค้าโตก่อน

“SMEs ไทยบางรายอยู่แบบเดิมมานานและไม่อยากเปลี่ยน ดังนั้น ต้องมีโรลโมเดลก่อน ให้คนไทยเห็นว่าดีถึงจะอยากไปใช้ตาม และตอนนี้ระบบไอทีถูกลง ดังนั้น อย่างน้อยเครื่องมือก็ช่วยให้ประสิทธิภาพการทำงานเขาดีขึ้น ในขณะเดียวกันภาครัฐก็ต้องช่วย SME ด้วย”

]]>
1484508
เจาะลึกความน่ากลัว ‘Temu’ อีคอมเมิร์ซจากแดนมังกรที่กล้างัดกับ ‘Amazon’ และกำลังมาตีตลาดไทย https://positioningmag.com/1484419 Tue, 30 Jul 2024 10:23:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484419 แค่มี Shopee กับ Lazada และ TikTok ก็แทบจะมีแต่ผู้เล่น จีน ที่ครองตลาด อีคอมเมิร์ซไทย ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว แต่ล่าสุดยังมีผู้เล่นใหม่เพิ่มมาอีกรายคือ Temu ที่เพิ่งเข้าไทยมาแบบเงียบ ๆ โดย Positioning จะพาไปรู้จัก Temu ว่าทำไมถึงเป็นอีกผู้เล่นที่ น่ากลัว

ก่อนจะรู้จัก Temu รู้จัก Pinduoduo ก่อน

คนไทยมักจะชินกับชื่อ Alibaba, JD ว่าเป็นผู้เล่นตัวท็อปในตลาดอีคอมเมิร์ซจีน แต่จริง ๆ แล้วทั้ง 2 บริษัทถูก Pinduoduo (พินตัวตัว) อีกหนึ่งบริษัทอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของจีนแซงหน้าในแง่ของมูลค่าบริษัทไปเรียบร้อยแล้ว และ Pinduoduo ก็ถือเป็นบริษัทพี่บริษัทน้องกับ Temu (ทีมู) แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซใหม่ที่ใช้บุกตลาดโลก

จุดเริ่มต้นของ Pinduoduo นั้นเริ่มจากชายที่ชื่อ Colin Huang ผู้ก่อตั้งและอดีตซีอีโอ PDD Holdings ที่ก่อตั้ง Pinduoduo ในปี 2015 โดยเริ่มจากจากการเป็นแพลตฟอร์มสินค้าเกษตร ก่อนจะขยายไปสู่ผู้ให้บริการโซเชียลคอมเมิร์ซที่มีผู้ใช้กว่า 900 ล้านคน โดยมีคอนเซ็ปต์คือ นำความสนุกสนานมาสู่การช้อปปิ้ง ด้วยการ ซื้อเป็นกลุ่ม เพื่อให้ได้ราคาถูก

โดยผู้ซื้อสามารถแชร์ข้อมูลสินค้าที่ต้องการ เพื่อรวมคำสั่งซื้อกับเพื่อนในช่องทางต่าง ๆ หรือจะรอรวมกับผู้ซื้อรายอื่นก็ได้เพื่อสั่งซื้อไปยังร้านค้า หรือผู้ผลิตโดยตรง เพื่อให้ได้ สินค้าราคาส่ง นั่นเอง เนื่องจาก Pinduoduo สามารถจัดการคำสั่งซื้อในแบบ C2M หรือจากผู้บริโภคถึงผู้ผลิตโดยไม่ผ่านคนกลาง ซึ่งช่วยให้ผู้ขายสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของผู้บริโภคและลดต้นทุนได้อีกด้วย

ใช้แบรนด์ Temu ลุยตลาดโลก

จนมาปี 2022 ในขณะที่ทั่วโลกเจอกับวิกฤต COVID-19 ส่งผลให้ 2 ยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba และ JD. เลือกจะ ยุติการขยายตลาดต่างประเทศ เพื่อคุมค่าใช้จ่าย แต่ไม่ใช่กับ Pinduoduo ที่เลือกออกไปเติบโตนอกจีน โดยเปิดตัวแพลตฟอร์มที่ชื่อ Temu ในเดือนกันยายน 2022 และใช้โมเดลซื้อเป็นกลุ่มเหมือนกับ Pinduoduo

โดย Temu เลือกที่จะบุกไปยังตลาดสหรัฐฯ เป็นประเทศแรก ทั้งที่มีผู้เล่นหลักอย่าง Amazon โดยในเดือนธันวาคม 2022 Temu ขึ้นเป็นแอปฟรีที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดบน App Store และ Google Play ในสหรัฐอเมริกา และภายใน 1 ปี Temu สามารถโกยผู้ใช้ได้ถึง 100 ล้านคน จากนั้นก็ขยายไป 47 ประเทศทั่วโลก

แน่นอนว่าปัจจัยที่ทำให้ Temu เติบโตอย่างรวดเร็วก็คือ สินค้าที่หลากหลาย แถมยัง ราคาถูก มีโปรจุก ๆ อย่าง ลด 90% นอกจากนี้ยัง ไม่มีค่าส่ง ทำได้ให้ได้ใจลูกค้าที่ต้องการของถูกไปเต็ม ๆ แต่นอกจากจะเล่นเรื่องราคาแล้ว ฝั่งการตลาด Temu ก็ทุ่มไม่แพ้กัน เพราะถึงขั้นเคยซื้อโฆษณาในรายการ Superbowl ซึ่งถือเป็น การแข่งขันกีฬาที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2023 ยังไม่รวมการจ้างเหล่าอินฟลูเอนเซอร์เพื่อโปรโมตแพลตฟอร์ม เรียกได้ว่าไปสุดทุกทางสำหรับ Temu

ถูกตั้งคำถามเรื่องลิขสิทธ์และการใช้แรงงาน

แน่นอนว่าการเติบโตอย่างก้าวกระโดด แถมขายของถูกแสนถูก ทำให้ในเดือนเมษายน ปี 2023 คณะกรรมการทบทวนเศรษฐกิจและความมั่นคงสหรัฐฯ-จีน (USCC) ซึ่งเป็นคณะกรรมการอิสระของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้บันทึกสรุปเกี่ยวกับความท้าทายที่เกิดจากแบรนด์ Temu และ Shein เกี่ยวกับ ความกังวลของคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และกล่าวหาเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์

นอกจากนี้ บริษัทแม่อย่าง PDD Holdings ก็ถูก China Labor Watch กล่าวหาว่า ใช้งานพนักงานเยี่ยงทาส โดยบังคับให้พนักงานทำงาน 380 ชั่วโมงต่อเดือน ทำให้บริษัทเผชิญการประท้วงทางออนไลน์ หลัง พนักงานเสียชีวิตหลายคน ในปี 2021

นอกจากนี้ ในเดือนเมษายน 2023 สื่อ CNN รายงานว่า ทีมรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์หลายทีมพบ มัลแวร์ในแอปมือถือของ Pinduoduo สำหรับอุปกรณ์ Google Android ซอฟต์แวร์นี้ทำให้แอป Pinduoduo เลี่ยงการอนุญาตด้านความปลอดภัยของผู้ใช้และเข้าถึงข้อความส่วนตัว หรือเปลี่ยนการตั้งค่าและป้องกันไม่ให้ถอนการติดตั้งแอป

ปัจจุบัน PDD Holdings ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Temu ได้ย้ายสำนักงานใหญ่จากเซี่ยงไฮ้ไปยัง ดับลิน เมืองหลวงของไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับบริษัทเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น Apple, Meta และ Google เนื่องจากมีโครงสร้างภาษีที่เป็นมิตรต่อธุรกิจ

SHANGHAI, CHINA – JULY 25 2018: FILEPHOTO – Headquarters of Pinduoduo, a rising B2C e-commerce platform, in Shanghai, China Wednesday, July 25, 2018.
PHOTOGRAPH BY Feature China / Barcroft Studios / Future Publishing (Photo credit should read Feature China/Barcroft Media via Getty Images)

เข้าไทยอย่างเงียบ ๆ

Temu เริ่มเข้ามาในตลาดอาเซียนในปี 2023 โดยเริ่มบุกที่ประเทศฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย มาปี 2024 นี้ ก็ถึงคิวของ ประเทศไทย แน่นอนว่านอกจากสินค้าราคาแสนถูก ยังมาพร้อมโปรโมชั่นจัดเต็มอย่าง ส่วนลดสูงสุด 90% และที่น่าแปลกใจ (มั้ง) คือ การจัดส่งสินค้า จากมณฑลกว่างโจว ประเทศจีน มายังกรุงเทพฯ ไม่เกิน 5 วัน!

เรียกได้ว่า สมรภูมิอีคอมเมิร์ซตอนนี้ดุเดือดกว่าเดิมแน่นอน แต่ที่แน่นอนไปกว่านั้น ผู้ประกอบการไทยอาจต้อง ปาดน้ำตาแทนเหงื่อ แล้วรอบนี้

]]>
1484419
EU วางแผนขึ้นภาษีสินค้าที่ซื้อจากแพลตฟอร์มจีน เช่น Temu และ Shein หลังผู้ประกอบการได้รับความเดือดร้อน https://positioningmag.com/1481016 Thu, 04 Jul 2024 09:49:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1481016 สหภาพยุโรป (EU) เตรียมขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าโดยเฉพาะสินค้าที่ซื้อจากแพลตฟอร์มของจีนอย่าง Shein และ Temu รวมถึง Aliexpress โดยมาตรการดังกล่าวตามหลังมาจากสินค้าจากจีนราคาถูกจำนวนมากได้ทะลักเข้ามาในทวีปยุโรปเพิ่มมากขึ้น

EU เตรียมขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าโดยเฉพาะสินค้าที่ซื้อจากแพลตฟอร์มของจีนอย่าง Shein และ Temu รวมถึง Aliexpress โดยเหตุผลสำคัญคือสินค้าจีนราคาถูกได้ทะลักเข้าสู่ยุโรปจำนวนมาก ส่งผลทำให้ผู้ประกอบการหลายแห่งได้รับความเดือดร้อน

มาตรการที่ EU เตรียมงัดขึ้นมาคือ จะมีการขึ้นภาษีสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 150 ยูโร ซึ่งในอดีตไม่เคยต้องเสียภาษีนำเข้า ซึ่งก่อนหน้านี้มีแค่การเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น ผลที่เกิดขึ้นจะทำให้เหล่า E-commerce ที่มีแหล่งจัดส่งนอกสหภาพยุโรป เช่น จีน ฯลฯ จะโดนภาษีเพิ่มเติมทันที ถ้าหากส่งสินค้าให้กับลูกค้าที่อยู่ในสหภาพยุโรป

จำนวนสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 150 ยูโรได้ทะลักเข้ามาในทวีปยุโรปมากถึง 2,300 ล้านชิ้นในปี 2023 ที่ผ่านมา โดยข้อมูลจาก EU เผยว่าแต่ละครัวเรือนในสหภาพยุโรปได้สั่งซื้อสินค้าจาก E-commerce เฉลี่ยครัวเรือนละ 2 ชิ้น

สำหรับ Shein หรือแม้แต่ Temu นั้นได้ขายสินค้าที่มีราคาถูก อย่างเช่น เดรสผู้หญิงในราคาราวๆ 10 ดอลลาร์สหรัฐ หรือแม้แต่สินค้าที่มีราคาถูกมากๆ ไม่เพียงเท่านี้ผู้ประกอบการจากจีนนั้นยังได้ประโยชน์เนื่องจากอัตราค่าขนส่งของจีนนั้นยังถูกกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่จ่ายในอัตราแพงกว่า

ผลที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ประกอบการในยุโรป เช่น H&M หรือแม้แต่ Inditex เจ้าของแบรนด์ฟาสต์แฟชั่นอย่าง Zara นั้นเสียความสามารถในการแข่งขันจากสินค้าราคาถูกจากจีนเหล่านี้ จนต้องมีการงัดกลยุทธ์ออกมาต่อสู้

ไม่ใช่แค่ EU เท่านั้นที่กำลังปวดหัวกับสินค้าจากจีนจำนวนมากทะลักเข้าสู่ประเทศ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา อินโดนีเซียเองกำลังพิจารณาที่จะขึ้นภาษีสินค้าจากจีนบางชนิดสูงถึง 200% ด้วยเช่นกัน เนื่องจากรัฐบาลมองว่าสินค้าที่ทะลักเข้ามาบางชนิดส่งผลทำให้ผู้ประกอบการในประเทศไม่สามารถแข่งขันได้

ก่อนหน้าที่จะมีมาตรการตอบโต้สินค้าราคาถูกจากจีน EU ได้ออกมาตรการขึ้นภาษีรถยนต์ไฟฟ้าสูงสุดถึง 38.1% มาแล้ว เพื่อตอบโต้รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนที่ทะลักเข้าสู่ยุโรปจำนวนมาก และมองว่าผู้ผลิตจากจีนได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ส่งผลทำให้ EV จีนมีราคาถูกกว่าผู้ผลิตในสหภาพยุโรป

อย่างไรก็ดีในการใช้มาตรการดังกล่าวนั้นอาจเพิ่มหน้าที่ให้กับเจ้าหน้าที่ศุลกากร เนื่องจากต้องตรวจสอบสินค้านำเข้าจำนวนมาก นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ของ EU ยังเตรียมมาตรการต่างๆ เพื่อนำเสนอให้กับรัฐสภายุโรปชุดใหม่ เพื่อพิจารณาวิธีการตอบโต้สินค้าจากจีนที่ทะลักเข้ามาด้วย

ที่มา – The Guardian, Reuters

]]>
1481016
Meta เผยผลสำรวจ “ผู้บริโภคชาวไทย 7 ใน 10 คนซื้อสินค้าผ่านการไลฟ์ขายของ และชอบสอบถามข้อมูลจากผู้ขาย” https://positioningmag.com/1477798 Tue, 18 Jun 2024 05:47:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1477798 เมตา (Meta) เผยผลสำรวจผู้บริโภคชาวไทย พบว่า 7 ใน 10 รายมีการซื้อสินค้าผ่านไลฟ์ขายของ และมีการรับชมไลฟ์ขายของอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ซึ่งประเทศไทยถือเป็นอีกประเทศที่การไลฟ์ขายของนั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างมากอันดับต้นๆ ของโลก

แพร ดำรงค์มงคลกุล Country Director ของ Facebook ประเทศไทย จาก Meta กล่าวถึงแพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมของบริษัทปัจจุบันมีผู้ใช้งาน 3,240 ล้านคนต่อวันผ่าน Facebook, Instagram, WhatsApp รวมถึง Messenger

เธอได้กล่าวว่าการนำเทคโนโลยี AI เข้ามานั้นเป็นข้อดีที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถค้นพบคอนเทนต์ใหม่ๆ หรือแม้แต่การลงโฆษณาในแพลตฟอร์ทำให้มีกิจกรรมใด ๆ ก็ตามของลูกค้าหรือ Conversion เพิ่มขึ้น 20% ลดต้นทุนการลงโฆษณาลดลง เพิ่มเป้าหมายได้มากขึ้น

มองตลาดไลฟ์ช้อปปิ้งในไทย

เธอได้กล่าวถึงผลสำรวจที่ Meta ได้สำรวจชาวไทยอายุ 18 ถึง 53 ปีจำนวน 1,400 ราย พบว่า 8 ใน 10 ของผู้บริโภคที่สำรวจพบว่าดูไลฟ์ขายของ 1 อาทิตย์ต่อครั้ง และยังพบว่า 7 ใน 10 คนซื้อของผ่านการไลฟ์ขายของ โดยแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมในการไลฟ์ขายของคือ Facebook โดยเหตุผลหลักคือระหว่างดูไลฟ์ต้องการพูดคุยกับธุรกิจหรือเจ้าของร้านได้เลย

ผลสำรวจที่น่าสนใจจาก Meta เช่น

  • 50% ของผู้บริโภคกล่าวว่า ประสบการณ์ของลูกค้ามีความสำคัญต่อพวกเขามากขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
  • 41% ของนักช้อปชาวไทยกล่าวว่า พวกเขาจะซื้อสินค้าเดิมในราคาที่สูงกว่า หากได้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัวจากผู้ขายที่ดี
  • การสอบถามผ่านการส่งข้อความคือช่องทางที่นักช้อปไทยใช้มากที่สุดเมื่อต้องการสอบถามข้อมูลสินค้ากับผู้ขายในระหว่างการรับชมไลฟ์ขายของ
แพร ดำรงค์มงคลกุล – Country Director ของ Facebook ประเทศไทย จาก Meta / ภาพจากบริษัท

การส่งช้อความทางธุรกิจของไทย

แพร ยังเปิดเผยว่าประเทศไทยถือเป็นผู้นำเทรนด์ด้านการส่งข้อความเชิงธุรกิจอันดับต้น ๆ ของโลก จากข้อมูลผลการสำรวจที่บริษัทได้จัดทำ เผยว่ามีผู้บริโภคชาวไทยจำนวน 9 ใน 10 คน ติดต่อกับธุรกิจผ่านแอปพลิเคชันแชทต่าง ๆ ในระหว่างขั้นตอนการซื้อสินค้า นอกจากนี้ผลสำรวจ 69% ของชาวไทยยังพบว่าพอใจในการพูดคุยกับแชตบอท

ผลสำรวจยังชี้ว่าผู้ใช้งานส่วนใหญ่ใช้ Facebook และ Messenger ในการคุยกับธุรกิจหรือผู้ประกอบการต่างๆ โดยเหตุผลใหญ่ๆ บน Facebook คือความสะดวกสบายถึง 64% รองลงมาคือเรื่องการได้รับความนิยมของแพลตฟอร์ม 34%

โดยเรื่องหลักๆ ที่ผู้บริโภคชาวไทยได้พูดคุยกับธุรกิจร้านค้าต่างๆ เรียงตามลำดับได้แก่ ข้อมูลผลิตภัณฑ์หรือบริการ
ราคา สต็อกสินค้า โปรโมชั่น หรือแม้แต่การส่งสินค้า

แต่ถ้าหากเป็น Instagram นั้นผลสำรวจส่วนใหญ่ชี้ว่าคือเรื่องของการรีวิวและการแนะนำสิ่งต่างๆ โดย 45% ของ Gen Z ชาวไทย พร้อมแชร์ความสนใจส่วนตัวกับธุรกิจต่างๆ ผ่านทาง Instagram Direct อีกด้วย

ภาพจาก Meta

เพิ่มบริการใหม่ให้กับชาวไทย

Country Director ของ Facebook ประเทศไทย จาก Meta ยังกล่าวว่าตอนนี้ผู้ที่ไลฟ์ขายของสามารถ Boost ตัวไลฟ์และสามารถหาลูกค้าที่มีโอกาสที่ต้องการซื้อสินค้าได้ ในขณะที่ไลฟ์สดยังสามารถเลือกดูแคตตาล็อคสินค้าได้เลย

ขณะเดียวกัน Meta ยังเตรียมเชื่อมต่อบริการกับ Shopee ทำให้ผู้บริโภคสามารถดูแคตตาล็อคสินค้าผ่านตัว Messenger ได้เลยถ้าหากธุรกิจร้านค้าดังกล่าวมีร้านค้าอยู่บนแพลตฟอร์มของ Shopee ซึ่งระบบดังกล่าวได้เปิดให้ใช้บริการเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

สำหรับการพัฒนา Solution เหล่านี้ แพรได้กล่าวว่า เนื่องจากปัญหา Pain Point ต่างๆ ที่คนไทยพบ ทำให้มีการพัฒนาการสั่งซื้อสินค้าให้ราบรื่นมากขึ้น ส่งผลทำให้ธุรกิจปิดการขายได้มากขึ้น นอกจากนี้เธอยังกล่าวว่าแม้จะมี Facebook Shop แต่ก็มองว่าเปิดทางเลือกให้กับธุรกิจสามารถลงสินค้าได้ทุกช่องทาง

นอกจากนี้เธอยังกล่าวว่าปัญหา Pain Point ต่างๆ ที่คนไทยพบนั้นแตกต่างกับหลายประเทศ บางปัญหาถึงขั้นให้นักพัฒนาของบริษัทต้องมาพัฒนาบริการดังกล่าวด้วย

ไม่เพียงเท่านี้ Meta เพิ่งมีการเปิดตัว Solutions Theme ตอนนี้มองเรื่องมากกว่าแชตแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Tools ในการจัดการลูกค้าที่เข้ามา (Lead Center) สามารถ Integrate เข้ามาดูแลลูกค้าได้ ธีมในเรื่องการพัฒนาเรื่องประสิทธิภาพของโฆษณา นอกจากนี้ยังรวมถึงการทำแชตบอทโดย AI ให้กับภาคธุรกิจ ตอนนี้กำลังทดสอบภาษาไทยอยู่

]]>
1477798
‘Priceza’ ฉายภาพ ‘อีคอมเมิร์ซ’ ไทย 2024 แนะควรมี ‘First party data’ ของตัวเอง ลดพึ่งพา ‘E-Marketplace’ https://positioningmag.com/1463828 Fri, 23 Feb 2024 09:05:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1463828 หากพูดถึงตลาดอีคอมเมิร์ซเมืองไทย หลายคนก็จะนึกถึง Shopee, Lazada ที่เป็นอีมาร์เก็ตเพลส ถ้าชอบเล่นโซเชียลก็จะเห็น TikTok Shop, Facebook Live ขายของ แต่ E-Commerce Landscape ปีนี้จะเป็นอย่างไร Priceza Insights ได้มาอัปเดตให้ได้เห็นกัน

อีคอมเมิร์ซ 2023 โต 14%

มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซประเทศไทยในปี 2023 คาดการณ์ว่าจะไปแตะอยู่ที่ 932,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 14% เมื่อเทียบกับปี 2022 อยู่ที่ 818,000 ล้านบาท นับว่าประเทศไทยได้เข้าสู่การซื้อขายออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ โดยปัจจุบันคนไทยมากกว่าครึ่งเคยซื้อสินค้า/บริการผ่าน E-Commerce ด้วยการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของคนไทยที่ขยายตัวและครอบคลุมมากขึ้นด้วย

ปัจจุบัน ภาพรวมของอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย มีความเปลี่ยนเเปลงทั้งในด้านเเพลตฟอร์มการให้บริการ เทคโนโลยี รวมถึงโอกาสใหม่ ๆ เพราะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเริ่มมีการฟื้นตัว รวมถึงระบบนิเวศทั้งหลายของธุรกิจที่เข้าสู่ออนไลน์อย่างเต็มรูปเเบบหลังจากช่วงหลังโควิดที่ผ่านมา โดยตลาดอีคอมเมิร์ซในตอนนี้ครอบคลุมหลายด้านของการใช้ชีวิตประจำวันของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น Food Delivery, Online Grocery, การท่องเที่ยว และ On-Demand Delivery

ภาพจาก Shutterstock

สำหรับปี 2024 สมรภูมิการแข่งขันอีคอมเมิร์ซ มีแนวโน้มดุเดือดยิ่งขึ้น! แม้ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งด้านเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการประเมินถึงมูลค่าตลาดในปีนี้ แต่ทาง Google, Temasek และ Bain & Company ประเมินว่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยภายในปี 2025 จะมีมูลค่าสูงถึง 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ตาม หนึ่งในความท้าทายที่สุดของร้านค้าไทย นอกจากปัจจัยเรื่องราคา และพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคยุคดิจิทัลแล้ว สินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาผ่านอีมาร์เก็ตเพลส ปัญหาสินค้าราคาถูกที่เข้ามาทุ่มตลาดในไทยผ่านช่องทาง E-Commerce และการเข้ามาใช้ประโยชน์จาก Free Trade Zone เพื่อขายสินค้าในประเทศ รวมถึงการลักลอบนำเข้าสินค้าผ่านด่านศุลกากรโดยการสำแดงข้อมูลเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งทำให้สินค้าราคาถูกรวมถึงสินค้าที่ไม่มีมาตรฐานทะลักเข้าตลาดในประเทศ ส่งผลกระทบต่อยอดขายสินค้าของผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SMEs ที่ไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนได้

ทั้งนี้ ทางภาครัฐเองก็เริ่มตระหนักและหันมา ทบทวนนโยบายการเรียกเก็บภาษี ที่เหลื่อมล้ำเพื่อส่งเสริมและเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้เติบโตได้และไม่ได้รับผลกระทบจากการนำเข้าจากสินนค้าประเทศจีนและมีการแข่งอย่างเสรีและเป็นธรรมซึ่งเราคงได้เห็นการปรับโครงสร้างภาษีในปีนี้

ภาพจาก Shutterstock

ต้องพึ่งพาตัวเอง และใช้เอไอช่วย

ในด้าน Retail Commerce การพึ่งพาแพลตฟอร์มอย่างอีมาร์เก็ตเพลสอาจเป็นสิ่งที่ท้าทายมากขึ้น นั่นจึงเป็นแรงผลักดันให้แบรนด์ เริ่มเห็นความสำคัญของการมี First party data เป็นของตัวเองมากขึ้น ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดกับการใช้ Gen AI การนำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้เพื่อ Personalization สร้างประสบการณ์ Commerce Experience ในการช่วยแบรนด์สร้างยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยให้บริการ E-Commerce สามารถดึงดูดและรักษาลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

ปัจจุบัน ระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ออกเป็น 4  กลุ่มได้แก่

  • Marketing & Supporting (การตลาดและการสนับสนุน) เช่น Priceza Affiliate, Pundai, ShopBack, RadarPoint, MyCashback, Access Trade, Involve Asia, Ecomobi ที่เป็นกลุ่ม Affiliate Marketing หรือ Etailligence, KaloData, Wisesight, Mandala ที่เป็นกลุ่ม Data Insights
  • E-Commerce Channels (ช่องทางอีคอมเมิร์ซ) เช่น Shopee, Lazada, Tiktok, Central, MOnline
  • Payment (การชำระเงิน) เช่น TrueMoney Wallet, LINE Pay, ShopeePay, GrabPay, LazWallet, Paotang
  • Delivery (การจัดส่ง) เช่น ปณ.ไทย, Kerry, Flash, DHL, J&T และในกลุ่ม On-Demand Delivery เช่น Grab, LINE MAN, Robinhood, Lalamove, นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม Fulfillment เช่น MyCloud, SokoChan, SiamOutlet, Akita เป็นต้น
]]>
1463828
ส่องเทรนด์ ‘อีคอมเมิร์ซ’ 2024 ปีแห่งสงคราม ‘Affiliate Commerce’ การค้าผ่านตัวแทน https://positioningmag.com/1459661 Mon, 22 Jan 2024 08:14:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1459661 แม้ว่าตลาด อีคอมเมิร์ซ ไทยอาจไม่ได้เติบโตก้าวกระโดดเหมือนช่วงที่ COVID-19 ระบาด แต่คาดว่าปี 2024 นี้ก็ยังเติบโตได้ 7% มีมูลค่ารวม 6.34-6.94 แสนล้านบาท แต่ที่น่าสนใจกว่าการเติบโตก็คือ เทรนด์ใหม่ ๆ ที่จะได้เห็นในปีนี้ ที่คาดการณ์โดย ป้อม ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานบริหาร บริษัท เพย์ โซลูชั่น จำกัด และผู้บุกเบิกวงการอีคอมเมิร์ซไทย

Affiliate Commerce : การค้าผ่านตัวแทน 

เชื่อว่าหลายคนที่เล่นโซเชียลมีเดีย มักจะมีเพจ, คนดัง รวมถึงคนทั่วไปมาแปะลิงก์ป้ายยาสินค้าออนไลน์กัน ซึ่งก็ไม่ต้องแปลกใจไป เพราะปัจจุบันมีแพลตฟอร์มหรือผู้ให้บริการระบบนี้มากขึ้น โดยการนำสินค้าไปให้คนดังช่วยขายแบบระบบที่เรียกว่า Affiliate Commerce หรือ การค้าผ่านตัวแทน เช่น นำสินค้าไปใส่ในแพลตฟอร์ม กำหนดราคา รายละเอียด และรูปภาพ จากนั้นกำหนดค่าคอมมิชชั่น

โดยการขายประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นการขายออนไลน์ ทำให้ตัวแทนสินค้าสามารถสมัครและเลือกสินค้าไปขายได้ง่าย ด้วยวิธีนำเสนอผ่านช่องทางออนไลน์ของตน และเมื่อมีคนสนใจและกดสั่งซื้อ คำสั่งซื้อจะถูกส่งไปยังเจ้าของสินค้า จากนั้นเจ้าของสินค้าจะส่งสินค้าไปให้และแพลตฟอร์มจะคำนวณค่าคอมมิชชั่นให้ตัวแทนโดยอัตโนมัติ

การค้าด้วยวิธีนี้กำลังได้รับความนิยม เพราะยิ่งมีคนช่วยโปรโมตสินค้ามากเท่าไหร่ โอกาสขายและเพิ่มยอดขายก็จะยิ่งมากขึ้น ดังนั้น ใครจะเริ่มบริการ Affiliate Commerce อาจลองกำหนดค่าคอมมิชชั่นที่ดี เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ได้มากขึ้น

Subscription Commerce 

การขายสินค้าและบริการแบบสมัครสมาชิก ช่วยให้ธุรกิจสร้างรายได้ต่อเนื่อง เพราะลูกค้าจ่ายเงินรายเดือน ทำให้ไม่ต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ครั้งเดียว และลูกค้าสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เพราะราคาต่อเดือนไม่สูง ตัวอย่างธุรกิจแบบสมัครสมาชิก เช่น Netflix, Spotify, Apple Music, Amazon Prime Video

เราเรียกการเก็บเงินรูปแบบนี้ว่า การเก็บเงินแบบสมัครสมาชิก (Subscription) หรือ การหักเงินอัตโนมัติรายเดือน (Recurring Payment) ปัจจุบันมีผู้ให้บริการเก็บเงินแบบสมัครสมาชิกรายเดือนมากมาย เช่น PaySolutions.asia หรือแม้ ร้านกาแฟ ก็เริ่มมีโมเดล Subscription แล้ว

สงคราม Live Commerce ปะทะ Entertainmerce

เพราะรูปแบบพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์เปลี่ยน แบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก คือ

  • การซื้อแบบไม่ได้ตั้งใจ (Influence Buying) มักเกิดขึ้นจากการดูคลิปสั้นบน TikTok ที่นำเสนอสินค้าอย่างน่าสนใจและดึงดูดใจ ทำให้เกิดความรู้สึกอยากซื้อโดยไม่ได้มีการวางแผนมาก่อน เรียกว่า “Entertainmerce การค้าผ่านความบันเทิง”
  • การซื้อแบบมีแผน (Intend Buying) มักเกิดขึ้นจากการค้นหาสินค้าที่ต้องการซื้อใน e-marketplace ที่มีสินค้าหลากหลายและราคาที่เปรียบเทียบได้ง่าย เรียกว่า “Marketplace แหล่งรวมสินค้า”

โดยตั้งแต่การมาของ TikTok Shop ทำให้เทรนด์ Live Commerce หรือ Entertainmerce มาแรงซึ่ง TikTok Shop ส่งลูกค้าให้กับพ่อค้าแม่ค้าได้ง่ายกว่า และมีโปรโมชั่นมากกว่า Facebook Live อีกด้วย จึงทำให้พ่อค้าแม่ค้าหลายคนหันมาขายสินค้าผ่าน TikTok กันอย่างถล่มทลาย อย่างไรก็ตาม การนำสินค้าเข้ามาขายผ่าน Live commerce เป็นแนวทางที่ต้องทำ ต้องทดลอง และต้องเอาจริง เพราะเข้าถึงลูกค้าได้ดีและต้นทุนถูกกว่า

 

ใช้เครื่องมืออัตโนมัติและ AI 

เทคโนโลยีในการค้าออนไลน์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ธุรกิจออนไลน์สามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องมือต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ เช่น จากเดิมที่ต้องลงประกาศขายสินค้าทีละช่องทาง ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มที่ช่วยเชื่อมต่อช่องทางการขายต่างๆ เข้าด้วยกัน ช่วยให้ร้านค้าสามารถจัดการคำสั่งซื้อและสต็อกสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือที่ช่วยในด้านการขนส่ง การบัญชี การบริการลูกค้า และการตลาดออนไลน์

เทคโนโลยี AI ที่กำลังพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ธุรกิจออนไลน์สามารถทำงานต่าง ๆ ได้อย่างอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การสร้างรูปภาพสินค้า การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า และการวางกลยุทธ์การตลาด เป็นต้น ผู้ประกอบการออนไลน์จึงควรให้ความสำคัญกับการใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ นอกเหนือจากการเพิ่มยอดขายเพียงอย่างเดียว

ดังนั้น ผู้ขายควรเริ่มต้นหาเครื่องมือช่วยการขายออนไลน์ที่เหมาะสมกับธุรกิจ เช่น ระบบบริหารคำสั่งซื้อ ระบบชำระเงิน ระบบบริหารลูกค้า และระบบบัญชี เป็นต้น

เพิ่มการซื้อซ้ำด้วย CDP

เนื่องจากช่องทางการค้าออนไลน์ที่หลากหลาย ทำให้ข้อมูลลูกค้ากระจัดกระจาย ยากต่อการติดต่อและเข้าใจลูกค้า ดังนั้นจึงควรใช้ CDP (Customer Data Platform) เพื่อรวมศูนย์ข้อมูลลูกค้าไว้ที่เดียว ช่วยให้เข้าใจลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น โดย CDP ช่วยเพิ่มการซื้อซ้ำได้โดยการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อส่งข้อความการตลาดที่เหมาะสม และทำการตลาดแบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้คน ศึกษาและเลือกใช้ CDP ของไทย เช่น Sable.asia หรือ Pams.ai ช่วยให้บริหารจัดการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

]]>
1459661
‘ป้อม ภาวุธ’ ฉายภาพ ‘อีคอมเมิร์ซไทย’ ปี 2024 ในวันที่ถูกต่างชาติ ‘ผูกขาด’ โดยสมบูรณ์ https://positioningmag.com/1458915 Tue, 16 Jan 2024 13:30:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1458915 เปิดปีใหม่มาแบบนี้ ป้อม ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานบริหาร บริษัท เพย์ โซลูชั่น จำกัด และผู้บุกเบิกวงการอีคอมเมิร์ซไทย ก็ออกมาพูดถึง ภาพอีคอมเมิร์ซไทย ในปี 2024 ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่ป้อม ภาวุธมองก็คือ อีคอมเมิร์ซไทยถูกผูกขาดโดยต่างชาติอย่างสมบูรณ์แบบ

E-Commerce ไทยถูกผูกขาดโดยต่างชาติโดยสมบูรณ์

ปัจจุบันช่องทางการค้าขายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของไทยคือ การซื้อขายผ่านทางอีมาร์เก็ตเพลส (E-Marketplace) รองลงมาคือทางโซเชียลคอมเมิร์ซ (Social Commerce) ซึ่งปีนี้การซื้อขายผ่านทาง แอปพลิเคชันสั่งอาหาร หรือ On-Demand Commerce กลายเป็นช่องทางใหม่ที่คนไทยนิยมซื้อสินค้า ซึ่งแทบทุกช่องทางมาจากผู้ให้บริการจากต่างประเทศทั้งสิ้น

โดยหลังจากที่ขาดทุนติดต่อกันหลายปีเป็นหมื่นล้าน เหล่าผู้ให้บริการอีมาร์เก็ตเพลสต่างเริ่มทำกำไรแบบชัดเจน โดยผู้ให้บริการยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศไม่ได้สร้างระบบตลาดนัดเพื่อการซื้อขายเท่านั้น แต่เน้นให้บริการครบทั้งระบบนิเวศของการค้าออนไลน์ 3 ส่วน ได้แก่

  • ซื้อ (Buy) ผ่านทาง Marketplace (Shopee, Lazada)
  • จ่าย (Pay) ผ่านบริการกระเป๋าชำระเงินของตัวเอง (Shopee Pay, LazPay)
  • ส่ง (Delivery) ผ่านบริการบริษัทส่งของๆ ตัวเอง (Shopee Express, Lazada Express)

ด้วยความที่มีระบบนิเวศครบวงจร ทำให้บริษัทเหล่านี้มีจุดแข็งเหนือกว่าบริษัทอื่น ๆ ที่มีให้บริการเฉพาะทางเท่านั้น เมื่อสามารถควบคุมตลาดซื้อขายออนไลน์ได้อย่างเบ็ดเสร็จ จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า ‘ฮั้ว’ และขึ้นราคาค่าบริการอย่างต่อเนื่อง โดยเห็นได้ชัดจากกรณีการขึ้นราคาค่าบริการของการขายของในอีมาร์เก็ตเพลสอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาอันสั้น โดยไม่มีการควบคุมจากภาครัฐ ที่ผ่านมา Shopee และ Lazada มีการขึ้นราคาค่าบริการสูงถึง 150% ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 7 เดือน

ดังนั้น จะเห็นว่าผลประกอบการของบริษัทขนส่งในประเทศไทยที่ขาดทุนเกือบทุกราย อย่างไปรษณีย์ไทยขาดทุนเกือบ 20,000 ล้านบาท Kerry Express และ Flash Express ขาดทุนนับหมื่นล้านบาทเช่นกัน แต่ผู้ให้บริการขนส่งครบวงจรอย่าง Shopee, Lazada และ J&T มีกำไรมากกว่า เพราะให้บริการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เช่น ขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มของตัวเองและขนส่งสินค้าด้วยบริษัทขนส่งของตัวเอง ทำให้สามารถควบคุมต้นทุนและบริการได้ดีกว่า

สินค้าจีนยังคงเข้ามาขายในไทยอย่างต่อเนื่อง

อีกจุดที่ประเด็นที่ป้อม ภาวุธ เน้นย้ำเสมอก็คือ สินค้าจีนยังคงเข้ามาขายในไทยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากระบบขนส่งจากจีนมาไทยสะดวกขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งยังมีการหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรขาเข้า โดยนำสินค้าไปวางไว้ในโกดังเขตปลอดอากร (FreeZone) ทำให้สินค้าจีนมีความได้เปรียบกว่าสินค้าในประเทศหรือผู้ที่นำเข้าเสียภาษีอย่างถูกต้อง

แม้ว่าภาครัฐไทยได้ออกมาตรการควบคุมสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่น สินค้าที่ไม่มี มอก. อย. และมาตรฐานต่าง ๆ ออกจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ทำให้สินค้าจีนที่ไม่ได้มาตรฐานบางส่วนไม่สามารถขายได้ แต่สินค้าเหล่านี้ก็ยังคงลักลอบขายในช่องทางออนไลน์อื่นที่รัฐควบคุมไม่ถึง

แนะรัฐควรมีมาตรการกำกับดูแล

สำหรับประเด็นที่อีคอมเมิร์ซถูกผูกขาดโดยต่างชาติ ป้อม ภาวุธ แนะนำว่า ภาครัฐควรมีมาตรการควบคุมและกำกับดูแลการค้าออนไลน์อย่างเหมาะสม เพื่อสร้างสมดุลระหว่างผู้ประกอบการไทยและต่างชาติ เพราะหากปล่อยให้บริษัทต่างชาติเข้ามามีบทบาทในการค้าออนไลน์โดยไม่มีข้อจำกัด ในอนาคตอาจทำให้ผู้ประกอบการไทยถูกครอบงำและเสียเปรียบได้

ด้านการทะลักของสินค้าจีน ต่อไปในอนาคตจะเปลี่ยนรูปแบบเป็นสินค้าที่มีแบรนด์ มีมาตรฐาน และถูกต้องตามกฎหมายมากขึ้น ซึ่งจะเข้ามาแข่งขันกับสินค้าไทยอย่างตรงไปตรงมา โดยสินค้าจีนจะมีความได้เปรียบในด้านราคา ผู้ประกอบการไทยจึงต้องปรับตัวหรือปรับธุรกิจให้สอดคล้องกับการแข่งขันที่รุนแรงยิ่งขึ้น

ส่วนธุรกิจไทยไม่ควรแข่งขันด้านราคากับธุรกิจสินค้าจีน เพราะสินค้าจีนมีข้อได้เปรียบด้านต้นทุน ผู้ประกอบการไทยควรปรับธุรกิจให้โดดเด่นในด้านอื่น เช่น บริการหลังการขายที่มีคุณภาพ และการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า เช่น บริการซ่อมแซม รับประกัน หรือการให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้า เป็นต้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยยังมีจุดแข็งในด้านความใกล้ชิดกับลูกค้าและการให้บริการที่ครบวงจร ที่สามารถนำมาต่อยอดเพื่อสร้างความได้เปรียบเหนือกว่าธุรกิจสินค้าจีนได้

]]>
1458915
แคมเปญ 11.11 ใน ‘จีน’ เริ่มหมดมนต์ขลัง หลังนักช้อปมอง ‘ราคา’ ไม่ต่างจากปกติ https://positioningmag.com/1451477 Mon, 13 Nov 2023 02:43:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1451477 เชื่อว่าหลายคนน่าจะได้อะไรติดไม้ติดมือบ้างในวันที่ 11.11 ที่ผ่านมา เพราะถือเป็นวันที่เหล่านักช้อปน่าจะรู้ดีว่าเป็นวันที่เหล่าอีคอมเมิร์ซจัดแคมเปญใหญ่แห่งปี อย่างไรก็ตาม ต้นกำเนิด วันคนโสด อย่าง จีน จะไม่ปังเหมือนที่ผ่านมา เพราะภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

แคมเปญ 11.11 หรือ วันคนโสด ที่จะโดย อาลีบาบา อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของจีน ที่ริเริ่มแคมเปญดังกล่าวในปี 2552 โดยในปีที่ผ่านมา แคมเปญ 11.11 ของอาลีบาบาทำเงินไปกว่า 1.1 ล้านล้านหยวน หรือราว 1.53 แสนล้านดอลลาร์ ตามรายงานของ Bain บริษัทที่ปรึกษา

อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจของ Bain ในปีนี้พบว่า มีผู้บริโภคถึง 77% ระบุว่า พวกเขาไม่ได้วางแผนที่จะใช้จ่ายมากกว่าปกติในช่วงงานลดราคา นอกจากนี้ หลายคนมองว่า ดีล 11.11 ในปีนี้ไม่ดีเหมือนในอดีต และบางเว็บไซต์ก็ ขึ้นราคาไว้ล่วงหน้าเพียงเพื่อลดราคา ในช่วงแคมเปญ

“ราคามันไม่แตกต่างกันมากนักเมื่อเทียบกับวันอื่นๆ ฉันก็เลยไม่ได้ซื้ออะไร เราจะประหยัดได้นิดหน่อยเพราะว่าเราหาเงินได้น้อยลง” กวน หย่งห่าว ผู้บริโภควัย 21 ปี กล่าว

“ทุกวันนี้ ผู้คนบริโภคน้อยลง ผู้คนไม่มีความปรารถนาที่จะซื้อของมากมายมากนัก โดยคนรอบข้างหลายคนเลือกซื้อแต่ของจำเป็นในชีวิตประจำวันแทน” จาง ชูเหวิน นักศึกษาวัย 23 ปี กล่าว

Jacob Cooke ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ WPIC Marketing + Technologies บริษัทที่ปรึกษาอีคอมเมิร์ซในกรุงปักกิ่ง บอกกับ AFP ว่า วันคนโสดสูญเสียความน่าดึงดูดไปแล้ว เนื่องจากมีรูปแบบการช้อปปิ้งใหม่ ๆ เช่น Live Streaming รวมถึงการ แคมเปญย่อย ๆ ที่มีทุกเดือน นอกจากนี้ ในอดีตแคมเปญ 11.11 จะมีเพียง 1-2 วัน แต่ในปีนี้ บางแพลตฟอร์มใแคมเปญตั้งแต่ช่วงปลายเดือนตุลาคม

ทั้งนี้ อาลีบาบา และ JD.com ต่างไม่เปิดเผยยอดขายในช่วงแคมเปญ 11.11 โดยระบุเพียงว่า ยอดขายกลับทรงตัวจากปีก่อน โดยยอดขายที่ชะลอตัวเกิดขึ้นหลังจากที่ทางการจีนประกาศว่า จีนกลับเข้าสู่ภาวะเงินฝืดในเดือนตุลาคม

Source

]]>
1451477
Facebook YouTube และ TikTok เตรียมขอใบอนุญาตทำ E-Commerce หลังรัฐบาลอินโดนีเซียสั่งห้ามทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง https://positioningmag.com/1449478 Fri, 27 Oct 2023 06:53:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1449478 บริษัทเทคโนโลยีหลายรายอย่าง Meta และ Alphabet รวมถึง ByteDance จากจีน เตรียมที่จะขอใบอนุญาตทำธุรกิจ E-Commerce หลังรัฐบาลอินโดนีเซียสั่งแบนไม่ให้เครือข่ายสังคมทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้า เนื่องจากรัฐบาลกังวลถึงผู้ค้าขนาดกลางและขนาดเล็กจะเสียเปรียบแพลตฟอร์มเหล่านี้

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า Facebook และ YouTube รวมถึง TikTok ได้เตรียมขอใบอนุญาตทำธุรกิจ E-Commerce หลังรัฐบาลอินโดนีเซียสั่งแบนบรรดาแพลตฟอร์มเครือข่ายสังคม (Social Network) ขายสินค้า รวมถึงห้ามทำธุรกรรมซื้อขายสินค้า

แหล่งข่าวของ Reuters ได้กล่าวว่า Facebook และ YouTube ได้เตรียมขอใบอนุญาตที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นใบอนุญาตที่อนุญาตให้โปรโมตสินค้าบนแพลตฟอร์มของตนได้ โดยทางด้าน Meta บริษัทแม่ของ Facebook เตรียมที่จะขอใบอนุญาตเพิ่มเติมให้กับ Instagram รวมถึง WhatsApp ด้วย

ทางด้านของ TikTok วางแผนที่จะยื่นขอใบอนุญาต E-commerce นอกจากนี้แหล่งข่าวรายดังกล่าวยังได้ชี้ว่า TikTok เองกำลังพูดคุยกับเจ้าของ E-commerce ในประเทศอย่าง GoTo ที่เป็นเจ้าของ Tokopedia รวมถึงมีการพัฒนาแอปพลิเคชันแยกออกมาอย่าง TikTok Shop

โดย TikTok เองได้เตรียมที่จะหยุดให้บริการ TikTok Shop ในช่วงเดือนสิ้นเดือนนี้แล้ว เพื่อที่จะรอท่าทีของทางการอินโดนีเซีย หลังจากที่บริษัทได้รุกตลาดประเทศอินโดนีเซียอย่างหนัก

ก่อนหน้านี้รัฐบาลอินโดนีเซียประกาศแบนการทำธุรกรรม E-commerce ผ่านเครือข่ายสังคม ซึ่งจะส่งผลทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถที่จะจ่ายเงินซื้อสินค้าผ่านเครือข่ายสังคม (Social Network) ได้ โดยข้อระเบียบดังกล่าวมีผลบังคับใช้ทันที และต้องทำตามภายใน 7 วัน ถ้าหากยังฝ่าฝืนต่อก็อาจมีสิทธิ์ถูกระงับการใช้งานในประเทศได้

เหตุผลที่รัฐบาลอินโดนีเซียสั่งห้ามการทำธุรกรรม E-Commerce ผ่าน Social Network เมื่อเดือนที่ผ่านมา ก็คือต้องการที่จะปกป้องผู้ค้าและตลาดออฟไลน์ขนาดเล็กและขนาดกลาง รวมถึงเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลของผู้ใช้งานได้รับการปกป้อง

]]>
1449478