est – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 13 Mar 2023 12:04:02 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ยกเครื่อง! “เอส โคล่า” ปรับรสชาติให้ “ซ่าขึ้น” ใช้ความต่างเป็น “Cola of Asia” เจาะคน Gen Z https://positioningmag.com/1423011 Mon, 13 Mar 2023 10:25:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1423011 ย่างเข้าปีที่ 11 ในตลาดน้ำอัดลม “เอส โคล่า” ยกเครื่องทุกด้าน ปรับสูตร “รสชาติ” ครั้งใหญ่ให้ “ซ่าขึ้น” และน้ำตาลน้อยลง ตามความเห็นผู้บริโภคที่สะท้อนกลับมา พร้อมกับการปรับโลโก้และแพ็กเกจจิ้งให้มินิมอล ทันสมัย โดนใจ Gen Z วางกลยุทธ์ใหม่สร้างจุดยืนที่แตกต่างในตลาดด้วยการเป็น “Cola of Asia” ทุ่มงบการตลาด 150 ล้านบาท เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์รวดเดียว 10 คน!

“เอส โคล่า” น้ำอัดลมในพอร์ตของไทยเบฟเวอเรจเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2555 ทำให้ปีนี้ย่างเข้าปีที่ 11 ของแบรนด์ และยังคงไล่ล่าการชิงมาร์เก็ตแชร์ให้ได้มากกว่าเดิมจากปัจจุบันเป็นอันดับ 3 ในตลาด

“สุภรณ์ เด่นไพศาล” ผู้อำนวยการสำนักการตลาด สายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ประเทศไทย บริษัท ไทยดริ้งค์ จำกัด เกริ่นถึง ‘จุดอ่อน’ ของเอส โคล่า ที่มีมาตลอดทศวรรษ มีเรื่องใหญ่ๆ 2 เรื่องที่ต้องแก้คือ “รสชาติ” ซึ่งผู้บริโภคมีฟี้ดแบ็กตลอดว่าไม่อร่อย หายซ่าเร็ว และอีกเรื่องคือ “จุดขายไม่ชัดเจน” เพราะการวางตัวเองทางการตลาดเปลี่ยนบ่อยเกินไป

นั่นทำให้ปีนี้เอส โคล่าจะมีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ ภายใต้แคมเปญ “Born to be Awesome เกิดมาซ่า..กล้าเป็นตัวเอง” ยกเครื่องอัพเลเวลแบรนด์ในทุกมิติ

“สุภรณ์ เด่นไพศาล” ผู้อำนวยการสำนักการตลาด สายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ประเทศไทย บริษัท ไทยดริ้งค์ จำกัด

 

ฟังเสียงลูกค้า รสชาติต้อง “ซ่าขึ้น”

มิติแรกที่เอส โคล่าปรับคือ “รสชาติ” ปรับสูตรใหม่ให้ “ซ่าขึ้น” และ “น้ำตาลน้อยลง” ตามความเห็นผู้บริโภค และยังปรับสูตรให้ได้รสชาติที่มีเอกลักษณ์ขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคแยกความต่างได้จากแบรนด์อื่นๆ

หลังปรับสูตรแล้ว บริษัทร่วมกับ Ipsos บริษัทที่ปรึกษา ทดสอบชิมรสชาติกับผู้บริโภค พบว่าผู้ทดลองชื่นชอบรสเอสโคล่าสูตรใหม่เพิ่มเป็น 98% จากสูตรเดิมมีคนที่ชื่นชอบ 91%

เอส โคล่า
เอส (est) โฉมใหม่ ปรับทั้งรสชาติและแพ็กเกจจิ้ง

โลโก้-แพ็กเกจ แบบมินิมอล

มิติต่อไปคือการออกแบบโลโก้และแพ็กเกจจิ้งใหม่ โดยใช้การออกแบบที่มินิมอล ทันสมัย สะท้อนความเท่ ซ่า สดชื่น

โลโก้ใหม่จะใช้ร่วมกันหมดทั้งน้ำดำและน้ำสี (ปัจจุบันตัดคำว่า ‘เพลย์’ ออกจากชื่อแบรนด์น้ำสีแล้ว) ในส่วนกระป๋องน้ำสีก็จะปรับสีใหม่ด้วย ทำให้เมื่อทั้ง 10 รสชาติวางบนชั้นวาง จะโดดเด่นสะดุดตาลูกค้า

 

วางความต่างเป็น Cola of Asia เจาะกลุ่ม Gen Z

สุดท้ายคือการวางการตลาดให้แตกต่าง ส่วนนี้สุภรณ์ชี้ให้เห็นว่าในตลาด เอส โคล่า เป็นเจ้าเดียวที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชีย จึงหยิบยกเรื่องนี้มาสร้างเป็นภาพลักษณ์แบรนด์ “Cola of Asia”

ประกอบกับเอส โคล่าจากนี้จะเน้นกลุ่มเป้าหมาย Gen Z เป็นหลัก ทำให้การสื่อสารจะพูดเรื่องเอกลักษณ์ของคนเจนนี้ซึ่งเอสพบว่า Gen Z จะมีความกล้าที่จะต่าง และมีความเจ๋งในแบบของตัวเอง ทำให้ปีนี้แบรนด์เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ที่มีคาแรกเตอร์ความ ‘Awesome’ และเป็นตัวแทนของเอเชียน รวมทั้งหมด 4 กลุ่ม 10 คน ได้แก่

  • “ชาอึนอู” ไอดอล ศิลปิน นักแสดงมากความสามารถจากเกาหลีใต้
  • “โบกี้ไลอ้อน” นักร้องสาวเสียงดี ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่วิ่งไล่ล่าฝัน
  • “3 นักวอลเลย์บอลหญิงคลื่นลูกใหม่” แป้น-ปิยะนุช, ชมพู่-พรพรรณ และ ออมสิน-ศศิภาพร ผู้สร้างประวัติศาสตร์พาทีมวอลเลย์บอลหญิงไทยไปโอลิมปิกเป็นครั้งแรก
  • “Yes Indeed” วงดนตรีมัธยมที่สร้างปรากฏการณ์ “สยามแตก” สะท้อนพลังคน Gen Z
เอส โคล่า
พรีเซ็นเตอร์ทั้งหมดของแคมเปญ “Born to be Awesome”

การเปลี่ยนแปลงทุกมิติในปีนี้ เอส โคล่าวางงบการตลาด 150 ล้านบาทที่จะใช้จนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2566 ทำแคมเปญครบลูป ตั้งแต่โฆษณาในทุกสื่อ ไม่ว่าจะเป็น Out of Home, TVC หรือ Online Media จนถึงเตรียมแจกชิมเอส โคล่าสูตรรสชาติใหม่ 1 ล้านกระป๋องทั่วประเทศ

ในแง่อีเวนต์จะเริ่มจาก Fan Meeting กับชาอึนอู วันที่ 5 เมษายนนี้ และตามด้วย Awesome Stage ที่จะเปิดเวทีให้คน Gen Z ได้แสดงความสามารถ

การวางตัวเองเป็น Cola of Asia นั้น สุภรณ์กล่าวว่าเป็นการวางภาพแบรนด์ในระยะยาว ปัจจุบันเอส โคล่ามีจำหน่ายในต่างประเทศแห่งเดียวคือที่มาเลเซีย และยังมีส่วนแบ่งตลาดไม่มาก แต่ต่อไปแบรนด์จะศึกษาการลุยตลาดต่างประเทศมากขึ้น

 

หวังปี’66 “น้ำอัดลม” โตจากการใช้ชีวิตนอกบ้าน

ด้านภาพรวมตลาดน้ำอัดลม สุภรณ์อ้างอิงข้อมูลจาก “นีลเส็น” ตลาดน้ำอัดลมไทยปี 2565 มีมูลค่าประมาณ 57,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นเกือบ 8% ขณะที่เอส โคล่าปีก่อนเติบโต 9.4% สูงกว่าตลาดรวม อย่างไรก็ตาม ถ้าหากวัดเชิงปริมาณตลาดน้ำอัดลมปีก่อนโตเพียง 2% เพราะยังมีปัจจัยลบจากโควิด-19

ในแง่ส่วนแบ่งการตลาดน้ำอัดลม สำรวจ ณ เดือนมกราคม 2566 พบว่ามีมาร์เก็ตแชร์ตามลำดับ ดังนี้

  • 51% บจก.โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) – โค้ก, แฟนต้า, สไปรท์
  • 37% บจก.เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) – เป๊ปซี่, มิรินด้า, เซเว่นอัพ
  • 8% บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ – เอส (est)
  • 3% บจก.อาเจ กรุ๊ป – บิ๊ก โคล่า
  • 1% อื่นๆ

สุภรณ์กล่าวว่า เอส โคล่าเคยมีส่วนแบ่งตลาดสูงที่สุด 11% เมื่อปี 2555 ซึ่งเป็นปีเปิดตัวสินค้า ก่อนจะลดลงมาอยู่ที่ 10% ในปี 2562 ก่อนเกิดโรคระบาด

สาเหตุที่หลังผ่านโควิด-19 แล้วเอส โคล่ายิ่งมีส่วนแบ่งลดลง เพราะแบรนด์นี้แข็งแรงในช่องทางการขายผ่าน “ร้านอาหาร” ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 12% ของตลาดน้ำอัดลม เมื่อเผชิญโรคระบาดทำให้ร้านอาหารเปิดขายได้ไม่เต็มที่ และคนทานอาหารในร้าน (dine-in) ก็ลดน้อยลง เอส โคล่าที่เป็นอันดับ 1 ในการขายผ่านช่องทางร้านอาหารจึงได้รับผลกระทบมากที่สุด

ขณะที่ปี 2566 สุภรณ์หวังว่าตลาดจะโตได้ดีกว่าปีก่อน เพราะคนไทยกลับมาใช้ชีวิตนอกบ้านได้ตามปกติแล้ว และเอส โคล่าน่าจะได้ปัจจัยบวกที่ดียิ่งขึ้น เพราะคนไทยเริ่มกลับมาทานอาหารในร้าน ยอดขายน้ำอัดลมผ่านร้านอาหารในช่วงต้นปีนี้จึงดีขึ้นอย่างชัดเจน

]]>
1423011
“เอสเพลย์” เปิดตัว “เอสเพลย์ ฮันนี่เลมอน” ความอร่อยสดชื่นขั้นสุด แต่น้ำตาลน้อยกว่า การันตีด้วยเครื่องหมายทางเลือกสุขภาพ https://positioningmag.com/1254879 Tue, 26 Nov 2019 09:57:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1254879 แรงสุดในปีที่ผ่านมาต้องยกให้ “เอสเพลย์” ของ บริษัท ไทยดริ้งค์ จำกัด ที่สามารถทำยอดขายเติบโตเป็นอันดับ 1 ในตลาดน้ำสี ก้าวกระโดดถึง 49% (ข้อมูลจาก Nielsen เดือน ก.พ. – มิ.ย. 2562) และครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 2 ของตลาดน้ำอัดลมสีในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา (ข้อมูลจาก Nielsen เดือน พ.ค. 2562 ในช่องทางโมเดิร์นเทรด) จากมูลค่าตลาดน้ำสีรวมปีละ 15,000 ล้านบาท ส่งท้ายปลายปีนี้ “เอสเพลย์” กลับมาสร้างสีสันให้ตลาดอีกครั้ง พร้อมตอกย้ำการเป็น “ผู้นำด้านนวัตกรรม” เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “เอสเพลย์ ฮันนี่เลมอน” จัดเต็มความหอมจากน้ำผึ้งแท้ ผสานความความสดชื่นของมะนาว หอมอร่อยซ่าสุดจี๊ด แต่น้ำตาลน้อยกว่า การันตีด้วยเครื่องหมายทางเลือกสุขภาพ หรือ Healthier Choice ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคคนรุ่นใหม่และกลุ่มคนรักสุขภาพที่ยังคงต้องการความซ่าสดชื่น!!

นางเจษฎากร โคชส์ รองกรรมการผู้อำนวยการสายการตลาด บริษัท ไทยดริ้งค์ จำกัด เผยว่า “เอสเพลย์ ได้สร้างฐานลูกค้าวัยทีนไว้อย่างแข็งแรง และยังคงยึดกลยุทธ์การสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อให้ได้รสชาติที่โดนใจกลุ่มเป้าหมายทุกปี ซึ่งในปีนี้ เทรนด์เครื่องดื่มที่มอบความซ่าสดชื่นมาแรง แต่ขณะเดียวกันก็ต้องดีต่อสุขภาพ เราจึงออกสินค้าใหม่ “เอสเพลย์ ฮันนี่เลมอน” จัดเต็มความสดชื่น และดีเกินคาด เพราะมีน้ำตาลน้อยกว่า การันตีด้วยเครื่องหมายทางเลือกสุขภาพ

ด้านรายละเอียดผลิตภัณฑ์ใหม่ “เอสเพลย์ ฮันนี่เลมอน” มาในบรรจุภัณฑ์สุดซ่า สีสันสดใสประกอบด้วยขนาด 360 มิลลิลิตร, ขนาด 515 มิลลิลิตร, ขนาด 1 ลิตร และขนาด 1.6 ลิตร วางจำหน่ายแล้ววันนี้ ที่ห้างสรรพสินค้าและร้านค้าทั่วประเทศ พร้อมทำการสื่อสารการตลาดแบบ 360 องศา โดยเฉพาะการสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์เต็มรูปแบบ ให้เจาะกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นได้มีประสบการณ์ร่วมกับแบรนด์

“ตลาดต้องโตด้วยนวัตกรรม น้ำอัดลมสีจะธรรมดาไม่ได้อีกต่อไป การออกรสชาติใหม่ๆ เป็นกุญแจสำคัญที่ผลักดันให้ เอสเพลย์โตอย่างต่อเนื่องทุกปี ไม่ว่าจะเป็น เอสเพลย์ เกรปเบอร์รี, เอสเพลย์ เมลอนบิงซู และล่าสุดกับ เอสเพลย์ กามิกาเซ และพิงค์บอมบ์ และปีนี้เราต้องสร้างความน่าสนใจ ดึงดูดใจผู้บริโภค และที่สำคัญตอบรับกระแสเทรนด์รักสุขภาพ เพื่อให้แบรนด์เติบโตอย่างยั่งยืน” ผู้บริหารกล่าวตบท้าย

]]>
1254879
ฝาเอสลุ้นโชค https://positioningmag.com/1220784 Wed, 20 Mar 2019 04:58:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1220784 ชื่อเรื่อง : ฝาเอสลุ้นโชค
ความยาว : 30 วินาที
เจ้าของผลิตภัณฑ์ : บริษัท ไทยดริ้งค์ จำกัด
สร้างสรรค์โดย : Monday People Agency
ผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณา : ธนชัย ศาสตร์สาระ
โปรดักชั่นเฮ้าส์ : Sunshine etc.

วัตถุประสงค์ในการโฆษณา

เพื่อสื่อสารถึงแคมเปญโปรโมชั่นลุ้นโชครับรางวัล “เอส เสิร์ฟโชคทุกมื้อ ให้ทุกวันสุดซี้ด” ที่ต่อยอดจากความสำเร็จล่าสุดของแคมเปญ “เอสซ่า คู่อาหารสุดซี้ด” เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยมอบรางวัลลุ้นโชคอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งมีรางวัลแจกทุกวัน ทุกสัปดาห์และทุกเดือน โดยมีรางวัลใหญ่ ได้แก่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลเอ (Mercedes-benz GLA) แจกรวม 3 รางวัล, แจกทุกสัปดาห์ ไอโฟน เท็นเอส (iPhone XS) สัปดาห์ละ 5 เครื่อง รวม 85 รางวัล และแจกทุกวัน เอสโคล่าทองคำมูลค่า 10,000 บาท วันละ 5 รางวัล รวม 425 รางวัล รวมของรางวัลทั้งหมดกว่า 513 รางวัล มูลค่าทั้งสิ้นกว่า 14 ล้านบาท โดยตอกย้ำการรับรู้แคมเปญไปสู่กลุ่มเป้าหมายหลักของแบรนด์ในวงกว้างผ่านพรีเซนเตอร์ 3 พระเอกหล่อเกรียนอีกครั้ง บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์, เกรท-วรินทร ปัญหกาญจน์ และ อาเล็ก-ธีรเดช เมธาวรายุทธ ที่เป็นขวัญใจมหาชน โดนใจคนทุกเพศทุกวัย

แนวความคิด

ภาพยนตร์โฆษณาเรื่อง “ฝาเอสลุ้นโชค” ของเครื่องดื่ม เอส โคล่า เป็นการรวมตัวอีกครั้งของเหล่าพระเอก สุดเกรียน แนวหน้าของประเทศไทย บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์, เกรท-วรินทร ปัญหกาญจน์ และอาเล็ก-ธีรเดช เมธาวรายุทธ ที่จะมาสร้างความซ่าซี้ดให้หนัง เอส โคล่า รับหน้าร้อนนี้โดยมีคอนเซ็ปต์ว่า “เอส เสิร์ฟโชคทุกมื้อ ให้ทุกวันสุดซี้ด” ภาพยนตร์โฆษณาเรื่องนี้ต่อยอดจากการผจญภัยสุดซี้ดของหนัง เอส โคล่า เมื่อปลายปีที่แล้วแต่ยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าเดิม เพราะครั้งนี้ ฝาเอส จะพา 3 หนุ่มไปพบกับขุมสมบัติสุดยิ่งใหญ่ ทั้งรถยนต์ในฝันเมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลเอ, กองทัพไอโฟนเท็นเอส และ ขุมทรัพย์เอสโคล่าทองคำ เพื่อเชิญชวนกลุ่มเป้าหมายให้ได้ซ่า สดชื่นรับหน้าร้อนและไม่พลาดที่จะส่งรหัสใต้ ฝาเอส มาลุ้นของรางวัล สุดซี้ดมากมาย

]]>
1220784
เปิดเกมต่อไม่รอแล้วนะ “เอส เพลย์” ส่งน้ำสี 2 รสใหม่ลุยตลาด ดึง 2 ดาราวัยรุ่นในกระแสนั่งแท่นพรีเซ็นเตอร์ https://positioningmag.com/1205424 Thu, 27 Dec 2018 03:58:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1205424 ต้องบอกว่าตลาดอัดลมในเมืองไทยอยู่ในแดบลบต่อเนื่องมา 3 ปีแล้ว โดยมีปัจจัยหลักมาจากภาวะเศรษฐกิจผันผวน และกระแสรักสุขภาพ ทำให้ผู้บริโภคดื่มน้อยลงกระทบทั้งน้ำดำและน้ำสี

หากวัดอุณหภูมิการแข่งขันจะพบว่ารุนแรงไม่แพ้กัน โดยเฉพาะในน้ำสีมูลค่า 11,000 ล้านบาท ปีนี้ติดลบต่อเนื่อง 2% โดยมีพี่ใหญ่ในตลาดยังคงเป็นแฟนต้าของค่ายโคคาโคล่า ส่วนแบรนด์รองก็ไม่น้อยหน้า พยายามหาช่องดึงส่วนแบ่งตลาดมาเป็นของตัวเองตลอด

เอส เพลย์ซับแบรนด์ของเอสที่เพิ่งถูกรีแบรนด์ครั้งใหญ่เมื่อปลายปีที่ผ่านมา เพื่อแยกภาพให้ชัดเจนสำหรับเจาะตลาดน้ำสี เดินเกมรุกตลาดมาเรื่อยๆ โดยใช้วิธีออกสินค้าใหม่ให้ฉีกไปจากเจ้าตลาด เริ่มต้นในปี 2016 ที่ได้ออกเอส เพลย์ เกรปเบอร์รี

ปีต่อมาก็เกาะกระแสบิงซู น้ำแข็งใสยอดฮิตจากเกาหลีใต้ โดยออกรสเมลอนบิงซูและแมงโก้บิงซู เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่น และได้วางเป้าหมายต้องการขยับสัดส่วนรายได้ของน้ำสีให้เพิ่มมาเป็น 50% กับน้ำดำ หลังจากที่ก่อนหน้ามีสัดส่วนเพียง 30%

จากการเกาะกระแสที่ว่าทำให้เอสเพลย์ ทำผลงานสวนกระแสตลาดเติบโต 15.4% และข้อมูลจากนีลเส็นเมื่อเดือนกันยายน ได้ระบุว่าเอส เพลย์พลิกขึ้นมาเป็นเบอร์ 2 ในช่องทาง Modern Trade ด้วยสัดส่วน 24%

สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความมั่นใจให้กับเอส เพลย์ จนล่าสุดได้ออกสินค้าใหม่ 2 รสชาติใหม่ สูตรม็อคเทลกามิกาเซ่และพิงค์บอมบ์ เจาะกลุ่มวัยรุ่นที่ขอบดื่มน้ำอัดลมและชอบลองสินค้ารสชาติใหม่ๆ พร้อมกับดึง 2 ดาราวัยรุ่นที่กำลังเป็นกระแส ไอซ์พาริส อินทรโกมาลย์สุต ซึ่งรับบทอาฉี จากละครเลือดข้นคนจาง และ เจนรมิดา จีรนรภัทร ผลงานล่าสุดคือเรื่อง THE GIFTED นักเรียนพลังกิฟต์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์

เจษฎากร โคชส์ รองกรรมการผู้อำนวยการสายการตลาด บริษัท ไทยดริ้งค์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มเอสโคล่าและเอส เพลย์ กล่าวว่า

นอกจากเป้าหมายสร้างยอดขายและมาร์เก็ตแชร์ให้เติบโตขึ้นแล้ว อีกอย่างที่ต้องการตอกย้ำ คือ ดีเอ็นเอของแบรนด์เอส เพลย์ ที่ต้องการเป็นผู้นำนวัตกรรมตลาดน้ำอัดลมสี

สินค้าใหม่ทั้ง 2 รสชาติเริ่มวางขายแล้วในร้านค้าสะดวกซื้อ ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า และซูเปอร์มาร์เก็ต ตั้งแต่กลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา.

]]>
1205424
ไม่พลาดนะออเจ้า ! 2 บิ๊กร้านสะดวกซื้อ เซเว่นฯ-ท็อปส์ ส่งนมข้นหวาน เกาะกระแส “แต่งงาน ฟอลคอน-แม่มะลิ” https://positioningmag.com/1161919 Fri, 16 Mar 2018 05:41:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1161919 ออเจ้ายังแรงไม่ตก แม้จะออกอากาศมาถึงตอนที่ 8 (15 มีนาคม)  แม้ว่าในตอนนี้จะไม่มีสินค้าในฉากให้ฮือฮา เหมือนเมื่อครั้งมีเมนูมะม่วงน้ำปลาหวาน หมูกระทะ เครื่องกรองน้ำก็ตาม แต่แบรนด์ต่าง ๆ ก็ยังใช้ไม่ยอมพลาด จะเชื่อมโยงสินค้าเข้ากับเหตุการณ์ในเรื่อง 

อย่างในฉากที่ ”แม่มะลิ” หรือ ท้าวทองกีบม้า เข้าพิธีแต่งงานกับ คอนสแตนติน ฟอลคอน ร้านสะดวกซื้อ 7-11 ไม่รอช้า อัพไทม์ไลน์ โฆษณา นมข้นหวานฟอลคอน ตรามะลิมาจัดเรียง โดยให้คาร์เนชั่นคั่นกลาง พร้อมประโยคเด็ด “แม้นจะมีคาร์เนชั่น ก์มิอาจขวางกั้นความรักของฟอลคอนกับแม่มะลิได้“ พร้อมเสนอโปรฯ เด็ดจัดให้ทันควัน นมข้นหวานกับความหวานของคู่แต่งงานใหม่ มันช่างเข้ากันได้ดีจริง ๆ

ส่วนท็อปส์มาร์เก็ต ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการทำโซเชียลมีเดีย มาร์เก็ตติ้ง ก็ส่งโฆษณา นมกระป๋อง ฟอลคอน คู่กับ นมมะลิขาย พร้อมราคาโปรโมชั่นทันทีเช่นกัน

แบรนด์ที่ไม่มีสินค้าที่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องก็ยังขอเกาะไปกับกระแสด้วย ค่ายมือถือทรูมูฟออกแคมเปญ “เน็ตไม่อั้น สนั่นพระนคร” ในราคาพิเศษ

สถาบันการเงินก็ไม่น้อยหน้า ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จัดการโปรโมต GHB Plus สิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้าได้รู้จัก พร้อมเสนอรูปแบบการใช้บริการ ที่มีบทสวดมนต์กฤษณากาลี เป็นองค์ประกอบด้วย หวังจะให้พึ่งคาถาเพื่อลุ้นรับของรางวัลพิเศษจากธนาคาร

ฟากธนาคารกรุงศรี เสนอสินเชื่อใหม่ iFin ด้วยคอนเซ็ปต์ อนุมัติไว แบบไม่ต้องรอ หลังจากในละครแม่นางการะเกดช้อปจัดหนัก ให้พี่หมื่นจ่ายแหลกมาแล้ว

สินค้าน้ำดำอย่าง เอส มาชวนคนให้ไปร่วมสนุกลุ้นไปนิวยอร์ก พร้อมกับ GOT7 พร้อมภาพเครื่องบินจอดรออยู่หน้าเรือนไทยหลังใหญ่ แถมด้วยประโยคว่า “หมดเวลาท่องอโยธยาแล้วออเจ้า“

ทางด้านช่อง 3 ไม่รอช้า ออกสติกเกอร์ “แม่การะเกด” ออกมาให้โหลดซื้อในราคา 100 บาท ทันที แถมติดอันดับ 1 ของสติกเกอร์เป็นทางการไปแล้ว

แม้แต่จราจรในกรุงเทพฯ ทวิตเตอร์รายงานสภาพการจราจรของ “สวพ FM 91“ ก็รายงาน ณ เวลา 21.30 น. ของวันที่ 15 มี.ค. ไว้ว่า ”จากรถติดมาก กลับโล่งได้ ปรากฏการณ์ทุกวันพุธ พฤหัส“

ละครเดินทางมาถึงครึ่งทางแล้ว กระแสยังไม่ตก เพราะแต่ละตอนล้วนมีประเด็นใหม่ หรือฉากเด็ด ให้ผู้ชมต้องตามดู ส่วนสินค้าก็ไม่พลาดที่จะพาแบรนด์ไปอยู่ในกระแส หรือประเด็นที่ผู้บริโภคให้ความสนใจเช่นกัน.

]]>
1161919
เอสเพลย์ พลิกเกมสู้ศึกน้ำสี 1.5 หมื่นล้าน ลุยรีแบรนด์ เกาะกระแสบิงซู นำน้ำแข็งใสเกาหลีใส่ขวดดื่มได้ https://positioningmag.com/1148289 Mon, 27 Nov 2017 11:10:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1148289 ตลาดน้ำอัดลมมีขนาดใหญ่มูลค่า 50,000 ล้านบาท ยังคงขับเคี่ยวแข่งขันจากผู้เล่น ระดับ “บิ๊กแบรนด์” บิ๊กเพลเยอร์ อย่าง โค้กและเป๊ปซี่การจะแย่ง “ส่วนแบ่งทางการตลาด” ย่อมยากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับแบรนด์น้องใหม่ที่เข้ามาทำตลาดไม่นาน

“เอส” แบรนด์น้ำอัดลมสัญชาติไทย ทำตลาดมาเกือบ 6 ปี มีส่วนแบ่งทางการตลาดรวม 10อยู่ในภาวะ “ทรงตัว” แต่เมื่อแบ่งย่อยไปดูพอร์ตโฟลิโอน้ำสี “เอสเพลย์” สามารถสร้างยอดขาย “เติบโต 11.6% ทำให้บริษัท ไทยดริ้งค์ จำกัด ผู้ทำตลาด ตัดสินใจ “พลิกกลยุทธ์” ครั้งใหม่ โดยคว้าโอกาสจากน้ำสี ซึ่งมีมูลค่าตลาด 15,000 ล้านบาท

ล่าสุด บริษัทได้ “รีแบรนด์เอส เพลย์” ให้ภาพลักษณ์ และกลุ่มเป้าหมายแยกออกจากน้ำดำ “เอส” อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ด้วยการปรับดีไซน์แบรนด์โลโก้ใหม่ “เอส เพลย์” เน้นคำว่า “เพลย์” ให้ใหญ่และเพิ่มสีสันบรรจุภัณฑ์ให้โดดเด่น สอดคล้องกับการเล่นยิ่งขึ้น เพื่อมุ่งเจาะ “กลุ่มเป้าหมายใหม่” วัยรุ่นอายุ 13-15 ปี จากเดิมที่รวมกับน้ำดำ กลุ่มเป้าหมายจะอยู่ระหว่าง 16-18 ปี

ตอนแรกที่ทำตลาดน้ำอัดลม ทั้งกลุ่มเราเรียกว่าเอส แล้วแยกเป็นเอสโคล่า เอสน้ำสี เอส เคลียร์(กลิ่นเลม่อน) แต่ก็พบว่า กลุ่มเป้าหมายที่ดื่มเอสโคล่า และน้ำสี เป็นคนกลุ่มกัน ต้องใช้กลยุทธ์แตกต่างกัน การสร้างแบรนด์ ทำการตลาด เอสเพลย์ จึงต้องมีแนวทางของตัวเองที่ชัดเจน โดยกลุ่มเป้าหมายเอสโคล่า จะมีทัศนคติแบบคนรุ่นใหม่ แต่เอสเพลย์ ต้องมีสีสันในชีวิต สุดท้ายจึงต้องแยกออกมา เพื่อตอบโจทย์ความสนุก และเล่นให้โดนใจกลุ่มเป้าหมาย เจษฎากร โชส์ รองกรรมการผู้อำนวยการสายการตลาด บริษัท ไทยดริ้งค์ จำกัด บอก

นอกจากนี้ การเติบโตที่ร้อนแรงของเอส เพลย์ ทำให้บริษัท “คาดหวัง” ว่าพอร์ตโฟลิโอของน้ำสีจะให้ขึ้นไปถึง 50เพื่อเป็นตัว “ฉุด” การเติบโตของพอร์ตน้ำอัดลมโดยรวมให้ขยับขึ้นด้วย เพราะหากดูแค่น้ำดำ “เอส” มีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 10ซึ่งไม่ขยับเพิ่มขึ้นเลย

เกมรบด้าน “ผลิตภัณฑ์” ของเอสเพลย์ ต้องปรับให้เข้มข้นและชัดเจน ตอบโจทย์ตลาด โดยนำเอากระแส “บิงซู” หรือน้ำแข็งใสเกล็ดหิมะสไตล์เกาหลี ที่ฮิตทั่วบ้านทั่วเมืองในช่วง 2 ปี นำมาลงขวดปั้นให้เป็นสินค้าใหม่ 2 รสชาติ ได้แก่“เอส เพลย์ เมลอน บิงซู” และ “เอส เพลย์ แมงโก้ บิงซู” กลายเป็นบิงซูดื่มได้ ซึ่งยังไม่มีน้ำอัดลมเจ้าใดฉีกตลาดทำเช่นนี้มาก่อน

จากการสำรวจกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นที่อยู่ตามติวเตอร์ต่างๆ เช่น อาคารวรรณสรณ์ พบว่ามีความตื่นเต้นกับสินค้าใหม่ไม่น้อย

เพื่อเพิ่มดีกรีเรียกเสียงกรี๊ด ให้กับสินค้าใหม่ จึงไปดึง 2 ศิลปินเกาหลี “เตนล์” และ “แทยง” บอยแบนด์จาก NCT มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ และมาทำ Full wrap บนบรรจุภัณฑ์ขนาด 515 มิลลิลิตร(มล.) เพื่อสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมา

ส่วนบิงซูดื่มได้จะยืนหยัดในตลาดได้นานแค่ไหน ต้องดูผลตอบรับจากตลาด แต่ผู้บริหารเองก็ออกจะไม่มั่นไม่น้อย เพราะดูอย่างการออกสินค้าใหม่อย่าง “เอส เพลย์ เกรปเบอร์รี่” กลายเป็นสินค้าฮิตติดตลาดไปเรียบร้อยแล้ว และยังทำสัดส่วนยอดขายให้กับกลุ่มน้ำสีของเอส เพลย์ เป็นอันดับ 1 ขณะที่กลุ่มน้ำสีมีทั้งหมด 7 รสชาติ ได้แก่ น้ำส้ม, น้ำเขียวโซดา, เคลียร์(เลม่อน), แดงสตรอวเบอรี่, ลิ้นจี่และแพร์, ฮาวายเอี้ยนพันซ์ และเกรป เบอร์รี่

สำหรับภาพรวมตลาดน้ำสี ณ เดือนตุลาคม 2560 มีมูลค่าประมาณ 15,000 ล้านบาท ติดลบ 8.9โดยแฟนต้า ของค่ายโคคา-โคล่า ยังเป็นเบอร์ 1 มีส่วนแบ่งทางการตลาด 50% สไปร์ 20เอส เพลย์ 11.4มิรินด้า จากค่ายเป๊ปซี่มีส่วนแบ่งตลาด 5-6%  

การพลิกกลยุทธ์น้ำสีครั้งนี้ ไทยดริ้งค์ทุ่มงบ 150 ล้านบาท ในการทำตลาด และคาดหวังยอดขายปี 2561 จะเติบโต 2 หลัก  มีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มเป็น 13โดยเฉพาะช่องทางห้างค้าปลีกสมัยใหม่(โมเดิร์นเทรด)และร้านสะดวกซื้อ 25จาก 17.6%

และถ้าเป็นไปได้ ต้องการให้พอร์ตน้ำสีเอส เพลย์ มีสัดส่วนยอดขาย 50จากปัจจุบันสัดส่วน 30และน้ำดำเอส โคล่า 70%

“น้ำสีเราเป็นเบอร์ 2 ของตลาด และเราเห็นโอกาสเติบโตในช่องทางโมเดิร์นเทรดมาก เพราะบางเดือนยอดขายเราขึ้นเป็นผู้นำตลาดสลับคู่แข่ง ส่วนตลาดน้ำดำ ก็ต้องหาทางมูฟต่อ คิดกลยุทธ์ใหม่ๆมาบุกตลาดเพิ่ม จากวันนี้ Positioning เอสโคล่าชัดเจนแล้ว ส่วนเอส เพลย์ปูทางดีมาตั้งแต่แรก เราจึงพลิกเกมในการทำตลาดเพื่อหาโอกาสใหม่”

]]>
1148289
5 ปี “เอส” ยังต้องไล่ตาม “โค้ก-เป๊ปซี่” https://positioningmag.com/1145093 Wed, 01 Nov 2017 17:24:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1145093 1 .. 2560 เป็นวันครบรอบ 5 ปีเต็มที่เป๊ปซี่เลิกสัญญากับ บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) หลังจากเสริมสุขเป็นผู้ผลิต และจัดจำหน่ายเป๊ปซี่ในไทยมานาน 59 ปี นับตั้งแต่ปี 2496 

จุดสิ้นสุดทำให้เกิดเรื่องราวใหม่เสมอ ดังนั้นนับจากวันที่ 1 .. 2555 เสริมสุขซึ่งมีเครือข่ายร้านโชห่วย มีตู้แช่กว่า 150,000 ตู้ทั่วประเทศ ภายใต้อาณาจักรไทยเบฟเวอเรจ ของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ได้รุกตลาดน้ำอัดลม ด้วยการแจ้งเกิดแบรนด์ใหม่ในไทยคือเอสส่งน้ำดำทำตลาดเป็นผลิตภัณฑ์ตัวแรก 

ผู้บริโภคไทยมีน้ำอัดลมให้เลือกในตลาด 4 แบรนด์หลัก ๆ นับจากนั้น คือ เป๊ปซี่ โค้ก บิ๊กโคล่า และเอส แต่ที่แข่งกันรุนแรงในทางการตลาดทั้งการจัดอีเวนต์ โปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม ชิงโชค และโฆษณา คือ เป๊ปซี่ โค้ก และเอส 

เอสในฐานะที่มีทุนหนา และมีเครือข่ายจุดขายเสริมสุขนับแสน ที่สำคัญมีขวดแก้วที่เป็นจุดแข็งตลอดกาลของเป๊ปซี่ ทำให้เสริมสุขมั่นใจว่า เอสจะชิงตลาดเป๊ปซี่ได้ เพราะเสริมสุขเคยมีรายได้ปีหนึ่งเกือบ 2 หมื่นล้านบาท จนกระทั่งปีสุดท้ายของสัญญากับเป๊ปซี่ ในปี 2555 ทำรายได้ถึง 22,820 ล้านบาท และกำไร 600 ล้านบาท

แต่อดีตก็คืออดีต เวลานี้ใครแพ้ใครชนะ ดูได้จากรายได้และกำไร แน่นอนกว่า จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ย้อนหลังไป 5 ปี ช่วงปี 2555-2559 เปรียบเทียบตั้งแต่ปีก่อนเปลี่ยนแปลงที่เสริมสุขแยกทางกับเป๊ปซี่ และมีเอสเข้ามาในตลาดน้ำอัดลมที่มีมูลค่าเกือบแสนล้านบาทต่อปี ชัดเจนว่า โค้กชนะ 

บริษัทที่ผลิตโค้ก มี 2 บริษัท รวมตัวเลขรายได้และกำไรเติบโตมากกว่าเป๊ปซี่ ที่อยู่ภายใต้ชื่อบริษัท เป๊ปซี่โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด มีรายได้มากกว่า 20,000 ล้านบาท 

ภาพรวมของโค้ก ซึ่งมีการแยกผู้ผลิตและจำหน่าย 2 บริษัท คือไทยน้ำทิพย์ ได้สิทธิเกือบทั่วประเทศ ยกเว้นภาคใต้ 14 จังหวัดที่เป็นของบริษัทหาดทิพย์ ถือว่ามีตัวเลขรายได้รวมกันกว่า 25,000 ล้านบาท ผ่านการสร้างแบรนด์ ตามนโยบายของบริษัทแม่ ที่เน้นย้ำว่าโค้ก อยู่ในไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ทั้งดนตรี และอีเวนต์ในเทศกาลต่าง ๆ ที่ประสบความสำเร็จเลือกกินโค้กเพราะแบรนด์ จากที่ก่อนหน้าปี 2555 นั้นเป๊ปซี่กินเรียบในตลาดน้ำอัดลลม

ส่วนเอส ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของเสริมสุข ยังไม่ได้ช่วยดันรายได้ของเสริมสุขมากนัก แม้จะพยายามเปลี่ยนสูตรน้ำดำมาแล้วหลายรอบ มีขวดแก้ว และปูพรมตามร้านอาหารแล้ว แต่ก็ยังบุกชิงส่วนแบ่งจากโค้กและเป๊ปซี่ไม่ได้เสียที ทำให้บริษัทมีรายได้และกำไรลดลง ตั้งแต่ปี 2556 และปี 2560 ณ สิ้นสุด ไตรมาส 3 ก็ยังขาดทุนอยู่ 263 ล้านบาท ทั้งที่ เสริมสุขพยายามหาเครื่องดื่มชนิดอื่นมาเพื่อชดเชยรายไ้ด้ แต่ก็ยังไม่บรรลุเป้าหมาย

ปัจจุบันเอส มีผลิตภัณฑ์ทั้งน้ำดำ น้ำสี 69 ผลิตภัณฑ์ มีตู้แช่เอส 150,000 ทั่วประเทศ รถลำเลียงสินค้า 100 คัน รถขาย 1,000 คัน และโรงงาน 7 แห่ง คลังสินค้า 51 แห่ง นอกจากน้ำอัดลมเอสแล้ว ยังมีน้ำดื่ม คริสตัล ชาเขียวโออิชิ เครื่องดื่มชูกำลังแรงเยอร์ เป็นต้น.

]]>
1145093
เมื่อเจ้าสัวขายเบียร์มาขายไก่ทอด จิ๊กซอว์ต่อยอดธุรกิจอาหาร “ไทยเบฟ” ยิ่งน่าจับตา https://positioningmag.com/1135672 Wed, 09 Aug 2017 21:55:34 +0000 http://positioningmag.com/?p=1135672 หลัง “ดีล” ยักษ์ใหญ่เครื่องดื่มท็อป 5 เอเชียชื่อ “ไทยเบฟ” ซื้อกิจการร้าน “เคเอฟซี” มูลค่า 1.13 หมื่นล้านบาท อะไรจะตามมา

ค่ำวันที่ 8 .. มีข่าวฮอต! สะเทือนธุรกิจอาหารบริการด่วน (Quick Service Restaurant : QSR) หลังบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ประกาศซื้อกิจการร้านเคเอฟซีกว่า 240 สาขาที่มีอยู่ ณ ปัจจุบันและที่กำลังสร้างใหม่ในประเทศไทย จากบริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด

โดย “ดีล” ครั้งนี้ดำเนินการผ่านบริษัทลูกของไทยเบฟคือบริษัท เดอะคิวเอสอาร์ ออฟ เอเชีย จำกัด (คิวเอสเอ) ซึ่งเป็นบริษัทในเครืออีกทอดหนึ่งของไทยเบฟ คือบริษัทฟู้ด ออฟ เอเชีย จำกัด อันเป็นบริษัทที่มีบทบาทสำคัญในการประกอบธุรกิจอาหารให้กับเครือไทยเบฟนั่นเอง

คำถามความเห็นจำนวนมากเกิดหลังดีลว่าหมากรบเกมนี้ของไทยเบฟจะรุกอย่างไร ลองวิเคราะห์!

ไทยเบฟมียอดขายจากธุรกิจเครื่องดื่มมากกว่า 1.6 แสนล้านบาทต่อปี ธุรกิจอาหารมีเพียง โออิชิ ที่เป็นหัวหอกในการขับเคลื่อน มียอดขายไม่สูงมากนักประมาณ 3,000 กว่าล้านบาท ส่วนกำไรอยู่ระดับหลัก 40 ล้านบาท

แต่ธุรกิจ อาหาร” ต้องคู่กับ เครื่องดื่ม” เพื่อให้ธุรกิจมีความครบเครื่องสมบูรณ์ การเติมเต็มด้วย “จิ๊กซอว์” ใหม่ๆ จึงสำคัญ และการเข้าซื้อกิจการ (Acquisition) เป็นกลยุทธ์ของพ่อค้าเลือดมังกรอย่าง เสี่ยเจริญ สิริวัฒนภักดี” ราชันย์น้ำเมาผู้ครองอาณาจักรไทยเบฟ

ในแต่ละปีไทยเบฟทำยอดขายเหล้าเบียร์มากกว่า 1.6 แสนล้านบาท กำไรหลัก หมื่นล้านบาท ควักเงิน 1.13 หมื่นล้านบาท จิ๊บๆ เพื่อแลกกับ ขุมทรัพย์” ทางธุรกิจ จากยอดขายและความแข็งแกร่งของ KFC เบอร์ 1 ไก่ทอด แถมนำมาต่อยอดให้กับธุรกิจเครื่องดื่มในสเต็ปต่อไปได้ จะเป็นน้ำอัดลม น้ำเปล่า ครันเชอร์ โกโก้ กาแฟ ไอศกรีม ล้วนมีความน่าสนใจว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร เพราะไม่มีใครทราบได้ว่า “เบื้องหลัง” และ “รายละเอียด” ของดีล และเคเอฟซีจะยังคงเป็นมาตรฐานการจำหน่ายสินค้าแบรนด์เดิม คงความต้นตำรับฉบับ KFC หรือเปล่า

แต่แน่ๆ ไทยเบฟและพ่วงบริษัทในเครือเช่นเฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ (เอฟแอนด์เอ็น) มีทั้งน้ำอัดลมเอส ชาเขียวโออิชิ ไอศกรีม และอีกมากมาย ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นที่พร้อมจะ เสียบแทน” สินค้าเดิมได้อยู่แล้ว อีกทั้งโครงสร้างราคาเครื่องดื่มที่จำหน่ายในร้านอาหารก็จะมี “ราคาสูง” กว่าจำหน่ายในช่องทางร้านขายปลีกทั่วไป เช่น น้ำอัดลมเป๊ปซี่ ขนาด 550 มิลลิลิตร (มล.) ราคาจะเริ่มต้นที่ 25 บาท แน่นอนว่า “แพง” กว่าร้านข้างนอก จะด้วยค่าเช่าพื้นที่ในศูนย์การค้าย่านชุมชน ค่าจ้างพนักงาน ต้นทุนต่างๆ ที่สูงกว่าก็ตาม

อีกนัยหนึ่งที่ไทยเบฟจะได้หลังซื้อกิจการร้าน KFC คือ ฐานผู้บริโภค” ได้เรียนรู้และเข้าใจความต้องการลูกค้าเชิงลึก (Insight) อย่างใกล้ชิดมากขึ้น ในการบริโภคอาหาร QSR ที่ไทยเบฟยังไม่เคยเข้าถึง ซึ่งนั่นสอดคล้องกับเอกสารเผยแพร่ข่าวที่ไทยเบฟร่อนออกมาชี้แจงเหตุผลถึงการซื้อกิจการครั้งนี้ว่า

จะช่วยไทยเบฟขยายสู่ธุรกิจอาหารและเข้าถึงไลฟ์สไตล์ในปัจจุบันของผู้บริโภคในกลุ่มร้านอาหารบริการด่วนได้

นงนุช บูรณะเศรษฐกุล

และ นงนุช บูรณะเศรษฐกุล” ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายธุรกิจอาหาร (ประเทศไทย) ของไทยเบฟ ก็กล่าวว่า การเข้าซื้อร้านสาขาเคเอฟซีเป็นมากกว่าโอกาสในการขยายธุรกิจอาหารของไทยเบฟ”

เพราะด้วยเครือข่ายอันกว้างขวางของ KFC ในประเทศไทย จะทำให้กลุ่มไทยเบฟสามารถ เข้าถึงลูกค้าจำนวนมากทั่วประเทศได้โดยตรง” เรียกว่า “ยิงกระสุนการตลาดไป” ก็คงจะตรง “เป้าหมาย” มากยิ่งขึ้น ไม่พอ เธอยังบอกว่า KFC จะทำทำให้เข้าถึงกระแสนิยมต่างๆ และอยู่ระดับแนวหน้าในอุตสาหกรรมนี้ได้ และเป็นปัจจัยสำคัญมากในการสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ด้าน QSA ซึ่งยกจุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการร้านอาหาร จะช่วยทำให้กลับเข้ามารุกร้านอาหาร QSR อย่าง KFC อยู่ในจุดได้เปรียบในการเร่งขยายสาขาในประเทศเพิ่ม ข้อนี้ไม่ใช่แค่ความเชี่ยวชาญของ QSA แต่บริษัทแม่อย่างไทยเบฟก็มี ทุนมหาศาล” ที่จะตอบโจทย์การลงทุนขยายสาขา ไหนจะย้อนไปดูความพร้อมของบริษัทแม่ของไทยเบฟอีกขั้น ทีซีซี กรุ๊ป” ก็ครบครันทั้งธุรกิจห้างค้าปลีก บิ๊กซี, พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า, เกตเวย์ฯ ตลอดจนอาคารสำนักงานที่มี “พื้นที่” ให้ KFC สามารถไปเปิดสาขาได้

เราหวังว่าการเป็นหุ้นส่วนกับบริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว และจะไม่มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มฝ่ายปฏิบัติการเท่านั้น แต่รวมถึงการพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้วย

นงนุชกล่าว

การพัฒนา “ทรัพยากรบุคคล” มีความน่าสนใจตั้งแต่ตัว นงนุช” ที่เป็นอดีตผู้บริหาร ยัม เรสเทอรองตส์ฯ  เป็น ขุนพลการตลาด” แบรนด์พิซซ่า ฮัท มาก่อน วางกลยุทธ์รุกธุรกิจอาหารเป็นเวลานาน การทำงานร่วมกันระหว่างบ้านหลังใหม่กับหลังเก่า คงมีการ เรียนรู้” ยกระดับการทำงานระดับอินเตอร์ไปอีกขั้น

ก่อนที่นงนุชจะเข้ามานั่งเก้าอี้ กรรมการผู้จัดการ” บมจ.โออิชิ กรุ๊ป เธอได้รับหน้าที่จาก เจ้าสัวน้อย ฐาปน สิริวัฒนภักดี” ให้ซุ่มปลุกปั้นธุรกิจอาหารอยู่ระยะหนึ่ง เช่น ร้านโซอาเซียน ร้านอาหารหม่าน ฟู่ หยวน ฯลฯ  รวมถึงเป็น แม่ทัพ” ของ FOA ด้วย เพื่อสนองเจตนารมณ์ของฐาปนในการขยายธุรกิจอาหารที่ไม่ได้จำกัดแค่ “อาหารญี่ปุ่น” อีกต่อไป

ปี 2559 ที่ผ่านมา FOA ในเครือไทยเบฟ ยังร่วมทุนกับกลุ่มบริษัท แม็กซิม กรุ๊ป ฮ่อง เปิดร้านเบเกอรี๋เบอร์ 1 จากฮ่องกง แบรนด์ “แม็ก เค้ก แอนด์ เบเกอรี” (mx cakes & bakery) ที่สยามพารากอน เป็นการเข้าสู่ตลาดเบเกอรี่มีมูลค่าตลาด 2.8 หมื่นล้านบาท

จิ๊กซอว์ เครื่องดื่มแสนล้าน” แกร่งครึ่งทางวิชั่นไทยเบฟ 2020 จิ๊กซอว์ตัวใหม่คือการเอาจริงกับ อาหารการกิน” แสนล้านบาทบ้าง

กินดื่ม ไปด้วยกันเป็นแพ็กเกจ ความมั่งคั่งจะไปไหนเสีย! ถ้าไม่อยู่ในมือเสี่ยเจริญ ผู้มีมูลค่าสินทรัพย์ประมาณ 5.8 แสนล้านบาท.

]]>
1135672
ศึกน้ำดำซัมเมอร์ เป๊ปซี่ VS เอส ใครจะแซ่บซ่ากว่ากัน https://positioningmag.com/1117872 Wed, 01 Mar 2017 22:55:14 +0000 http://positioningmag.com/?p=1117872 ถอดรหัส ศึกแคมเปญน้ำดำซัมเมอร์ ระหว่าง เป๊ปซี่ – เอส ที่มีวัยรุ่นเป็นเดิมพัน ใครจะแซ่บซ่าโดนใจกว่ากัน

ช่วงซัมเมอร์ของทุกปี ถือว่าเป็นช่วงไฮไลต์การแข่งขันของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มทุกชนิด ที่ต้องงัดโปรโมชัน ออกแคมเปญการตลาดมาฟาดฟัน เพื่อเร่งยอดขาย ชิงส่วนแบ่งตลาดมาตุนไว้ให้มากที่สุด

ค่ายน้ำดำ นั่นมีมูลค่าตลาด 51,000 ล้านบาท รายได้จะเติบโตในช่วงซัมเมอร์ถึง 20-25% หรือคิดเป็นรายได้ของทั้งปีได้ราว 30-35% ทำให้แต่ละแบรนด์ต้องงัดกลยุทธ์มาสู้ศึกเพื่อชิงรายได้และลูกค้าให้ได้มากที่สุด

ศึกปีนี้ ประเดิมกันด้วย 2 แบรนด์เบอร์สองและเบอร์สาม อย่าง เป๊ปซี่ และเอส ที่เปลี่ยนจากคู่ธุรกิจมาเป็นคู่แข่ง ทั้งคู่จึงต้องเปิดศึกชนิดที่ไม่มีใครยอมใคร ด้วยการส่งแคมเปญฤดูร้อนในวันเดียวกัน และจับกลุ่มวัยรุ่น ด้วยงบการตลาดเท่ากัน 300 ล้านบาท

เป๊ปซี่เน้นสร้างแบรนด์ ลุยอีเวนต์มิวสิก

ด้วยความที่เป๊ปซี่เป็นโกลบอลแบรนด์ และหันมาสร้างโรงงาน จัดจำหน่าย และทำตลาดเอง การทำแคมเปญการตลาดมักจะอิงจากแคมเปญของโกลบอล เช่น แคมเปญฟุตบอลมาร์เก็ตติ้งปีที่แล้ว ที่เป๊ปซี่เป็นพาร์ตเนอร์กับทัวร์นาเมนต์ UEFA Champion League เป็นโปรโมชันชิงโชคไปดูฟุตบอลรอบชิงชนะเลิศ

แคมเปญช่วงซัมเมอร์ปีนี้ ยังคงอิงไปโกลบอลแคมเปญกับ “เป๊ปซี่ โมเมนต์” คือการเจาะเรื่องช่วงเวลาแห่งความสนุก เน้นอีโมชันอลมากขึ้น โดยปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนไทย ในชื่อแคมเปญ เป๊ปซี่ ซัมเมอร์ โมเมนต์

เป๊ปซี่ ได้สำรวจผู้บริโภคกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของน้ำอัดลมว่า ชอบทำอะไรช่วงหน้าร้อน และคำตอบที่ได้ เป็นเรื่องการพักผ่อน และเรื่องกิจกรรมดนตรีเป็นส่วนใหญ่

จึงเป็นที่มาของกลยุทธ์ T.E.E.N 4 ที่เป๊ปซี่ใช้ส่วนผสมการตลาด พรีเซ็นเตอร์ แพ็กเกจจิ้ง มิวสิกมาร์เก็ตติ้ง และดิจิทัล เพื่อหวังจะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์วัยรุ่นให้ได้มากที่สุด

T : Technology รุกแพลตฟอร์มดิจิทัลมากขึ้น เพิ่มการใช้สื่อออนไลน์ 35-40% และจับมือกับ JOOX ทำกิจกรรมไลฟ์ สตรีมมิ่ง

E : Entertainment กลยุทธ์มิวสิกมาร์เก็ตติ้ง ผ่านเทศกาลดนตรีช่วงสงกรานต์ ได้แก่ งาน S2O งานสงกรานต์ที่ 2 แลนด์มาร์กภาคอีสาน ลานย่าโม และ UD Town ภาคอีสานเป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์ที่เป๊ปซี่ต้องการตีตลาดเพิ่ม เพราะเป็นตลาดใหญ่ในตลาดน้ำอัดลม

E : Experience มีกิจกรรม Make Your Moment with Pepsi เป็นกิจกรรมเอ็กซ์คลูซีฟกับ 3 พรีเซ็นเตอร์ และวง Getsunova ในช่วงซัมเมอร์

N : Newness พรีเซ็นเตอร์ใหม่ 3 ดาราวัยรุ่น เจเจ-กฤษณภูมิ, ทอย-ปฐมพงศ์, ก้อย-อรัชพร และวง Getsunova มองว่าแต่ละคนมีคาแร็กเตอร์ และมีไลฟ์สไตล์ทั้งในเรื่องแฟชั่น การเดินทาง เพื่อสื่อสารกับกลุ่มวัยรุ่น อายุ 18-30 ปี และออกแพ็กเกจจิ้ง 6 ลายใหม่รับช่วงซัมเมอร์ เป็นการนำคำต่างๆ เช่น มันส์ ซัมเมอร์ มาพิมพ์ลงบนฉลากแพ็กเกจจิ้ง

แคมเปญจะเริ่มตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม – กลางเดือนมิถุนายน ใช้งบประมาณ 300 ล้านบาท โดยจะเน้นเรื่องอีเวนต์

ในมุมมองของ สมชัย เกตุชัยโกศล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด ต้องการเน้นในส่วนของการสร้างแบรนด์เลิฟ มากกว่าการชิงโชค ชิงรางวัล เพราะทำแล้วไม่ยั่งยืน

ในช่วงซัมเมอร์เป็นช่วงสำคัญที่ทุกแบรนด์ต้องทุ่มทำการตลาด แบรนด์อื่นจะเน้นการทำโปรโมชันชิงโชคต่างๆ  ซึ่งก็ทำได้แค่ช่วงสั้นๆ บางรายแม้จะทำโปรติดๆ กัน แต่ตลาดก็ยังติดลบ มันเป็น Fake demand (ดีมานด์เทียม) แต่เป๊ปซี่เน้นในเรื่องการสร้างแบรนด์เลิฟ ทำให้ไปอยู่ในใจผู้บริโภค จึงให้ความสำคัญในการทำวิจัย ดูว่าเขาต้องการอะไร และเข้าไปในตรงนั้น

โดยเป๊ปซี่จะโฟกัสในส่วนของมิวสิกมาร์เก็ตติ้งมาตลอด ในปีนี้ก็เช่นกัน จะมีการจัดกิจกรรมเทศกาลดนตรีเพื่อเข้าถึงกลุ่มวัยรุ่น เป้าหมายก็คือต้องการสร้างเอ็นเกจเมนต์ ทำให้แบรนด์แข็งแรง และสร้างแบรนด์เลิฟในใจกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่น

สมชัยบอกว่า ใช้มิวสิกแพลตฟอร์มในการสื่อสาร เพราะยังเป็นกิจกรรมอันดับหนึ่งที่วัยรุ่นชื่นชอบ การทำกิจกรรมผ่านมิวสิกจึงเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายที่สุด

โดยปกติแล้วในช่วงซัมเมอร์เป๊ปซี่มีการเติบโต 20-25% และรายได้ช่วงซัมเมอร์คิดเป็นสัดส่วน 30% ของรายได้ทั้งปี ในปีนี้ก็ยังคงตั้งเป้าการเติบโตอยู่ที่ 20-25% เช่นกัน

นอกจากนี้เป๊ปซี่ยังต้องการกระตุ้นพฤติกรรมการดื่มแบบ on the go ที่เป็นแพ็กเกจจิ้งแบบขวดพลาสติก หรือกระป๋อง เพราะเทรนด์ผู้บริโภคมาในทางนี้ ในตลาดน้ำอัดลมมีสัดส่วนของขวด PET 80% และขวดแก้ว 20% มีแนวโน้มตกลงเรื่อยๆ ซึ่งเป๊ปซี่ครองส่วนแบ่งตลาดในแพ็กเกจจิ้งแบบไม่ต้องคืนขวด 45% แล้ว

เอสจัดเต็ม จัดชิงโชค ขยายฐานแฟนเลิฟ

ด้วยความที่เป็นน้องใหม่ที่ด้วยในตลาดน้ำอัดลม ทำให้เอสต้องจัดหนัก เร่งทำตลาดเพื่อเพิ่มรายได้ และขยายส่วนแบ่งตลาดให้มากที่สุด จากที่ปัจจุบันยังอยู่เบอร์สาม มีส่วนแบ่งตลาด 10.2%

ในปี 2559 เอสมีแคมเปญตลอดทั้งปี ถือเป็นช่วงค้นหาตัวเอง  แคมเปญซัมเมอร์ชิงโชคดูบอลใช้ ณเดชน์ เป็นพรีเซ็นเตอร์ ตามมาด้วยแคมเปญวอลเลย์บอล และปลายปีกับบอยแบนด์เกาหลี GOT7 เพื่อมุ่งโฟกัสตลาดกลุ่มวัยรุ่นโดยเฉพาะ มีอายุตั้งแต่ 15-30 ปี 

กลยุทธ์ของเอสในฐานะที่ยังเป็นรองคู่แข่ง จึงพยายามสร้างความแตกต่าง และมุ่งสร้างแบรนด์ไปในกลุ่มวัยรุ่น ที่มีอายุตั้งแต่ 15-30 ปี  เอส ได้เลือกนำ GOT7 บอยแบนด์ดังจากเกาหลีกลับมาอีกครั้ง เพราะมองว่าเป็นกลยุทธ์ที่คู่แข่งในตลาดไม่เคยใช้ และกระแสเกาหลียังคงเข้าถึงวัยรุ่นไทยได้

ซัมเมอร์นี้เอสได้ลงทุน 300 ล้านบาท เปิดแคมเปญ เอส ซ่าซี้ดเลือกได้ ทั้งฟินทั้งซิ่ง โดยเป็นการผสมผสานระหว่าง โปรโมชันชิงโชค และกิจกรรมร่วมกับนักร้องวงดังจากเกาหลี โดยสามารถเลือกรางวัลได้ ไปเที่ยวเกาะเสม็ดกับ GOT7 จำนวน 250 รางวัล (500 คน) หรือเลือกโตโยต้า ยาริส จำนวน 100 คัน รวมมูลค่า 57 ล้านบาท

เจษฎากร โคชส์ รองกรรมการผู้อำนวยการสายการตลาด บริษัท ไทยดริ้งค์ จำกัด บอกถึงที่มาของแคมเปญนี้ว่า “เอสเลือกที่จะสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งเพื่อในการสร้างการจดจำ และเอ็นเกจเมนต์กับกลุ่มเป้าหมาย ในแคมเปญนี้ เพื่อต้องการสร้างกิมมิกที่สามารถเลือกรางวัลได้ว่าอยากได้อะไร ในตลาดยังไม่เคยมีใครทำ เป็นส่วนที่จะช่วยสร้างแบรนด์เลิฟเพิ่มมากขึ้น

นอกจากจะต้องการกลุ่มแฟนคลับที่ชื่นชอบ GOT7 แล้ว เอสมองว่า การชิงโชค โดยมีรถโตโยต้ายาริเป็นรางวัลให้เลือก จะสามารถเข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นทั่วไปได้ เพราะรถยนต์ ถือเป็นของรางวัลที่วัยรุ่นอยากได้เป็นอันดับหนึ่ง

และการที่เอสยังคงเน้นโปรโมชั่นชิงโชค เพื่อต้องการกระตุ้นยอดขาย และเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด โดยที่ใช้พรีเซ็นเตอร์ควบคู่ในการสร้างแบรนด์ด้วย ในปีนี้ตั้งเป้าการเติบโต 15% ในช่วงซัมเมอร์คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 35% ของทั้งปี

เปิดผลสำรวจ Brand Health

นอกจากส่งแคมเปญมาสู้ศึกชนิดไม่มีใครยอมใครแล้ว ทั้งคู่ยังเผยผลสำรวจ Brand Health โดยเป๊ปซี่ นำผลสำรวจของ มิลวาร์ด บราวน์ (มกราคม-ธันวาคม 2559) ว่ามีคะแนนของแบรนด์เครื่องดื่มที่เติมความสดชื่นได้อย่างเต็มที่ 57% แบรนด์ที่ผู้บริโภครักและชื่นชอบ 58% และแบรนด์ที่มีความเป็นผู้นำเทรนด์ 70% แบรนด์เครื่องดื่มแรกที่ผู้บริโภคเรียกหา (Top of Mind) 57%

ในขณะที่เอสที่ผลสำรวจ Brand Health เดือนพฤศจิกายน 2559 แบรนด์สำหรับคนรุน่ใหม่ เพิ่มขึ้นจาก 55% เป็น 77% แบรนด์ที่ดูเท่ จาก 44% เป็น 68% แบรนด์สำหรับฉันจาก 41% เป็น 52%

อีกไม่นานก็รู้ ระหว่างแคมเปญมิวสิกมาร์เก็ตติ้ง ที่มีดารานักร้องวัยรุ่นไทยคนดัง บวกเทศกาลดนตรีของเป๊ปซี่ และบอยแบนด์ดังจากเกาหลี ที่มีชิงโชคเที่ยวและรถยาริสแบบวัยรุ่นชอบ อย่างไหนจะจุดติดและเพิ่มคะแนน Brand Health ได้มากกว่ากัน

]]>
1117872
ตลาดเครื่องดื่ม “ไฮบริด” มาแรง 3 ค่ายน้ำอัดลมปั้นแบรนด์ใหม่สู้ศึก https://positioningmag.com/1100154 Thu, 18 Aug 2016 02:30:57 +0000 http://positioningmag.com/?p=1100154 จับตา 3 ค่ายน้ำอัดลม ปั้นแบรนด์ใหม่ขยายพอร์ต จับตลาดเครื่องดื่มลูกผสม “ไฮบริด” เพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้บริโภคที่มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป และตอบรับกับเทรนด์กระแสสุขภาพ

แม้ตลาดน้ำอัดลมยังคงเป็นพอร์ตใหญ่ในตลาดเครื่องดื่มด้วยมูลค่าตลาด 50,000 ล้านบาท แต่อัตราการเติบโต 5-6% ไม่ได้หวือหวาอย่างเช่นเคย ด้วยปัจจัยภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย รวมทั้งเทรนด์การดูแลสุขภาพที่มาแรง

ทำให้ผู้เล่นในตลาดทั้ง 3 ราย ทั้งโค้ก, เป๊ปซี่ และเอส จึงต้องหาทางออก ปั้นสินค้าใหม่ให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด ในรูปแบบของเครื่องดื่มแบบ “ไฮบริด” เพื่อสร้างเซ็กเมนต์ใหม่ขึ้นมา สร้างสีสันในตลาด และเป็นทางเลือกในขณะที่ผู้บริโภคคำนึงเรื่องสุขภาพ

ทั้งโค้ก และเป๊ปซี่ ได้เปิดตลาดเครื่องดื่มลูกผสมเพื่อขยายพอร์ตเครื่องดื่มใหม่ โดยโค้กได้เปิดแบรนด์ “อควาเรียส” เป็นลูกผสมระหว่างตลาดน้ำดื่ม และตลาดเครื่องดื่มเกลือแร่ ส่วนเป๊ปซี่ ปั้นแบรนด์ “อควาฟิน่า วิตซ่า” เป็นสายผลิตภัณฑ์ภายใต้ “อควาฟิน่า” โดยเป็นลูกผสมระหว่างตลาดน้ำดื่มและตลาดน้ำอัดลม

ในขณะที่ “เอส” เลือกปักหลักอยู่ในตลาดน้ำอัดลมอยู่ เพราะยังถือว่าอยู่ในช่วงกำลังสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง จึงเลือกเติมรสชาติใหม่ให้พอร์ตน้ำอัดลมเช่นเดิม ด้วยการเพิ่มเติมรสชาติ “โคเรียน ออเร้นจ์ โคล่า” หรือ โคล่าส้ม

สาเหตุหลักที่โค้กและเป๊ปซี่เข้ามาแจมในตลาดน้ำดื่มไฮบริด เพราะมองว่ายังคงเป็นตลาดขนาดใหญ่ มูลค่ากว่า 31,000 ล้านบาท มีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 10% เนื่องจากเทรนด์การดูแลสุขภาพก็ยิ่งเสริมให้ตลาดเติบโตมากยิ่งขึ้น ประกอบกับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคนี้ต้องการเครื่องดื่มที่สดชื่น แต่ต้องเป็นมิตรต่อสุขภาพ จึงทำให้ตลาดเครื่องดื่มไฮบริดเป็นอีกทางเลือกใหม่ที่มีโอกาสทางการตลาดมาก

“โค้ก” ส่ง “อควาเรียส” เบียดตลาดน้ำดื่ม-เกลือแร่

โคคา โคลา นั้น นอกจากจะมุ่งเน้นกิจกรรมการตลาดที่เป็น “โกบอล แคมเปญ” เช่นในช่วงต้นปี ที่โค้กได้เปิดแคมเปญระดับโลก กับ “Taste the Feeling” หรือ ดื่มรสชาติของความรู้สึก เป็นการเป็น Tagline ของแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบ 7 ปี จากที่ได้ใช้แคมเปญ “Open Happiness” มายาวนาน

1_water_war

ปีที่ผ่านมา โค้กได้ออกสตาร์ทเข็นผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาด เพื่อขยายพอร์ตเครื่องดื่ม ภายใต้แบรนด์ “อควาเรียส (Aquarius)” โดยเป็นการเซ็กเมนต์ใหม่ เครื่องดื่มเติมความสดชื่น (Enhanced Hydration)” ซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างน้ำดื่มและเครื่องดื่มเกลือแร่ และได้ทำการปรับสูตรให้เข้ากับเมืองไทยด้วยการเพิ่ม “น้ำมะพร้าว” เข้าไป เพื่อให้เข้ากับกระแสความนิยมน้ำมะพร้าว ซึ่งมีเกลือแร่ธรรมชาติค่อนข้างสูง

อควาเรียส นั้นเป็น 1 ในอีก 500 แบรนด์ลูกภายใต้อณาจักรของโคคา โคลา มีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1983 ที่ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันมีจำหน่ายมากกว่า 26 ประเทศทั่วโลก เช่น สเปน, ญี่ปุ่น, อาร์เจนตินา, จีน, อินโดนีเซีย และเกาหลี เป็นต้น

ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนของไทย การทำตลาดในไทย โค้กจึงไม่ได้โฟกัสไปที่ตลาดเครื่องดื่มเกลือแร่ เพราะทำให้จำกัดอยู่แค่กลุ่มคนใช้แรงงาน หรือคนเล่นกีฬา แต่จะเน้นการทำตลาดมุ่งเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการความสดชื่น กลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่มีไลฟ์สไตล์แอ็กทีฟ สามารถดื่มได้ทั้งวันทั้งตอนทำงาน เดินทาง เล่นกีฬา หรือชอปปิ้ง สามารถให้ความสดชื่น หรือมีรสชาติมากกว่าน้ำดื่มธรรมดา แต่มีเกลือแร่เบากว่าเครื่องดื่มเกลือแร่

เป๊ปซี่โค ขยายพอร์ตสินค้า ส่ง “อควาฟิน่า วิตซ่า” บุกตลาดสปาร์คกลิ้ง

ในขณะค่ายน้ำอัดลมที่เป็นเบอร์ 2 อย่าง “เป๊ปซี่” หลังจากต้องพ่ายแพ้ให้กับโค้ก อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งสำคัญ ด้วยการบอกเลิกเสริมสุข หันมาผลิตและจัดจำหน่ายด้วยตัวเอง และมีภารกิจสำคัญ นั่นคือ การกลับมาทวงบัลลังก์แชมป์น้ำอัดลมจากโค้ก

ทำให้ในช่วงที่ผ่านมา เป๊ปซี่จึงค่อนข้างมีการเคลื่อนไหวในตลาดค่อนข้างต่อเนื่อง เพื่อแก้โจทย์สำคัญ กับในเรื่องของ “แพ็กเกจจิ้ง” เมื่อเป๊ปซี่ประกาศเลิกผลิต “ขวดแก้ว” หันมาผลิตแต่ขวด PET ทำให้ต้องเพิ่มความหลากหลายให้กับแพ็กไซส์ของแพ็กเกจจิ้ง เพื่อให้ตอบโจทย์พฤติกรรมในการดื่มของผู้บริโภคในทุกโอกาสของการดื่มให้ได้มากที่สุด

2_water_war

ขณะเดียวกัน เป๊ปซี่เองก็ไม่ปล่อยโอกาสหลุดลอยไปอยู่ในมือคู่แข่ง ปลายปี 2558 เป๊ปซี่ได้นำแบรนด์ “อควาฟิน่า” เข้ามาทำตลาดในไทย เพื่อขยายไปสู่พอร์ต “น้ำดื่ม” ที่เป๊ปซี่มองว่ายังมีโอกาสอีกมาก โดยเป็นพาร์ตเนอร์ร่วมกับน้ำดื่มสยามในการผลิตให้ ซึ่งปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาด 2-3%

ด้วยตัวแบรนด์อควาฟิน่าที่จัดว่าเป็น 1 ใน 22 แบรนด์ ในรดับแฟลกชิปของทางเป๊ปซี่โคที่มีมูลค่าแบรนด์มากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทั่วโลก และสามารถต่อยอดแบรนด์ไปได้อีก ทำให้ในปีนี้ เป๊ปซี่ ได้ขยายพอร์ตสินค้าในขื่อแบรนด์ อควาฟิน่า วิตซ่า ซึ่งเป็นซับแบรนด์ภายใต้อควาฟิน่า โดยวางจุดยืนเป็นเครื่องดื่มสปาร์คกลิ้งใสกลิ่นผลไม้ อยู่กึ่งกลางระหว่างน้ำดื่มและน้ำอัดลม จะมีความซ่าน้อยกว่าน้ำอัดลม 40% และหวานน้อยกว่า 30%

สมชัย เกตุชัยโกศล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า “ความท้าทายที่สุดของเราตอนนี้คือการพาเป๊ปซี่กลับมาเป็นผู้นำอีกครั้ง ในช่วงนี้จึงเน้นการขยายพอร์ตสินค้าให้กว้างขึ้น และพบว่าเทรนด์ตลาดโลกเครื่องดื่มไม่ได้โตจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นการเอาเครื่องดื่มกลุ่มต่างๆ มาผสมกันเป็นกลุ่มใหม่เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค”

ทางเป๊ปซี่ตั้งใจเปิดเซ็กเมนต์ใหม่พร้อมตั้งชื่อว่า Light Refreshment หรือเครื่องดื่มเติมความสดชื่นที่มีความเบากว่าน้ำอัดลม ซึ่งที่จริงแล้วก็อยู่ภายใต้เซ็กเมนต์ของเครื่องดื่มสปาร์คกลิ้ง แต่เป็นความตั้งใจของเป๊ปซี่โคที่อยากเปิดเซ็กเมนต์ใหม่เองมากกว่า

ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการแตกไลน์สินค้าในพอร์ตสำหรับแบรนด์อควาฟิน่าเช่นกัน ในแบรนด์ อควาฟิน่า สปาร์คกลิ้ง ไม่มีการผสมวิตามิน เท่ากับว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ 2 ที่มีการแตกไลน์สินค้าของแบรนด์นี้ เป็นการพัฒนาในประเทศไทยเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมคนไทยโดยเฉพาะ

ในการปั้นแบรนด์ครั้งนี้ได้ใช้งบการตลาดรวม 200 ล้านบาท ภายในครึ่งปีหลัง มีทั้งสื่อโฆษณาและสื่อออนไลน์ พร้อมทั้งดึง “เจมส์จิ” หรือ จิรายุ ตั้งศรีสุข เป็นพรีเซ็นเตอร์คนแรกของแบรนด์ เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่

“เอส”  ปั้นโคล่าส้ม ใช้พลังกิมจิดึง GOT7 พรีเซ็นเตอร์ มัดใจวัยรุ่น

ถึงแม้จะไม่ใช่การออกเครื่องดื่มแบบลูกผสมไฮบริดอย่าง 2 แบรนด์ใหญ่ เพราะเมื่อปี 2558 ทางเสริมสุขได้ออกสินค้าใหม่ที่เป็นไฮบริดระหว่างน้ำอัดลม และเครื่องดื่มเกลือแร่มาแล้วในแบรนด์ “100 พลัส” ที่ในตอนนี้ก็เป็นหนึ่งในแบรนด์หลักที่ทางเสริมสุขโฟกัสด้วยเช่นกัน

ในฐานะเบอร์ 3 ของตลาด เอสได้ทุ่มการตลาดอย่างหนักหน่วงมาตลอด เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้ และสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งมากขึ้น เพราะเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นแล้ว เอสเป็นน้องเล็กสุดในตลาด ทำให้ต้องใช้พลังเยอะพอสมควร

ในปีที่ผ่านจึงได้เห็นการเคลื่อนไหวของเอสทั้งการออกสินค้าใหม่ แคมเปญทั้งโปรโมชันชิงโชคในช่วงหน้าร้อนเพื่อกระตุ้นการซื้อของผู้บริโภค รวมถึงการใช้พรีเซ็นเตอร์ระดับตัวท็อปอย่าง “ณเดชน์ คูกิมิยะ” เพื่อสร้างการรับรู้ในระดับวงกว้าง และมีการจับกระแสกีฬาวอลเลย์บอลด้วยการนำนักกีฬาวอลเลย์บอลทีมชาติเป็นพรีเซ็นเตอร์ เปิดแคมเปญ “เอส เชียร์ไทยสุดซี้ด” ในการเชียร์สู้ศึก Volleyball World Grand Prix 2016

4_water_war

ขณะเดียวกัน เอส ก็ต้องออกแรงในการสร้างแบรนด์ เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคดื่มเป็นประจำ มากกว่าการทดลองดื่ม และมีการเปลี่ยนแท็กไลน์ของแบรนด์จากเดิมที่ใช้ “สุดขั้วในแบบคุณ” เป็น “ซ่าซี้ด สุดขั้ว” เพื่อบอกถึงตัวตนแบรนด์มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อต้องการเข้ากลุ่มเป้าหมายที่เป็น “คนรุ่นใหม่” ที่มีเปิดรับและทดลองแบรนด์ใหม่ได้มากกว่ากลุ่มอื่นๆ และหากมีกิจกรรมการทำตลาดที่สามารถสร้างแบรนด์ให้สะท้อนตัวตนของกลุ่มวัยรุ่น ก็จะได้การยอมรับได้มากกว่า และยังสร้างความแตกต่างไปจาก 2 โกบอลแบรนด์ที่มุ่งจับตลาดแมส

3_water_war

เมื่อเอสก็จับทางให้ตัวเองชัดเจนขึ้น และใช้ช่องว่างทางการตลาดในการวางกลยุทธ์ แนวคิดนี้จึงนำไปสู่การออกสินค้าใหม่ “โคล่ากลิ่นส้ม” ในแบรนด์ “เอส โคเรียน ออเร้นจ์ โคล่า” 

การที่เลือก “ส้ม” เพราะมอว่าผลไม้ที่คนไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดี และในต่างประเทศอย่างเยอรมันก็พบว่าโคล่ากลิ่นส้มประสบความสำเร็จเช่นกัน โดยเอสเลือกวางสินค้าในช่วงฤดูฝน ที่ถือเป็นช่วงโลว์ซีซันของตลาดเครื่องดื่ม เพื่อต้องการกระตุ้นตลาด และไม่มีคู่แข่งออกสินค้าในช่วงนี้ด้วย โดยใช้พลังของบอยแบนด์แดนกิมจิวง GOT7 ขึ้นแท่นแบรนด์แอมบาสเดอร์ล่าสุด เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นที่เป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญ และจัดเป็นเป็นแบรนด์น้ำดำแบรนด์แรกที่ใช้พรีเซ็นเตอร์เป็นศิลปินเกาหลี

6_water_war

วิเวก ซาห์บรา กรรการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยดริ้งค์ จำกัด มองว่า จากเอสผ่านการสร้างการรับรู้มาแล้ว เป็นเวลาที่ต้องสร้างแบรนด์เลิฟในกลุ่มคนรุ่นใหม่ และจากแคมเปญการตลาดที่ได้ทำมาอย่างต่อเนื่องพบว่า มีการเพิ่มอัตราการดื่มเอสเป็นประจำเพิ่มมากขึ้นจาก 39% เป็น 51%

ส่วนการขยายสู่น้ำแร่ หรือเครื่องดื่มที่เปิดเซ็กเมนต์ใหม่ๆ อย่างที่คู่แข่งทำนั้น วิเวกมองว่า ถึงแม้ตลาดน้ำแร่เติบโตสูงก็จริง แต่ยังเป็นฐานเล็กอยู่ แค่ 10% ของตลาดน้ำดื่มเท่านั้น ส่วนเครื่องดื่มที่เป็นเซ็กเมนต์ใหม่นั้น มองว่าเป็นตลาดที่เจาะกลุ่มเกินไป จึงยังไม่มีแผนทำตลาดในกลุ่มเหล่านี้

ทำให้ค่ายไทยดริ้งค์จึงมุ่งเน้นไปที่การทำตลาดน้ำดื่ม “คริสตัล” ของค่ายเสริมสุข บริษัทในเครือ เพราะมองว่าตลาดน้ำดื่มยังเติบโต 12% แต่การแข่งขันก็สูงตามไปด้วย ทำให้คริสตัลต้องออกแรงให้มากขึ้น ด้วยการอัดฉีดงบการตลาด 200ล้านบาท เพื่อส่งแคมเปญ “ไปไหนก็คริสตัล” โดยมี นาย ณภัทร เสียงสมบุญ เป็นพรีเซ็นเตอร์

นับเป็นอีกหนึ่งในความเคลื่อนไหวที่ต้องจับตา ในการชิงไหวชิงพริบของ 3ค่ายน้ำอัดลม กับ 3ยุทธศาสตร์ และเป้าหมายในการขยายพอร์ตสินค้าบนเส้นทางตลาดเครื่องดื่มอันยาวไกล

info_3brand

]]>
1100154