GoDaddy เป็นบริษัทให้บริการเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ มีธุรกิจหลัก 3 อย่างคือ รับจดโดเมนเนม, โฮสติ้ง และให้บริการออกแบบเว็บไซต์ด้วยตนเอง (DIY) และตัวแทนจำหน่ายแอปพลิเคชันเพื่อธุรกิจ เช่น Office365 ช่วงไตรมาส 3/2021 บริษัท GoDaddy มีรายได้ทั่วโลก 964 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 32,500 ล้านบาท) เติบโต 14% YoY
ตลาดหลักของบริษัทยังอยู่ในสหรัฐอเมริกา แต่เมื่อ 2-3 ปีก่อน บริษัทเริ่มขยายตัวออกสู่ตลาดต่างประเทศอย่างจริงจัง รวมถึงในไทยด้วย แต่ตลาดฝั่งเอเชียนั้นพฤติกรรมผู้บริโภคมีความแตกต่างจากตะวันตก
“สายทิพย์ (นิกกี้) เชวงทรัพย์” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ GoDaddy อัปเดตธุรกิจหลังเริ่มทำตลาดในไทยประมาณ 1 ปีกว่า มีธุรกิจไทยติดต่อเข้ามาพอสมควรจากหลากหลายธุรกิจ เช่น สินค้ารีเทล ร้านอาหาร บริษัททัวร์ บริษัทสถาปนิก ฯลฯ โดยบริษัทแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ที่มีความต้องการสร้างเว็บไซต์ของบริษัทด้วยจุดประสงค์ต่างกัน ดังนี้
จากการทำตลาดจะพบว่า พฤติกรรมคนเอเชียรวมถึงคนไทยจะสลับกับฝั่งตะวันตก กล่าวคือฝั่งตะวันตกเมื่อเริ่มทำธุรกิจ มักจะสร้างเว็บไซต์ของแบรนด์ขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงเปิดหน้าร้านบนโซเชียลมีเดีย แต่ฝั่งเอเชียจะนิยมเปิดร้านบนโซเชียลมีเดียก่อน จนติดตลาดแล้วจึงพิจารณาเรื่องการเปิดเว็บไซต์ ซึ่งทำให้ตลาดโตช้ากว่าในตะวันตก
อุปสรรคของธุรกิจรับออกแบบเว็บไซต์และจดโดเมน คือ SMEs ไทยจะไม่เห็นความจำเป็นในการเปิดเว็บไซต์ เพราะผู้บริโภคไทยเองก็เคยชินกับการ ‘ทักแชท’ ซื้อขายแบบโซเชียลคอมเมิร์ซ เป็นช่องทางที่สะดวกและตรงจริตคนไทยอยู่แล้ว นอกจากนี้ ยังมองว่าการเปิดเว็บไซต์นั้นยุ่งยาก ต้องมีความรู้เทคนิค และต้องลงทุนสูง
อย่างไรก็ตาม สายทิพย์ชี้ให้เห็นอีกมุมหนึ่งว่า การมีเว็บไซต์ส่วนตัวของแบรนด์มีข้อดีที่เหนือกว่าการฝากร้านไว้กับโซเชียลมีเดียเท่านั้น ดังนี้
ในแง่ของการลงทุน เป็นคำถามใหญ่ที่ผู้ประกอบการมักจะสอบถาม ซึ่งสายทิพย์ชี้ให้เห็นว่า การฝากร้านไว้บนโซเชียลมีเดียก็ไม่ได้เป็นการใช้ฟรีเสมอไป เพราะทุกร้านมีการลงทุนบูสต์โพสต์แต่เนื่องจากอาจจะจ่ายเป็นรายวัน ทำให้รู้สึกว่าลงทุนต่ำ แต่รวมแล้วจริงๆ แล้วมีค่าใช้จ่ายหลักพันต่อเดือน ส่วนการสร้างเว็บไซต์กับ GoDaddy สามารถเริ่มต้นด้วยแพ็กเกจ 250 บาทต่อเดือนได้ ไม่จำเป็นต้องลงเงินก้อนใหญ่แต่แรก
แม้จะเป็นการเปรียบเทียบกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ประกอบการควรเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ควรจะใช้ทั้งสองช่องทางควบคู่กัน โดยมีการศึกษาวิจัยในต่างประเทศพบว่าร้านค้าที่มีหน้าร้านทั้งเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียจะทำให้การมองเห็นของลูกค้าเพิ่มขึ้น และทำยอดขายเพิ่ม 20%
ด้านธุรกิจของ GoDaddy เอง ช่วงที่ผ่านมาได้ปรับตัวให้เข้ากับคนไทยมากขึ้น นั่นคือการตั้งทีมงานคนไทยเพิ่มเพื่อบริการให้คำปรึกษาและดูแลงาน จากที่ผ่านมาอาจจะมีคนไทยพูดไทยได้จำกัด ลูกค้าไม่สะดวกที่จะติดต่อกับพนักงานที่พูดภาษาอังกฤษ ทำให้ขณะนี้สายทิพย์มองว่า GoDaddy เป็นผู้เล่นระดับโลกรายเดียวในไทยที่มีทีมงานคนไทยพร้อมดูแล
ส่วนการพัฒนาในระยะต่อไป เล็งเห็นแล้วว่าโจทย์ของไทยคือการซื้อขายจะเคยชินกับการทักแชท รวมถึงช่องทางชำระเงินควรจะเพิ่มฟีเจอร์จ่ายผ่านอีวอลเล็ตด้วย ซึ่งทางบริษัทจะนำไปศึกษาเพิ่มเติมว่าจะแก้โจทย์เหล่านี้อย่างไร
สายทิพย์มองว่า โอกาสการเติบโตในไทยยังมีสูง เนื่องจากผลการศึกษาของ Google คาดว่าเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยจะเติบโต 17% ในช่วงปี 2564-68 และการระบาดของ COVID-19 เป็นปัจจัยส่ง ทำให้มีผู้บริโภคดิจิทัลเพิ่มขึ้นแล้ว 9 ล้านคน ร้านค้าต่างปรับตัวเข้าสู่อีคอมเมิร์ซกันมากขึ้นด้วยสถานการณ์บังคับ เป็นโอกาสอันดีของธุรกิจรับจดโดเมนและออกแบบเว็บไซต์
“การใช้เว็บไซต์ของบริษัทคู่กับโซเชียลมีเดียเพื่อส่งเสริมกันและกัน จะเป็นเทรนด์อนาคตของอีคอมเมิร์ซ” สายทิพย์กล่าว
]]>