HiPi – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 07 Aug 2020 15:53:47 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เปิดมหากาพย์บุญมีแต่กรรมบังของ ‘TikTok’ จากแอปฯ ดาวรุ่งพุ่งแรง สู่การถูกแบนในอินเดียและสหรัฐฯ https://positioningmag.com/1290788 Mon, 03 Aug 2020 09:54:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1290788 เปิดปี 2020 มาอย่างสวยงาม สำหรับ ‘TikTok’ แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นยอดนิยมของคนทั่วโลกที่มียอดดาวน์โหลดกว่า 2,000 ล้านครั้งใน 150 ประเทศทั่วโลก! แต่แล้วฝันก็สลายไปในพริบตา เมื่อประเทศอินเดียประกาศแบน และตอนนี้กำลังจะถูกแบนในสหรัฐฯ ด้วยข้อหา ‘ภัยคุกคามต่อความมั่นคง’ เลยกลายเป็นว่าแอปฯ ที่กำลังมาแรงกลับต้องถูกเบรกซะงั้น ดังนั้น Positioning จะพาไปย้อนไทม์ไลน์ของ TikTok ในปี 2020 ว่าเกิดอะไรขึ้นกันบ้าง

รู้จัก ‘TikTok’

TikTok เป็นแอปพลิเคชันสัญชาติจีน ก่อตั้งในปี 2012 โดย ByteDance โดยหลักการใช้ก็ง่าย ๆ คือ เป็นแอปฯ สร้างวิดีโอสั้นความยาว 15-60 วินาที โดยผู้ใช้สามารถสร้างสรรค์วิดีโอได้โดยการใส่เพลงและเล่นกับเอฟเฟกต์ต่าง ๆ บางคอนเทนต์ที่ทำออกมาโดนใจก็จะถูกแชร์จนเกิดเป็น ‘Viral’ ได้ง่าย ๆ อย่างเช่น เพลง ‘เจน นุ่น โบว์’ ของวง Super วาเลนไทน์ก็น่าจะเป็นหนึ่งในตัวอย่างชั้นดี

เมื่อส่วนผสมทั้งหมดถูกปั่นรวมกันอย่างลงตัว จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม TikTok ถึงได้เติบโตอย่างรวดเร็วขนาดนั้น โดยภายในเดือนมกราคมปี 2020 TikTok ก็สามารถทะยานเป็นแอปพลิเคชันที่มียอดดาวน์โหลดอันดับ 1 ของโลกด้วยยอด 104.7 ล้านครั้ง รวมยอดดาวน์โหลดกว่า 1,500 ล้านครั้ง ผู้ใช้งานกว่า 800 ล้านคนทั่วโลก และสามารถทะยานเป็น 2,000 ล้านครั้งในปัจจุบัน เติบโตถึง 2 เท่าจากปีที่แล้ว ซึ่ง ‘Covid-19’ ที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกต้องกักตัวอยู่แต่บ้าน ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ TikTok สามารถเติบโตได้เร็วขนาดนี้

ปัญหา ‘ความมั่นคง’ ข้อกล่าวหายอดนิยม

หากย้อนไปเมื่อช่วงกลางปี 2019 ‘หัวเว่ย’ (Huawei) ได้ถูกกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกาเพิ่มชื่อใน ‘Entity List’ หรือบัญชีดำการซื้อขาย ก็เพราะประเด็นด้านความมั่นคง เนื่องจากมีความกังวลว่ารัฐบาลจีนจะบังคับให้หัวเว่ยเปิดเผยข้อมูลของผู้ใช้งาน แม้หัวเว่ยจะปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ก็ตาม

จากนั้นปัญหาดังกล่าวก็ลามมาถึง TikTok โดยเริ่มจากช่วงต้นปีที่กองทัพสหรัฐฯ ได้ประกาศสั่งห้ามไม่ให้ทหารใช้เเอปฯ นี้ เพราะข้อหา ‘ภัยต่อความมั่นคง’ โดยระบุว่า TikTok ถูกจัดให้เป็นภัยคุกคามทางไซเบอร์ พร้อมมีคำสั่งห้ามทหารเรือทุกนายติดตั้งเเอปฯ TikTok ลงบนโทรศัพท์ที่ใช้งานราชการ อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวค่อนข้างเป็นเรื่องเฉพาะในกองทัพ เรื่องจึงเงียบไป

แต่แล้วในช่วงปลายเดือนมิถุนายน เกิดเหตุปะทะกันระหว่างทหารของอินเดียและจีนในบริเวณชายแดนจีน-อินเดีย ส่งผลให้มีทหารอินเดียเสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย จนเกิดกระแสการแบนสินค้า และบริการจีนในอินเดีย โดยเฉพาะสินค้าเทคโนโลยี จนในที่สุด รัฐบาลอินเดียได้แบนแอปพลิเคชันต่างชาติรวม 59 แอป โดยรัฐบาลอินเดียอ้างว่าอาจเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจอธิปไตยและบูรณภาพของชาติ ซึ่งหวยก็มาออกที่ TikTok ได้กลายเป็นหนึ่งในนั้น ถือเป็นการชัตดาวน์โอกาสทางธุรกิจในอินเดียไปโดยปริยาย

ยอม ‘ขาย’ หรือถูก ‘แบน’

หลังจากที่กองทัพได้แบน TikTok แล้ว ล่าสุดรัฐบาลสหรัฐฯ ก็สานต่อ โดยโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกา ประกาศว่าจะแบน TikTok ออกจากสหรัฐฯ เนื่องจากเจ้าหน้าที่และสมาชิกสภานิติบัญญัติสหรัฐฯ แสดงความกังวลว่าแพลตฟอร์ม TikTok อาจถูกปักกิ่งนำไปใช้เป็นเครื่องมือสำหรับหน่วยข่าวกรองของจีน พร้อมกับระบุว่า เขาจะสั่งดำเนินการทันที โดยใช้อำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉิน หรือคำสั่งบริหาร อย่างไรก็ตาม ารแบนจะไม่เกิดขึ้นหาก TikTok ไม่ใช่บริษัทจีน หรือแปลว่า ByteDance ต้องขาย TikTok ให้กับบริษัทสัญชาติอเมริกา

ขณะที่ด้านของ TikTok ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ โดย Hilary McQuaide โฆษกของ TikTok ยืนยันว่าข้อมูลผู้ใช้งานในสหรัฐฯ ทั้งหมดถูกจัดเก็บในสหรัฐฯ และสำรองข้อมูลไว้ที่ศูนย์ข้อมูลใหญ่ที่สิงคโปร์ ซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้กฎหมายและการควบคุมของรัฐบาลจีน เเละเป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลจีนจะเข้ามาเเทรกเเซงตามข้อกล่าวหา ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ระบุว่า ข้อกล่าวหาส่วนใหญ่เป็นเพียงทฤษฎีและไม่มีหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าข้อมูลผู้ใช้ของ TikTok นั้นถูกบุกรุกโดยหน่วยข่าวกรองของจีน

จับตา ‘เจ้าของใหม่’

อย่างไรก็ตาม จากปัญหาที่รุมเร้า ByteDance เองกำลังพิจารณาการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กร และมีรายงานว่าได้พิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการขายหุ้นใหญ่ใน TikTok โดยเปิดโอกาสที่จะเจราจากับหลายบริษัท แต่ Microsoft ยักษ์ใหญ่ไอทีสัญชาติอเมริกาก็ถือเป็นเต็ง 1 ในการครอบครอง TikTok โดยล่าสุด Microsoft ได้ออกแถลงการณ์ว่า การเจรจาเข้าซื้อจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 15 กันยายนนี้ และหากดีลสำเร็จ Microsoft จะเป็นเจ้าของและดำเนินการ TikTok ในสหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์

ทั้งนี้ TikTok ถูกประเมินมูลค่าอยู่ที่ 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท โดยมีผู้ใช้สหรัฐฯ มีผู้ใช้งานมากกว่า 80 ล้านคนต่อวัน และมียอดดาวน์โหลดมากกว่า 300 ล้านครั้งในสหรัฐฯ

แพลตฟอร์มใหม่รอเสียบเพียบ

แม้ว่าอนาคตในสหรัฐฯ จะยังไม่แน่นอน และสำหรับอินเดียนั้นถูกปิดไปเรียบร้อย แต่มรสุมของ TikTok ยังไม่หมด เพราะความ Hot ของแพลตฟอร์มได้ให้กำเนิดคู่แข่งรายใหม่จำนวนมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งระดับโลกและคู่แข่งในภูมิภาค อาทิ Sloy สัญชาติรัสเซีย, HiPi สัญชาติอินเดีย, Short จาก YouTube, Reels จาก Instagram และ Lasso จาก Facebook เรียกได้ว่ารอบด้านเลยทีเดียว

และต้องยอมรับว่าหาก TikTok ต้องเสียตลาดอินเดียและอเมริกาไปอย่างถาวร ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ เพราะแค่ตลาดอินเดียเอง TikTok มียอดดาวน์โหลดถึง 600 ล้านครั้ง ขณะที่ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในอินเดียยังมีเพียงครึ่งเดียวของจำนวนประชากรกว่า 1.3 พันล้านคน ซึ่งแปลว่าโอกาสยังมีอีกมาก และในสถานการณ์ที่มีคู่แข่งจำนวนมากรอเสียบอยู่แบบนี้ ดังนั้นการขาย TikTok ในเวลานี้อาจจะเป็นเรื่องดีก็เป็นได้

]]>
1290788
‘Instagram’ เตรียมส่ง ‘Reels’ ท้าชน ‘TikTok’ พร้อมเปิดทดลองใน ‘สหรัฐฯ-อินเดีย’ เป็นกลุ่มแรก https://positioningmag.com/1288355 Fri, 17 Jul 2020 11:40:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1288355 ถือว่าผลงานในครึ่งปีแรกกำลังไปได้สวยเลยสำหรับ ‘TikTok’ แอปวิดีโอสั้น ๆ สุดฮิตที่มีอัตราการเติบโตเร็วที่สุดในโลก ปัจจุบันมียอดดาวน์โหลดมากกว่า 2 พันล้านครั้ง เติบโตถึง 2 เท่าจากปีที่แล้ว และตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคมมีการดาวน์โหลด 315 ล้านครั้ง แต่เริ่มเข้าช่วงครึ่งปีหลัง TikTok ก็เริ่มเจอปัญหารุมเร้า โดยเฉพาะการโดนประเทศอินเดีย ‘แบน’

ล่าสุด NBC ได้รายงานว่า ‘Instagram’ เตรียมปล่อยฟีเจอร์ใหม่ที่ใช้ชื่อว่า ‘Reels’ ซึ่งฟีเจอร์ดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างคลิปวิดีโอสั้น ๆ ประมาณ 15 วินาที พร้อมใส่เสียงเพลงในวิดีโอ และมีเอฟเฟกต์อย่างการปรับความเร็วและการตัดต่อแบบง่าย ๆ ซึ่งแน่นอนว่าฟีเจอร์นี้ตั้งใจออกมาชนกับ ‘TikTok’ เต็ม ๆ แถม Instagram จะทดลองเปิดฟีเจอร์นี้ในตลาดสหรัฐฯ และอินเดียเป็นกลุ่มประเทศแรกอีกด้วย ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าอินเดียได้แบนแอป TikTok ไปแล้ว ส่วนสหรัฐฯกำลังพิจารณาที่จะเเบน TikTok เนื่องจากข้อกังวลด้านความมั่นคงเช่นกัน

“เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะเปิดตัวฟีเจอร์ Reels ในช่วงต้นเดือนสิงหาคมนี้ โดยจะเริ่มจากสหรัฐฯ ตามด้วยอินเดีย ซึ่งทั้งคู่เป็นตลาดที่ใหญ่ของ Facebook และจากนั้นจะปล่อยที่บราซิล ฝรั่งเศส และเยอรมนี”  โฆษกของ Facebook กล่าว

ตัวอย่างฟีเจอร์ Reels บน Instagram

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่ Reels ของ Instagram เท่านั้นที่ท้าชน TikTok แต่มี ‘HiPi’ แพลตฟอร์มโลคอลของอินเดีย และ Short ของ YouTube นอกจากนี้ยังมีแอปคล้าย ๆ กันอีกอย่าง Triller, Dubsmash, Likee และ Byte อีกด้วย

อ่าน >>> ก๊อป? ‘YouTube’ ซุ่มพัฒนาฟีเจอร์ ‘Shorts’ ท้าชน ‘TikTok’


Source

]]>
1288355
วิเคราะห์ ‘TikTok’ เจ็บแค่ไหนหากเสียตลาด ‘อินเดีย’ ไปอย่างถาวร https://positioningmag.com/1286626 Mon, 06 Jul 2020 06:28:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1286626 ‘TikTok’ หนึ่งในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ปัจจุบันมียอดดาวน์โหลดมากกว่า 2 พันล้านครั้ง เติบโตถึง 2 เท่าจากปีที่แล้ว และตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคมมีการดาวน์โหลด 315 ล้านครั้ง และจากยอดดาวน์โหลดทั้งหมดนี้ มาจากยอดของ อินเดีย ประเทศเดียวถึงกว่า 660 ล้านครั้ง!

ความพยายามของ TikTok ในการครองตลาดอินเดียเริ่มมีอุปสรรคใหญ่ขวางทาง หลังจากที่รัฐบาลอินเดียประกาศแบนแอปพลิเคชันต่างชาติรวม 59 แอป โดยอ้างว่าอาจเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจอธิปไตยและบูรณภาพของชาติ และหนึ่งในนั้นคือแอป TikTok

TikTok เปิดตัวในอินเดียตั้งแต่ปี 2560 ปัจจุบันมียอดดาวน์โหลดรวมกว่า 660 ล้านครั้ง ตามรายงานของ Sensor Tower ขณะที่อินเดียมีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของโลก หรือประมาณ 1.3 พันล้านคน ขณะที่ประชากรอีกประมาณ 600 ล้านคนยังไม่เข้าถึงอินเทอร์เน็ต เฉพาะแค่ครึ่งปีหลังนี้ TikTok อาจ “พลาดยอดดาวน์โหลดถึง 100 – 150 ล้านครั้ง” แรนดี้ เนลสัน นักวิเคราะห์จาก Sensor Tower กล่าว

“มีผู้บริโภคชาวอินเดียเพียงประมาณ 50% ที่เข้าถึงออนไลน์ ดังนั้นตลาดของอินเดียจึงมีศักยภาพในการเติบโตสูง และตอนนี้ดูเหมือนว่าโอกาสที่ TikTok จะสร้างการเติบโตถูกตัดออกไปและไม่น่าเป็นไปได้ที่รัฐบาลอินเดียจะกลับลำกลับมาเลิกแบน”

แน่นอนว่าการแบนทำให้บริษัท ByteDance ที่เป็นบริษัทแม่ของ TikTok ต้องสูญเสียรายได้จากการโฆษณาจำนวนมาก นอกจาก TikTok แล้วการปราบปรามยังรวมถึง Helo ซึ่งเป็นแอปที่เริ่มต้นในปักกิ่งและพึ่งเปิดตัวในอินเดีย นั่นหมายความว่า ByteDance จะไม่ได้รับส่วนแบ่งของตลาดโฆษณาดิจิทัลที่กำลังเฟื่องฟูของประเทศอินเดีย โดยคาดว่าปีนี้อาจเติบโตถึง 26% หรือเกือบ 3.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ทั้งนี้ ByteDance ได้คาดการณ์รายได้โฆษณากว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐจากอินเดียในปีนี้ซึ่ง โดยรายได้ส่วนใหญ่เกิดจาก TikTok และตามประมาณการจากบริษัท R3 คาดว่า TikTok มีรายได้ถึง 280 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสสุดท้ายของปี 2562

และเมื่อดูเฉพาะรายได้ในแอป มีผู้ใช้เงินใน TikTok ประมาณ 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐจนถึงปัจจุบันหรือน้อยกว่า 1% ของยอดรวมทั้งหมดของ TikTok ตามรายงานของ Nelson แต่การเติบโตนั้นสูงมาก โดยในไตรมาส 2 ของปีนี้ผู้ใช้ชาวอินเดียใช้เงินจำนวน 520,000 เหรียญสหรัฐใน TikTok เพิ่มขึ้น 277% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

“มันเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับ ByteDance เนื่องจากพวกเขาเติบโตขึ้น 50% ปีต่อปีในอินเดีย” Greg Paull นักวิเคราะห์จากบริษัทที่ปรึกษา R3 กล่าว

อย่างไรก็ตาม รายได้จากอินเดียถือเป็นส่วนเล็ก ๆ ของรายได้จากการโฆษณาทั้งหมดของ ByteDance ซึ่ง R3 ประมาณการไว้ที่ประมาณ 19.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2562 แต่การสูญเสียตลาดอินเดีย อาจส่งผลกระทบต่อแบรนด์ของ TikTok

“ในการต่อสู้เพื่อครองโลก การแบนของอินเดียจะไม่ทำร้ายพวกเขาในแง่ของรายได้มากเท่ากับโปรไฟล์”

แม้ยังไม่ชัดเจนว่าการแบนจะมีผลเมื่อใดและนานแค่ไหน แต่ TikTok ถูกลบออกจาก Google Play Store และหยุดทำงานสำหรับผู้ที่ติดตั้งแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อบ่งชี้ว่ารัฐบาลมีแผนที่จะกวาดล้างมากขึ้น เช่น การขอให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมปิดกั้นการรับส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับแอปต่าง ๆ ที่โดนแบน

ดังนั้น ต้องดูกันไปยาว ๆ ว่าการขัดแย้งระหว่างจีนกับอินเดียจะจบอย่างไร และเมื่อจบแล้ว TikTok หรือแอปอื่น ๆ ของจีนจะกลับมาให้บริการได้หรือไม่ และหากกลับมาให้บริการได้จริง ผู้ใช้จะยังใช้หรือเปล่า                      เพราะในระหว่างที่แอปต่าง ๆ หายไป ผู้เล่นในประเทศอินเดียก็ใช้โอกาสเหล่านี้พัฒนาแพลตฟอร์มมาทดแทนเรียบร้อยแล้ว

อ่าน >>> ‘อินเดีย’ เปิดตัวแอป ‘HiPi’ เสียบแทน ‘TikTok’ หลังโดนรัฐบาลแบนแอป-สินค้าจีน

Source

]]>
1286626
‘อินเดีย’ เปิดตัวแอป ‘HiPi’ เสียบแทน ‘TikTok’ หลังโดนรัฐบาลแบนแอป-สินค้าจีน https://positioningmag.com/1286134 Thu, 02 Jul 2020 07:05:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1286134 หลังจากเกิดเหตุปะทะกันระหว่างทหารของอินเดีย และจีนในบริเวณชายแดนจีน-อินเดีย ส่งผลให้มีทหารอินเดียเสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย และเกิดกระแสการแบนสินค้า และบริการจีนในอินเดีย โดยเฉพาะสินค้าเทคโนโลยีของจีน จนล่าสุด รัฐบาลอินเดียได้แบนแอปพลิเคชันต่างชาติรวม 59 แอป โดยอ้างว่าอาจเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจอธิปไตยและบูรณภาพของชาติ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือแอป ‘TikTok’

หลังจากการแบน TikTok ถูกลบออกจาก Google Play Store และหยุดทำงานสำหรับผู้ที่ติดตั้งแล้ว ล่าสุด Kevin Mayer CEO ของ TikTok ที่พึ่งรับตำแหน่งหมาด ๆ ก็ได้ส่งข้อความให้กับพนักงานของบริษัทในอินเดียว่า

“ท่ามกลางการแบนแอปพลิเคชันจากจีนที่ทำให้ TikTok ต้องหยุดให้บริการ ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่โชคร้ายในอินเดีย อย่างไรก็ตาม ความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน TikTok ถือเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดสำหรับบริษัท และเพื่อแก้ไขข้อกังวล TikTok ยังคงปฏิบัติตามข้อกำหนดความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลทั้งหมดภายใต้กฎหมายของอินเดียและให้ความสำคัญสูงสุดกับความเป็นส่วนตัวและความสมบูรณ์ของผู้ใช้”

ทั้งนี้ TikTok ให้แพลตฟอร์มแก่ผู้ใช้งานกว่า 200 ล้านคนในอินเดีย และมีพนักงานกว่า 2,000 คน

Kevin Mayer CEO TikTok

และหลังจากที่ TikTok โดนแบน บริษัท Zee Entertainment Enterprises เจ้าของแพลตฟอร์ม ‘ZEE5’ ที่ให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่งสัญชาติอินเดียก็ได้เปิดตัวแอปพลิเคชันใหม่ ‘HiPi’ ที่เป็นแพลตฟอร์มวิดีโอสั้น ๆ เพื่อเข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่ TikTok หายไป โดยแพลตฟอร์มใหม่นี้ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น การพึ่งพาตนเองในอินเดีย

แม้ว่ายังไม่มีการแชร์รายละเอียดของแอปใหม่อย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าจะมีการเปิดตัวก่อนวันที่ 15 กรกฎาคม และสิ่งหนึ่งที่แตกต่างจาก TikTok คือ จะต้องมีการลงทะเบียนเพื่อให้ผู้ใช้สามารถดูและแชร์วิดีโอได้ ในขณะที่ TikTok อนุญาตให้ผู้ใช้ดูเนื้อหาที่อัปโหลดและค้นหาวิดีโอใหม่โดยไม่ต้องลงทะเบียนหรือลงชื่อเข้าใช้ก่อน

Source

]]>
1286134