องค์กรแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ระบุว่า 5 ประเทศดังกล่าวคือ ไทย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม บรูไน และมองโกเลีย มีแรงงานภาคท่องเที่ยวตกงานรวมกันถึง 1.6 ล้านตำแหน่ง
ขณะที่องค์การสหประชาติ (UN) ระบุว่า ใน 5 ประเทศนี้ แรงงานภาคท่องเที่ยวที่ตกงานจะคิดเป็นถึง 1 ใน 3 ของแรงงานตกงานทุกภาคธุรกิจรวมกัน สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจท่องเที่ยวเป็นส่วนสำคัญของประเทศเหล่านี้ และได้รับผลกระทบมากเมื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไม่ได้
รายงานของ UN ยังระบุด้วยว่า แรงงานที่เกี่ยวกับภาคท่องเที่ยวเผชิญการตกงานมากกว่าแรงงานธุรกิจอื่นถึง 4 เท่า และผู้หญิงมักจะมีโอกาสตกงานมากกว่าผู้ชาย
ชิโฮะโกะ อาซาดะ-มิยาวากะ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ ILO กล่าวว่า ผลกระทบจาก COVID-19 ต่อภาคท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้ “ไม่สามารถใช้คำใดที่น้อยกว่าคำว่าหายนะได้”
“แม้ประเทศในภูมิภาคนี้จะเร่งฉีดวัคซีนและออกแบบกลยุทธ์เพื่อทยอยเปิดพรมแดน แต่ชั่วโมงทำงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวก็น่าจะยังต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโรคระบาดต่อไปในปีหน้า” อาซาดา-มิยาวากะกล่าว
ใน 5 ประเทศดังกล่าว บรูไนได้รับผลกระทบมากที่สุดในแง่จำนวนคนทำงานภาคท่องเที่ยวซึ่งลดลงถึง 40% แต่ถ้าวัดที่ชั่วโมงทำงาน ฟิลิปปินส์จะกระทบหนักที่สุด ชั่วโมงทำงานของแรงงานลดลงไป 38% ขณะที่เวียดนามกระทบด้านค่าจ้างแรงงานสูงสุด โดยลดลงเฉลี่ย 18%
ส่วนประเทศไทยนั้น ภาคท่องเที่ยวคิดเป็นสัดส่วน 20% ของจีดีพีประเทศก่อนเกิดโรคระบาด ช่วงที่ผ่านมาเมื่อธุรกิจซบเซา ทำให้ค่าจ้างลดลงเฉลี่ย 9.5%
เอเชียยังฟื้นตัวช้ากว่าภูมิภาคฝั่งตะวันตกด้วย โดยข้อมูลจาก Capital Economics ระบุ เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวขาเข้าของประเทศแถบเอเชียส่วนใหญ่ยังลดลง 99% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโรคระบาด ขณะที่เม็กซิโกลดลงไปแค่ 20% และยุโรปใต้ลดลง 65%
World Economic Forum ระบุข้อมูลปี 2019 ว่า ปีนั้นมีนักท่องเที่ยวมาเยือนเอเชียแปซิฟิก 291 ล้านคน ซึ่งสร้างเศรษฐกิจให้ภูมิภาคนี้ประมาณ 8.75 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
ซาร่า เอลเดอร์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก ILO กล่าวว่า การฟื้นตัวอย่างช้าๆ ในอนาคตอันใกล้ จะบังคับให้ประเทศที่พึ่งพิงการท่องเที่ยวต้องกระจายความหลากหลายในเชิงเศรษฐกิจ
“การฟื้นตัวต้องใช้เวลาและจะมีผลกระทบกับแรงงาน รวมถึงบริษัทต่างๆ ในธุรกิจท่องเที่ยวจะยังต้องการความช่วยเหลือเพื่อชดเชยรายได้ที่หายไป” เอลเดอร์กล่าว “รัฐบาลแต่ละประเทศควรจะยังมีนโยบายช่วยเหลือต่อไป ระหว่างที่มีการปูพรมฉีดวัคซีนให้กับประชากรรวมถึงแรงงานข้ามชาติด้วย”
]]>รายงานขององค์การแรงงานสากล (ILO) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน 13.6% ของประชากรหนุ่มสาวทั่วโลก 267 ล้านคน ยังคงไม่มีงานทำหรือไม่ได้รับการฝึกงานภายในสิ้นปีนี้ อีกทั้งคนรุ่นใหม่ยังเสี่ยงถูกเลิกจ้างเร็วกว่าและมากกว่ากลุ่มคนอายุอื่น ๆ ในสังคมด้วย ซึ่งผลกระทบจาก COVID-19 ครั้งนี้รุนเเรงกว่าที่เคยเกิดขึ้นเมื่อคราววิกฤตทางการเงิน เมื่อปี 2008
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ผู้หญิงรุ่นใหม่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่ตกงานจากวิกฤต COVID-19 มากกว่าผู้ชาย รวมไปถึงคนรุ่นใหม่เหล่านี้ อาจถูกกีดกันออกจากตลาดเเรงงานในระยะยาว เพราะขาดการอบรมทักษะเเละไม่ได้ฝึกงานในองค์กรช่วงโรคระบาด ส่งผลให้หางานยากขึ้นเเละอาจจะได้งานที่ค่าจ้างต่ำ
Guy Ryder ผู้อำนวยการ ILO มองว่า สิ่งเหล่านี้จะกระทบต่อวิถีการทำงานของพวกเขาไปตลอดชีวิตเเละจะเป็นบาดเเผลในจิตใจ เเม้จะผ่านพ้นการเเพร่ระบาดไปแล้วก็ตาม พร้อมเตือนว่าการกีดกันคนรุ่นใหม่ที่ขาดโอกาสฝึกงานช่วงนี้ จะทำให้การฟื้นฟูเศรษฐกิจหลัง COVID-19 ยากลำบากขึ้น
“มีหลักฐานบ่งชี้ว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของคนหนุ่มสาวทั่วโลก มีความเสี่ยงต่ออาการวิตกกังวลหรือซึมเศร้า จากภาวะการระบาดใหญ่ครั้งนี้”
ILO ระบุว่า ความเครียดจากการเเพร่ระบาด การสูญเสียโอกาสในการทำงาน มีแนวโน้มจะกระตุ้นให้ผู้คนประสบปัญหาด้านสุขภาพจิตมากขึ้น จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลในประเทศต่าง ๆ ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือคนหนุ่มสาวที่ตกงาน ทั้งทางด้านการศึกษา การฝึกงาน และสภาพจิตใจ
สำหรับสถานการณ์ตลาดเเรงงานในไทย KKP Research ประเมินว่าช่วงกลางปีนี้จะมี “นักศึกษาจบใหม่” ในไทย พร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานราว 3.4 เเสนคน เเต่ต้องประสบปัญหาใหญ่จาก COVID-19 ทำให้นักศึกษาจบใหม่จำนวนมากอาจจำเป็นต้องเลือกทำงานที่ต่ำกว่าทักษะหรือระดับการศึกษา ไม่ตรงกับสายงาน หรือตัดสินใจยังไม่เข้าสู่ตลาดแรงงาน
โดยมีเพียง 1 ใน 3 ของนักศึกษาจบใหม่กลุ่มนี้เท่านั้น ที่สามารถหางานที่เหมาะสมกับระดับทักษะได้ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เรียนด้านวิชาชีพเฉพาะหรือด้านเทคโนโลยีที่ยังจำเป็นในภาคธุรกิจ ขณะเดียวกันความไม่พร้อมของการเรียนการสอนเเละขาดการเสริมทักษะการทำงานให้คนรุ่นใหม่ ก็เป็นการเสียโอกาสในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเช่นกัน
ที่มา : VOA , KKP Research
]]>