JWD Group – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 30 Aug 2021 15:27:27 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ออริจิ้น-JWD ร่วมทุนพา “แอลฟา” ตีตลาดคลังสินค้า-โลจิสติกส์ 1 ล้านตร.ม. ภายในปี 2568 https://positioningmag.com/1349214 Mon, 30 Aug 2021 08:46:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1349214 “ออริจิ้น” และ “JWD” เปิดตัวบริษัทร่วมทุน “แอลฟา” มุ่งเป้าตีตลาด “อสังหาฯ เพื่อการอุตสาหกรรม” เช่น คลังสินค้า โลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม วางแผนภายในปี 2568 ขยายพื้นที่แตะ 1 ล้านตร.ม. ขึ้นเป็น Top 3 ของวงการ พร้อมต่อยอดฐานลูกค้าในเครือออริจิ้นกว่า 100 โครงการ สร้างระบบ “Self-Storage” ในเมือง ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่หันมาขายออนไลน์สูงขึ้น

หลังประกาศความร่วมมือกันไปตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 ระหว่าง บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI และ บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ในที่สุดทั้งคู่ได้ฤกษ์เปิดตัวบริษัทร่วมทุนในนาม “บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด” หรือ ALPHA โดยเป็นการร่วมทุนฝั่งละ 50%

เป้าหมายของแอลฟา ต้องการลงทุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม (Industrial Property) เป็นหลัก เช่น คลังสินค้า โลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม สวนอุตสาหกรรม โดยใช้ความเชี่ยวชาญของทั้งสองฝ่ายเป็นฐานการขยายตัว

(จากซ้าย) “ปธาน สมบูรณสิน” กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชัน จำกัด, “พีระพงศ์ จรูญเอก” ซีอีโอ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และ “ชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน)

ฝั่ง JWD เป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดโลจิสติกส์มากว่า 40 ปี มีพื้นที่คลังสินค้าในมือ 1.8 ล้านตร.ม. ชำนาญพิเศษด้านคลังสินค้าเคมีภัณฑ์-วัตถุอันตรายและด้านห้องเย็น รวมถึงมีฐานการลงทุนร่วมกับพันธมิตรในเวียดนาม กัมพูชา และอินโดนีเซียอยู่ในขณะนี้ ขณะที่ออริจิ้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนที่ดินและการก่อสร้าง จึงเลือกจะจับมือกันเป็นบริษัทแอลฟา ขยายธุรกิจตอบรับตลาดอี-คอมเมิร์ซที่กำลังมาแรง

 

ตีตลาด B2B ควบ B2C

“ชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWD กางแผนและทิศทางบริษัทแอลฟาว่า จะทำตลาดแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

  1. กลุ่มอสังหาฯ อุตสาหกรรม (Industrial Property) – จับตลาดธุรกิจดาวรุ่งและที่บริษัทเชี่ยวชาญอยู่แล้ว เช่น ห้องเย็น, e-Commerce Fulfillment, ศูนย์คัดแยกพัสดุ Last-Mile, สินค้าเคมีภัณฑ์และวัตถุอันตราย, ดาต้า เซ็นเตอร์ และธุรกิจยานยนต์ใหม่ (รถอีวี)
  2. กลุ่มอสังหาฯ ในเมือง (Urbanized Property) – ธุรกิจในระบบโลจิสติกส์ที่เหมาะกับชีวิตคนเมือง เช่น Self-Storage, Micro Fulfillment และ e-Commerce Pick up & Drop off
  3. กลุ่มบริการในนิคมอุตสาหกรรม (Property Services) – ต่อยอดจากการให้บริการด้านคลังสินค้าและนิคม จะมีรายได้การให้บริการสาธารณูปโภค พลังงาน และบำบัดน้ำเสีย

แอลฟา

ทั้งนี้ จะเน้นหนักที่กลุ่มอุตสาหกรรม 70-80% เสริมด้วยอสังหาฯ ในเมือง 20-30% ขณะที่รายได้การบริการจะเพิ่มเติมมาในภายหลัง เห็นได้ว่าแอลฟาจะมีความต่างจากบริษัทอสังหาฯ อุตสาหกรรมในตลาดคือมีทั้งขาฝั่ง B2B และฝั่ง B2C

ชวนินทร์ปักหมุดการเติบโตของบริษัท เป้าปี 2566 จะเริ่มขายอสังหาฯ ในมือเข้ากองรีท และปี 2568 คาดว่าจะมีพื้นที่บริการครบ 1 ล้านตร.ม. มูลค่าตลาด 12,000 ล้านบาท พร้อมเข้าเปิด IPO

 

ลงทุนเองผสมล่าซื้อกิจการ

จะไปให้ถึงเป้าหมายอย่างไรนั้น “ปธาน สมบูรณสิน” กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชัน จำกัด กล่าวว่า บริษัทแบ่งการเติบโตเป็น 2 ทาง คือ 60% มาจากการลงทุนก่อสร้างเอง และ 40% เข้าซื้อกิจการ โดยคาดว่าจะเพิ่มพื้นที่ได้เฉลี่ยปีละ 2 แสนตร.ม.

ทำเลที่บริษัทสนใจทั้งก่อสร้างเองและซื้อกิจการ แบ่งเป็น 4 ส่วน ดังนี้

  1. แหล่งอุตสาหกรรม ได้แก่ บางนา, แหลมฉบัง-ระยอง (EEC), วังน้อย
  2. หัวเมืองในภูมิภาค ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ภาคใต้, ภาคเหนือ
  3. พื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจในเมือง (CBD) เช่น กรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ในอนาคต
  4. ต่างประเทศ ได้แก่ เวียดนาม โซนท่าเรือไฮฟงและโฮจิมินห์, อินโดนีเซีย โซนท่าเรือใกล้จาการ์ตาและอุตสาหกรรมเคมีโซนสุราบายา, กัมพูชา โซนนิคมอุตสาหกรรมพนมเปญและโซนการค้าใกล้ชายแดนไทย

แอลฟา

ปัจจุบันแอลฟาเริ่มการลงทุนโครงการแรกแล้วที่ “บางนา กม.22” เป็นคลังสินค้าห้องเย็นพื้นที่ 20,000 ตร.ม. ลงระบบออโตเมชันทั้งหมด ใช้งบลงทุนกว่า 400 ล้านบาท โดยมีลูกค้ารองรับแล้วเพื่อก่อสร้างแบบ built-to-suit คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ประมาณไตรมาส 2-3/65

นอกจากนี้ มีที่ดินรองรับพร้อมเริ่มก่อสร้างในปีนี้อีก 2 แห่ง คือ บริเวณ บางพลี-บางนา จะเป็นคลังสินค้าผสมทั้ง built-to-suit และ ready-built พื้นที่ 70,000-80,000 ตร.ม. (แบ่งเฟสพัฒนา) คาดเริ่มรับรู้รายได้ไตรมาส 2/65 อีกแห่งหนึ่งอยู่ในโซน ปทุมธานี-วังน้อย ซึ่งจะเปิดเผยรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง

 

ทุนตั้งต้น 2,300 ล้าน ใช้ระบบ “กองรีท” ต่อทุน

ด้าน “พีระพงศ์ จรูญเอก” ซีอีโอ ORI อธิบายด้านการเงินว่า ขณะนี้บริษัทมีทุนจดทะเบียนแล้ว 235 ล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มทุนไปถึง 500 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ โดยทั้งสองผู้ร่วมทุนมีแผนเบื้องต้นจะใช้เม็ดเงินลงทุนรวม 2,300 ล้านบาทภายใน 3 ปีแรก ก่อนที่จะเริ่มขายสินทรัพย์เข้ากองรีทเป็นครั้งแรกประมาณ 1 แสนตร.ม. ซึ่งจะทำให้แอลฟามีเงินทุนหมุนเวียนในการลงทุนเพิ่ม ต่อด้วยการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2568 ตามแผน

สำหรับการรับรู้รายได้เข้าออริจิ้น พีระพงศ์คาดว่าในปี 2568 รายได้จากแอลฟาน่าจะคิดเป็นสัดส่วน 5-15% ของเครือ

แอลฟา บางนา กม.22
โครงการแรกของแอลฟา คลังสินค้าห้องเย็นตั้งอยู่บริเวณบางนา กม.22

 

หวังขึ้น Top 3 วงการ อี-คอมเมิร์ซดันการเติบโต

พีระพงศ์ยังกล่าวด้วยว่า จากเป้าหมายพื้นที่ 1 ล้านตร.ม. จะทำให้บริษัทติด 1 ใน 3 บริษัทด้านอสังหาฯ อุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของไทย โดยตลาดนี้อยู่ในช่วงขาขึ้น

ชวนินทร์อธิบายเพิ่มเติมว่า ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซเกิด “COVID-Drive” ในปีที่ผ่านมา การเติบโตมหาศาลทำให้ธุรกิจโลจิสติกส์และคลังสินค้าได้ประโยชน์สูง นอกจากในเขตอุตสาหกรรมอย่าง ถ.บางนาจนถึง EEC อนาคตการลงทุนที่น่าสนใจต่อจากนี้คือจังหวัดหัวเมืองในภูมิภาค ซึ่งหลายจังหวัดกำลังแข่งขันเพื่อเป็นฮับกระจายสินค้า และแอลฟาจะเร่งเข้าไปจับโอกาสส่วนนี้

  • 10 เรื่องน่ารู้ “ไปรษณีย์ไทย-JWD-Flash” ร่วมทุนปั้น FUZE POST บุกตลาดส่งควบคุมอุณหภูมิ
  • FoodStory รับเงินลงทุน Series B รุกคืบวงการ “ร้านอาหาร” จากระบบ POS สู่การจัดส่งวัตถุดิบ

มิติใหม่ “รายย่อย” หาที่เก็บสินค้าในเมือง

ด้านธุรกิจโลจิสติกส์ในเมือง แม้มูลค่าไม่สูงเท่าอุตสาหกรรม แต่เป็นตลาดที่น่าสนใจ โดยพีระพงศ์เล่าจากประสบการณ์กับลูกค้าออริจิ้นที่มีกว่า 100 โครงการ พบว่าคนรุ่นใหม่ในเมืองค้าออนไลน์มากขึ้น ตั้งแต่ผู้ค้าเป็นอาชีพเสริมจนถึงระดับ SMEs ทำให้เห็นโอกาสที่จะทำระบบห้องเก็บของหรือ “Self-Storage” และ Micro fulfillment จนถึงระบบตู้รับ-ส่งพัสดุในโครงการ ไว้รองรับคนกลุ่มนี้

Self Storage

นอกจากจะจับตลาดที่กำลังมีความต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ ยังเป็นการเติบโตไปพร้อมกับลูกค้าด้วย หากวันหนึ่งลูกค้าเติบโตจากระดับ SMEs ไปเป็นบริษัทขนาดใหญ่ แอลฟาจะมีความสัมพันธ์ที่ดีในการดึงลูกค้ามาใช้ระบบคลังสินค้าต่อได้

]]>
1349214
10 เรื่องน่ารู้ “ไปรษณีย์ไทย-JWD-Flash” ร่วมทุนปั้น FUZE POST บุกตลาดส่งควบคุมอุณหภูมิ https://positioningmag.com/1348344 Tue, 24 Aug 2021 08:34:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1348344 บิ๊กดีลในตลาดขนส่ง เมื่อ 3 ผู้เล่นใหญ่อย่างไปรษณีย์ไทย, JWD และ Flash Express ได้ร่วมลงขัน เปิดบริษัทร่วมทุนธุรกิจขนส่งควบคุมอุณหภูมิ FUZE POST ดีเดย์เปิดให้บริการ 1 ก.ย. นี้ ตอนนี้เซ็น MOU แล้ว รอจัดตั้งบริษัทภายหลัง

1.ร่วมทุนโดย 3 บิ๊กเนม

FUZE POST (ฟิ้วซ์ โพสต์) ก่อตั้งโดย 3 ผู้ลงทุนใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด บริษัทขนส่งสัญชาติไทย ที่ทำตลาดมายาวนาน 138 ปี, บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD บริการโลจิสติกส์ และซัพพลายเชนแบบครบวงจร และบริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด บริษัทขนส่งเอกชนรายแรกที่เป็นยูนิคอร์น

ทั้ง 3 บริษัทได้ใช้โมเดลร่วมทุน หรือ Joint Venture สัดส่วนการลงทุนคาดว่าจะใกล้เคียงกัน แต่ยังไม่เปิดเผยงบลงทุน หรือทุนจดทะเบียน กำลังอยู่ในช่วงพิจารณาอยู่

2. บุกตลาดส่งเย็น รับตลาดของสดออนไลน์บูม

ปัจจุบันตลาด Cold Chain Logistics หรือขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ มีมูลค่าตลาดราว 34,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตราว 8-10% คิดเป็นสัดส่วน 5% ของตลาดโลจิสติกส์ทั้งหมด ในระยะเวลาอีก 3-5 ปี มีปัจจัยขับเคลื่อนหลักจากการขยายตัวของกลุ่มธุรกิจอาหาร และเครื่องดื่ม

ยิ่งในช่วงล็อกดาวน์จากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ทำให้ร้านอาหาร ตลาด ร้านขนมต่างๆ ไม่สามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ จึงมีการขายออนไลน์มากขึ้น ทำให้มีการใช้บริการขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิมากขึ้นเช่นกัน เพื่อรักษาคุณภาพสินค้าให้สดใหม่จนถึงปลายทาง

รวมทั้งการขนส่งยา และเวชภัณฑ์ ด้วยเช่นกัน ซึ่งจะกลายเป็นเทรนด์ใหญ่ในอนาคตด้วย

3. ตลาดนี้ไม่มีเจ้าตลาดชัดเจน

ตลาดขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ จะเป็นการส่งของแบบแช่เย็น ส่วนใหญ่จะแบ่งเป็นแบบแช่แข็งสำหรับอาหารสด และแช่เย็นสำหรับอาหาร หรือขนมทั่วไป ตลาดนี้มีผู้เล่นไม่เยอะมาก หลักๆ มีอยู่ 5 ราย ได้แก่ SCG Express, FedEx, Inter Express, Sicha group และ JWD group รวมไปถึงขนส่งแบบออนดีมานด์อย่าง Deliveree ก็มีรถห้องเย็น

แต่ตลาดนี้ยังไม่มีเจ้าตลาดอย่างชัดเจน เพราะยังเป็นตลาดที่เล็ก แต่เชื่อว่าในตลาดโตจะมีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จากดีมานด์ความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น

scg express

4. สัญลักษณ์ 3 สี

โลโก้ของ FUZE POST คือ การรวมตัวกันของแบรนด์ด้านการขนส่ง โดยมีตัว Z ที่ผสมสี 3 สีเข้าด้วยกัน

  • สีฟ้า มาจากสีของ JWD
  • สีเหลือง มาจากสีของ Flash Express
  • สีแดง มาจากสีของ ไปรษณีย์ไทย
  • สีน้ำเงิน สื่อถึงความเย็น ซึ่งเป็นหัวใจหลักของ FUZE POST

5. ผนึก 3 จุดแข็ง

  • ไปรษณีย์ไทย : พี่ใหญ่ในตลาด เข้าถึงได้ทุกตารางนิ้วในประเทศไทย เชี่ยวชาญด้านการขนส่งแบบ Door to Door มีเครือข่ายที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศกว่า 10,000 สาขา มีบุรุษไปรษณีย์กว่า 20,000 คนที่รู้จักทุกพื้นที่ทั่วไทย ชนิดที่ว่าถ้าจ่าหน้าซองผิด ก็ยังส่งถูกบ้านได้
  • JWD : เชี่ยวชาญในการให้บริการขนส่งระบบควบคุณอุณหภูมิ 25 ปี มีองค์ความรู้ และความชำนาญครบทุกด้าน ทั้งระบบควบคุมคุณภาพ และความปลอดภัยของสินค้า การบริหารคลังสินค้า และการขนส่ง
  • Flash Express : เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัยตั้งแต่ต้นทางจนถึงมือผู้รับ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานได้ดีลดความผิดพลาด จากศักยภาพของทีมงานไอทีกว่า 100 คน

ไปรษณีย์ไทย

6. แบ่งงานกันเป็นสัดส่วน

การผนึกกันของ 3 แบรนด์ แต่การทำงานของ FUZE POST จะแยกสัดส่วนกันอย่างชัดเจนตามความถนัดของแต่ละองค์กร

  • ไปรษณีย์ไทย : ใช้เครือข่ายที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ดูแลระบบขนส่งสินค้าตั้งแต่ First Mile ทั้ง Direct Pick-up และการให้บริการจุดรับส่งสินค้า Drop off จนถึง Last Mile
  • JWD : ดูแลบริหารจัดการสินค้าควบคุมอุณหภูมิของทั้งในส่วนของคลังจัดเก็บ และกระจายสินค้าคลังศูนย์กลางคัดแยก และกระจายสินค้าควบคุมอุณหภูมิเทคโนโลยี กล่องควบคุมอุณหภูมิ และรถขนส่งกระจายสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ
  • Flash Express : วางระบบขนส่ง Cold Chain Management System การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีมาปรับปรุงระบบให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งาน และแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที ระบบ Cloud computing หรือการคำนวณด้วยเทคโนโลยี การวางระบบเชื่อมการทำงานเข้ากับระบบปฏิบัติการและระบบจัดการคำสั่งซื้อ

FLASH

7. เริ่มในพื้นที่กทม. และ 6 จังหวัด

FUZE POST เริ่มให้บริการในวันที่ 1 กันยายน 2564 ในระยะแรกจะเน้นให้บริการในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และ 6 จังหวัด คือ หนองคาย, เชียงใหม่, สุราษฎร์ธานี, ภูเก็ต, ตราด และบางละมุง เป็นหลักก่อน เริ่มจับกลุ่มลูกค้ารูปแบบ B2B B2C และ C2C ที่เป็นกลุ่มลูกค้าเดิมของ JWD และไปรษณีย์ไทย

สำหรับลูกค้าใหม่จะเน้นการให้บริการแบบ Direct Pick-up เป็นหลัก โดยเรียกใช้บริการผ่าน www.fuzepost.co.th และมีแผนจะเปิดให้บริการจุดรับฝาก (Drop off) ขยายเส้นทางขนส่งระหว่างภูมิภาคในเดือนมกราคม 2565

8. กระบวนการขนส่ง

  • รับสินค้าจากลูกค้า : ระยะแรก FUZE POST จะเน้นให้บริการแบบ Direct Pick-up สำหรับกลุ่มลูกค้าเดิมของไปรษณีย์ไทย และ JWD และจะขยายการให้บริการ Drop Off ที่สาขาในปี 2565
  • ขนส่งสินค้า First & Middle Mile : แบ่งเส้นทางกันระหว่างไปรษณีย์ไทย และ Flash Express
  • คลังสินค้าส่วนภูมิภาค / ส่วนกลาง : ใช้ศูนย์กระจายสินค้าของทั้งไปรษณีย์ไทย, JWD และ Flash Express ในการให้บริการ Sorting และ Fulfillment และเป็นศูนย์พักสินค้าสำหรับการขนส่งระยะทางไกล
  • การขนส่งสินค้า Last Mile : แบ่งเส้นทางกันระหว่างไปรษณีย์ไทย และ Flash Express

ไปรษณีย์ไทย

9. จากคู่แข่งมาเป็นคู่ค้า

ถ้าดูกันตามตรงแล้ว ไปรษณีย์ไทย และ Flash Express เป็นคู่แข็งกันโดยตรง เพราะเป็นผู้จัดส่วนพัสดุเช่นเดียวกัน เพียงแต่ต่างกันที่รูปแบบขององค์กร จริงๆ แล้วทั้งคู่ก็มีแผนที่จะเปิดบริการขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิเช่นกัน เพราะตลาดมีการเติบโตสูง

การจับมือกันครั้งนี้จึงอาจจะเป็นข้อดีกว่าการที่ลงทุนสร้างบริการใหม่ขึ้นมาเอง เพราะต้องใช้เงินลงทุนอีกสูง และประสบการณ์ในการขนส่ง การจับมือร่วมกันกับคนที่มีประสบการณ์ อาจจะ Win-Win กันทุกฝ่ายก็ได้

10. จับตา KERRY ก็เตรียมกระโดดร่วมวง

จากแผนของ KERRY Express (เคอรี่ เอ็กซ์เพรส) ที่ประกาศล่าสุด ในไตรมาส 4 เตรียมเปิดบริการ KERRY Wallet และขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ เรียกว่ารายใหญ่เตรียมร่วมวงกันอย่างเต็มที่

การประกาศเซ็น MOU ของ 3 เจ้านี้ อาจจะเป็นการปาดหน้าเค้ก KERRY เข้าอย่างจังก็เป็นได้ เพราะขอให้ได้เปิดตัวก่อน เปิดให้บริการก่อน แล้วค่อยจัดตั้งบริษัทจดทะเบียนทีหลัง สร้างชื่อก่อน สร้างแบรนด์ก่อน ถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่ง

เพราะทางผู้บริหารได้เปิดเผยเลยว่า “ตอนนี้เซ็น MOU ก่อน แล้วคอ่ยไปก่อตั้งบริษัท เพราะการร่วมทุนใช้เวลาพอสมควร อีกทั้งไปรษณีย์ไทยก็เป็นรัฐวิสาหกิจ JWD เป็นมหาชน มีกระบวนการของแต่ละคนต่างกัน ตอนนี้พ่อค้าแม่ค้าได้รับผลกระทบ ขายของออฟไลน์ไม่ได้ ถ้ารอให้พร้อมจะสนับสนุนผู้ประกอบการได้ไม่เพียงพอ”

]]>
1348344